ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 108 ช่างมีใจเมตตาต่อผู้อ่อนแอเหลือเกิน!

Now you are reading ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 Chapter 108 ช่างมีใจเมตตาต่อผู้อ่อนแอเหลือเกิน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวเถี่ยเฟิงล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ไม่นานนักทุกอย่างก็เริ่มเป็นระบบระเบียบ ทุกคนเห็นคนแก่คนป่วยคนพิการและสตรีมีครรภ์ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ต่างก็รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก

“ท่านหมอเทวดา ไม่เสียทีที่เป็นหมอเทวดา ช่างมีใจเมตตาต่อผู้อ่อนแอเหลือเกิน!”

“ท่านเป็นเทวดาที่ลงมาโปรดผู้ตกทุกข์ได้ยากจริงๆ!”

ท่ามกลางเสียงสรรเสริญเยินยอของผู้คน กู้จิ้งก้าวขึ้นไปบนแท่นยกสูงซึ่งสร้างขึ้นชั่วคราวบนสนามหญ้าแล้วหยิบ ‘โทรโข่งขยายเสียง’ ซึ่งเซียวเถี่ยเฟิงช่วยทำให้ขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มบรรยายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัย

ประเด็นสำคัญที่เธอคิดจะพูดคือวิธีการผลิต ‘น้ำอมฤต’ ด้วยตนเอง รวมทั้งวิธีใช้ ‘น้ำอมฤต’

เธอมีเงินมากพอ ไม่สมควรละโมบโลภมากต่อไป ดังนั้นจึงคิดจะถ่ายทอดวิธีนี้ให้กับทุกคน

กู้จิ้งอธิบายอย่างละเอียดว่าต้องเคี่ยวน้ำเกลืออย่างไร ต้องใช้วิธีกลั่นเพื่อให้ได้น้ำที่สะอาดที่สุดอย่างไร และจะผสมน้ำอมฤตขึ้นได้อย่างไร

ผู้คนที่นั่งอยู่ด้านล่างเห็นกู้จิ้งมีจมูกโด่งรั้น ดวงตาเปล่งประกายสุกใส รูปโฉมงดงาม สวมชุดขาวราวเทพยดา ยืนอยู่บนแท่นยกสูงด้วยท่าทางที่เปี่ยมด้วยความเมตตาแต่ก็สง่าน่าเกรงขาม ทุกคนก็ตะลึงงันอยู่กับที่ บางคนยังถึงกับคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับเสียด้วยซ้ำ

วิธีกลั่นน้ำอมฤตที่กู้จิ้งพูดนั้น หลังจากได้ฟังแล้ว บางคนมีแววยินดีปรากฏขึ้นในดวงตา บางคนมีสีหน้างุนงง บางคนเอาแต่พึมพำว่า “แต่เราเป็นแค่คนธรรมดาไม่ใช่เซียน จะกลั่นน้ำอมฤตได้อย่างไร? น้ำอมฤตที่เรากลั่นขึ้นจะได้ผลหรือ?”

กู้จิ้งไม่ได้ยินเสียงซุบซิบของผู้คนที่เบื้องล่าง หลังจากเปลืองน้ำลายอธิบายวิธีกลั่นน้ำอมฤตแล้ว เธอก็เริ่มพูดถึงวิธีใช้น้ำอมฤต เช่นการใช้น้ำอมฤตบ้วนปากเช้าเย็น เช่นวิชาโยคะ Neti ทั้งนี้ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้น เธอยังให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวเถี่ยเฟิงคนหนึ่งขึ้นมาสาธิตให้ดูอีกด้วย

ทุกคนยิ่งฟัง สีหน้าก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเลื่อมใส

มีเพียงท่านหมอหูซึ่งหลบอยู่ในบริเวณที่ห่างออกไปเท่านั้นที่เอาแต่ส่ายหน้า

ท่านหมอหูขมวดคิ้วพลางพึมพำว่า “เหลวไหล เหลวไหลจริงๆ วิธีที่นางพูดจะกลั่นน้ำอมฤตออกมาได้อย่างไร? แล้วสิ่งที่นางถืออยู่ในมือคืออะไร?”

ท่านหมอเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ทายว่า “คงจะเป็นของวิเศษล่ะมั้ง?”

ท่านหมอหูไม่ค่อยเชื่อ “ของวิเศษ? คิดว่านางเป็นเซียนจริงๆ อย่างนั้นรึ?”

คิดไม่ถึงว่าระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ด้านข้างจะมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย เดิมคนผู้นี้มักจะมีผื่นแดงขึ้นบนใบหน้าบ่อยๆ กินยาไปมากมายแต่ก็ไม่ได้ผล ต่อมาใช้น้ำอมฤตทาหน้า อาการทั้งหมดกลับหายเป็นปลิดทิ้ง

เขาเลื่อมใสศรัทธาในตัวหมอเทวดาอย่างกู้จิ้งมาก พอได้ยินว่าท่านหมอหูไม่เชื่อ เขาก็แค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง

“ท่านก็เป็นหมอสินะ? แต่ต่อให้ท่านเป็นหมอแล้วเป็นอย่างไร ท่านมีความสามารถอย่างท่านหมอเทวดากู้หรือ? โรคที่ท่านหมอเทวดากู้รักษาได้ ท่านรักษาได้ไหม รักษาไม่ได้ก็หุบปากซะ เป็นหมอต้องมีจรรยาบรรณบ้าง ต่อให้อิจฉาผู้อื่นที่มีวิชาแพทย์สูงส่งก็ไม่ควรนินทาผู้อื่นลับหลัง ระวังลิ้นจะเน่าล่ะ!”

คำพูดนี้ทำให้ท่านหมอหูโมโหมาก เขาไม่ใช่คนชั่วช้าที่ดีแต่อิจฉาคนอื่นที่มีวิชาแพทย์สูงส่งกว่า แต่ประเด็นสำคัญคือ กู้จิ้งดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อถือสักนิด

คิดไม่ถึงว่าแค่พูดไม่กี่คำกลับต้องถูกเย้ยหยันเช่นนี้ เขาตั้งท่าจะเขาไปวิวาทกับอีกฝ่าย แต่โชคดีที่ท่านหมอเฉินห้ามเอาไว้ เขาถึงได้ยอมเลิกรา

กู้จิ้งย่อมไม่รู้ว่าที่ด้านล่างมีความขัดแย้งเกิดขึ้น เธอใช้โทรโข่งขยายเสียงทำเองพูดบรรยายข้อควรระวังในการดูแลรักษาสุขภาพทั้งหมดที่ตัวเองคิดได้ให้คนนับหมื่นนับพันที่เบื้องล่างฟังไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าพูดเป็นน้ำไหลไฟดับเลยทีเดียว

ดูแลสุขภาพให้เป็นนิสัย โอกาสล้มป่วยจะลดน้อยลง

พูดจบ กู้จิ้งก็คอแห้งไปหมด เธอตบท้ายว่า “หลังจากกลับไปแล้ว หากทุกคนมีเวลาก็ลองกลั่นน้ำอมฤตดูก่อน จากนั้นก็ลองใช้น้ำอมฤตตามวิธีที่ฉันบรรยาย ทำไปเรื่อยๆ ให้เป็นนิสัย”

ผู้คนที่ด้านล่างได้ยินเช่นนี้ก็พากันโขกศีรษะคำนับ “ขอบคุณต้าเซียน”

กู้จิ้งตะลึงงัน เธอรู้สึกว่าทุกคนน่าจะปรบมือ แต่คิดๆ ดูนี่เป็นสมัยโบราณ ทุกคนดูเหมือนจะเคยชินกับการโขกศีรษะมากกว่า? มองดูศีรษะดำๆ ที่โขกศีรษะคำนับตัวเองแล้ว กู้จิ้งรู้สึกขัดเขินมาก ดังนั้นจึงรีบเผ่นหนีไปทันที

แต่ถึงแม้เธอจะจากไปนานแล้ว ผู้คนที่ด้านล่างก็ยังคงโขกศีรษะขอบคุณต้าเซียนกันไม่เลิก

หลังจากการบรรยายวิธีดูแลรักษาสุขภาพ (การแสดงธรรมเพื่อโปรดสัตว์) สิ้นสุดลง ผู้คนในเมืองปิ้งโจวก็เริ่มลงมือกลั่นน้ำอมฤตกันอย่างคึกคัก เรียกได้ว่าตั้งอกตั้งใจยิ่งกว่าทำอาหารเป็นสิบเท่า ส่งผลให้ราคาเกลือสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

สุดท้าย ทุกคนต่างก็กลั่นน้ำอมฤตออกมาได้ครึ่งหม้อเล็กๆ

ตอนแรกทุกคนต่างยินดีปรีดามาก พวกเขาพากันเอาน้ำอมฤตที่กลั่นได้มาล้างหน้าบ้วนปากล้างจมูกล้างแผล แต่จนใจที่ใช้ไปได้ระยะหนึ่ง ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บางทีอาจเป็นเพราะตนเองไม่มีอิทธิฤทธิ์ น้ำอมฤตที่กลั่นออกมาจึงมีสรรพคุณแตกต่างจากน้ำอมฤตของต้าเซียนมาก แถมยังไม่มีผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ใดๆ เลยสักนิด

พอข่าวนี้รู้ไปถึงหูของกู้จิ้ง เธอก็ถึงกับพูดไม่ออก

หรือเธอจะมีอิทธิฤทธิ์อย่างที่ใครๆ พูดจริงๆ?

“บางที ยายของฉันอาจจะเป็นเซียนก็ได้…”

“บางทีโลกยุคปัจจุบันอาจไม่ใช่โลกยุคปัจจุบัน แต่เป็นแดนเซียน”

“ที่แท้ฉันก็เคยใช้ชีวิตอยู่ในแดนเซียนมาตั้งหลายปี?”

“เทคโนโลยีขั้นสูงอะไรกัน วิชาแพทย์แผนปัจจุบันอะไรกัน ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น นั่นมันแค่ข้ออ้างที่เซียนกุขึ้นมาตบตาผู้คนเท่านั้น”

นับแต่นั้นมา กู้จิ้งก็ถูกความจริงที่ได้ประสบพบเห็นล้างสมองโดยสิ้นเชิง

เธอเป็นคนสมัยโบราณซึ่งถูกเซียนเลี้ยงดูมายี่สิบสองปี แถมยังได้เรียนอาคมมากมายมาจากแดนเซียน

เธอเสกหินให้มีชีวิตได้ กลั่นน้ำอมฤตได้ ทั้งยังรักษาโรคได้ทุกโรค

อืม ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ

 

ระยะนี้กู้จิ้งผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมีงานยุ่งมาก มีผู้ป่วยมาขอให้เธอช่วยรักษาโรคให้ทุกวัน ดังนั้นเธอจึงกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นว่า จะรับคนไข้วันละสามคนเท่านั้น แต่หากมีคนมาขอน้ำอมฤต ให้ปฏิเสธไปทั้งหมด

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เธอก็มักจะยุ่งจนไม่มีแม้แต่เวลาดื่มน้ำอยู่บ่อยๆ วันๆ เธอต้องวุ่นวายอยู่กับการรักษาคนไข้, กลั่นน้ำอมฤต แถมยังต้องศึกษาวิจัยน้ำมันหอมระเหยแปลกๆ ชนิดต่างๆ อีกด้วย

ตอนนี้เธอปักใจเชื่อไปแล้วว่าคุณยายเป็นเซียน ส่วนตัวเองก็มาจากแดนเซียน เธอจึงมีอิทธิฤทธิ์ที่จะช่วยเหลือผู้คนและกอบกู้โลกได้

ดังนั้น เพื่อเหล่าราษฎรทั่วแผ่นดิน เธอลำบากหน่อยก็ไม่นับเป็นอย่างไร

แต่ในขณะที่กำลังยุ่งจนหัวปั่นนั้นเอง ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารในเย็นวันหนึ่ง จู่ๆ กู้จิ้งก็เหลือบไปเห็นสีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเธอก็อดตกใจไม่ได้

ใบหน้าของเขาขาวซีดซูบผอม ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ เหมือนกำลังล้มป่วยไม่มีผิด

เธอรีบคว้าข้อมือเขามาตรวจชีพจรดู แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ กู้จิ้งตรวจดูตาจมูกปากของเขาด้วยความสงสัย สุดท้ายจึงพูดว่า “ระยะนี้นายก็ไม่ได้ทำอะไรนี่นา ทำไมถึงเหนื่อยมากขนาดนี้? ไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอหรือ?”

แต่มาย้อนคิดดู ทุกคืนเขาก็กอดเธอเข้านอนตรงเวลานี่นา

เซียวเถี่ยเฟิงก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมกอด เห็นนางกำลังมองมาด้วยดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลพลางใช้ปลายนิ้วค่อนข้างเย็นลูบแก้มของเขาเบาๆ ด้วยความรัก เขาไม่อยากให้นางกังวล ดังนั้นจึงปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร บางทีอาจเป็นเพราะระยะนี้ในกองทัพมีงานยุ่งมาก ก็เลยเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น”

แต่เขาไม่พูดยังพอว่า พอเอ่ยปากพูด กู้จิ้งก็รู้สึกว่าเสียงของเขาค่อนข้างแหบ

ปกติเวลาอยู่ด้วยกัน หากหวานชื่นกันมากๆ เสียงของเขามักจะเปลี่ยนเป็นแหบพร่าทุ้มต่ำ แต่นั่นเป็นเพราะฮอร์โมน เสียงแบบนั้นใครได้ยินก็รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าผิดปกติ เหมือนกับเขากำลังอ่อนเพลียมากๆ

กู้จิ้งไม่ค่อยเชื่อ “เป็นไปได้ยังไง ระยะนี้นายอยู่เป็นเพื่อนฉันบ่อยๆ ไม่ค่อยได้ไปที่กองทัพเสียด้วยซ้ำ?”

เซียวเถี่ยเฟิงยิ้ม “บางทีอาจเป็นเพราะระยะนี้นอนไม่ค่อยหลับ อีกไม่กี่วันก็คงไม่เป็นไรแล้ว”

กู้จิ้งมองเซียวเถี่ยเฟิง เธอยังคงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เธอรู้สึกว่าเซียวเถี่ยเฟิงต้องกำลังปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่มันเป็นเรื่องอะไรกันล่ะ?

จนกระทั่งคืนวันนั้น กู้จิ้งดื่มน้ำมากเกินไปก็เลยตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะปวดปัสสาวะ เธอลืมตาขึ้นพลางตั้งท่าจะลุกจากเตียง แต่แล้วกลับพบว่าชายหนุ่มข้างกายกำลังกุมมือของเธอเอาไว้

ถ้าเขาแค่กุมมือของเธอเอาไว้ก็ไม่เป็นอะไร ก่อนนอนพวกเขาหวานชื่นกันมาก จะหลับไปทั้งที่ยังกุมมือเธอไว้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหาคือ ตอนนี้นิ้วของเขากำลังถูไถนิ้วของเธอเบาๆ

เขาตื่นอยู่?

กู้จิ้งลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองด้วยความงุนงง ทันใดนั้น เธอก็พบว่าเซียวเถี่ยเฟิงกำลังจ้องเธออยู่

ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของเขาดูซูบผอมกว่าหลายวันก่อนอยู่หลายส่วน แค่มองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกปวดใจนัก

ทั้งที่เห็นชัดๆ ว่าเป็นบุรุษเหล็กผู้แข็งแกร่ง ทำไมตอนนี้ถึงได้ผอมแบบนี้?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 108 ช่างมีใจเมตตาต่อผู้อ่อนแอเหลือเกิน!

Now you are reading ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 Chapter 108 ช่างมีใจเมตตาต่อผู้อ่อนแอเหลือเกิน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวเถี่ยเฟิงล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ไม่นานนักทุกอย่างก็เริ่มเป็นระบบระเบียบ ทุกคนเห็นคนแก่คนป่วยคนพิการและสตรีมีครรภ์ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ต่างก็รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก

“ท่านหมอเทวดา ไม่เสียทีที่เป็นหมอเทวดา ช่างมีใจเมตตาต่อผู้อ่อนแอเหลือเกิน!”

“ท่านเป็นเทวดาที่ลงมาโปรดผู้ตกทุกข์ได้ยากจริงๆ!”

ท่ามกลางเสียงสรรเสริญเยินยอของผู้คน กู้จิ้งก้าวขึ้นไปบนแท่นยกสูงซึ่งสร้างขึ้นชั่วคราวบนสนามหญ้าแล้วหยิบ ‘โทรโข่งขยายเสียง’ ซึ่งเซียวเถี่ยเฟิงช่วยทำให้ขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มบรรยายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัย

ประเด็นสำคัญที่เธอคิดจะพูดคือวิธีการผลิต ‘น้ำอมฤต’ ด้วยตนเอง รวมทั้งวิธีใช้ ‘น้ำอมฤต’

เธอมีเงินมากพอ ไม่สมควรละโมบโลภมากต่อไป ดังนั้นจึงคิดจะถ่ายทอดวิธีนี้ให้กับทุกคน

กู้จิ้งอธิบายอย่างละเอียดว่าต้องเคี่ยวน้ำเกลืออย่างไร ต้องใช้วิธีกลั่นเพื่อให้ได้น้ำที่สะอาดที่สุดอย่างไร และจะผสมน้ำอมฤตขึ้นได้อย่างไร

ผู้คนที่นั่งอยู่ด้านล่างเห็นกู้จิ้งมีจมูกโด่งรั้น ดวงตาเปล่งประกายสุกใส รูปโฉมงดงาม สวมชุดขาวราวเทพยดา ยืนอยู่บนแท่นยกสูงด้วยท่าทางที่เปี่ยมด้วยความเมตตาแต่ก็สง่าน่าเกรงขาม ทุกคนก็ตะลึงงันอยู่กับที่ บางคนยังถึงกับคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับเสียด้วยซ้ำ

วิธีกลั่นน้ำอมฤตที่กู้จิ้งพูดนั้น หลังจากได้ฟังแล้ว บางคนมีแววยินดีปรากฏขึ้นในดวงตา บางคนมีสีหน้างุนงง บางคนเอาแต่พึมพำว่า “แต่เราเป็นแค่คนธรรมดาไม่ใช่เซียน จะกลั่นน้ำอมฤตได้อย่างไร? น้ำอมฤตที่เรากลั่นขึ้นจะได้ผลหรือ?”

กู้จิ้งไม่ได้ยินเสียงซุบซิบของผู้คนที่เบื้องล่าง หลังจากเปลืองน้ำลายอธิบายวิธีกลั่นน้ำอมฤตแล้ว เธอก็เริ่มพูดถึงวิธีใช้น้ำอมฤต เช่นการใช้น้ำอมฤตบ้วนปากเช้าเย็น เช่นวิชาโยคะ Neti ทั้งนี้ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้น เธอยังให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวเถี่ยเฟิงคนหนึ่งขึ้นมาสาธิตให้ดูอีกด้วย

ทุกคนยิ่งฟัง สีหน้าก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเลื่อมใส

มีเพียงท่านหมอหูซึ่งหลบอยู่ในบริเวณที่ห่างออกไปเท่านั้นที่เอาแต่ส่ายหน้า

ท่านหมอหูขมวดคิ้วพลางพึมพำว่า “เหลวไหล เหลวไหลจริงๆ วิธีที่นางพูดจะกลั่นน้ำอมฤตออกมาได้อย่างไร? แล้วสิ่งที่นางถืออยู่ในมือคืออะไร?”

ท่านหมอเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ทายว่า “คงจะเป็นของวิเศษล่ะมั้ง?”

ท่านหมอหูไม่ค่อยเชื่อ “ของวิเศษ? คิดว่านางเป็นเซียนจริงๆ อย่างนั้นรึ?”

คิดไม่ถึงว่าระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ด้านข้างจะมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย เดิมคนผู้นี้มักจะมีผื่นแดงขึ้นบนใบหน้าบ่อยๆ กินยาไปมากมายแต่ก็ไม่ได้ผล ต่อมาใช้น้ำอมฤตทาหน้า อาการทั้งหมดกลับหายเป็นปลิดทิ้ง

เขาเลื่อมใสศรัทธาในตัวหมอเทวดาอย่างกู้จิ้งมาก พอได้ยินว่าท่านหมอหูไม่เชื่อ เขาก็แค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง

“ท่านก็เป็นหมอสินะ? แต่ต่อให้ท่านเป็นหมอแล้วเป็นอย่างไร ท่านมีความสามารถอย่างท่านหมอเทวดากู้หรือ? โรคที่ท่านหมอเทวดากู้รักษาได้ ท่านรักษาได้ไหม รักษาไม่ได้ก็หุบปากซะ เป็นหมอต้องมีจรรยาบรรณบ้าง ต่อให้อิจฉาผู้อื่นที่มีวิชาแพทย์สูงส่งก็ไม่ควรนินทาผู้อื่นลับหลัง ระวังลิ้นจะเน่าล่ะ!”

คำพูดนี้ทำให้ท่านหมอหูโมโหมาก เขาไม่ใช่คนชั่วช้าที่ดีแต่อิจฉาคนอื่นที่มีวิชาแพทย์สูงส่งกว่า แต่ประเด็นสำคัญคือ กู้จิ้งดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อถือสักนิด

คิดไม่ถึงว่าแค่พูดไม่กี่คำกลับต้องถูกเย้ยหยันเช่นนี้ เขาตั้งท่าจะเขาไปวิวาทกับอีกฝ่าย แต่โชคดีที่ท่านหมอเฉินห้ามเอาไว้ เขาถึงได้ยอมเลิกรา

กู้จิ้งย่อมไม่รู้ว่าที่ด้านล่างมีความขัดแย้งเกิดขึ้น เธอใช้โทรโข่งขยายเสียงทำเองพูดบรรยายข้อควรระวังในการดูแลรักษาสุขภาพทั้งหมดที่ตัวเองคิดได้ให้คนนับหมื่นนับพันที่เบื้องล่างฟังไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าพูดเป็นน้ำไหลไฟดับเลยทีเดียว

ดูแลสุขภาพให้เป็นนิสัย โอกาสล้มป่วยจะลดน้อยลง

พูดจบ กู้จิ้งก็คอแห้งไปหมด เธอตบท้ายว่า “หลังจากกลับไปแล้ว หากทุกคนมีเวลาก็ลองกลั่นน้ำอมฤตดูก่อน จากนั้นก็ลองใช้น้ำอมฤตตามวิธีที่ฉันบรรยาย ทำไปเรื่อยๆ ให้เป็นนิสัย”

ผู้คนที่ด้านล่างได้ยินเช่นนี้ก็พากันโขกศีรษะคำนับ “ขอบคุณต้าเซียน”

กู้จิ้งตะลึงงัน เธอรู้สึกว่าทุกคนน่าจะปรบมือ แต่คิดๆ ดูนี่เป็นสมัยโบราณ ทุกคนดูเหมือนจะเคยชินกับการโขกศีรษะมากกว่า? มองดูศีรษะดำๆ ที่โขกศีรษะคำนับตัวเองแล้ว กู้จิ้งรู้สึกขัดเขินมาก ดังนั้นจึงรีบเผ่นหนีไปทันที

แต่ถึงแม้เธอจะจากไปนานแล้ว ผู้คนที่ด้านล่างก็ยังคงโขกศีรษะขอบคุณต้าเซียนกันไม่เลิก

หลังจากการบรรยายวิธีดูแลรักษาสุขภาพ (การแสดงธรรมเพื่อโปรดสัตว์) สิ้นสุดลง ผู้คนในเมืองปิ้งโจวก็เริ่มลงมือกลั่นน้ำอมฤตกันอย่างคึกคัก เรียกได้ว่าตั้งอกตั้งใจยิ่งกว่าทำอาหารเป็นสิบเท่า ส่งผลให้ราคาเกลือสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

สุดท้าย ทุกคนต่างก็กลั่นน้ำอมฤตออกมาได้ครึ่งหม้อเล็กๆ

ตอนแรกทุกคนต่างยินดีปรีดามาก พวกเขาพากันเอาน้ำอมฤตที่กลั่นได้มาล้างหน้าบ้วนปากล้างจมูกล้างแผล แต่จนใจที่ใช้ไปได้ระยะหนึ่ง ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บางทีอาจเป็นเพราะตนเองไม่มีอิทธิฤทธิ์ น้ำอมฤตที่กลั่นออกมาจึงมีสรรพคุณแตกต่างจากน้ำอมฤตของต้าเซียนมาก แถมยังไม่มีผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ใดๆ เลยสักนิด

พอข่าวนี้รู้ไปถึงหูของกู้จิ้ง เธอก็ถึงกับพูดไม่ออก

หรือเธอจะมีอิทธิฤทธิ์อย่างที่ใครๆ พูดจริงๆ?

“บางที ยายของฉันอาจจะเป็นเซียนก็ได้…”

“บางทีโลกยุคปัจจุบันอาจไม่ใช่โลกยุคปัจจุบัน แต่เป็นแดนเซียน”

“ที่แท้ฉันก็เคยใช้ชีวิตอยู่ในแดนเซียนมาตั้งหลายปี?”

“เทคโนโลยีขั้นสูงอะไรกัน วิชาแพทย์แผนปัจจุบันอะไรกัน ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น นั่นมันแค่ข้ออ้างที่เซียนกุขึ้นมาตบตาผู้คนเท่านั้น”

นับแต่นั้นมา กู้จิ้งก็ถูกความจริงที่ได้ประสบพบเห็นล้างสมองโดยสิ้นเชิง

เธอเป็นคนสมัยโบราณซึ่งถูกเซียนเลี้ยงดูมายี่สิบสองปี แถมยังได้เรียนอาคมมากมายมาจากแดนเซียน

เธอเสกหินให้มีชีวิตได้ กลั่นน้ำอมฤตได้ ทั้งยังรักษาโรคได้ทุกโรค

อืม ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ

 

ระยะนี้กู้จิ้งผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมีงานยุ่งมาก มีผู้ป่วยมาขอให้เธอช่วยรักษาโรคให้ทุกวัน ดังนั้นเธอจึงกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นว่า จะรับคนไข้วันละสามคนเท่านั้น แต่หากมีคนมาขอน้ำอมฤต ให้ปฏิเสธไปทั้งหมด

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เธอก็มักจะยุ่งจนไม่มีแม้แต่เวลาดื่มน้ำอยู่บ่อยๆ วันๆ เธอต้องวุ่นวายอยู่กับการรักษาคนไข้, กลั่นน้ำอมฤต แถมยังต้องศึกษาวิจัยน้ำมันหอมระเหยแปลกๆ ชนิดต่างๆ อีกด้วย

ตอนนี้เธอปักใจเชื่อไปแล้วว่าคุณยายเป็นเซียน ส่วนตัวเองก็มาจากแดนเซียน เธอจึงมีอิทธิฤทธิ์ที่จะช่วยเหลือผู้คนและกอบกู้โลกได้

ดังนั้น เพื่อเหล่าราษฎรทั่วแผ่นดิน เธอลำบากหน่อยก็ไม่นับเป็นอย่างไร

แต่ในขณะที่กำลังยุ่งจนหัวปั่นนั้นเอง ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารในเย็นวันหนึ่ง จู่ๆ กู้จิ้งก็เหลือบไปเห็นสีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเธอก็อดตกใจไม่ได้

ใบหน้าของเขาขาวซีดซูบผอม ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ เหมือนกำลังล้มป่วยไม่มีผิด

เธอรีบคว้าข้อมือเขามาตรวจชีพจรดู แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ กู้จิ้งตรวจดูตาจมูกปากของเขาด้วยความสงสัย สุดท้ายจึงพูดว่า “ระยะนี้นายก็ไม่ได้ทำอะไรนี่นา ทำไมถึงเหนื่อยมากขนาดนี้? ไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอหรือ?”

แต่มาย้อนคิดดู ทุกคืนเขาก็กอดเธอเข้านอนตรงเวลานี่นา

เซียวเถี่ยเฟิงก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมกอด เห็นนางกำลังมองมาด้วยดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลพลางใช้ปลายนิ้วค่อนข้างเย็นลูบแก้มของเขาเบาๆ ด้วยความรัก เขาไม่อยากให้นางกังวล ดังนั้นจึงปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร บางทีอาจเป็นเพราะระยะนี้ในกองทัพมีงานยุ่งมาก ก็เลยเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น”

แต่เขาไม่พูดยังพอว่า พอเอ่ยปากพูด กู้จิ้งก็รู้สึกว่าเสียงของเขาค่อนข้างแหบ

ปกติเวลาอยู่ด้วยกัน หากหวานชื่นกันมากๆ เสียงของเขามักจะเปลี่ยนเป็นแหบพร่าทุ้มต่ำ แต่นั่นเป็นเพราะฮอร์โมน เสียงแบบนั้นใครได้ยินก็รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าผิดปกติ เหมือนกับเขากำลังอ่อนเพลียมากๆ

กู้จิ้งไม่ค่อยเชื่อ “เป็นไปได้ยังไง ระยะนี้นายอยู่เป็นเพื่อนฉันบ่อยๆ ไม่ค่อยได้ไปที่กองทัพเสียด้วยซ้ำ?”

เซียวเถี่ยเฟิงยิ้ม “บางทีอาจเป็นเพราะระยะนี้นอนไม่ค่อยหลับ อีกไม่กี่วันก็คงไม่เป็นไรแล้ว”

กู้จิ้งมองเซียวเถี่ยเฟิง เธอยังคงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เธอรู้สึกว่าเซียวเถี่ยเฟิงต้องกำลังปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่มันเป็นเรื่องอะไรกันล่ะ?

จนกระทั่งคืนวันนั้น กู้จิ้งดื่มน้ำมากเกินไปก็เลยตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะปวดปัสสาวะ เธอลืมตาขึ้นพลางตั้งท่าจะลุกจากเตียง แต่แล้วกลับพบว่าชายหนุ่มข้างกายกำลังกุมมือของเธอเอาไว้

ถ้าเขาแค่กุมมือของเธอเอาไว้ก็ไม่เป็นอะไร ก่อนนอนพวกเขาหวานชื่นกันมาก จะหลับไปทั้งที่ยังกุมมือเธอไว้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหาคือ ตอนนี้นิ้วของเขากำลังถูไถนิ้วของเธอเบาๆ

เขาตื่นอยู่?

กู้จิ้งลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองด้วยความงุนงง ทันใดนั้น เธอก็พบว่าเซียวเถี่ยเฟิงกำลังจ้องเธออยู่

ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของเขาดูซูบผอมกว่าหลายวันก่อนอยู่หลายส่วน แค่มองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกปวดใจนัก

ทั้งที่เห็นชัดๆ ว่าเป็นบุรุษเหล็กผู้แข็งแกร่ง ทำไมตอนนี้ถึงได้ผอมแบบนี้?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+