หมอผีแม่ลูกติด 59 กลับเมืองหลวง

Now you are reading หมอผีแม่ลูกติด Chapter 59 กลับเมืองหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 59 กลับเมืองหลวง ทันทีที่หมอหลวงเห็นผื่น เขาก็รู้สึกตกใจ และพร่ำพูดแต่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ทว่าความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ แล้วมองไปที่ผู้คนที่โกรธมากขึ้นเรื่อยๆ หมอหลวงจึงได้รีบสงบอารมณ์แล้วกล่าว “ทุกท่านอย่าเพิ่งร้อนรนไป หมอหลวงจะต้องรักษาทุกคนให้ได้อย่างแน่นอน” “จะให้พวกเราเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?” ผู้คนนั้นไม่ได้เชื่อใจง่ายอย่างที่เขาคิดนัก หมอหลวงก็ได้ถูกบังคับอย่างช่วยไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่สัญญาไปว่าพวกเขาจะแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ก่อนมืด จากนั้นพวกเขาก็ได้กลับไปที่ว่าการเมือง “ไปตามเจ้าเมืองมาที่นี่เร็วเข้า” ทันทีที่หมอหลวงกลับมาถึงที่ห้อง สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือหารือกับเจ้าเมือง หลินซีเหยียนกับอันอี้ก็ได้นั่งอยู่เงียบๆบนหลังคาแอบฟังหมากัดกัน “ท่านหมอหลวง พวกท่านหยิบยามาผิดหรือเปล่า?” เจ้าเมืองหลี่เจิ้นฮุยเองก็ผื่นสีแดงขึ้นเต็มตัวในเวลานี้ ก็ได้พูดกับหมอหลวงด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี เมื่อหมอหลวงได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของพวกเขาก็เย็นชาขึ้นมา “ท่านหลี่ ท่านอย่าได้ปัดความรับผิดชอบมาให้พวกข้า ถ้าคราวนี้พวกเราไม่แก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น พวกเราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีชีวิตรอดแน่” “ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะทำกันอย่างไรดี?” หลี่เจิ้นฮุยรู้สึกกลัวขึ้นมา แล้วหมอหลวงก็รู้สึกกล้าหาญขึ้นมานิดหน่อย สายตาของเขาก็แน่วแน่และกล่าว “ในเวลานี้พวกเราเหมือนกับตั๊กแตนสองตัวที่กำลังไต่เชือก ข้าจะออกไปรักษาผู้คน และค้นหาวิธีการรักษาโรคก่อน ทุกสิ่งอาจจะยังแก้ไขได้ แต่ถ้าไม่ได้ผล เมื่อถึงเวลานั้น…..” “ท่านต้องการอะไร?” หลี่เจิ้นฮุยถามอย่างเร่งรีบ “คงมีเพียงหลบหนีไปพร้อมกับสัมภาระ ที่จะทำให้มีโอกาสรอดขึ้นมาบ้าง” หมอหลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แน่นหนัก หลี่เจิ้นฮุยได้ฟังแผนการก็คิดอยู่นาน แล้วในที่สุดก็ผงกหัว “ข้าจะไปเตรียมเงินให้พวกท่านเอาไว้ใช้หลบหนี” หมอหลวงก็ได้ผงกหัวและพากันออกจากห้อง เมื่อเขาออกไปก็ยังไม่ได้ออกไปพบกับผู้คนก่อน แต่กลับไปพบกับ สวีเฉินจู๋ก่อน “มีอะไรเหรอขอรับท่านหมอหลวงถึงได้มาหาข้าเฉินจู๋?” สวีเฉินจู๋ก็ได้กล่าวด้วยท่าทีที่สุภาพเช่นเคย และไม่ได้ประจบประแจงเพราะตัวตนของเขา “ข้าได้ยินมาว่าท่านหมอสวี่เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์อย่างมาก ข้าจึงได้มาเชิญท่านออกไปตรวจอาการด้วยกัน” หมอหลวงได้พูดอย่างกันเองและสุภาพมาก ซึ่งทำให้ผู้คนยากที่จะปฏิเสธ สวีเฉินจู๋ก็ไม่ได้ตอบตกลงทันที เขามองไปที่เหล่าหมอที่รออยู่ที่นี่นานแล้วกล่าว “ข้าเกรงว่าลำพังกำลังของข้าและท่านคงไม่อาจทำอะไรได้ในระยะเวลาสั้นๆแน่ พวกเราควรที่จะออกไปร่วมงานกันทั้งหมด” “ใช่แล้ว, พวกเรายินดีที่จะไปร่วมกับท่านหมอหลวง” เมื่อถูกกล่าวถึง เหล่าหมอเอาแต่ใจเหล่านั้นก็ได้รีบพากันมายืนด้านหน้าและกล่าว แต่หมอหลวงก็ไม่ได้หันไปมองที่พวกเขา กลับกันเขากล่าวกับสวีเฉินจู๋แทน “ก็ได้ท่านหมอสวี่” สวี่เฉินจู๋ก็ผงกหัวแล้วออกไปพร้อมกับท่านหมอจาง แล้วตามไปด้วยหมอคนอื่นๆ อันอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลินซีเหยียน ที่มองดูเหตุการณ์นี้อยู่ก็พูดออกมาอย่างเป็นกังวล “พระชายา คิดว่าพวกเขาหาทางแก้พิษได้ไหม?” หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างเปิดเผย “อันอี้ ข้าจะเรียกตัวเองว่าเป็นหมอผีได้อย่างไร หากว่าเจ้ายานี่มันหาทางแก้ได้ง่ายๆน่ะ” อันอี้ก็ผงกหัว เขาเชื่อมั่นในพระชายา ด้วยความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของเหล่าหมอตลอดทั้งบ่าย พวกเขาได้พยายามรักษาอาการผื่นแดงกันจนพระอาทิตย์ตกร่วมกัน “ท่านหมอหลวงได้อะไรบ้างไหม?” สวี่เฉินจู๋ถาม หมอหลวงในเวลานี้ราวกับว่าเขาอายุ 10 ขวบ “ข้าไม่เคยเห็นผื่นแดงที่แปลกประหลาดมากเช่นนี้มาก่อนเลย ข้าหาหนทางไม่พบเลย” “พวกเราจะทำกันอย่างไรดี? ผู้คนในเมืองชิงโจวก็ได้เริ่มมารวมกันแล้ว” สวี่เฉินจู๋ก็ได้มองไปที่หมอหลวงด้วยสายตาที่เป็นห่วง “ความโกรธของผู้คนไม่ใช่ที่ท่านหมอหลวงจะต้องแบกรับได้ สวี่เฉินจู๋กล่าวโดยที่ไม่รู้อะไร แต่เขาก็ไม่อยากให้หมอหลวงต้องแบกรับภาระเช่นนี้ “มีเพียงใช้เหตุผลกับผู้คนเท่านั้น ข้าหวังว่าพวกเขาจะรอกันได้ ในตอนพระอาทิตย์ตกดิน มีผู้คนมากมายมายืนรอยอยู่ที่ด้านหน้าที่ว่าการเมืองชิงโจว พวกเขาล้วนแต่ขุ่นเคือง “หมอหลวงรีบออกมาอธิบายให้พวกเราฟังเดี๋ยวนี้” “ท่านหมอหลวงทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว พวกเจ้าช่วยให้เวลาเขาอีกหน่อยจะได้ไหม?” สวี่เฉินจู๋ยืนอยู่ด้านหน้าที่ว่าการเมืองแล้วกล่าวออกมา “อย่ามาขวางทางน่า เจ้าหมอหลวงไร้ความสามารถไม่สามารถรักษาโรคของพวกเรา แล้วตอนนี้ก็ไม่มีหน้าออกมาพบกับพวกข้าอีก แล้วจะให้พวกข้าเชื่อใจเขาได้อย่างไร?” ผู้คนนั้นต่างก็ตั้งมั่นที่จะไปพบกับหมอหลวง ไม่ว่าสวี่เฉินจู๋จะพยายามอย่างมากเพียงใด ร่างกายที่บอบบางของเขาก็ไม่อาจต้านทานความโกรธของผู้คนได้ แล้วในขณะที่ผู้คนได้บุกเข้าไปในที่ว่าการเมืองนั้นเอง ก็พบคนหนุ่มที่มีใบหน้าคงแก่เรียนสวมชุดสีฟ้าขาวปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา “เจ้าเป็นใครกัน?” ท่ามกลางเสียงของผู้คนที่เกรี้ยวกราด แต่นักปราชญ์ในชุดสีฟ้านั้นหาได้สนใจไม่ เขาได้สะบัดพัดในมือแล้วกล่าวด้วยเสียงที่น่าเกรงขาม “ข้าคือหมอผี” “อย่างเจ้าน่ะเหรอหมอผี? เป็นแค่เด็กไร้หนวดแท้ๆ?” ชายคนหนึ่งที่กล่าวด้วยวาจาที่ดูถูก “นี่คือท่าทีของพวกเจ้าอย่างงั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนคิ้วขมวดแล้วกล่าว “ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าองค์ชายเย่ ข้าหมอผีคนนี้คงไม่มารักษาพวกเจ้าหรอก” “เจ้าสามารถรักษาพวกเราได้จริงๆเหรอ?” มีคนถามขึ้นมา หลินซีเหยียนก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างประชดประชัน “โรคเช่นนี้น่ะ หมอผีอย่างข้าไม่ต้องลงมือเองด้วยซ้ำ” หลังจากที่กล่าวจบ หลินซีเหยียนก็ได้สะบัดแขนเสื้อของนาง แล้วก็มีม้วนคัมภีร์เส้นไหมทองคำปรากฏในมือของนาง หลินซีเหยียนก็ได้โยนม้วนคัมภีร์นั้นให้สวี่เฉินจู๋ “ลองครี่อ่านดู” ถึงแม้ว่าสวี่เฉินจู๋จะยังสงสัย แต่เขาก็ยังทำตาม จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้แกะม้วนคัมภีร์ออกมาอ่าน แล้วจากนั้นก็พูดชื่อของสมุนไพรออกมา แล้วสวี่เฉินจู๋ก็ได้ตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วจากนั้นเขาก็ได้ก้มหัวให้หลินซีเหยียนอย่างเคารพ “ความสามารถด้านการแพทย์ของท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก” “จำไว้ว่ายาตัวนี้สามารถเตรียมได้อย่างง่ายดาย!” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง หลังจากที่สวี่เฉินจู๋ได้จากไป หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ผู้คนที่เชื่อในตัวเขาแล้วกล่าวอย่างเป็นนัยๆ “ตัวเรานี้เป็นหนี้บุญคุณขององค์ชายเย่ เขาไม่ต้องการให้ข้ามาช่วยเหลือเขา แต่เขาให้ข้ามาช่วยเหลือพวกเจ้าก่อน โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะรอดหรือไม่?” ปราศจากการตอบสนองจากผู้คน หลินซีเหยียนก็ได้จากไปอย่างไร้ร่องรอย วันต่อมา, ผู้คนในเมื่อชิงโจวต่างก็หายจากโรคระบาด และผื่นสีแดงก็ได้หายไป ส่วนเมืองชิงโจวยังคงกลายเป็นซากอยู่เพราะเหตุการณ์กบฏที่เกิดก่อนหน้า แต่ทุกสิ่งจะฟื้นคืนได้โดยอาศัยเวลา เจียงหวายเย่ก็ได้ถูกพาตัวกลับไปยังเมืองหลวง ซึ่งในขณะที่เขากำลังจะออกจากเมืองชิงโจว ผู้คนในเมืองชิงโจวก็ได้พากันมาพบกับเขา “พวกเราจะไม่ลืมบุญคุณขององค์ชายเย่” หลินซีเหยียนและเจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของผู้คนแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมา “ในเวลานี้ฮ่องเต้เก็บเกี่ยวอะไรใส่ตะกร้าไม่ได้เลย เจ้ารู้สึกพอใจบ้างไหมเจียงหวายเย่?” เจียงหวายเย่นั้นยังคงหมดสติอยู่ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ได้ตอบอะไรหลินซีเหยียน หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ที่สีหน้าซีดเซียว แล้วเริ่มคิดถึงวิธีการที่จะเข้าไปเอายาในพระราชวังหลวง มันเป็นเพราะว่าทุกคนรู้ว่าเจียงหวายเย่นั้นรักษาไม่ได้แล้ว การเดินทางกลับเมืองหลวงนั้นจึงเรียกได้ว่าปลอดภัยมาก หลังจากที่ผ่านชายหาดผีเสื้อนี้ไป พวกเขาก็จะเดินทางถึงเมืองหลวง ซึ่งในขณะที่ถึงชายหาดผีเสื้อนั้นหลินซีเหยียนก็ได้เปิดผ้าม่านออกมาเพื่อมองดูทิวทัศน์ระหว่างทาง จากตำนานได้กล่าวไว้ว่าจะมีผีเสื้อสีม่วงตัวหนึ่งอยู่ในหาดผีเสื้อแห่งนี้ ซึ่งจะปล่อยแสงสีขาวออกมาในยามค่ำคืนและจะกลายร่างเป็นนางฟ้าได้ จึงได้มีชื่อเสียงมากในประเทศนี้ และมีคนผู้คนมากมายที่มายังสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลนั้น หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างเสียใจ นางไม่รู้ว่าจะมีนางฟ้าอยู่ที่นี่จริงๆไหม? เพราะว่ามีผีเสื้ออยู่ที่นี่เต็มไปหมด ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังมองดูรอบๆอยู่นั้น ก็มีเสียงที่ดุดันดังเข้ามาในหูของเธอ “เสี่ยวอันจื่อเตรียมตัวให้พร้อม องค์ชายจะเข้าพักที่นี่คืนนี้”

บทที่ 59

กลับเมืองหลวง

ทันทีที่หมอหลวงเห็นผื่น เขาก็รู้สึกตกใจ และพร่ำพูดแต่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ทว่าความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ แล้วมองไปที่ผู้คนที่โกรธมากขึ้นเรื่อยๆ หมอหลวงจึงได้รีบสงบอารมณ์แล้วกล่าว “ทุกท่านอย่าเพิ่งร้อนรนไป หมอหลวงจะต้องรักษาทุกคนให้ได้อย่างแน่นอน”

“จะให้พวกเราเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?” ผู้คนนั้นไม่ได้เชื่อใจง่ายอย่างที่เขาคิดนัก

หมอหลวงก็ได้ถูกบังคับอย่างช่วยไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่สัญญาไปว่าพวกเขาจะแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ก่อนมืด จากนั้นพวกเขาก็ได้กลับไปที่ว่าการเมือง

“ไปตามเจ้าเมืองมาที่นี่เร็วเข้า” ทันทีที่หมอหลวงกลับมาถึงที่ห้อง สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือหารือกับเจ้าเมือง

หลินซีเหยียนกับอันอี้ก็ได้นั่งอยู่เงียบๆบนหลังคาแอบฟังหมากัดกัน

“ท่านหมอหลวง พวกท่านหยิบยามาผิดหรือเปล่า?” เจ้าเมืองหลี่เจิ้นฮุยเองก็ผื่นสีแดงขึ้นเต็มตัวในเวลานี้ ก็ได้พูดกับหมอหลวงด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี

เมื่อหมอหลวงได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของพวกเขาก็เย็นชาขึ้นมา “ท่านหลี่ ท่านอย่าได้ปัดความรับผิดชอบมาให้พวกข้า ถ้าคราวนี้พวกเราไม่แก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น พวกเราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีชีวิตรอดแน่”

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะทำกันอย่างไรดี?” หลี่เจิ้นฮุยรู้สึกกลัวขึ้นมา

แล้วหมอหลวงก็รู้สึกกล้าหาญขึ้นมานิดหน่อย สายตาของเขาก็แน่วแน่และกล่าว “ในเวลานี้พวกเราเหมือนกับตั๊กแตนสองตัวที่กำลังไต่เชือก ข้าจะออกไปรักษาผู้คน และค้นหาวิธีการรักษาโรคก่อน ทุกสิ่งอาจจะยังแก้ไขได้ แต่ถ้าไม่ได้ผล เมื่อถึงเวลานั้น…..”

“ท่านต้องการอะไร?” หลี่เจิ้นฮุยถามอย่างเร่งรีบ

“คงมีเพียงหลบหนีไปพร้อมกับสัมภาระ ที่จะทำให้มีโอกาสรอดขึ้นมาบ้าง” หมอหลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แน่นหนัก

หลี่เจิ้นฮุยได้ฟังแผนการก็คิดอยู่นาน แล้วในที่สุดก็ผงกหัว “ข้าจะไปเตรียมเงินให้พวกท่านเอาไว้ใช้หลบหนี”

หมอหลวงก็ได้ผงกหัวและพากันออกจากห้อง เมื่อเขาออกไปก็ยังไม่ได้ออกไปพบกับผู้คนก่อน แต่กลับไปพบกับ สวีเฉินจู๋ก่อน

“มีอะไรเหรอขอรับท่านหมอหลวงถึงได้มาหาข้าเฉินจู๋?” สวีเฉินจู๋ก็ได้กล่าวด้วยท่าทีที่สุภาพเช่นเคย และไม่ได้ประจบประแจงเพราะตัวตนของเขา

“ข้าได้ยินมาว่าท่านหมอสวี่เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์อย่างมาก ข้าจึงได้มาเชิญท่านออกไปตรวจอาการด้วยกัน” หมอหลวงได้พูดอย่างกันเองและสุภาพมาก ซึ่งทำให้ผู้คนยากที่จะปฏิเสธ

สวีเฉินจู๋ก็ไม่ได้ตอบตกลงทันที เขามองไปที่เหล่าหมอที่รออยู่ที่นี่นานแล้วกล่าว “ข้าเกรงว่าลำพังกำลังของข้าและท่านคงไม่อาจทำอะไรได้ในระยะเวลาสั้นๆแน่ พวกเราควรที่จะออกไปร่วมงานกันทั้งหมด”

“ใช่แล้ว, พวกเรายินดีที่จะไปร่วมกับท่านหมอหลวง” เมื่อถูกกล่าวถึง เหล่าหมอเอาแต่ใจเหล่านั้นก็ได้รีบพากันมายืนด้านหน้าและกล่าว

แต่หมอหลวงก็ไม่ได้หันไปมองที่พวกเขา กลับกันเขากล่าวกับสวีเฉินจู๋แทน “ก็ได้ท่านหมอสวี่”

สวี่เฉินจู๋ก็ผงกหัวแล้วออกไปพร้อมกับท่านหมอจาง แล้วตามไปด้วยหมอคนอื่นๆ

อันอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลินซีเหยียน ที่มองดูเหตุการณ์นี้อยู่ก็พูดออกมาอย่างเป็นกังวล “พระชายา คิดว่าพวกเขาหาทางแก้พิษได้ไหม?”

หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างเปิดเผย “อันอี้ ข้าจะเรียกตัวเองว่าเป็นหมอผีได้อย่างไร หากว่าเจ้ายานี่มันหาทางแก้ได้ง่ายๆน่ะ”

อันอี้ก็ผงกหัว เขาเชื่อมั่นในพระชายา

ด้วยความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของเหล่าหมอตลอดทั้งบ่าย พวกเขาได้พยายามรักษาอาการผื่นแดงกันจนพระอาทิตย์ตกร่วมกัน

“ท่านหมอหลวงได้อะไรบ้างไหม?” สวี่เฉินจู๋ถาม

หมอหลวงในเวลานี้ราวกับว่าเขาอายุ 10 ขวบ “ข้าไม่เคยเห็นผื่นแดงที่แปลกประหลาดมากเช่นนี้มาก่อนเลย ข้าหาหนทางไม่พบเลย”

“พวกเราจะทำกันอย่างไรดี? ผู้คนในเมืองชิงโจวก็ได้เริ่มมารวมกันแล้ว” สวี่เฉินจู๋ก็ได้มองไปที่หมอหลวงด้วยสายตาที่เป็นห่วง “ความโกรธของผู้คนไม่ใช่ที่ท่านหมอหลวงจะต้องแบกรับได้

สวี่เฉินจู๋กล่าวโดยที่ไม่รู้อะไร แต่เขาก็ไม่อยากให้หมอหลวงต้องแบกรับภาระเช่นนี้ “มีเพียงใช้เหตุผลกับผู้คนเท่านั้น ข้าหวังว่าพวกเขาจะรอกันได้

ในตอนพระอาทิตย์ตกดิน มีผู้คนมากมายมายืนรอยอยู่ที่ด้านหน้าที่ว่าการเมืองชิงโจว พวกเขาล้วนแต่ขุ่นเคือง “หมอหลวงรีบออกมาอธิบายให้พวกเราฟังเดี๋ยวนี้”

“ท่านหมอหลวงทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว พวกเจ้าช่วยให้เวลาเขาอีกหน่อยจะได้ไหม?” สวี่เฉินจู๋ยืนอยู่ด้านหน้าที่ว่าการเมืองแล้วกล่าวออกมา

“อย่ามาขวางทางน่า เจ้าหมอหลวงไร้ความสามารถไม่สามารถรักษาโรคของพวกเรา แล้วตอนนี้ก็ไม่มีหน้าออกมาพบกับพวกข้าอีก แล้วจะให้พวกข้าเชื่อใจเขาได้อย่างไร?” ผู้คนนั้นต่างก็ตั้งมั่นที่จะไปพบกับหมอหลวง

ไม่ว่าสวี่เฉินจู๋จะพยายามอย่างมากเพียงใด ร่างกายที่บอบบางของเขาก็ไม่อาจต้านทานความโกรธของผู้คนได้

แล้วในขณะที่ผู้คนได้บุกเข้าไปในที่ว่าการเมืองนั้นเอง ก็พบคนหนุ่มที่มีใบหน้าคงแก่เรียนสวมชุดสีฟ้าขาวปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา

“เจ้าเป็นใครกัน?”

ท่ามกลางเสียงของผู้คนที่เกรี้ยวกราด แต่นักปราชญ์ในชุดสีฟ้านั้นหาได้สนใจไม่ เขาได้สะบัดพัดในมือแล้วกล่าวด้วยเสียงที่น่าเกรงขาม “ข้าคือหมอผี”

“อย่างเจ้าน่ะเหรอหมอผี? เป็นแค่เด็กไร้หนวดแท้ๆ?” ชายคนหนึ่งที่กล่าวด้วยวาจาที่ดูถูก

“นี่คือท่าทีของพวกเจ้าอย่างงั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนคิ้วขมวดแล้วกล่าว “ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าองค์ชายเย่ ข้าหมอผีคนนี้คงไม่มารักษาพวกเจ้าหรอก”

“เจ้าสามารถรักษาพวกเราได้จริงๆเหรอ?” มีคนถามขึ้นมา

หลินซีเหยียนก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างประชดประชัน “โรคเช่นนี้น่ะ หมอผีอย่างข้าไม่ต้องลงมือเองด้วยซ้ำ”

หลังจากที่กล่าวจบ หลินซีเหยียนก็ได้สะบัดแขนเสื้อของนาง แล้วก็มีม้วนคัมภีร์เส้นไหมทองคำปรากฏในมือของนาง หลินซีเหยียนก็ได้โยนม้วนคัมภีร์นั้นให้สวี่เฉินจู๋ “ลองครี่อ่านดู”

ถึงแม้ว่าสวี่เฉินจู๋จะยังสงสัย แต่เขาก็ยังทำตาม

จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้แกะม้วนคัมภีร์ออกมาอ่าน แล้วจากนั้นก็พูดชื่อของสมุนไพรออกมา แล้วสวี่เฉินจู๋ก็ได้ตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วจากนั้นเขาก็ได้ก้มหัวให้หลินซีเหยียนอย่างเคารพ “ความสามารถด้านการแพทย์ของท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

“จำไว้ว่ายาตัวนี้สามารถเตรียมได้อย่างง่ายดาย!” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

หลังจากที่สวี่เฉินจู๋ได้จากไป หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ผู้คนที่เชื่อในตัวเขาแล้วกล่าวอย่างเป็นนัยๆ “ตัวเรานี้เป็นหนี้บุญคุณขององค์ชายเย่ เขาไม่ต้องการให้ข้ามาช่วยเหลือเขา แต่เขาให้ข้ามาช่วยเหลือพวกเจ้าก่อน โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะรอดหรือไม่?”

ปราศจากการตอบสนองจากผู้คน หลินซีเหยียนก็ได้จากไปอย่างไร้ร่องรอย

วันต่อมา, ผู้คนในเมื่อชิงโจวต่างก็หายจากโรคระบาด และผื่นสีแดงก็ได้หายไป ส่วนเมืองชิงโจวยังคงกลายเป็นซากอยู่เพราะเหตุการณ์กบฏที่เกิดก่อนหน้า แต่ทุกสิ่งจะฟื้นคืนได้โดยอาศัยเวลา

เจียงหวายเย่ก็ได้ถูกพาตัวกลับไปยังเมืองหลวง ซึ่งในขณะที่เขากำลังจะออกจากเมืองชิงโจว ผู้คนในเมืองชิงโจวก็ได้พากันมาพบกับเขา “พวกเราจะไม่ลืมบุญคุณขององค์ชายเย่”

หลินซีเหยียนและเจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของผู้คนแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมา “ในเวลานี้ฮ่องเต้เก็บเกี่ยวอะไรใส่ตะกร้าไม่ได้เลย เจ้ารู้สึกพอใจบ้างไหมเจียงหวายเย่?”

เจียงหวายเย่นั้นยังคงหมดสติอยู่ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ได้ตอบอะไรหลินซีเหยียน

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ที่สีหน้าซีดเซียว แล้วเริ่มคิดถึงวิธีการที่จะเข้าไปเอายาในพระราชวังหลวง มันเป็นเพราะว่าทุกคนรู้ว่าเจียงหวายเย่นั้นรักษาไม่ได้แล้ว การเดินทางกลับเมืองหลวงนั้นจึงเรียกได้ว่าปลอดภัยมาก

หลังจากที่ผ่านชายหาดผีเสื้อนี้ไป พวกเขาก็จะเดินทางถึงเมืองหลวง ซึ่งในขณะที่ถึงชายหาดผีเสื้อนั้นหลินซีเหยียนก็ได้เปิดผ้าม่านออกมาเพื่อมองดูทิวทัศน์ระหว่างทาง จากตำนานได้กล่าวไว้ว่าจะมีผีเสื้อสีม่วงตัวหนึ่งอยู่ในหาดผีเสื้อแห่งนี้ ซึ่งจะปล่อยแสงสีขาวออกมาในยามค่ำคืนและจะกลายร่างเป็นนางฟ้าได้ จึงได้มีชื่อเสียงมากในประเทศนี้ และมีคนผู้คนมากมายที่มายังสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลนั้น

หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างเสียใจ นางไม่รู้ว่าจะมีนางฟ้าอยู่ที่นี่จริงๆไหม? เพราะว่ามีผีเสื้ออยู่ที่นี่เต็มไปหมด

ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังมองดูรอบๆอยู่นั้น ก็มีเสียงที่ดุดันดังเข้ามาในหูของเธอ “เสี่ยวอันจื่อเตรียมตัวให้พร้อม องค์ชายจะเข้าพักที่นี่คืนนี้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด