หมอผีแม่ลูกติด 65 เตรียมการ

Now you are reading หมอผีแม่ลูกติด Chapter 65 เตรียมการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 65

เตรียมการ

“ข้าก็ไม่ได้อยากจะกล่าวโทษน้อง ท่านแม่เองก็บอกว่าอย่าโทษเจ้า” หลินหัวเยว่มีทีท่าทำเป็นอดทน ซึ่งทำให้ หลินซีเหยียนรู้สึกอยากจะอาเจียน

“หลินหัวเยว่เรื่องแท้จริงเป็นเช่นไรยังไม่รู้ เจ้าอย่ามาปรักปรำข้า” หลินซีเหยียนมองไปที่หลินหัวเยว่ด้วยความเย็นชา

แต่หลินหัวเยว่ก็ได้กล่าว “ข้ามีพยาน”

จากนั้นนางก็ได้ปรบมือและพบคนที่คุ้นเคยเดินออกมา คนคนนี้คือสาวใช้ที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน

หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าหลินหัวเยว่กับหลินเฉิงอวี้จะเตรียมการมาเป็นอย่างดี

“ชวี่เอ๋อ เจ้าพูดในสิ่งที่เจ้าพูดกับข้าในวันนี้ให้ฟังซิ” หลินหัวเยว่ก็ได้พูดกับชวี่เอ๋ออย่างอ่อนโยน

ชวี่เอ๋อผงกหัวและมองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสีหน้ากลัวๆ “เมื่อสามวันก่อน ข้าน้อยเดินผ่านห้องของคุณหนูสองและพบว่าคุณหนูแอบออกมาจากห้อง ซึ่งข้าน้อยเองก็สงสัยจึงได้ตามนางไป จากนั้นก็พบว่าคุณหนูสองได้แอบเข้าไปในห้องครัวของนายหญิงอวี้เจ้าค่ะ”

“ชวี่เอ๋อ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าปรักปรำเจ้านายตัวเองมีโทษหนักน่ะ?” หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มให้กับชวี่เอ๋อ

ชวี่เอ๋อที่เงยหน้าอยู่ก็ได้รีบก้มหัวหลบแล้วกล่าว “ข้าน้อยทราบเจ้าค่ะ แต่ที่ข้าน้อยกล่าวล้วนเป็นความจริงเจ้าค่ะ”

หลินซีเหยียนจึงได้พูดอย่างประชดประชัน “จากที่เจ้าว่ามา ข้าเข้าไปในห้องครัวของฮูหยินอวี้ แต่เจ้าก็ไม่น่าจะรู้ว่าข้าเข้าไปทำอะไรในห้องครัวใช่ไหม?

ชวี่เอ๋อก็ได้ผงกหัวแล้วจากนั้นก็กล่าวเพิ่มเติม “แต่เรื่องที่คุณหนูสองไม่ถูกกับนายหญิงอวี้นั้น เป็นเรื่องที่ใครๆต่างก็รู้กันดีเจ้าค่ะ”

“เพราะข้าไม่ชอบนาง ข้าก็เลยเป็นคนวางยางั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างประชดประชันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง

“ซีเหยียน เจ้าอย่าพูดตลบตะแลงอีกเลย ถ้าไม่ใช่ฝีมือเจ้าแล้ว แล้วเจ้าจะเข้าไปในห้องครัวของนายหญิงอวี้ในยามค่ำคืนทำไม?” หลินหัวเยว่ที่เห็นว่าชวี่เอ๋อเริ่มมีอาการหอบก็ได้ดุว่านางว่าขี้ขลาดในใจ แล้วจากนั้นนางก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าว

หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วกล่าว “ถ้าข้าบอกว่าข้าตามโจรคนหนึ่งเข้าไปในห้องครัวของนายหญิงอวี้วันนั้น เจ้าจะว่าอย่างไร?”

“แล้วเจ้ามีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าสิ่งที่เจ้าพูดคือความจริง?” หวังเซียงอวี่ บุตรีของตระกูลหวังที่เป็นขุนนางฝ่ายในก็ได้ถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

หวังเซียงอวี่นั้นมีชื่อเสียงมากเรื่องของการแยกแยะผิดถูก เช่นเดียวกับพ่อของนาง นางมีนิสัยที่ทนต่อความไม่ยุติธรรมไม่ได้ ซึ่งเมื่อหลินหัวเยว่เห็นนางพูดออกมาเช่นนั้น นางก็คิดว่าแย่แล้ว นางเกรงว่ามันอาจจะผิดแผนก็ได้

“ข้าไม่มีหลักฐานหรอก แต่ก็พูดได้ว่าเรื่องที่ข้าวางยาพิษนายหญิงอวี้นั้น ก็ไม่มีหลักฐานเช่นเดียวกัน” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่านางไม่ได้กังวลเรื่องของความเสียเปรียบในปัจจุบันของนางเลย

เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของหลินซีเหยียน และยังเกี่ยวพันถึงจิตใจของหลินหัวเยว่ด้วย ดังนั้นหวังเซียงอวี่จึงตัดสินใจที่จะช่วยทั้งคู่ตามหาความจริง ซึ่งด้วยนิสัยของ หวังเซียงอวี่แล้วทุกคนที่อยู่ที่นี่รู้ดี จึงไม่มีใครคัดค้านนาง

หลินหัวเยว่เองก็ได้เห็นด้วยไปตามเนื้อผ้าเพื่อที่จะไม่ให้มีใครสงสัย

จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่หลินหัวเยว่ “ทำไมพวกเราไม่ไปหาฮูหยินอวี้กันล่ะ ถึงข้าหลินซีเหยียนจะไร้ความสามารถ แต่ข้าก็เคยเป็นหมอในโรงหมอมาก่อน ดังนั้นข้าจึงสามารถตรวจอาการฮูหยินอวี้ได้”

หลินหัวเยว่ได้ยินเข้าก็ได้รีบปฏิเสธโดยไม่คิด “ท่านแม่ของข้ากำลังพักผ่อนอยู่ มันคงจะไม่ดีถ้าจะเข้าไปรบกวนท่านในเวลานี้”

หลี่ช่างหรูเองก็ได้ออกมายืนด้านหน้าและมองไปที่ หลินซีเหยียนแล้วพูดอย่างดูถูก “หลินซีเหยียน อย่างเจ้ารู้จักการรักษาด้วยงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะทำร้ายฮูหยินอวี้อีกรอบหรอกเหรอ?”

หวังเซียงอวี่ก็คิ้วขมวดและมองไปที่หลินหัวเยว่อย่างสงสัย แล้วจากนั้นก็ได้พูดหาทางออก “ข้าว่าพวกเราควรไปหาหมอมาดูอาการของฮูหยินอวี้ และเพื่อเป็นความยุติธรรม ทั้งคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองก็ควรจะเชิญหมอที่ตัวเองไว้ใจมาคนละคน”

มีแววตาดำมืดปรากฏในดวงตาของหลินหัวเยว่ และนางก็ตอบตกลง

หลินซีเหยียนเองก็นิ่งคิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วตอบตกลงเช่นกัน

จากนั้นทั้งคู่ก็ได้ส่งคนไปตามตัวหมอที่ตัวเองคิดว่าดีมา ซึ่งหลินหัวเยว่ก็ได้เชิญท่านหมอเฉิงจากร้านยาชื่อดังในเมืองหลวงมา ว่ากันว่าท่านหมอคนนี้เคยรักษาฮ่องเต้มาก่อนด้วย และทักษะการแพทย์ก็ยังดีมาก

ส่วนคนที่หลินซีเหยียนเชิญมานั้นไม่มีใครรู้จักเลย คิดว่าเขาจะต้องเป็นหมอที่ไร้ชื่อเสียงอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้คนจึงได้ให้ความสนใจในการตรวจของท่านหมอเฉิงมากกว่า

เมื่อท่านหมอมาถึง กลุ่มคนก็ได้พากันไปยังเรือนของ ฮูหยินอวี้อย่างไม่เกรงใจ ซึ่งฮูหยินอวี้ก็รู้อยู่แล้วว่าทุกคนจะต้องมากัน จึงไม่ได้ประหลาดใจอะไร

ท่านหมอเฉิงก็ได้ลงมือตรวจชีพจรของฮูหยินอวี้ก่อน แล้วจากนั้นก็ลูบหนวดของเขา “ฮูหยินอวี้นั้นถูกพิษอย่างเรื้อรัง แต่อาการยังไม่รุนแรงมากนัก หากว่านางได้รับยาทันการก็จะไม่มีอันตรายร้ายแรงอะไร”

ทุกคนที่ได้ยินผลการตรวจต่างก็พากันมองไปที่ หลินซีเหยียน

หลินซีเหยียนก็รู้สึกได้ถึงการจ้องมองของพวกเขาแล้วยิ้มกริ่ม “ใจเย็นก่อนสิ ยังไม่ถึงตาข้าเลยไม่ใช่เหรอ?”

มองดูท่าทีของนางที่อยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว ต่างก็คิดว่านางนั้นกำลังดิ้นรนอยู่และหาเรื่องเตะถ่วงเวลาออกไปเท่านั้น

หลังจากที่หลินซีเหยียนพูดจบ ลุงจงก็ได้เดินมาข้างหน้าผู้คนแล้วก็จับชีพจรของฮูหยินอวี้แล้วจากนั้นก็กล่าว “แม่นางอวี้แค่มีอาการเลือดและพลังปราณไหลเวียนไม่สะดวกเท่านั้น ไม่มีปัญหาอื่นอะไร”

การตรวจโรคของทั้งสองคนนั้นให้ผลออกมาที่ต่างกัน แต่ผู้คนต่างก็พากันสงสัยลุงจงก่อน

หลี่ช่างหรูก็ได้ออกมาด้านหน้าแล้วชี้ไปที่ลุงจงแล้วกล่าว “เจ้าเป็นคนที่พามาโดยหลินซีเหยียน เจ้าอาจจะโกหกก็ได้?”

ถึงแม้ลุงจงจะชราแล้ว แต่ตาของเขายังคงเฉียบแหลมอยู่ เขาก็ได้มองไปที่หลี่ช่างหรูด้วยสายตาที่โกรธจัด “ชายชราผู้นี้ฝึกวิชาหมอมานานหลายทศวรรษ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มีหรือที่ข้าจะวินิจฉัยผิด”

หวังเซียงอวี่ก็ได้จ้องไปที่หลี่ซ่างหรูที่พูดอะไรไม่ออก และจากนั้นก็ก้มหัวให้กับลุงจง “ขอท่านหมอจงอย่าเพิ่งโกรธ แต่ผลการตรวจของท่านกับท่านหมอเฉิงออกมาต่างกัน ข้าจึงไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี?”

ลุงจงก็ได้จ้องไปที่หวังเซียงอวี่ แล้วท่าทีของเขาก็ได้อ่อนโยนลงมา “แม่นางคนนี้สุภาพดี ชายชราผู้นี้จะบอกให้เองว่าใครกันที่โกหก”

จากนั้นเขาก็ได้เดินไปหาท่านหมอเฉิงแล้วมองไปที่เขาด้วยฐานะที่สูงกว่า “เฉิงเจียง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกขับไล่ออกจากพระราชวัง แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะไร้ความสามารถขนาดนี้”

เฉิงเจียงคือชื่อจริงของท่านหมอเฉิง แล้วสายตาของผู้คนที่มองลุงจงก็ได้เปลี่ยนไป

“พวกท่านรู้จักกันมาก่อนเหรอ?” หวังเซียงอวี่ถามอย่างให้ความเคารพ

เฉิงเจียงก็ได้จ้องไปที่ลุงจงอย่างสงสัย แล้วจากนั้นก็คิดว่าลุงจงคงแค่จะคิดทำเป็นรู้จักกันเท่านั้นแล้วกล่าว “หมอคนนี้ไม่รู้จักกับตาแก่ผู้นี้”

หลินซีเหยียนก็ได้ทำสายตาเย็นชา แล้วจากนั้นก็มองไปที่เฉิงเจียงด้วยการเตือนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าขอเตือนท่านหมอเฉิงให้ระวังการพูดการจาจะดีกว่า”

ด้วยการช่วยเหลือของหลินซีเหยียน ลุงจงก็รู้สึกขอบคุณ แล้วเขาก็ได้มองไปที่เฉิงเจียงแล้วพูดอย่างดูถูก “ฮ่องเต้นั้นเคยมีอาการไม่อยากอาหารเมื่อ 13 ปีก่อน จึงได้ทำการจ้างหมอเข้ามาเพิ่ม ซึ่งเฉิงเจียงก็ได้เข้ามาในพระราชวังในเวลานั้นและได้พบกับชายชราผู้นี้”

ชายชราเล่าเหตุการณ์ในอดีตโดยไม่ติดขัด ทำให้ในเวลานี้ท่านหมอเฉิงมีอาการตกใจขึ้นมา

เมื่อเห็นว่าหมอเฉิงนั้นมีอาการตาแดงขึ้นมา เขาจึงได้มองไปที่หมอจงแล้วกล่าว “เจ้าเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงได้รู้เรื่องนั้น”

แล้วท่านหมอจงก็ได้หยิบเอาแผ่นป้ายแผ่นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อของเขาโดยไม่ลังเล ซึ่งแผ่นป้ายนั้นเขียนเอาไว้ว่า “หมอหลวง” แล้วพูดขึ้นมา “ชายชราผู้นี้มีชื่อแซ่ว่าจงอู๋”

“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร….”

หลังจากที่รู้ชื่อแซ่ของลุงจงแล้ว ท่านหมอเฉิงก็มีอาการหวาดกลัวขึ้นมา ส่วนหวังเซียงอวี่เองก็ตกใจเช่นกัน เพราะพ่อของนางนั้นเคยไปปรึกษากับท่านจงอู๋ในตอนที่เขาจัดการกับคดีต่างๆ เพราะว่าเขาเป็นถึงหัวหน้าหมอหลวง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด