หมอผีแม่ลูกติด 32 พระชายาของพี่สี่

Now you are reading หมอผีแม่ลูกติด Chapter 32 พระชายาของพี่สี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 32

พระชายาของพี่สี่

มีผู้หญิงอยู่ในห้องของพี่สี่ และยังมีเด็กอยู่ด้วย? สถานการณ์เช่นนี้มันอะไรกัน เขาคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง เขาจึงได้มองไปที่เจียงหวายเย่แล้วถาม “พี่สี่ พี่มีลูกตั้งแต่เมื่อไร?”

“มีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่แหละ” เจียงหวายเย่กล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

แม่ทัพหนุ่มก็ได้ผงกหัว แต่แล้วเขาก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ “เดี๋ยว ถ้าพี่มีลูกเมื่อไม่กี่วันก่อน จะไปมีลูกชายตัวโตขนาดนี้ได้ยังไงล่ะ?”

การตบมุกเช่นนี้ทำให้หลินซีเหยียนชอบใจและหัวเราะออกมา

“แม่นางคนนี้คือหลินซีเหยียน บุตรีคนที่สองของจวนมหาเสนาบดีน่ะ และต่อจากนี้ไปจะเป็นพี่สะใภ้สี่ของเจ้า” เจียงหวายเย่แนะนำ

แม่ทัพหนุ่มก็ได้ผงกหัวของเขาและเรียกพี่สะใภ้

“ข้ายังไม่ได้แต่งงานกับพี่สี่ของท่านเลย ยังไม่ต้องเรียกว่าพี่สะใภ้ก็ได้เรียกข้าว่าซีเหยียนก็พอ” หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยท่าทีที่เป็นมิตร และพบว่านางนั้นยังไม่รู้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นใคร นางจึงได้กัดฟันถามออกไป “ไม่ทราบว่าท่านคือ?”

“พี่สะใภ้ซีเหยียน ข้ามีชื่อว่าเจียงซิงชูเป็นองค์ชายอันดับที่สิบสี่ จะเรียกข้าว่าน้องสิบสี่ก็ได้นะ” เจียงซิงชูเองก็ตอบอย่างเป็นมิตรเช่นกัน และไม่ได้เห็นหลินซีเหยียนเป็นคนนอกเลยแม้แต่น้อย

“แม่นางหลิน แล้วเปิ่นหวางจะเรียกเจ้าว่าอะไรดี?” เจียงหวายเย่ก็ได้ถามอย่างมีจุดประสงค์แอบแฝง

หลินซีเหยียนก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา และยิ้มตอบแบบเจื่อนๆ “สำหรับองค์ชายเรียกข้าว่าซีเหยียนก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

“ซีเหยียนฟังดูไม่ค่อยสนิทกันเลย ถ้างั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อก็แล้วกัน!” เจียงหวายเย่กล่าวอย่างช้าๆในขณะที่จ้องไปที่หลินซีเหยียนด้วยดวงตาสีดำเข้มของเขา

หลินซีเหยียนก็ได้จ้องเขากลับด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าปฏิเสธไม่ได้นี่ และแอบมุมปากกระตุก

เดิมทีองค์ชายสิบสี่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนที่ทำให้พี่สี่ของเข้านั้นหวั่นไหวได้ แต่แล้วเขาก็พบว่าทั้งสองคนนั้นดูสนิทสนมกันดีในสายตาของเขา

ในตอนที่หลินซีเหยียนออกมาจากพระราชวังรัตติกาลนั้นก็เป็นยามบ่ายแล้ว และนางยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องทำซึ่งจะไม่เป็นการสะดวกที่จะมีเทียนเอ๋อติดตัวนางไปด้วย นางจึงได้ตัดสินใจฝากเทียนเอ๋อไว้ที่พระราชวังรัตติกาล ทำให้นางรู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อนึกถึงเทียนเอ๋อที่พยายามโต้แย้งกับนางแต่ก็ไร้ผล

“หลีกทางหน่อย! หลีกทางหน่อย!” จู่ๆก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากบนถนนที่ปกติจะเงียบสงบ เมื่อผู้คนเห็นม้าที่กำลังวิ่งมาอย่างบ้าคลั่งพวกเขาต่างก็พากันหลบ

เมื่อหลินซีเหยียนเห็นนางเองก็ได้เตรียมที่จะเดินหลบ แต่ทว่าในตอนที่นางหันหน้าไปนางก็พบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่พื้นและร้องไห้โยเย และมองดูอันตรายที่กำลังจะมาถึง

หลินซีเหยียนถึงได้ทำปากย่นแล้วรีบพุ่งตัวไปด้านหน้า และม้วนตัวออกไปด้านข้างพร้อมกับเด็กในอ้อมแขนของนาง

แม่ของเด็กคนนั้นที่พบว่าลูกของนางปลอดภัย สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความยินดี “แม่นางข้าขอบใจเจ้ามากจริงๆ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับยัยหนู ข้าคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”

หลังจากที่พูดจบ หญิงสาวคนนั้นก็ลงคุกเข่ากับพื้นและขอบคุณผู้มีพระคุณของนาง หลินซีเหยียนจึงได้รีบหยุดนางแล้วกล่าว “ท่านพูดเกินไปแล้ว”

แล้วจากนั้นนางก็ได้มองไปตามทิศทางที่รถม้าวิ่งไป ถ้านางจำไม่ผิดรถม้าคันเมื่อสักครู่น่าจะเป็นของบ้านแม่ทัพเจิ้นกว๋อเป็นแน่

ตระกูลแม่ทัพเจิ้นกว๋อนั้นคือตระกูลเดิมของแม่ของ หลินซีเหยียน แม่ของนางมีชื่อว่าเยี่ยซินโหรว เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของแม่ทัพเจิ้นกว๋อ นางจำได้ว่าแม่ทัพเจิ้นกว๋อนั้นมีลูกอยู่ 3 คน สองคนแรกเป็นชายร่างใหญ่สูง 7 ฟุต และมีแม่ของนางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว

ซึ่งน่าจะเห็นได้ว่าเขานั้นเอ็นดูแม่ของนางมากแค่ไหน และไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีผู้คนมากมายที่อิจฉากับขบวนแต่งงานที่ยาวเป็น 10 ลี้ในวันแต่งงานของนาง

เมื่อหลินซีเหยียนคิดได้เช่นนี้ นางก็อดกังวลไม่ได้ว่าคนที่อยู่ในรถม้าคันเมื่อสักครู่นั้นอาจจะเป็นอันตรายก็ได้ หรือว่านางควรที่จะไปดูสักหน่อยดี

เดิมทีนางนั้นคิดว่าอาจจะต้องเดินไปอีกไกล แต่ไม่คิดว่าเดินมาต่อได้เพียงหน่อยเดียวนางก็เจอกับรถม้าคันนั้นอีกรอบแล้ว ดูเหมือนว่าจะถูกบังคับให้หยุด

“ท่านแม่ฟื้นขึ้นสิ!” เมื่อหลินซีเหยียนเข้าไปใกล้ๆก็พบชายหนุ่มรูปงามที่กำลังประคองหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่

“ดูนั่นสิ นั่นมันหลานชายของท่าน แม่ทัพเจิ้นกว๋อที่ชื่อ เยี่ยจุนเจี๋ยไม่ใช่รึ?” ผู้คนต่างก็มองดูกันอยู่รอบๆ เพราะว่าตัวของเยี่ยจุนเจี๋ยแผ่รังสีฆ่าฟันออกมาอย่างน่ากลัว จนไม่มีใครที่กล้าเข้ามาช่วยเหลือเขา

เยี่ยจุนเจี๋ยเป็นหลานของแม่ทัพเจิ้นกว๋อ ก็แสดงว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของนางน่ะสิ และคนที่หมดสติอยู่ก็คือป้าสะใภ้ของนางด้วยสินะ

ไม่ได้การแล้ว หลินซีเหยียนจึงได้รีบวิ่งเข้าไปจะจับชีพจรของป้าสะใภ้ของนาง แต่ก็ถูกขวางเสียก่อนซึ่งทันทีที่หลินซีเหยียนเงยหน้าขึ้นมา นางก็พบว่าเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นกำลังมองมาที่นางอย่างระแวดระวัง

นางจึงได้ย่นปากของนางแล้วก็ยิ้มและอธิบาย “ข้าเป็นหมอน่ะ”

รอยยิ้มของหลินซีเหยียนนั้นงดงามมาก และทำให้ผู้คนนั้นต่างอยากที่จะเข้าใกล้และเชื่อนาง

เยี่ยจุนเจี๋ยจึงได้ปล่อยมือของหลินซีเหยียนแล้วกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มลึก “ขอบคุณมาก”

หลินซีเหยียนจึงได้จับชีพจรอย่างตั้งใจ แล้วก็หยิบเอาขวดยาในแขนเสื้อของนางออกมาแล้วไปจ่อตรงจมูกของท่านป้าสะใภ้ของนาง หลังจากที่ดมไปสักพักและไม่นานนักนางก็ฟื้นขึ้นมา

“ท่านป้…..เอ่อ แม่ของท่านแค่หมดสติไป พักผ่อนให้มากๆก็จะหายดีเอง” หลินซีเหยียนนั้นฉุกคิดและเกือบจะเรียกว่าป้า แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดทันที เมื่อเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องของนางยังไม่รู้ตัวจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

นางนั้นนึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่ท่านแม่ของนางเสียไป ทางบ้านของแม่ทัพเจิ้นกว๋อนั้นก็ไม่ได้เข้ามาหานางเลย มันจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างเป็นแน่ นางจึงยังไม่ควรที่จะเปิดเผยตัวไปว่าเป็นญาติของพวกเขาจนกว่าจะรู้เหตุผลจะดีกว่า

ไม่นานนักคนของตระกูลแม่ทัพเจิ้นกว๋อก็มาถึง หลินซีเหยียนจึงได้ขอยืมกระดาษและพู่กันเขียนใบสั่งยาให้ เยี่ยจุนเจี๋ยแล้วกล่าว “ของสิ่งนี้จะมีผลทำให้สงบจิตใจได้”

เยี่ยจุนเจี๋ยผงกหัว “แม่นางช่างจิตใจงดงามนัก ข้าจะต้องตอบแทนแม่นางในอนาคตแน่”

หลังจากที่พูดจบเขาก็ได้พาแม่ของเขาขึ้นรถม้าแล้วเดินทางกลับจวนของแม่ทัพเจิ้นกว๋อ

หลินซีเหยียนเองก็ได้เดินทางกลับไปยังจวนของมหาเสนาบดีเช่นกัน ซึ่งมีคนมากมายในจวนของมหาเสนาบดีที่เหมือนกับแหล่งรวมมารร้าย และหลินเสวี่ยเหยียนที่เหมือนจะลืมบาดแผลก็ได้โผล่มาอีกครั้ง

แต่ในเวลานี้เหมือนนางจะฉลาดขึ้นมาบ้างและเตรียมผู้ช่วยเอาไว้ด้วย และดูเหมือนผู้ช่วยคนนี้ก็จะมีค่ามากเสียด้วย ซึ่งเขาก็คือหลินเฉิงอวี้ บุตรชายเพียงคนเดียวของมหาเสนาบดีหลิน

“เจ้าคือหลินซีเหยียนงั้นเหรอ?” หลินเฉิงอวี้นั้นสืบทอดมหาเสนาบดีหลินทั้งหัวใจและจิตใจจริงๆ ซึ่งเหมือนกันแบบไม่ผิดเพี้ยนราวกับขอยืมกันมา

หลินซีเหยียนที่กำลังนั่งอยู่ก็ได้จิบชาที่จิ่งชุนเพิ่งน้ำมาให้แก่นาง โดยไม่สนใจสายตาของหลินเฉิงอวี้ที่จ้องมาที่นาง

หลินเฉิงอวี้นั้นที่ไม่ว่าจะไปไหนต่างก็มีผู้คนชื่นชมนั้น ก็ทนไม่ได้เมื่อต้องถูกเมินเช่นนี้ เขาจึงได้เดินเข้าไปหาหลินซีเหยียนเหมือนกับคนขาดสติแล้วเตะโต๊ะของหลินซีเหยียน

“ข้าที่เป็นนายน้อยของบ้านนี้พูดกับเจ้าอยู่ เจ้าหูหนวกรึยังไง?” หลินเฉิงอวี้ตะโกนใส่หลินซีเหยียน และสะบัดแขนเสื้อของเขา

หลินซีเหยียนขยี้หูของนางราวกับแสบแก้วหูเพราะเสียงตะโกน แล้วคิ้วขมวดอย่างไม่พอใจ แล้วกล่าวด้วยสีหน้านิ่งๆ “พ่อของเจ้าไม่ได้บอกให้เจ้าอย่ามายุ่งกับข้าเหรอ?”

“เจ้าเป็นแค่ต้นหอม มีค่าอะไรที่ให้พ่อของข้าต้องมาเตือนข้าด้วย วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าที่บังอาจมาทำให้พี่สาวของข้าโกรธ” หลินเฉิงอวี้มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่ดูหมิ่น “ถ้าเจ้ายอมคุกเข่าและขอร้องข้า บางทีข้าอาจจะยอมปล่อยเจ้าสักครั้งเพราะเห็นแก่ความงามของเจ้าบ้างก็ได้”

สมองพังพอกันจริงๆ หลินซีเหยียนถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าจะมีแมลงวันมาให้ตบทีละตัวเสียจริงๆ ตบยังไงก็ไม่หมดเสียที”

“ช่างกล้ามากนัก ที่บังอาจมาเรียกข้ากับนายน้อยของบ้านนี้เป็นแมลงวันอย่างนั้นเรอะ?” หลินเสวี่ยเหยียนที่ทำราวกับจับผิดของหลินซีเหยียนได้ ก็พูดราวกับได้ชัยชนะแล้ว

“หลินซีเหยียนข้าอุตส่าห์ให้โอกาสแต่กลับไม่รับเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษข้านายน้อยคนนี้ไม่ปรานีเจ้าก็แล้วกัน” หลินเฉิงอวี้พูดจบก็ได้หยิบเอาไม้เรียวสีแดงเลือดที่เหน็บอยู่ข้างเอวของเขาออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด