โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 295

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 295 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.295 – เทคนิคลับเหิงหลง

 

“อักขระพวกนี้มันเขียนว่าอะไรกัน ดูซับซ้อนจัง” บางอักษรโจวฮ่าวก็พอรู้ แต่มันสลักไว้ยาวเหยียด แค่มองก็ชวนให้เวียนหัว ยากจะแปล แต่เขาทราบว่าฉินเฟิงมีความรู้เกี่ยวกับภาษาวรยุทธโบราณไม่เลว ฉะนั้นจะคิดเองทำไม ถามฉินเฟิงไปเลยไม่ดีกว่าหรือ?

 

“มันเขียนว่า : เลือดมังกรช่วยเสริมสร้างร่างกาย ขณะเดียวกันก็มีไว้เพื่อทดสอบความสามารถของรุ่นเยาว์ที่เข้ามาเพื่อรับมรดก ว่าเพียบพร้อมเพียงใด”

 

ฉินเฟิงเอี้ยวตัว ชี้ไปทางเบื้องหลัง “สวนก่อนหน้านี้เองก็ปลูกดอกไม้ที่ชวนให้เกิดความละโมภเอาไว้ ดอกบัวพิสุทธิ์ที่ผ่านมา คือด่านทดสอบจิตใจ”

 

“แต่ด่านทั้งสองที่ว่ามา มันเพิ่งจะแค่เริ่มต้น” ฉินเฟิงสรุปให้ฟัง

 

“นั่นถือเป็นบททดสอบหรอ? ฉันว่ามันเหมือนกับการมอบผลประโยชน์ให้ซะมากกว่า!” โจวฮ่าวประหลาดใจ ไม่ว่าจะเป็นเลือดมังกรหรือเมล็ดบัวพิสุทธิ์ ล้วนเป็นสมบัติทั้งนั้น

 

“สำหรับพวกเรามันอาจจะเป็นของดี แต่สำหรับเทพสงคราม บางทีของพวกนี้อาจไม่นับว่าเป็นสิ่งใด” ฉินเฟิงกล่าว

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ … ” โจวฮ่าวพยักหน้าว่าเข้าใจ

 

ฉินเฟิงเอ่ยเสริมอีกครั้ง “เข้าไปเถอะ นายจะได้เรียนรู้กระบวนท่าวรยุทธซักที”

 

ดวงตาของโจวฮ่าวทอประกายขึ้นทันใด “กระบวนท่าวรยุทธอะไร?”

 

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ “กระบวนท่าวรยทุธเลเวล A เทคนิคลับเหิงหลง”

 

“ว่าไงนะ!?” โจวฮ่าวอ้าปากค้าง

 

กระบวนท่าวรยุทธเลเวล A ถือเป็นความใฝ่ฝันของผู้ใช้วรยุทธโบราณ

 

หนึ่งในเทคนิคคู่ขนาน* สำหรับฝึกฝนร่างกายที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ‘เหิงหลง’ มีต้นกำเนิดมาจากสุสานเทพสงคราม

 

*(เทคนิคคู่ขนาน ตัวอย่างเช่นฝึกแบบเส้าหลินในช่วงต้นๆ)

 

มันคือเทคนิคลับที่กลายเป็นที่นิยมในยุคต่อมา ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย

 

อย่างไรก็ตาม จวบจนกระทั่งในปีที่ฉินเฟิงจบชีวิตลง เทคนิคคู่ขนานนี้ ก็ยังไม่ถูกเผยโฉมออกมาทั้งหมด เนื่องจากไม่มีใครสามารถผ่านเงื่อนไขของมันได้

 

กล่าวกันว่ากระบวนท่าวรยุทธเลเวล A เป็นวรยุทธอันเลิศเลอ เป็นวรยุทธที่สามารถใช้ต่อกรกับศัตรูในเลเวล A ได้

 

ยกตัวอย่างเช่น ทักษะกำลังภายในน่องวายุที่ฉินเฟิงมอบให้กับโจวฮ่าว ระดับที่มันสามารถต่อกรและก้าวไปสูงสุดคือเลเวล B

 

ในขณะที่เทคนิคลับกลืนดารา สามารถฝึกฝนไปได้ถึงเลเวล S แต่ตรงส่วนนี้เป็นเพียงการคาดเดาของผู้คนเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลุยเมิ่งผู้ครอบครองมันในชีวิตก่อนหน้า สามารถยกระดับได้อย่างต่อเนื่อง จนเกือบจะตัดผ่านเข้าสู่เลเวล S อยู่รอมร่อแล้ว

 

“มาเถอะ ไปสำรวจข้างในกัน” โจวฮ่าวแทบอดใจรอไม่ไหว

 

ฉินเฟิงพยักหน้า เดินตามโจวฮ่าวเลาะกำแพงไป จนมาถึงส่วนหลังของสถานที่

 

ค้นพบว่าที่นี่คือห้องศิลาขนาดใหญ่

 

เบื้องหน้าห้องศิลา มีประตูอยู่ทั้งสิ้นหกบาน ประตูแรกอยู่ทางซ้ายสุด สลักไว้ด้วยลวดลายยากพรรณนา แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนภาพของกระบวนท่าวรยุทธ

 

ท่วงท่าบนแผนภาพค่อนข้างแปลกตา คาดว่าน่าจะเป็นท่าสำหรับใช้ฝึกฝนกำลังภายใน

 

“เงื่อนไขของมันคือ ต้องการกำลังภายในรูปแบบหมอก ข้อนี้พวกเราทุกคนสามารถฝึกได้ ประตูที่ 2 เองก็คงจะเหมือนกัน การทดสอบพวกนี้ เหมือนจะไม่ยากอย่างที่คิด …” โจวฮ่าวกล่าว

 

“อืม .. ฉันแนะนำว่าถ้านายอยากเปิดประตูที่สอง นายต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนรู้ขั้นที่สองซะก่อน อย่างน้อยต้องฝึกขั้นแรกจนเข้าใจถ่องแท้ จำไว้ให้ดี การฝึกเทคนิคคู่ขนานน่ะ มันจำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่ง”

 

“งั้นมัวรออะไรกันอยู่ เริ่มกันได้แล้ว!” โจวฮ่าวแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะฝึกฝน

 

ฉินเฟิงเองก็เริ่มฝึกบ้าง อันที่จริงในชีวิตก่อน เขาเคยได้สัมผัสกับเทคนิคลับเหิงหลงมาก่อนแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เทคนิคลับที่ว่า มันเป็นในส่วนของเลเวล F , E , D เท่านั้น เหนือขึ้นไปอย่างเลเวล C เป็นอะไรที่หาซื้อได้ยากมาก ในขณะที่เลเวล B ไม่เคยมีใครได้รับมันมาก่อนเลย ฉะนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเทคนิคลับเหิงหลง ขั้นสุดท้ายอย่างเลเวล A

 

ด้วยเหตุนี้เองในอนาคต บางคนถึงขั้นให้การสนับสนุนแก่อัจฉริยะรุ่นเยาว์เป็นพิเศษ แล้วส่งพวกเขามายังสุสานเทพสงคราม เพื่อคว้าเทคนิคเหิงหลง ขั้นสูงมาครอบครองโดยเฉพาะ

 

แต่ในตอนนี้ เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ฉินเฟิงมองการณ์ไกล คิดจะไขว่คว้าเทคนิคทั้งหมดมาด้วยตัวเอง จึงเร่งฝึกฝนอย่างรวดเร็ว

 

แค่สิบนาที ฉินเฟิงก็สามารถเรียนรู้เทคนิคลับเหิงหลงขั้นแรก ซึ่งเป็นในส่วนของเลเวล F ได้สำเร็จ ถึงจะบอกว่าเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วๆไป แต่ด้วยระยะเวลาเท่านี้ถือว่าเร็วมาก!

 

“ท่วงท่ามันประหลาดพิกล แต่หลอดเส้นลมปราณได้ถูกขยาย และเสริมแกร่งด้วยเลือดมังกรมาก่อนแล้ว ฉะนั้นการฝึกเทคนิคคู่ขนานนี้ ไม่น่าจะยากจนเกินไป” โจวฮ่าวยิ้มยิงฟัน ก่อนจะเริ่มทำสมาธิ ใช้สมองฝึกฝนเรียนรู้มัน

 

แต่เพียงไม่นาน อีกคนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นในห้องศิลา

 

–เป็นโหวฟาง!

 

ในฐานะบุคลที่สามที่มาถึงแท่นบูชาดอกบัวพิสุทธิ์ เขาจึงสามารถคว้าเมล็ดบัวกว่า 5 เม็ดมาในครอบครอง หลังจากรับประทานมันลงไปแล้ว เลยช่วยป้องกันอาการหลอนได้ส่วนหนึ่ง แม้ระดับความหลอนจะหนักกว่าโจวฮ่าว แต่เขาก็ได้สติในเวลาไม่นาน ใช้เวลาเดินอีกนิดๆหน่อยๆก็มาถึงที่นี่

 

เมื่อเห็นเทคนิคลับเหิงหลง เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ที่คือกระบวนท่าที่ถูกระบุว่าเป็นกระบวนท่าวรยุทธเลเวล A

 

ฉินเฟิงส่งเสียงหุ้มกำลังภายในแก่โจวฮ่าว “นายฝึกที่นี่ไปก่อน ฉันขอตัวไปฝึกขั้นสองต่อ”

 

โจวฮ่าวพยักหน้าให้ฉินเฟิง ฉินเฟิงลุกขึ้นแล้วเดินไปยังประตูสอง

 

ไม่จำเป็นต้องออกแรงใดๆ ฉินเฟิงสามารถผลักประตูศิลาได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว

 

โหวฟางที่เพิ่งมาถึง ก็พบว่าฉินเฟิงออกไปแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

 

“นั่นเขาฝึกขั้นแรกเสร็จแล้วหรอ?” โหวฟางหันไปถามโจวฮ่าว

 

เนื่องจากฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกัน อีกทั้งโจวฮ่าวและฉินเฟิงยังเป็นสหาย เป็นธรรมดาที่เขาจะตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจ “ถูกต้อง”

 

“เป็นเขาที่นำหน้าคนอื่นอีกแล้ว! บลัดฮันเตอร์เป็นสัตว์ประหลาดปลอมแปลงมารึเปล่าเนี่ย!” โหวฟางอดไม่ได้ที่จะกล่าว

 

“ถ้าเรื่องนั้น บอกตามตรงฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” โจวฮ่าวตอบ อันที่จริงเขารู้ดีที่สุด ว่าฉินเฟิงน่ะสัตว์ประหลาดของแท้ แต่ไม่คิดบอกโหวฟางไป

 

โจวฮ่าวแสร้งทำเป็นเอ่ยอย่างลึกล้ำ “บางคนเป็นลูกรักของพระเจ้า ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาอย่างพวกเราจะเทียบได้หรอก”

 

โหวฟางกลายเป็นบื้อใบ้

 

ต้องรู้นะว่าโหวฟางได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก เขาสามารถก้าวขึ้นสู่เลเวล F4 ได้ตอนอายุ 18 ปี เป็นคนที่ถูกคาดหวังเอาไว้สูงมาก เช่นเดียวกับเกาหลิงฮานแห่งสถาบันระดับสูงเฉิงเป่ย

 

แต่จู่ๆดันบังเอิญพบกับตัวตนสยองเกล้า –พอได้มาเจอกับสัตว์ประหลาดที่แท้จริง โหวฟางรู้สึกว่าตนเป็นเพียงกบในกะลา

 

“ช่างเหอะ ฉันไม่อยากรู้แล้ว ขอตัวไปตั้งใจฝึกดีกว่า”

 

โหวฟางนั่งลง และเริ่มฝึกฝนแผนภาพขั้นแรก

 

20 นาทีต่อมา ก็มีอีก 2 คนเข้ามาในห้อง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ฉินเฟิงออกจากประตูศิลาที่สอง และเดินไปยังประตูศิลาที่สาม เช่นเคย! เขาสามารถผลักเปิดมันได้ด้วยมือเดียว

 

บังเกิดความตกตะลึงในแววตาของทั้งสี่คนที่กำลังนั่งอยู่

 

หลังจากฉินเฟิงหายเข้าไปในประตูที่สาม ผู้คนก็เริ่มสนทนากัน

 

“ฉันรู้สึกว่าตัวเองเกือบจะบรรลุเทคนิคเหิงหลงในขั้นแรกแล้ว บางทีอาจจะทดลองไปฝึกขั้นที่สองดู อย่างน้อยก็ขอยลโฉมวิธีการฝึกมาก่อนก็ยังดี” รุ่นเยาว์คนหนึ่งเอ่ย ผุดลุกขึ้น และเดินไปยังประตูศิลาบานที่สอง ใช้ 2 มือนาบลงบนประตู และพยายามผลักมัน

 

ทว่าประตูศิลากลับนิ่งสนิท ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย!

 

“ย๊ากกกก” รุ่นเยาว์รีดเร้นพละกำลังทั้งหมดที่ตนมี แต่ก็ไม่อาจทำให้มันขยับเขยื้อน

 

ในตอนนั้นเอง จู่ๆแสงสีเงินพลันกระพริบไหว วัยรุ่นที่พยายามเปิดประตูหายวับไป ก่อนจะโผล่ออกมาอีกครั้งในตำแหน่งที่ห่างออกไปจากประตูศิลากว่า 10 เมตร ทั้งยังอยู่ในสภาพเดิม คือท่ากำลังผลักดันไปข้างหน้า ผลคือล้มกลิ้งเป็นลูกสุนัขทันใด

 

ท่าทางของเขาดูตลกมาก มีเพียงโจวฮ่าวเท่านั้นที่ยิ้ม ในขณะที่คนอื่นๆขำไม่ออก

 

นั่นเพราะทุกคนต่างก็เห็นว่าฉินเฟิงสามารถผลักประตูศิลาด้วยมือเพียงข้างเดียว

 

“ไหนขอฉันลองบ้าง!”

 

วัยรุ่นอีกคนยืนขึ้น พุ่งเข้าหาประตู ระเบิดพลังสุดแรง แต่หลังจากที่สัมผัสกับประตูศิลา ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นซีดเซียว ไม่อาจฝืนต่อ ต้องถอยออกมา

 

“สหายโหว สนใจจะลองดูหน่อยไหม?” วัยรุ่นหันไปถามโหวฟาง

 

โหวฟางแน่นอนไม่กล้าลอง!

 

“ไม่ล่ะ ฉันขอฝึกต่ออีกสักหน่อยก่อนดีกว่า”

 

ครึ่งชั่วโมงผ่าน จำนวนคนภายในห้องศิลาก็เพิ่มขึ้นจนถึง 10 คน

 

ครืน …

 

ฉินเฟิงเดินออกมาจากประตูศิลาสาม เวลานี้ แม้สภาพเขาจะดูน่าอนาถ แต่ก็ยังเดินเข้าสู้ประตูสี่อย่างสงบ คราวนี้ใช้สองมือออกแรงดัน

 

ครืนนนน

 

ประตูศิลาเปิดออกอีกครั้ง!

 

 

สามชั่วโมงต่อมา ฉินเฟิงก็ออกจากประตูสี่ และเดินไปผลักเปิดประตูห้า

 

ปัจจุบัน ภายในห้องศิลา รุ่นเยาว์กว่า 20 คนต่างเฝ้ามองเขาอย่างเหม่อลอย

 

 

ห้าชั่วโมงต่อมา จำนวนคนในห้องศิลาเพิ่มมาเป็น 30 คน บางคนที่ล่าช้าจากน้ำตกหัวมังกรก็มาถึงแล้ว อิงตามเวลาเปิดสุสาน นี่มันก็ผ่านไปกว่า 20 ชั่วโมงแล้ว บอกตามตรงว่าทุกคนต่างเหนื่อยล้า! อ่อนเพลียตาแทบจะปิด

 

ครืนนน

 

และแล้วประตูที่ห้าก็เปิดออก ฉินเฟิงก้าวตรงไปยังประตูศิลาบานที่หก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด