Summoning the Holy Sword 84

Now you are reading Summoning the Holy Sword Chapter 84 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

84 – ความช่วยเหลือที่เข้ามา

 

ทุกคนรู้สึกเหนื่อยเจียนตายหลังจากที่ผ่านป่าเข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม โรดส์ไม่อนุญาตให้หยุดพัก เขาแบกร่างนักบวชที่ไม่สามารถเดินได้ตลอดทาง จนกระทั่งเขาพบน้ำพุ นั่นเป็นที่ที่เขาปล่อยให้ทุกคนได้พักหายใจ

 

“ฮ้าาาา….!!”

 

ในที่สุด! พวกเขาก็ได้พัก หลายคนล้มตัวลงนอนไปที่พื้นและหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง วอร์คเกอร์ผิวปากเสียงต่ำ ขณะที่เขานั่งบนก้อนหินเพื่อพักผ่อน

 

เซเร็คและแอนเป็นเพียง 2 คนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความเหนื่อยล้า ทั้งคู่มองไปรอบๆอย่างเงียบๆและมองไปยังคนๆหนึ่งที่กำลังวิ่งไปมาเพื่อแบ่งอาหารให้แต่ละคน

 

“คุณต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าพลังของคุณจะกลับมา?”

 

โรดส์ถามขณะที่เขานั่งอยู่บนก้อนหิน นี่ไม่ใช่เกม ค่า HP และ SP จะไม่เพิ่มเมื่อนั่งพัก กินขนมปังหรือน้ำ พลังวิญญาณเป็นสิ่งที่มาจากจิตวิญญาณ บางทีมันอาจถูกเรียกคล้ายกับพลังงาน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียวคือถ้าใครก็ตามเกิดพลังวิญญาณหมดลง นั่นหมายความว่าเขาคนนั้นจะต้องพิการหรืออาจถึงตายได้

 

ในเกม เมื่อค่า SP ต่ำลง ค่าสถานะตัวละครก็จะลดลงครึ่งหนึ่งและถ้าพวกเขาไม่หาสถานที่พักฟื้นค่า SP แล้วล่ะก็พวกเขาจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้

 

ในโลกใบนี้ โรดส์พบว่ามันใช้กฎข้อเดียวกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้ใช้เวทมนตร์อย่างมาร์ลีนและไลซ์ไม่อยากใช้พลังวิญญาณออกมา พวกเธอรู้ดีว่าเมื่อพวกเธอไม่สามารถควบคุมปริมาณพลังวิญญาณไว้ล่ะก็  พวกเธออาจจะตายได้

 

“พวก-พวกเราต้องการพักอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง….”

 

โรดส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย นั่นมันช้ามาก! ต้องรู้ก่อนว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีที่ไหนปลอดภัย เขาไม่ได้พูดออกไปเพราะเขาต้องการรักษาขวัญกำลังใจของคนในกลุ่มเอาไว้ แต่เขารู้ดีว่าดวงวิญญาณร้ายในป่านี้แตกต่างไปจากป่าก่อนหน้านี้ พวกมันจะซ่อนตัสอยู่ตามเงามืดและพร้อมโจมตีทุกเวลา ตัวตนของวิญญาณเหล่านี้ยากที่จะรับรู้และกลุ่มของเขายังต้องการความช่วยเหลือของเหล่านักบวช โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงศักดิ์สิทธิ์ของไลซ์ที่มีความสามารถในการล่าพวกมัน แต่ว่าในขณะนี้ไลซ์กำลังนวดไหล่ของมาร์ลีนที่กำลังหลับตาอยู่ โรดส์รู้ว่าเธอไม่สามารถใช้เวทย์รักษาได้ในเวลานี้

 

‘ช้ามากเกินไป…คนพวกนั้นจะเอาตัวรอดได้ไหม?’

 

เซเร็คเห็นโรดส์ขมวดคิ้วกับตัวเอง

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

โรดส์ส่ายศีรษะและมองไปยังนักดาบและยิ้มไปให้เขา

 

“ผมแค่กำลังกังวลเล็กน้อยว่าพวกเราเสียเวลามากเกินไป”

 

โรดส์ส่ายศีรษะต่อ

 

“เสียเวลา?”

 

เมื่อได้ยินเขาพูด เซเร็คอดกลั้นขำไม่ได้ จากนั้นเขาส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้และมองไปที่เด็กหนุ่มด้วยความเงียบ เขาไม่คิดแบบเดียวกับสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมา

 

ในความคิดของเขา สิ่งที่โรดส์ทำนั้นสมบูรณ์แบบมาก นับตั้งแต่หลังจากที่เข้ามายังสันเขาแห่งความเงียบจนถึงตอนนี้ กลุ่มของเขาใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง แม้ว่าการต่อสู้ที่ทุ่งหญ้าจะใช้พลังของเขาเป็นหลัก แต่กลับไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายเลยแม้แต่น้อย…มีเพียงคนที่เหนื่อย บางทีอาจไม่มีใครในเมืองดีพสโตนที่มีทักษะสั่งการได้ดีเท่ากับโรดส์

 

เมื่อเขาเห็นโรดส์ขมวดคิ้ว เขาคิดว่าเด็กหนุ่มอาจจะกำลังกังวลกับปัญหาที่ใหญ่กว่านี้ แต่ที่จริงแล้วเขากลับเสียใจที่การทำงานของกลุ่มช้าเกินไป?

 

ถ้าคำพูดพวกนี้กระจายออกไป หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมากมายคงจะอายไม่กล้าสู้หน้าตัวเองเลยล่ะ….

 

“ข้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำถือว่าค่อนข้างดีเลยนะ”

 

เซเร็คไม่รู้ว่าโรด์กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงยิ้มและพยายามปลอบใจโรดส์ด้วยการเข้าไปตบไหล่

 

“แม้ข้าจะมาตัวคนเดียว โดยปกติมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะมาถึงที่นี่ได้โดยใช้เวลาเพียงแค่นี้ ความจริงเจ้าพาพวกเราทั้งหมดมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัย นั่นพิสูจน์แล้วว่าเจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งเพียงไหน อย่างน้อยในเมืองดีพสโตน ข้าไม่เคยเห็นใครน่าเชื่อถือเช่นเจ้า แต่นั่นทำให้ข้าอยากรู้ว่า…”

 

เซเร็คหรี่ตาลงและตรวจสอบเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา

 

“เมื่อไหร่กันที่เจ้ารู้ว่าลำแสงศักดิ์สิทธิ์ของนักบวชทำให้พวกอันเดดอ่อนแอกัน? มันคงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเพิ่งรู้ใช่หรือไม่?”

 

“ตอนที่ผมอยู่ที่ที่ราบตะวันออก ผมเคยต่อสู้กับอันเดดมานับไม่ถ้วน สำหรับคุณอาจจะเพิ่งรู้ แต่ในสถานการณ์พวกนั้น ผู้คนไม่มีทางเลือกได้แต่พยายามหาทางเอาชีวิตรอด”

 

โรดส์สร้างเรื่องโกหกโดยไม่กระพริบตา ทุกคำพูดประกอบไปด้วยทฤษฎี ที่ราบตะวันออกเป็นชายแดนที่เชื่อมต่อกับประเทศแห่งความมืด มันน่าจะเป็นสถานที่ที่เปลี่ยวที่สุดในอาณาจักรมันน์ ข้อพิพาทกับประเทศแห่งความมืดไม่เคยจบลง เนื่องด้วยเงื่อนไขในการใช้ชีวิตและการเอาตัวรอดนั้นทำให้สถานที่แห่งนั้นให้กำเนิดคลาสพิเศษที่มีชื่อว่า ‘นักล่าวิญญาณ’

 

นักรบที่โตมาจากที่ราบตะวันออกและสามารถบอกได้ว่าพวกเขามีประสบการณ์และความสามารถในการจัดการกับอันเดด เรื่องราวเหล่านี้ถูกบอกเล่าต่อกันมา เมื่อพวกเขาได้จับดาบครั้งแรก สิ่งที่พวกเขาฆ่าคืออันเดด การต่อสู้ระหว่างพวกเขากินเวลาหลายร้อยปี แต่ทั้งสองฝั่งไม่หยุดยั้ง แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเงียบลง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นยังคงเป็นเหมือนเดิม

 

เซเร็คพยักหน้า เขาไม่สงสัยในคำอธิบายของโรดส์เพราะเขารู้ประวัติของโรดส์ กลับกัน เขาสงสัยว่าทำไมคนแบบเขาถึงออกมาจากสถานที่เปลี่ยนแบบนั้น ทุกคนในอาณาจักรมันน์รู้ดีว่าที่ราบตะวันออกเป็นสถานที่ลึกลับและเปล่าเปลี่ยว พวกเขาไม่ทำการค้าขายกับเมืองอื่นๆ แบะยังเป็นเรื่องยากที่คนนอกจะเข้าไปในดินแดนของพวกเขา พวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนของตนและจัดการเรื่องของพวกเขา ไม่สนใจโลกภายนอก

 

บางครั้งเซเร็คสงสัยว่าโรดส์เป็นคนประเภทไหน แต่เมื่อมองด้วยตาตัวเอง เขาคิดว่าโรดส์และคนจากที่ราบตะวันออกในจินตนาการของเขาแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

 

“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่านักรบที่กล้าหาญของที่ราบตะวันออกได้ต่อสู้กับอันเดดทั้งวันทั้งคืนตัวคนเดียว…ตอนนี้ดูเหมือนว่าข่าวลือนั้นจะเป็นเรื่องจริงสินะ”

 

เซเร็คฉลาดและเลือกที่จะไม่พูดหัวข้อนี้อีก เขายักไหล่และมองไปรอบๆอีกครั้ง

 

“ที่นี่ไม่ปลอดภัย”

 

เห็นได้ชัดเจนว่านักดาบตรงหน้าสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่ในป่า

 

“ผมรู้ แต่พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้”

 

โรดส์ยกคิ้วขึ้น จริงๆแล้วเขาไม่อยากเปิดเผยพลังของเขามากนัก เนื่องจากมันไม่ใช่เรื่องดี แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก ความแข็งแกร่งโดยรวมของกลุ่มของเขานั้นต่ำมาก

 

การใช้ธาตุศักดิ์สิทธิ์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดการกับสถานการณ์นี้ งั้น….

 

โรดส์ยืนขึ้น

 

“เจ้ากำลังทำอะไร?”

 

“ข้าจะไปหาเพื่อน ข้าจะกลับมาเร็วๆนี้”

 

เซเร็คไม่ได้ถามต่อ เขารู้ดีว่าโรดส์ไม่อยากอธิบายให้ยืดยาว ในฐานะนักดาบ เขาชื่นชมทัศนคติของโรดส์

 

วอร์คเกอร์ มาร์ลีนและที่เหลือคิดจะลุกขึ้นและตามเขาไป แต่โรดส์หยุดพวกเขาอย่างรวดเร็ว และทำสัญลักษณ์มือให้เขานั่งลง จากนั้นเขาบอกว่าเขามีบางอย่างต้องทำและจะกลับมาเร็วๆนี้

 

หลังจากเห็นโรดส์ออกไป บางคนอดสงสัยไม่ได้ แต่พวกเขาต้องฟังคำสั่งและนั่งพัก หลังจากที่อยู่กับโรดส์มานาน พวกเขาเริ่มเชื่อใจเขาอย่างไม่มีเหตุผล นั่นทำให้พวกเขาฟังคำสั่งของโรดส์อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

 

โรดส์สังเกตรอบๆในป่าใกล้ๆ เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เขายืดแขนขวาออกมา

 

วงเวทย์อัญเชิญก่อตัวขึ้นที่ฝ่ามือของเขา การ์ดสีขาวลิยขึ้นช้าๆตรงหน้าเขา ทันใดนั้น การ์ดสีขาวก่อตัวเป็นดาบสีขาวลอยอยู่ในอากาศ

 

[ดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกเรียกออกมา ต้องการเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์หรือไม่?]

 

ต้องการ

 

โรดส์พยักหน้า จากนั้นดาบที่งดงามตรงหน้าเริ่มส่องประกายแสงออกมา แสงสีขาวถูกกระจายไปทุกทิศทางและเลือนหายไปในเวลาต่อมา แสงสีขาวก่อตัวเป็นเด็กสาวที่งดงามอีกครั้ง

 

“นายท่าน ข้าตอบรับการอัญเชิญของท่าน”

 

เด็กสาวคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าโรดส์ มือขวาของเธอถือดาบเสียบไว้ที่พื้นอย่างมั่นคง จากนั้นเธอมองไปยังดวงตาของโรดส์อย่างจริงจัง ดวงตาของเธอเป็นประกายใส และมีประกายสีทองสะท้อนออกมาอย่างมีเสน่ห์ ทำให้รู้สึกหลงไหลไม่น้อย

 

ตรงกันข้ามกับไลซ์ เด็กสาวคนนี้เป็นทูตสวรรค์สายเลือดบริสุทธิ์

 

“ยืนขึ้นเถอะ ไม่ต้องมีพิธีการอะไรหรอก”

 

เขาไม่คุ้นเคยที่เด็กสาวคุกเข่าตรงหน้าเขา แม้ว่าจะมีวิญญาณอัญเชิญเพศหญิงมากมายในหมู่วิญญาณอัญเชิญ วิญญาณอัญเชิญส่วนใหญ่จะเป็นวิญญาณธาตุน้ำและธาตุลมทั่วไป ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้เล่น

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเธอจะมาในร่างไหน แต่จริงๆพวกเธอก็ยังคงเป็นดวงวิญญาณ มันเป็นครั้งแรกที่โรดส์ได้เห็นวิญญาณอัญเชิญที่เปลี่ยนร่างจากดาบมาเป็นเด็กสาว เมื่อเขาคิดได้ดังนั้น เขาจึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้

 

“ในการต่อสู้ครั้งหน้า ผมจะขอความช่วยเหลือจากคุณหน่อย”

 

เนื่องจากเขาอัญเชิญเธอมา เขาจึงไม่ต้องถ่อมตัว

 

“คุณควรสัมผัสได้ถึงอันเดดรอบๆสินะ พวกนั้นแหละที่เป็นปัญหา คุณคิดว่าคุณตายได้ไหม?”

 

“ฉันไม่ตายค่ะ นายท่าน”

 

เมื่อได้ยินคำถามของโรดส์ เด็กสาวทูตสวรรค์ยิ้มและพยักหน้า

 

“ฉันเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่กลัวความตาย ตราบเท่าที่คุณสามารถรักษาพลังของคุณไว้ได้ ฉันจะยังคงอยู่ค่ะ”

 

“งั้นดีมาก”

 

โรดส์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

 

“ผมจะนำคุณออกไปด้วย จำไว้ จากนี้ไปคุณคือ…”

 

“…คุณมีชื่อไหม?”

 

โรดส์ครุ่นคิดซึ่งเขาไม่รู้ว่าเธอมีชื่อหรือไม่

 

“ฉันมีค่ะ นายท่าน”

 

เด็กสาวคำนับด้วยการนำมือขวามาไว้ที่อกของเธอ

 

“ฉันชื่อดาบศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาลที่ 10 เครื่องหมายแห่งดวงดาว ขณะนี้ฉันอยู่ในร่างมนุษย์ ท่านสามารถเรียกฉันว่า ซีเลีย”

 

“งั้นซีเลีย คุณจำไว้ว่าคุณต้องไม่เปิดเผยตัวตนของคุณต่อหน้าคนอื่นๆ ถ้าคุณมีคำถาม คุณแค่ถามผมเท่านั้น เข้าใจนะ?”

 

“ฉันเข้าใจค่ะ นายท่าน”

 

โรดส์พยักหน้าและหันไปรอบๆ จากนั้นเขามุ่งหน้ากลับไปที่น้ำพุ

 

เมื่อเขามาถึงน้ำพุ ทุกๆคนกำลังพักอยู่

 

“เฮ้ ไอ้หนุ่ม เจ้าไปไหนมารึ?”

 

ชายชราวอร์คเกอร์ถือเหยือกไวน์ไว้ที่เอวและถามออกมาอย่างสงสัย เมื่อเขาเห็นเด็กสาวที่อยู่ในชุดเกราะหนักด้านหลังโรดส์ เขาถึงกับตัวแข็งทื่อในทันที

 

“….คุณโรดส์?”

 

ไลซ์เองก็ประหลาดใจ เธอรีบยืนขึ้นทันทีและตรวจสอบเด็กสาวผู้มาใหม่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยความสงสัย ซึ่งคนอื่นๆในกลุ่มก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขาอดแปลกใจไม่ได้ ไม่เพียงแต่โรดส์ไปพาเด็กสาวมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เด็กสาวยังคงมีปีกคู่ใหญ่อยู่กลางแผ่นหลัง มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเธอเป็นทูตสวรรค์…..

 

มันเป็นความรู้ทั่วไปซึ่งทูตสวรรค์เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงในทวีปแห่งนี้ ส่วนใหญ่พวกเขาจะอยู่ในระดับสูง แม้แต่ทูตสวรรค์ระดับต่ำที่สุดยังถือเป็นตัวตนระดับสูงในบรรดาคนทั่วไป ในเมืองดีพสโตน แม้แต่เจ้าเมืองก็ไม่เคยเห็นทูตสวรรค์มาก่อน แต่ตอนนี้มันอะไรกัน? โรดส์เพิ่งออกไปเดินเล่นและกลับมาพร้อมกับทูตสวรรค์?

 

เธอเป็นใครกัน?

 

ในหัวของเซเร็คเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด