ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต 1 บทที่ 4 เขาเกรงว่านางคงไม่ได้เป็นบ้าไปแล้วหรอกนะ

Now you are reading ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต Chapter 1 บทที่ 4 เขาเกรงว่านางคงไม่ได้เป็นบ้าไปแล้วหรอกนะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขนมปังแห้งในมือเด็กสองคน แข็งจนกัดแทบไม่เข้า ไม่รู้ว่าซ่อนไว้นานเท่าใดแล้ว ส่วนน้ำที่เด็กสองคนดื่ม ก็เป็นน้ำอุ่นที่ใกล้เย็นชืด อีกไม่นานก็เย็นแล้ว ไม่มีไอร้อนแม้แต่น้อย

อากาศในเดือนสอง ลมหนาวยังเย็นยะเยือกถึงกระดูก เด็กสองคนกินขนมปังแห้งและดื่มน้ำเย็นในตอนเช้า เซี่ยยวี่หลัวนี่สมควรตายนัก ก่อนหน้านี้เจ้าทารุณเด็กสองคนนี้อย่างไรกัน

เซี่ยยวี่หลัวแค้นจนอยากตบหน้าตัวเองสักฉาดสองฉาด ในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซียวยวี่ถึงแค้นนางเข้ากระดูกดำ ถ้าพวกเขาเป็นน้องชายน้องสาวของนางเอง แล้วมีคนมาทารุณพวกเขาเช่นนี้ หากนางยอมให้อภัยสิถึงจะแปลก

เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกปวดใจนัก นางไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว เดินออกจากห้องของสองพี่น้องไป

เซียวจื่อเมิ่งส่งเสียง “โฮ” ร้องไห้ทันที “พี่รอง พี่รอง…”

เซียวจื่อเซวียนกอดเซียวจื่อเมิ่งไว้ คอยปลอบโยนไม่หยุด “จื่อเมิ่งไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว มีพี่ชายอยู่ พี่ชายจะปกป้องเจ้าเอง!”

เด็กน้อยพยายามทำทีเป็นไม่หวาดกลัว แต่แววตายังคงฉายประกายหวาดเกรง ถึงอย่างไร เขาก็เป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ

เซี่ยยวี่หลัวกับไปยังห้องของตัวเอง ชงน้ำผึ้งสองถ้วย นำขนมอีกหนึ่งกล่อง ห่อให้ดีแล้วจึงนำกลับไป

อาจเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก เด็กสองคนตกใจจนกอดกัน ท่าทางน่าสงสารนั่นทำให้เซี่ยยวี่หลัวที่เข้ามาแทบใจสลาย

 “สะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าตีข้า ต่อไปข้าไม่กล้าแอบซ่อนของแล้ว พี่รอง ข้ากลัว ข้ากลัว…” เซียวจื่อเมิ่งร้องไห้อย่างหนัก เซี่ยยวี่หลัวเกือบทนไม่ไหวจนหลั่งน้ำตา

เซียวจื่อเซวียนกันเซียวจื่อเมิ่งไว้ “หากจะตีก็ตีข้า ข้าเป็นคนซ่อนไว้เอง ไม่เกี่ยวกับน้องสาวข้า!”

เขากันน้องสาวไว้ด้านหลัง ประหนึ่งเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งก็มิปาน

เพียงแต่ ร่างกายอ่อนแอซูบผอมนั่นยังคงสั่นเทิ้มอยู่เล็กน้อย ดูท่าน่าจะกลัวเซี่ยยวี่หลัวแทบตายเหมือนกัน

เซี่ยยวี่หลัวยืนส่งของในมือไปให้ พยายามกล่าวด้วยวาจาอ่อนโยนนุ่มนวล “กินอาหารเย็นและแข็งแต่เช้าไม่ดีต่อร่างกาย มาเถิด นี่เป็นน้ำผึ้งที่ข้าเพิ่งชง ยังมีขนมด้วย อ่อนนุ่มและรสหวาน อร่อยกว่าขนมปังแห้ง มาสิ มากินเสีย!”

หลังจากวางของลง เซี่ยยวี่หลัวก็ออกจากห้องไป

นางเกรงว่าหากตัวเองอยู่ต่อ จะทนไม่ไหวจนร่ำไห้ออกมา

นางร้ายนี่สมควรตายนัก!

สิ่งที่เด็กสองคนได้รับไม่ใช่คำดุด่าและทุบตี กลับเป็นน้ำผึ้งอุ่นร้อนและขนมอ่อนนุ่มหอมหวาน เสียงร้องไห้หยุดไป พวกเขาจ้องมองน้ำผึ้งและขนมด้วยอาการตกตะลึง

นี่เป็นของที่เซี่ยยวี่หลัวชอบที่สุด ปกตินางจะเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด อย่าว่าแต่กินเลย แม้แต่เห็นยังไม่เคยได้เห็นสักครั้ง วันนี้นางกลับนำของเหล่านี้มาให้พวกเขากิน?

เซียวจื่อเมิ่งได้กลิ่นหอมหวานก็กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แต่กลับไม่กล้าขยับ เพียงมองเซียวจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ “พี่รอง…”

เซียวจื่อเซวียนก็กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบน้ำผึ้งถ้วยหนึ่งขึ้นมา ดื่มอึกใหญ่ น้ำผึ้งหอมหวานไหลจากปากผ่านลำคอ ไหลลงไปถึงกระเพาะ หลังจากดื่มลงไปหลายอึก ก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว

จากนั้นเซียวจื่อเซวียนจึงกินขนมหนึ่งชิ้น ก่อนจะหันไปกล่าวกับเซียวจื่อเมิ่งด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ “จื่อเมิ่ง กิน กินเร็ว ไม่อันตราย!”

เซียวจื่อเมิ่งหยิบขนมขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย นางไม่เคยกินอาหารที่อร่อยถึงเพียงนี้มาก่อน บวกกับน้ำผึ้งหอมหวาน ต่อให้มีพิษ นางก็ยอม

เซี่ยยวี่หลัวกลับถึงห้องของตัวเองแล้ว ไม่รู้เลยว่าสองพี่น้องกลัวว่าในอาหารจะมียาพิษ ทว่า ต่อให้รู้เรื่องนี้ เซี่ยยวี่หลัวก็ไม่มีอะไรให้แก้ตัว ได้แต่เก็บความทุกข์ใจไว้คนเดียว

ใครจะรู้ว่านางร้ายที่สมควรตายนี่ทำอะไรไว้บ้าง เด็กสองคนเห็นนางประหนึ่งเห็นภูตผีปีศาจก็มิปาน

น่าหงุดหงิดใจเสียจริง!

เซี่ยยวี่หลัวขังตัวเองไว้ในห้อง ดูของที่เก็บซ่อนไว้

มีแป้งครึ่งถุงเล็ก หากกินคนเดียว สามารถกินได้ห้าถึงหกวัน หากรวมเด็กสองคนด้วย เกรงว่าสองถึงสามวันก็คงหมด ยังมีไข่ไก่อีกจำนวนหนึ่ง ข้าวสารครึ่งถุง ขนมเหลือหนึ่งกล่อง ล้วนเป็นอาหารอย่างดี นางร้ายนี่พิถีพิถันเรื่องการกินเหมือนกัน

นอกจากนั้น ภายในตู้ยังมีของที่เก็บไว้อย่างมิดชิด เงินห้าตำลึงกับเหรียญอิแปะอีกหลายสิบเหรียญ

เซี่ยยวี่หลัวดีใจเสียยิ่งกว่าอะไร เงินห้าตำลึงไม่น้อยเลย สามารถใช้ได้ระยะหนึ่ง ในเมื่อตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอนาคตควรทำอย่างไร มิสู้อยู่บ้านคอยดูแลสองพี่น้องให้ดี ทำเรื่องที่สามารถทำได้ เปลี่ยนแปลงท่าทีที่สองพี่น้องมีต่อตนเอง

เพื่อไม่ให้ตัวเองในอนาคตต้องตายอย่างน่าเวทนาเกินไป เซี่ยยวี่หลัวที่ไม่เคยมีความรักและเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของครอบครัวหมายมั่นจะสร้างชื่อเป็นภรรยาผู้รู้ความและพี่สะใภ้ที่แสนดีให้จงได้

เกวียนเทียมวัวเคลื่อนตัวดัง “ตึกตึก” ในที่สุดก็ถึงตัวเมือง เซียวยวี่ลงจากเกวียน หันไปคำนับท่านลุงสี่ด้วยความเคารพ “ขอบคุณท่านลุงสี่!”

ท่านลุงสี่จูงวัว หัวเราะอย่างมีความสุข “ไม่เห็นต้องขอบคุณ อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ข้าอยากให้เจ้านั่งเกวียนของข้าด้วยซ้ำ ต่อไปข้าจะได้โอ้อวดกับผู้อื่นว่าเกวียนของข้าเคยรับส่งท่านซิ่วไฉมาก่อน!”

เซียวยวี่แย้มรอยยิ้มด้วยความเก้อเขิน ยังไม่ได้เข้าสอบเลย ใครบอกกันว่าปีนี้เขาจะสอบติด ทว่า เขาก็ยังรู้สึกขอบคุณคำพูดอวยพรของท่านลุงสี่ เขาคำนับท่านลุงสี่ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ท่านลุงสี่ก็จูงวัวเทียมเกวียนเดินมุ่งหน้าไปทางตลาด เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเซียวยวี่กำลังเรียกตัวเอง “ท่านลุงสี่…”

 “มีอะไรหรืออายวี่?” ท่านลุงสี่หันกลับมา เห็นเซียวยวี่ขมวดคิ้วมุ่น เหมือนกำลังงุ่นง่าน คล้ายกับว่าอยากบอกอะไรตนเอง

เซียวยวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าอีกครั้ง แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่แววตากลับเย็นเยียบ “ไม่มีอะไร ท่านลุงสี่ นี่ก็สายแล้ว ท่านรีบไปตลาดเถอะ”

 “อืม ได้! เจ้าอยู่ข้างนอกคนเดียวก็ต้องดูแลตัวเองให้มาก! อย่าให้คนที่บ้านเป็นห่วง!” ท่านลุงสี่กล่าวตอบ

เซียวยวี่พยักหน้า ขานรับทีหนึ่ง ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน

ท่านลุงสี่เห็นเขายังไม่ไป จึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป? มีอะไรอีกงั้นหรือ?”

เซียวยวี่เหมือนจะรวบรวมความกล้า ก่อนกล่าว “คือ ข้า… ข้าสอบเสร็จก็จะกลับบ้าน” กล่าวประโยคนี้จบ เซียวยวี่จึงหันขวับเดินเข้าไปในฝูงชน

วันนี้เป็นวันจ่ายตลาด ฝูงชนคับคั่ง เซียยวี่เดินหายไปท่ามกลางฝูงชนอย่างรวดเร็ว ไม่นานเงาร่างสูงโปร่งนั่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ท่านลุงสี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เด็กคนนี้ เป็นอะไรไป? ข้ารู้อยู่แล้วว่าหลังจากเขาสอบเสร็จก็จะกลับบ้าน! ทำไมอยู่ๆถึงพูดอีกรอบละ!”

เซียวยวี่เดินเร็วมาก หลังจากเดินไปไกล เขาเองยังรู้สึกว่าเหลือเชื่อนัก

นี่เขาคงไม่ได้บ้าไปแล้วใช่ไหม

ถึงกับควบคุมตัวเองไม่ได้เพียงเพราะประโยคที่บอกว่า “ข้าจะรอเจ้ากลับมา”

ทั้งที่เดินจากไปแล้ว ทำไมถึงต้องเรียกท่านลุงสี่ไว้ ทั้งยังกล่าวประโยคแบบนั้นกับท่านลุงสี่

ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของชายหนุ่ม แต่เพราะผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมาย ดวงตากลับไร้ซึ่งความสดใสแบบที่คนในวัยนี้พึงมี นัยน์ตาของเขาลุ่มลึกและเย็นเยียบ ประหนึ่งบ่อน้ำเก่าแก่ที่มองไม่เห็นก้นบ่อ เมื่อมองลึกเข้าไปกลับเย็นยะเยือกจนทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน

เขาน่าจะโกรธแค้นหญิงผู้นั้นถึงขีดสุด จึงเอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมา

ไม่แน่ว่าไม่ต้องรอจนเขากลับไป นางก็อาจจากไปแล้ว

นางเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าให้ตายนางก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสอบติดได้เป็นซิ่วไฉ กล่าวตามจริง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อ

เพียงแต่เขาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดน้ำเสียงของหญิงผู้นั้นในวันนี้จึงแตกต่างจากเคย?

ปกติน้ำเสียงของนาง ทั้งเย็นชาและหยิ่งยโสราวกับแท่งน้ำแข็งในฤดูหนาวที่ทำร้ายร่างกายทิ่มแทงจิตใจ แต่น้ำเสียงในวันนี้ กลับอ่อนโยนและนุ่มนวลประหนึ่งสายลมหยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิ อบอุ่นหัวใจนัก

ทั้งที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะหย่ากับสตรีสมควรตายนั่นเสีย แต่ภายหลังได้ยินเสียงของนางในวันนี้ กลับทำให้เขาเกือบควบคุมตัวเองไม่ได้จนเอ่ยวาจานั้นออกมา

ยังดีที่ท่านลุงสี่ไม่เข้าใจว่าเขาจะสื่ออะไร

คิดถึงตรงนี้ เซียวยวี่กระชับสัมภาระของตัวเอง สาวเท้าก้าวใหญ่เดินจากไป

สตรีผู้นั้น หลังจากเขากลับไปต้องหย่าให้ขาด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด