Summoning the Holy Sword 89

Now you are reading Summoning the Holy Sword Chapter 89 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

89 – ดาวตก

 

โรดส์ไม่คิดมาก่อนว่าเขาสูญเสียอะไรไปบ้าง หลังจากที่ถูกย้ายมาในโลกใบนี้ นอกจากช่องเก็บของและสกิลกระบวนท่าดาบ สิ่งที่เขาเหลืออยู่มีเพียงความทรงจำและเด็คการ์ดศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้รับเป็นของที่ระลึก

 

โรดส์ไม่สามารถใช้งานกระบวนท่าดาบได้เพราะเขาสูญเสียค่าสถานะที่จำเป็นในการใช้พวกมันไป อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าก็ยังดีเพราะเขารู้วิธีเก็บพวกมันคืนมา ซึ่งบางสกิลได้รับมาจากค่าชื่อเสียงที่ต้องเก็บสะสม บางสกิลได้มาจากพบโบราณสถานและบางสกิลจำเป็นต้องใช้เงื่อนไขเฉพาะก่อนที่เขาจะเรียนรู้พวกมันได้ แต่หลังจากผจญภัยมาเป็นเวลาหลายปีในเกม เขาได้ปักหมุดสถานที่และเงื่อนไขของสกิลกระบวนท่าดาบไว้แล้ว

 

ไม่ว่าสกิลจะเรียนรู้ได้ยากหรือง่าย โรดส์รู้ดีว่าส่วนที่ยากที่สุดคือช่วงเริ่มต้น และเนื่องจากตอนนี้เขามีโอกาาที่จะลดเวลามาเรียนรู้ เป็นธรรมดาที่เขาจะกระตือรือล้น ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำทั้งหมดเป็นงานหนักเพื่อให้ได้รับสกิลที่ต้องการและเขาต้องปลดล็อคมัน

 

แน่นอน สำหรับผู้เล่นเก่า โรดส์สามารถจดจำเงื่อนไขที่จำเป็นในการปลดล็อคสกิลพวกนั้นได้ โชคร้ายที่เขามีปัญหาใหญ่

 

เขาไม่สามารถตรวจสอบค่าสถานะของเขาได้

 

โรดส์ยังไม่ได้ปลดล็อคสายเลือดของเขา ดังนั้นค่าสถานะของเขาจึงขึ้นว่า ‘?’ ก่อนที่เขาจะถึงระดับ 10 เขาทำได้เพียงคาดเดาค่าสถานะของเขาอย่างยากลำบาก แต่หลังจากปลดล็อคต้นไม้พรสวรรค์ที่ 3 ค่าสถานะของเขาเพิ่มขึ้นตามระดับของเขาซึ่งเขาไม่รู้ นี่เป็นเหตุผลที่แต่ละเผ่าพันธ์ุมีการพัฒนาที่แตกต่างกัน ดังนั้นเขาต้องทิ้งทุกสิ่งให้โชคชะตาเป็นตัวค้นหากระบวนท่าดาบให้กับเขา

 

สกิลที่โรดส์ต้องการนั้นคือ ‘ระบำแห่งความมืด’ ตามชื่อของมัน มันเป็นกระบวนท่าดาบประเภทซ่อนตัว มันช่วยลดการคงอยู่ของผู้ใช้ได้อย่างมหาศาล ในขณะเดียวกันมันยังช่วยเพิ่มความเสียหายและโอกาสในการโจมตีคริติคอล

 

สำหรับคลาสนักดาบอัญเชิญที่เป็นลูกผสม โรดส์จึงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ซึ่งหน้ากับคลาสต่อสู้ระยะประชิดสายตรงอื่นๆ โดยเฉพาะถ้าคนเหล่านั้นมีระดับสูงกว่าเขา ดังนั้นระบำแห่งความมืดจึงเหมาะกับเขาอย่างมาก จุดอ่อนเดียวของสกิลนี้คือมันต้องการค่า Dex สูง สกิลนี้มีต้นกำเนิดมาจากเอลฟ์ที่ถูกทอดทิ้งโดยใช้เทคนิคชั่วร้าย ดังนั้นมันจึงเป็นมรดกตกทอดของเหล่าเอลฟ์ หากไม่มีร่างกายที่ผอมเพียว การเรียนรู้กระบวนท่าดาบนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝันลมๆแล้งๆ

 

แต่ทว่าน่าสงสารที่มันไม่ได้เป็นไปตามที่เขาหวัง

 

กระบวนท่าดาบที่โรดส์ได้รับไม่ใช่ ‘ระบำแห่งความมืด’ ที่เขามองหา แต่กลับเป็น ‘ดาวตก’

 

โรดส์มองไปยังสกิลใหม่ที่ขึ้นมา บอกตรงๆเขารู้สึกเศร้ามาก ซึ่งจริงๆแล้วชื่อกลุ่มทหารรับจ้างของเขามีชื่อว่า ‘สตาร์ไลท์(แสงดาว)’ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยากได้สกิลที่มีชื่อว่า ‘ดาว’ ไม่ว่าอย่างไร สกิลก็ยังคงเป็นสกิล

 

สำหรับสกิลกระบวนท่าดาบหายาก กระบวนท่าดาบดาวตกเอาชนะท่าดาบเงาจันทร์ได้ทั้งความแข็งแกร่งและความทรงคุณค่า เนื่องจากท่าดาบเงาจันทร์เป็นเพียงกระบวนท่าดาบพื้นฐาน

 

นอกจากนั้นแล้ว มีมากกว่าหนึ่งสิ่งที่โรดส์ไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่เขาเลื่อนระดับ เขาจะได้รับ 2 แต้มสกิลตลอด ก่อนหน้านี้ที่ซากปรักหักพัง ขณะที่เขาวุ่นวายอยู่กับการต่อสู้ เขาไม่ได้คิดถึงมันมากนัก แต่ตอนนี้เขายังคงไม่สามารถหาคำตอบได้ แม้ว่าจะนั่งคิดมาแล้วครึ่งวัน

 

ในเกม เขาเคยได้ยินบางคนที่ได้รับสายเลือดแบบสุ่มซึ่งเพิ่มค่าสถานะและแต้มสกิลเมื่อเลื่อนระดับ ดังนั้นทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้คือการสันนิษฐานว่าสายเลือดลึกลับของเขาจะเกี่ยวข้องกับ ‘สายเลือดแบบสุ่ม’ ที่ชายคนนั้นพูดถึง

 

เขาเปิดระแบบแจ้งเตือนขึ้นตรงหน้า

 

ปราศจากความลังเล โรดส์ใช้แต้มสกิล ระบบแจ้งเตือนที่คุ้นเคยปรากฎขึ้นตรงหน้าของเขาอีกครั้ง

 

[ใช้ 1 แต้มสกิล ‘กระบวนท่าดาบดาวตก’ ถูกปลดล็อค ระดับ E สกิลพิเศษ: หลักฐานแห่งความโกรธเกรี้ยว]

 

หลังจากที่ได้รับข้อมูล โรดส์รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลเข้ามาที่หน้าอกและแพร่กระจายไปทั่วร่าง จากนั้นระบบแจ้งเตือนดังขึ้นอีกครั้ง

 

[ความเกรี้ยวกราดของความยุติธรรม: การใช้ดาบในฐานะตัวแทนแห่งความตาย นำพาพลังวิญญาณทำให้ศัตรูดับดิ้นด้วยความโกรธของคุณ – พลังทำลายล้าง….]

 

โรดส์บีบมือแน่นด้วยความยินดี แววตาของเขาเผยให้เห็นความมั่นใจ

 

ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น

 

สำหรับแต้มสกิล 5 แต้มที่เหลือ โรดส์เลือกที่จะเก็บมันไว้ ทันใดนั้น เขาคิดบางอย่างได้ ถ้าทุกสิ่งราบรื่นแบบนี้ บางทีเขาอาจจะ….

 

แต่โรดส์ไม่มีเวลามากพอ เพราะมีปัญหาอยู่ตรงหน้าเขา

 

เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ทุกคนจะฟื้นตัว เหล่าทหารรับจ้างที่เต็มไปด้วยบาดแผลเพิ่งได้รับการรักษาและเหล่านักบวชที่เหนื่อยล้าอย่างมาก ในขณะเดียวกันพวกเขาอยากอยู่ในที่ปลอดภัยของถ้ำ ตรรกะของพวกเขาจึงผิดเพี้ยนไปหมด

 

ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องออกไป

 

แม้ว่าจะเลือกเก็บดาบอย่างไม่เต็มใจ เขารวบรวมสมาชิกและบอกให้พวกเขาฟังคำสั่งของโรดส์ ชในขณะที่โรดส์บอกว่าเขาไม่สามารถประสานงานกับคนเหล่านี้ได้ 100% ซึ่งพวกเขาเคารพการตัดสินใจของโรดส์และทำตามคำสั่งของเขาไปเงียบๆ

 

แต่มีแกะดำ 1-2 ตัว

 

“ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ”

 

เสียงแหลมดังสะท้อนไปทั่วถ้ำ หญิงสาวเดินออกมาจากฝูงคน เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นโจรที่เกือบถูกฆ่าโดยโรดส์ก่อนหน้านี้

 

แม้ว่าใบหน้าของเธอจะถูกปิดไว้ใต้ผ้าสีดำ แต่มันไม่สามารถซ่อนประกายตาสงสัยไว้ในสายตาของเธอได้

 

“หัวหน้าคะ ฉันคิดว่าคุณทำดีมากแล้ว ทุกคนที่นี่เอาชีวิตรอดมาได้เพราะคำสั่งของหัวหน้า แต่ตอนนี้คุณจะมาบอกให้เอาชีวิตของพวกเราไปอยู่ในมือของคนแปลกหน้า? ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ! ฉันจะฟังแต่คำสั่งของหัวหน้า”

 

“นั่นเป็นปัญหาของคุณ”

 

โรดส์ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามอง

 

“ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ มันไม่สำคัญ ถ้าคุณอยากออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย ทำตามคำสั่งของผม ผมเจอปัญหามามากพอแล้วเพื่อมาที่นี่ และผมไม่อยากพอศพใครกลับไปด้วย ผมไม่อยากมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ ไม่ว่าคุณจะเรียกร้องยังไง มันก็ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผมหรอก”

 

“คุณ…คุณเซเร็ค…คือคุณเองก็…”

 

เมื่อได้ยินคำตอบของโรดส์ เด็กสาวกัดฟันแน่น เธอมองไปยังเซเร็คเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขาเพียงหยิบตอบกลับมาแห้งๆ

 

“ข้าขอโทษด้วย แต่ข้าคิดว่าแบบนี้น่ะดีแล้ว อย่างที่โรดส์พูด พวกเราไม่สามารถผิดพลาดได้หลังจากที่พวกเราเข้ามาถึงที่นี่ ตอนนี้เราพบพวกคุณแล้ว พวกเราจะช่วยคุ้มกันพวกคุณกลับเมืองดีพสโตน เรื่องจากคุดล่าได้ขอร้องให้พวกเราช่วย นั่นหมายความว่าเขาไม่สามารถนำทุกคนกลับไปได้อย่างปลอดภัย ไม่เช่นนั้น พวกเจ้าจะขอความช่วยเหลือจากพวกเราทำไมกัน?”

 

“….”

 

เธอไร้ซึ่งคำพูดใดๆ จริงๆแล้วมันเป็นเช่นนั้น ถ้าคุดบามีพลังมากพอที่จะพาพวกเธอกลับไปอย่างปลอดภัย ทำไมพวกเขาต้องขอความช่วยเหลือจากทางสมาคมกันล่ะ?

 

“แต่-แต่พวกเราไม่รู้จักชายคนนี้….”

 

“คนพวกนี้ไม่เชื่อในหัวหน้าของพวกเรา!”

 

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขัดจังหวะเด็กสาว เหล่าทหารรับจ้างหันไปและพบต้นเสียงนั้นคือแอน ซึ่งยืนเงียบอยู่ด้านข้าง กลับกันสีหน้าของเธอไม่ได้สนุกสนาน แต่กลับเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง

 

“แอนเชื่อในหัวหน้าของพวกเรา ถ้าหัวหน้าบอกว่าเขาสามารถนำพวกคุณทั้งหมดออกไปได้อย่างปลอดภัย เขาสามารถทำได้อย่างแน่นอน เนื่องจากพวกคุณไม่สามารถทำได้ หยุดทำให้เสียเวลาได้แล้ว เข้าใจไหม?”

 

“แกจะพูดอะไรกันแน่?!”

 

โจรคนนั้นโกรธ ขณะที่เธอกระโดดขึ้นและเผยให้เห็นกริชทั้งสองในมือของเธอ

 

“แกดูถูกพวกเราหรอ?”

 

“แอนกำลังพูดความจริง ถ้าพวกคุณมองไม่เห็น ก็ลองไปมองหาลูกตาดูล่ะกัน!”

 

แอนพูดออกมาอย่างเย็นชาและยกคางขึ้น โล่ในมือของเธอถูกยกขึ้นมาทันที เมื่อเธอเตรียมต่อสู้

 

“ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ก็เข้ามาสิ!”

 

ความขัดแย้งได้มาถึงจุดแตกหัก เสียงเย็นๆของโรดส์ดังขึ้นราวกับนำถังน้ำแข็งสาดลงไปที่ทั้งสองคน

 

“พวกคุณทั้งคู่หยุดได้แล้ว”

 

เสียงของโรดส์ไม่ได้ดังมาก แต่เมื่อได้ยินทั้งคู่ไม่อาจเมินเฉยต่อมันได้ แอนทำหน้ามุ่ยและลดโล่ลง เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามของเธอเองก็ลดกริชลงเช่นกัน แอนจึงเลือกที่จะหยุด

 

“ผมจะพูดอีกครั้งเดียว”

 

โรดส์ยกนิ้วขึ้นเหนือหน้าผากของเขา

 

“เรื่องนี้ถูกตัดสินไปแล้ว พวกคุณทั้งหมดไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ผมจะไม่ให้คุณเซเร็คกดดันพวกคุณ แต่คุณคุดลากับผมเห็นตรงกันแล้ว ถ้ามีใครไม่พอใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้ ก็เดินไปหาคุณคุดลาเอาล่ะกัน พวกเราไม่สามารถเสียเวลาไปมากกว่านี้ได้แล้ว และถ้าพวกคุณสองคนยังทำแบบนี้อีก ผมจะปล่อยพวกคุณไว้ใจกลางกลุ่มอันเดด”

 

“….”

 

บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที แต่โชคดีที่ไม่มีใครคัดค้านคำพูดของโรดส์ ท้ายที่สึดเขาจึงเดินหน้าต่อไป

 

ทั้งเซเร็คและคุดล่าแนะนำให้ใช้เส้นทางเดิมก่อนหน้านี้ แต่แผนของโรดส์นั้นแตกต่างออกไป

 

“นั่นเป็นการตัดสินใจที่โง่มาก”

 

โรดส์ตอบกลับอย่างเยือกเย็น

 

“ทำไมล่ะ?”

 

เซเร็คมองไปยังโรดส์ด้วยความมึนงง

 

“มันอาจจะจริงที่พวกเราคุ้นเคยกับเส้นทางพวกนั้น และถ้าพวกเราย้อนกลับไป พวกเราจะไปได้เร็วกว่า…”

 

จากนั้นโรดส์ส่ายศีรษะ

 

“….อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่สามารถผ่านทุ่งหญ้านั่นได้อีกครั้ง”

 

“แต่ตอนที่พวกเราเข้ามา….”

 

“มันแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้”

 

โรดส์รู้ว่าสกิลดาบของเซเร็คนั้นไร้เทียมทาน แต่เรื่องอื่นนั้น เขายังไม่เข้าใจมากนัก

 

โรดส์โบกมือและอธิบายแผนการของเขาอย่างอดทน

 

“ก่อนหน้านี้ ผมได้เตรียมจำนวนคนมาอย่างรอบคอบ ด้วยนักบวช 5 คนนั้นก็ยากมากแล้วที่จะสนับสนุนทั้งกลุ่ม ตอนนี้พวกเรามีคนเพิ่มมาอีก 6 คน แน่นอนว่ากลุ่มของพวกเราจะใหญ่มากขึ้น นั่นหมายความว่าพวกเรามีคนที่ต้องป้องกันมากกว่าจำนวนนักบวช ซึ่งถ้าพวกเขาหมดแรงกลางทาง นั่นเป็นการฆ่าตัวตาย”

 

“และนั่นเป็นเหตุผล”

 

ดวงตาของเซเร็คเบิกกว้างขค้น หลังจากที่เข้าใจจุดที่โรดส์อธิบาย คุดลาที่กำลังยืนอยู่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ขณะที่เขาคิดตาม จากนั้นเขาถามออกมาอย่างสงสัย

 

“งั้นพวกเราควรทำอย่างไรต่อ?”

 

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถาม โรดส์ตอบอย่างไม่ลังเล

 

“เดินหน้าต่อ”

 

“อะไรนะ?!”

 

ทั้งเซเร็คและคุดลาตกใจอย่างมาก พวกเขามองไปยังโรดส์อย่างเหลือเชื่อ ราวกับสิ่งที่พวกเขาได้ยินนั้นผิด

 

โอ้ ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์….มาที่นี่ว่าอันตรายมากแล้ว ทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ต้องเลือกที่จะเดินหน้าต่อแทนกัน…? ทำไมกัน…?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด