หมอผีแม่ลูกติด 156 ต้นตุ๋น

Now you are reading หมอผีแม่ลูกติด Chapter 156 ต้นตุ๋น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 156

ต้นตุ๋น

จางฮุยก็ได้รีบหลบไปหลังฉากทันที และทุกคนต่างก็กลั้นใจรอพวกโจรบนเขาลงมา

แต่สุดท้าย พวกโจรบนภูเขาที่พวกเขารอก็ไม่มา กลับกลายเป็นทหารชั้นผู้น้อยที่เข้ามาส่งข้อความแทน “เรียนท่านแม่ทัพเยี่ย พวกโจรภูเขาอูอวิ๋นเรียกร้องที่จะขอพบท่านขอรับ”

“พบข้า?” เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้หรี่สายตาลง และตอบไม่เห็นด้วยทันที

จางฮุยก็ได้พูดอย่างดูถูก “อีกฝ่ายยอมแพ้แล้วแท้ๆ แล้วท่านจะยังกลัวอะไรอีก? แม่ทัพเยี่ยจะคิดมากเกินไปไหม?”

เป็นคำพูดที่ออกไปในทางติเตียนอย่างเต็มที่ หลินซีเหยียนก็ได้แสยะยิ้มขึ้นมาที่มุมปากของนาง แล้วทำการควงเข็มเงินในมือของนางด้วยใบหน้าที่ครุ่นคิด

จางฮุยก็ได้จ้องไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปทันทีแล้วมองดูนางด้วยสายตาที่ระแวดระวัง

ในขณะที่แม่ทัพเฉิงกำลังจะพูด เขาก็ได้มองไปที่ เยี่ยจุนเจี๋ยแล้วกล่าว “ข้าคิดว่าที่รองแม่ทัพจางกล่าวก็มีเหตุผลอยู่”

ศัตรูขอยอมแพ้ และเรียกร้องขอพบแม่ทัพเยี่ย ในสายตาของคนทั่วไปนั้นต่างก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นยอมหมอบราบคาบแก้วแล้วและไม่มีความคิดชั่วร้ายอะไรแล้ว

แต่พวกเขานั้นกลับลืมไปว่ากระต่ายนั้นจะกัดเจ็บเมื่อพวกมันอยู่ในสภาพจนมุม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่มีความสามารถในการต่อสู้ด้วยแล้ว

เยี่ยจุนเจี๋ยไม่ตอบคำถาม แม่ทัพเฉิงก็ได้คิ้วขมวดแล้วมองด้วยสีหน้าที่ไม่ดี “ท่านแม่ทัพเยี่ย ข้านั้นอาวุโสกว่าท่านแล้วยังอยู่ในสนามรบมานานเป็น 10 ปี ถึงใน 7-8 ปีมานี้จะไม่ได้ออกรบ แต่ข้าก็ยังตัดสินใจได้ดีอยู่”

“เยี่ยจุนเจี๋ยเองก็เข้าใจที่แม่ทัพเฉิงกล่าว แต่สภาพพื้นที่ของภูเขาอูอวิ๋นนั้นซับซ้อนมาก ข้าคิดว่าท่านควรที่จะระวังตัวให้มาก” เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นหาได้สั่นไหวต่อการตัดสินใจและความคิดของเขาเพราะคำพูดของแม่ทัพเฉิงไม่

แม่ทัพเฉิงก็ได้มองไปที่เยี่ยจุนเจี๋ยแล้วก็ลุกขึ้นยืน “ถ้าท่านไม่กล้าไปข้าจะไปเอง สำหรับคนที่เป็นแม่ทัพแล้วความกล้าหาญคือสิ่งที่จะขาดไปเสียมิได้”

“ท่านแม่ทัพเฉิงได้โปรดใคร่ครวญให้ดีก่อน” มองดูอีกฝ่ายที่ดูเร่งรีบแล้ว เยี่ยจุนเจี่ยก็ได้รีบเกลี้ยกล่อมเขา “พวกเรายังมีทหารอยู่ด้านหลังพวกเราอีกเป็นพันนายนะ เราจะปล่อยให้พวกเขาต้องมาเสี่ยงเพียงเพราะความกล้าหาญของพวกเราไม่ได้หรอกนะ”

แล้วก็ได้มีทหารชั้นผู้น้อยที่กลับมาส่งข้อความให้อีกครั้ง “หัวหน้าโจรได้บอกว่ามีเหมืองทองอยู่ในภูเขาอูอวิ๋น หากว่าท่านแม่ทัพยอมที่จะออกไปพบเขา เขายินดีที่จะบอกพวกเราว่าเหมืองทองนั้นอยู่ที่ไหน แต่ถ้าท่านไม่ไปเขาจะทำลายเหมืองทองนั่นเสียและให้พวกเราใช้เวลามากกว่า 10 ปีในการค้นหาเหมืองทองนั่น”

มีเหมืองทองอยู่ในภูเขาอูอวิ๋น เหล่าทหารที่ประจำการอยู่ที่ตีนเขานั้นเมื่อได้ยินเข้าต่างก็ปรากฏความคิดที่ไม่ดีออกมาในดวงตาของพวกเขา แต่ไม่นานนักก็ได้หายไปเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับความมั่งคั่งที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ได้

แต่ถ้าได้ตำแหน่งที่ตั้งเหมืองทองมาแล้วเอาไปบอกฮ่องเต้ พวกเขาก็ย่อมจะได้รับรางวัล บางทีอาจจะได้รับพระราชทานตำแหน่งให้กลายเป็นขุนนางเลยก็ได้ ในเวลานี้แม่ทัพเฉิงได้ตั้งมั่นที่จะขึ้นไปบนภูเขานั้นมากขึ้น

“ท่านแม่ทัพเฉิง ข้าเคยพบกับผู้นำกองโจรนั้นมาแล้ว เขานั้นเป็นคนที่โหดร้ายมาก แม้ว่าท่านจะไปพบเขา เขาก็ไม่ยอมบอกตำแหน่งของเหมืองทองให้หรอก”

เมื่อเห็นว่าแม่ทัพเฉิงนั้นยังไม่ยอมแพ้ที่จะขึ้นภูเขาลูกนั้น หลินซีเหยียนจึงได้พูดในสิ่งที่นางคิดออกไปอย่างเย็นชา ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายนั้นจะสนใจฟังหรือไม่นั้น นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของนางแล้ว

“ไม่ว่าอีกฝ่ายจะยอมบอกตำแหน่งของเหมืองทองหรือไม่นั้น ข้าก็จะไปอยู่ดี เป็นถึงทหารของรัฐเจียงจะปล่อยให้คนอื่นดูถูกไม่ได้”

อย่างที่คนพูดไว้ว่าคนหัวแข็งแม้แต่เหล็กก็ทานได้ ซึ่งก่อนที่หลินซีเหยียนและเยี่ยจุนเจี๋ยจะได้ห้ามปรามเขาต่อ แม่ทัพเฉิงก็ได้สั่งให้คน 200 คนตามเขาขึ้นไปบนเขา

“ท่านอา ท่านรู้ไหมว่าเหมืองทองเบาเขาอยู่ที่ไหนเหรอ?”

เมื่อหลินซีเหยียนหันไปมองตามเสียง ก็พบว่ากางเกงของเขาถูกดึงโดยเทียนเอ๋อที่อยู่ข้างๆเขา แล้วเสียงที่ฟังดูระแวดระวังก็ได้ดังเข้าหูของเขามา

หลินซีเหยียนก็ได้บิดริมฝีปากแดงๆของนางแล้วหยิกแก้มของเทียนเอ๋อ นางนั้นรู้ว่าในใจของเทียนเอ๋อนั้นกำลังคิดอะไรอยู่อย่างชัดเจน

“ข้าก็ไม่รู้ และเจ้าอย่าได้คิดหวังอะไรกับเหมืองทองนั่น”

เมื่อได้ยินที่พูด หน้าของเทียนเอ๋อก็ได้คิ้วขมวดมาชนกัน เขานั้นอยากจะถามอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปเมื่อเขาเห็นใบหน้าที่จริงจังของท่านแม่ของเขา

ณ เมืองหลวง เมื่อองค์ชายสองทราบข่าวและรู้ว่าพวกโจรในเขาอูอวิ๋นนั้นถูกล้อม ในใจของเขาก็ได้สั่นขึ้นมา เขากลัวว่าเรื่องนี้เขาอาจจะโดนดึงเข้าไปมีส่วนร่วมได้

ในเวลานี้เขาไม่อาจส่งใครออกไปได้ด้วย ถ้าหากว่าเรื่องนี้แดงออกไปเมื่อไร เขาก็ไม่อยากที่จะคิดถึงผลที่จะตามมาเลย

ในขณะที่องค์ชายสองเจียงไป๋ฮ่าวกำลังจมอยู่ในปัญหาอยู่นั้น เขาก็ได้เมินเฉยต่อเสียงที่ดังมาจากข้างหลังเขา จนกระทั่งคนคนนั้นได้ตบไปหลังของเขาเบาๆ

“องค์ชาย”

“ใครน่ะ?” องค์ชายสองก็ได้ร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยความตกใจ หลังจากที่มองดูอย่างชัดเจน เขาก็ได้โล่งอกขึ้นมาที่แท้ก็คือคนสนิทของเขาที่ชื่อว่าหลินจงนั่นเอง

“องค์ชาย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลินจงก็ได้ช่วย องค์ชายสองลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

หลินจงเองก็รู้เรื่องของภูเขาอูอวิ๋นเช่นกัน องค์ชายสองจึงได้มองไปที่หลินจง แล้วเขาก็ได้กัดฟันแล้วกล่าว “ส่งคนไปที่ตลาดมืดแล้วปล่อยงานออกไป เราจะต้องชิงจัดการเก็บอู๋จื้อเฟิงให้ได้ก่อนที่เขาจะถูกจับตัว”

“องค์ชาย ข้าน้อยคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรที่เร่งรีบเกินไปนะขอรับ” หลินจงก็ได้รินน้ำให้องค์ชายที่กำลังตกใจแล้วกล่าว “ถ้าอู๋จื้อเฟิงตาย ถ้าเช่นนั้นเหมืองทองก็จะตกเป็นของฮ่องเต้ขอรับ ดังนั้นอู๋จื้อเฟิงจะตายมิได้”

“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า แล้วพวกเราควรจะทำเช่นไรดี?” ผู้ที่จะมาเป็นคนสนิทของเขาได้นั้นย่อมต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาอยู่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว องค์ชายสองจึงได้ใคร่ครวญถึงคำแนะนำของเขา

หลินจงที่เห็นว่าเจ้านายของเขานั้นเริ่มคิดตามเขาแล้ว ก็ได้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เราก็สังหารสองแม่ทัพนั่นเสีย”

หากว่าแม่ทัพสองคนนั้นบาดเจ็บสาหัสหรือตาย การจับกุมพวกโจรก็จะต้องช้าออกไปอีก ถึงแม้ว่าจะมีทหารเหลืออยู่อีกมากมายแต่ก็เหมือนกับฝูงมังกรที่ไร้หัว ย่อมทำให้พวกโจรบนภูเขานั้นหายใจหายคอได้อย่างแน่นอน

แล้วอู๋จื้อเฟิงเองก็เป็นคนที่สามารถอาศัยโอกาสของช่องว่างตรงนั้นได้ด้วย

องค์ชายสองก็ได้ผงกหัวในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว เขานั่งเก้าอี้ที่ทำจากไม้พะยูง แล้วจ้องไปที่แก้วหยกขาวในมือเขาแล้วกล่าวตกลง “ข้าฝากเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่เจ้า”

หลินจงก็ได้ผงกหัวแล้วจากไป

แล้วทั้งสองคนก็ได้คิดว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นความลับต่อไป แต่เขากลับหารู้ไม่ว่าแผนการของพวกเขานั้น ถูกล่วงรู้โดยหน่วยอันของพระราชวังรัตติกาลแล้วนำไปบอกต่อเจียงหวายเย่แล้ว

ณ พระราชวังรัตติกาล เจียงหวายเย่ที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงาน ห้องของเขานั้นเต็มไปด้วยกลิ่นของน้ำหมึกจากหนังสือ หลังจากที่เขาได้รับทราบข่าวแล้ว เขาก็ได้ส่งนกพิราบออกไปยังหอเชียนจี๋เพื่อให้คอยคุ้มครองเยี่ยจุนเจี๋ย

ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องส่งคนไปปกป้องหลินซีเหยียนด้วย

“ดูเหมือนว่าองค์ชายสองนั้นจะไม่โง่อย่างที่เราคิดเอาไว้เสียอีก” เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาลง แล้วทั้งตัวของเขาก็เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันแผ่ออกมา แต่ก็น่าเสียดายที่เขายังไม่อาจทำเช่นนั้นได้

จากนั้นเจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มแล้วเขียนจดหมายแล้วยื่นส่งให้อันอี้เพื่อให้นำไปส่งให้เขา

“ขอเราดูหน่อยเถอะว่า จะมีใครที่กล้าทำอะไรกับคนของเรา”

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ล้วนเป็นความลับและไม่ได้เปิดเผยสู่ภายนอกเลย แม้แต่การหายตัวไปของหลินซีเหยียนในหลายวันมานี้นั้น แม้แต่คนของจวนมหาเสนาบดีก็ยังไม่มีใครเลยที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

อีกทางด้านหนึ่ง สภาพของจงซู่เฟิงนั้นก็แย่ลงเรื่อยๆ หลังจากที่หลินซีเหยียนจากไป จงซู่เฟิงก็ได้กลับมาป่วย แต่เพราะอาการของเขานั้นเบาบางมากจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ในช่วงนี้อาการกลับสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ

เหลยถิงและช่างช่านก็กังวลอย่างมาก แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าหลินซีเหยียนอยู่ที่ไหน จึงได้ไปหาหมอที่โรงหมอหุยชุนเพื่อตรวจอาการและทำการบรรเทาอาการขององค์ชายจงเป็นการชั่วคราว

“ชายชราผู้นี้ไม่สามารถทำอะไรกับอาการป่วยขององค์ชายจงได้เลย

แม้แต่หมอของโรงหมอหุยชันเองก็ยังส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ อาการของจงซู่เฟิงนั้นแปลกมา และร่างกายของเขาก็อ่อนแอเกินไปด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด