ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต 3 บทที่ 66 เจ้าอย่าโดนเซี่ยยวี่หลัวหลอกเอา

Now you are reading ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต Chapter 3 บทที่ 66 เจ้าอย่าโดนเซี่ยยวี่หลัวหลอกเอา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เซี่ยยวี่หลัวผงะไป “เป็นเพราะข้าเชื่อใจเจ้า จึงให้เราสองคนเก็บรักษาเงินร่วมกัน! “

ตอนนี้มีแค่หนึ่งร้อยอิแปะ ต่อไปนางต้องหาเงินเพิ่มอีกมากมายแน่นอน!

เซียวจื่อเซวียนกำหมัดไว้แน่น เพราะช่วงนี้ได้กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ใบหน้าจึงมีเนื้อเพิ่มขึ้น ตอนนี้อัดอั้นจนใบหน้าเล็กขึ้นสีแดงก่ำ กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พี่สะใภ้ใหญ่ ต่อไปเงินในบ้าน ท่านเก็บไว้เอง ไม่ต้องถามข้า และไม่ต้องปรึกษากับข้า”

เซี่ยยวี่หลัวผงะไป “เจ้า… เชื่อใจข้าถึงเพียงนี้เชียว? ไม่กลัวว่าข้าจะนำเงินนี่ไปซื้อเสื้อผ้า ไม่ใช้จ่ายเพื่อพวกเจ้างั้นหรือ? “

ดวงตาของเซียวจื่อเซวียนสว่างสดใส มองเซี่ยยวี่หลัวโดยไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงความเคารพเลื่อมใสจากเบื้องลึกจิตใจ “ข้าเชื่อพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เคยบอกไว้ ว่าจะให้พวกเราใช้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ ข้าเชื่อท่าน! ท่านต้องทำให้เราได้ใช้ชีวิตที่ดีแน่! “

ขณะที่เซียวจื่อเซวียนกล่าววาจาเหล่านั้น แสงสีที่ฉายในแววตาไม่อาจหยุดได้เลย นอกจากนั้น เซี่ยยวี่หลัวไม่เห็นความกลัวในแววตาของเขา มีแต่ความจริงใจและเคารพนับถืออย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หลังจากมอบเงินทั้งหมดที่มีในบ้านให้เซียวยวี่ เซี่ยยวี่หลัวก็พบว่าเซียวจื่อเซวียนปฏิบัติกับตนต่างจากเดิม แต่คราวนี้ ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากปากเซียวจื่อเซวียน ก็ยังทำให้เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกตกตะลึง

“จื่อเซวียน…”

“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ากับจื่อเมิ่งเชื่อใจท่านอย่างไม่มีเงื่อนไข! ” เซียวจื่อเซวียนกล่าวย้ำด้วยความหนักแน่น

เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม นางเก็บลูกกุญแจไว้กับตัว “ได้ เช่นนั้นเราก็หาเงินให้มาก ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกัน”

นางจะทำให้ชีวิตที่แสนน่าเบื่อนี้กลายเป็นการใช้ชีวิตในเรือนสวนไร่นาที่น่ารื่นรมย์ดุจความฝัน

มีดอกไม้ มีใบหญ้า มีน้ำ มีปลา ฤดูใบไม้ผลิมีร้อยบุปผา ฤดูใบไม้ร่วงเห็นดวงจันทร์ ฤดูร้อนมีสายลมเย็น ฤดูหนาวเคล้าหิมะ

สายตาของนางมองสวนหลังบ้านผ่านหน้าต่าง แม้ว่าสวนหลังบ้านจะเต็มไปด้วยหญ้าขึ้นรก แต่นางเหมือนจะมองเห็นดอกไม้ผลิบาน คนในครอบครัวนั่งกินขนมไหว้พระจันทร์อยู่ใต้ต้นดอกกุ้ยฮวา พร้อมชมพระจันทร์อย่างมีความสุข

เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม ใบหน้าบ่งบอกความมุ่งมั่นและใฝ่ฝัน เซียวจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆมองรอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยยวี่หลัวด้วยอาการเหม่อลอย จากนั้นจึงยิ้มตาม

พี่สะใภ้ใหญ่เคยบอกไว้ ว่าจะใช้ชีวิตให้ดีขึ้น เขาเชื่อว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะไม่ผิดคำพูดแน่นอน!

เซี่ยยวี่หลัวให้เงินเซียวจื่อเซวียนไปสี่สิบอิแปะ ให้เขาไปซื้อไข่ และข้าวสารจำนวนหนึ่งกลับมา

ขอเพียงเซี่ยยวี่หลัวมีเงิน ก็จะไม่ลดมาตรฐานอาหารการกินในบ้านเด็ดขาด

เซียวจื่อเซวียนรับเงิน หิ้วตะกร้ามุ่งหน้าไปยังบ้านท่านป้าสี่

ที่บ้านท่านป้าสี่มีไก่และไข่ เขาจึงไปซื้อที่นั่น

พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าให้ซื้อไข่ไก่สิบฟอง เป็นเงินสิบอิแปะ ที่เหลืออีกสามสิบอิแปะ สามารถซื้อข้าวสารได้หลายจินทีเดียว

มีไข่และข้าวกินทุกวัน เซียวจื่อเซวียนรู้สึกดีใจ ฝีเท้าที่ก้าวเดินก็กว้างกว่าปกติเล็กน้อย

ที่พี่ใหญ่ก็ส่งเงินไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจอีก

เมื่อถึงบ้านท่านป้าสี่ ท่านป้าสี่ไม่อยู่บ้าน ไปดูแลต้นกล้าผักในไร่นา เซียวหมิงจูปักผ้าเช็ดหน้าอยู่บ้าน

เมื่อได้ยินว่ามีคนอยู่ข้างนอก เซียวหมิงจูวางผ้าเช็ดหน้าลง มองผ่านหน้าต่าง เห็นว่าคนที่อยู่ข้างนอกคือเซียวจื่อเซวียน เซียวหมิงจูจึงแย้มรอยยิ้มที่มุมปากทันที “อาเซวียน…”

กล่าวจบ จึงรีบวิ่งออกไป เปิดประตูใหญ่ เชิญเซียวจื่อเซวียนเข้ามา “อาเซวียน วันนี้ทำไมเจ้าถึงว่างมาได้? รีบเข้ามา ท่านพ่อข้าซื้อขนมกลับมา เจ้าเข้ามากินด้วยกัน”

กล่าวจบ จึงเอื้อมมือไปจูงมือเซียวจื่อเซวียน พาเขาเข้าไปในห้อง

ให้เขานั่งลง เซียวหมิงจูไปหยิบขนมออกมาจากตู้ ใส่เข้าไปในมือเซียวจื่อเซวียน “มามามา รีบกิน กินมากหน่อย ตอนกลับบ้านก็นำกลับไปให้อาเมิ่งจำนวนหนึ่งด้วย”

เซียวหมิงจูต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ทั้งยังเทน้ำร้อนให้เซียวจื่อเซวียน “เจ้ากินช้าๆ อย่าให้สำลัก”

เซียวจื่อเซวียนถือว่าคุ้นเคยกับเซียวหมิงจู เมื่อก่อนตอนพี่ใหญ่อยู่ เซียวหมิงจูมักจะไปเล่นที่บ้าน เพียงแต่ในภายหลังพี่สะใภ้ใหญ่แต่งเข้ามา เซียวหมิงจูก็ไม่ได้ไปบ่อยนัก

เซียวจื่อเซวียนเอ่ยเรียกพี่หมิงจูอย่างว่าง่าย จากนั้นจึงหยิบขนมมากินคำเล็ก กินทีเดียวสองชิ้น เซียวหมิงจูนั่งเท้าคางมองเขา พร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้ากินช้าๆ ยังมีอีก”

เซียวจื่อเซวียนกินทีเดียวสามชิ้น ดื่มน้ำในถ้วยจนหมด รู้สึกว่ากินจนอิ่ม จึงรีบบอกว่าไม่เอาแล้ว เซียวหมิงจูจึงปล่อยไป

 “มีข่าวพี่ใหญ่ของเจ้าหรือไม่? ” เซียวหมิงจูรีบเอ่ยถาม

เซียวจื่อเซวียนเพียงคิดว่าเซียวหมิงจูเป็นห่วงพี่ใหญ่ จึงพยักหน้า “มี ครั้งก่อนท่านอาเซียวเหลียงไปในตัวอำเภอ ได้พบพี่ใหญ่ของข้า พี่ใหญ่ไปสอบในตัวมณฑลแล้ว”

เซียวหมิงจูเอ่ยถามด้วยความรู้สึกเศร้าโศก “พี่ใหญ่ของเจ้าผอมลงอีกแล้วใช่หรือไม่? อยู่ข้างนอกลำบากถึงเพียงนั้น ข้างกายไม่มีคนรู้ใจคอยดูแล พวกเจ้าสองคนอายุยังน้อย พี่ใหญ่ของเจ้าต้องไปสอบ ทั้งยังต้องคอยเป็นห่วงพวกเจ้า คงเครียดมากแน่นอน ถ้าหาก… ถ้าหากพี่ใหญ่ของเจ้าได้แต่งกับคนรู้ใจ คนที่ดีกับพวกเจ้า พวกเจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พี่ใหญ่ของพวกเจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเจ้าถึงเพียงนี้แล้ว…”

เมื่อเซียวหมิงจูกล่าวจนสะเทือนอารมณ์ น้ำเสียงของนางก็เริ่มสะอื้น

เซียวจื่อเซวียนรีบโต้แย้ง “พี่หมิงจู ตอนนี้พี่สะใภ้ใหญ่ดีต่อพวกเรามาก วันนี้นางยังให้เงินข้า ให้ข้ามาซื้อไข่ไก่”

เซียวหมิงจูเช็ดคราบน้ำตา “ปกติเซี่ยยวี่หลัวมักวางอำนาจ ตอนนั้นที่แต่งกับพี่ใหญ่ของเจ้าก็ไม่ได้ยินยอมเต็มใจ เจ้าบอกว่านางกลายเป็นคนดีแล้ว? นางเปลี่ยนไปจริงๆ หรือมีใจคิดเป็นอื่น? เจ้าไม่รู้เชียวหรือ?”

 “มีใจคิดเป็นอื่น? ” เซียวจื่อเซวียนได้ฟังเซียวหมิงจูกล่าวเช่นนี้ก็ผงะไป

เซียวหมิงจูกล่าวด้วยท่าทางโมโห “เด็กโง่ บอกว่าเจ้าโง่ เพราะเจ้ายังเล็กเกินไป ถูกความอบอุ่นเพียงวันสองวันบดบังจิตใจ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดนางถึงเปลี่ยนไป? ไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ของเจ้าไปสอบหรอกหรือ นางคิดว่าพี่ใหญ่ของเจ้าต้องสอบได้ ต่อไปนางจะได้เป็นภรรยาขุนนาง จึงทำดีต่อพวกเจ้า! ”

เซียวจื่อเซวียนผงะไป “พี่หมิงจู…”

เซียวหมิงจูกล่าวด้วยต่อท่าทางไม่พอใจ “เจ้าเคยคิดหรือไม่ เหตุใดเซี่ยยวี่หลัวถึงได้แต่งกับพี่ใหญ่ของเจ้า? ไม่ใช่เพราะท่านตาของนางอาศัยเรื่องรักษาอาการป่วยมาบีบคั้นขู่เข็ญพี่ใหญ่ของเจ้าหรอกหรือ หากพี่ใหญ่ของเจ้าไม่ตอบตกลง เขาก็จะไม่รักษาอาการป่วยให้ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้า เดิมทีผู้เป็นหมอก็ควรจะช่วยเหลือผู้ป่วยแบบไร้เงื่อนไข แต่เขากลับใช้ความสุขชั่วชีวิตของพี่ใหญ่เจ้ามาขู่บังคับพวกเจ้า ผู้เป็นตาที่มีเล่ห์เหลี่ยมยากหยั่งถึงเช่นนี้ จะสอนสั่งหลานสาวให้มีจิตใจดีได้อย่างไร? ”

เซียวจื่อเซวียนกำหมัดแน่น ร่างกายเกร็งจนเหยียดตรง ก้มหน้าลง ไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว

เซียวหมิงจูคิดว่าเขาคิดเช่นเดียวกัน จึงกล่าวต่อ “จื่อเซวียน เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าสอบไม่ติด เซี่ยยวี่หลัวกลับสู่สภาพร้ายกาจเหมือนเดิมอีก จะทำอย่างไร? ตอนนี้บ้านเจ้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว หากเซี่ยยวี่หลัวกลับไปร้ายกาจเหมือนเดิมอีก พวกเจ้าสามพี่น้องจะแบกรับได้อย่างไร! ”

เซียวหมิงจูกล่าวไปพลางร่ำไห้ไปพลาง

นางร่ำไห้อย่างหนักประหนึ่งหยาดน้ำฝนที่ร่วงหล่น น้ำเสียงสะอื้น ตอนกล่าวถึงเซี่ยยวี่หลัวก็แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ราวกับเห็นล่วงหน้าว่าเซียยวี่หลัวเป็นคนต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนั้น

ภายในใจเซียวจื่อเซวียนรู้สึกสับสนยิ่งนัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด