[นิยายแปล]グリード×グリード (Greed x Greed) 11

Now you are reading [นิยายแปล]グリード×グリード (Greed x Greed) Chapter 11 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 11

 

「อร๊าาาาาาาาาาาาาาาาาง!」

 

「ร้อน……ร้อนโว้ยยยยยยยย……!」

 

「ไม่น้า หยุดเถอะ!」

 

「อะ มือชั้น เท้าชั้น……!」

 

 

 

 ――――ในห้องที่ร้อนอบอ้าว

 

สถานที่นั้นเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องที่ดั่งอยู่ในขุมนรก

 

ท้ายที่สุดไว้ มนุษย์ที่ถูกแขวนไว้เหมือนอาหารและถูกย่าง

 

ชายในชุดสูทกำลังเยี่ยมชมสถานที่ๆได้เรียกได้ว่าเป็นนรกบนดิน

 

 

 

「ยังไม่สุกอีกงั้นเหรอ」

 

 

 

แม้จะอยู่ต่อหน้าฉากที่เลวร้าย ชายในชุดสูทก็พูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย

 

หลังจากเดินผ่านห้องไปสักพักก็พบคนที่ตามหา

 

 

 

「――――เลบอย」

 

「อ้าว? หัวหน้าเชฟ มีอะไรงั้นเรอครับ?」

 

 

 

เมื่อชายชื่อเลบอยเห็นชายชุดสูทก็โค้งคำนับ

 

 

 

「งานไปถึงไหนแล้ว」

 

「หมายถึงเรื่องการหาส่วนผสมใหม่งั้นเหรอครับ แล้วเป้าหมายล่ะ?」

 

「――――จอมมารแห่งความโลภ」

 

「!」

 

 

 

เลบอยเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากชายชุดสูท

 

 

 

「แต่ว่าเชฟ…..ผมทำคนเดียวไม่ไหวหรอกนะครับ……」

 

「แน่นอนว่ามันไม่ใช่งานที่ง่ายนัก อย่างไรก็ตามจอมมารตนนี้สูญเสียพลังไปเกือบทั้งหมด นอกจากนี้เจ้านายก็ยังเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร」

 

「ถ้างั้น……..ก็เสร็จพวกเราน่ะสิ อย่างไรก็ตาม ผมยังคิดว่าคนไม่พอ」

 

 

 

เลบอยนึกถึงจอมมารแห่งความโลภ แมมมอนและตัวเจ้านายก็หัวเราะออกมา

 

เว้นแต่ว่าจะทำสัญญากับปีศาจหรือเทพที่ทรงพลังมากๆ และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยหากทำสัญญากับจอมมารไปแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม หากจอมมารไร้ซึ่งพลังและเจ้านายเป็นเพียงคนธรรมดา ก็ง่ายเลย

 

 

 

「อย่างไรก็ตาม มันจะลำบากหากสัญญาถูกทำลายและหนีไปได้จะไม่แย่เอาเหรอครับ?」

 

「ไม่ต้องกังวลหรอก สัญญานั้นจะไม่ถูกฉีก เพราะเป็นพันธสัญญาวิญญาณ」

 

「ฮะฮะฮะ หากเป็นแบบนี้ ก็หวานหมูสิ」

 

 

 

เจ้านายที่ไม่มีทั้งความรู้เรื่องโลกเบื้องหลัง กับจอมมารที่ไร้ซึ่งพลัง

 

แม้ว่าจะไม่สามารถลดความระมัดระวังลงได้เนื่องจากเป็นจอมมาร แต่ก็ยังมีโอกาสสูงที่จะจับได้ง่ายๆ

 

 

 

「เข้าใจแล้ว จะรีบเตรียมตัวให้พร้อม ดังนั้นผมจะไปเอง แล้วก็ต้องจับเป็นสินะ?」

 

「ใช่แล้ว รีบทำงานให้เสร็จเร็วที่สุด นายท่านกำลังหิวเอามากๆ」

 

「รับทราบแล้ว เดี๋ยวจะจัดส่งจอมมารมาเป็นวัตถุดิบชิ้นใหม่」

 

 

 

หลังจากได้รับคำสั่ง เลบอยก็เคลื่อนไหวเพื่อมุ่งเป้าไปหาคาเนะฮิโตะ

 

 

 

***

 

 

 

หลังจากประชุมกับสมาชิกสาขาที่ห้า ประธานก็พาชั้นไปที่ห้องฝึก

 

แม้ว่าจะถูกพาไปชมรอบๆแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามาด้านใน

 

ห้องฝึกนั้นทำจากวัสดุและผนังที่แตกต่างจากทางเดินในแผนก แต่ก็ยังมีบรรยากาศล้ำยุคอยู่

 

จากนั้น เมื่อเห็นผนังและกำแพงแบบนั้นแมมมอนก็บ่นด้วยความผิดหวัง

 

 

 

『เฮ้อ ข้าละหน่าย』

 

「เป็นอะไรไป」

 

『ก็วัสดุของห้องนี้มันทำมาจากเหล็กเวทมนตร์(魔鉄鋼) แม้ว่าประสิทธิภาพในการชี้นำพลังเวทย์จะต่ำกว่าแร่ปีศาจ แต่มันก็เป็นวัสดุที่ค่อนข้างทนทาน คงจะเป็นที่ๆดีที่ใช้ในการฝึกซ้อม อย่างไรก็ตาม มันจะน่าเบื่อเกินไปแล้วไม่มีของเจ๋งๆบ้างรึไง』

 

「แต่ถ้าออกตามท้องตลาดทั่วไป……」

 

『เออ!? ถ้าแบบนั้น!』

 

「เอ่อคือช่วยกรุณาหยุดความคิดจะเอาทรัพย์สินของสาขาเราไปขายสักทีจะได้ไหม?」

 

「โอ้ย เสียดายแท้……」

 

 

 

ถูกประธานหยุดเอาไว้

 

มันเจ็บปวดทั้งๆที่กลิ่นเงินอยู่ตรงหน้าแท้ๆแต่กลับทำอะไรไม่ได้

 

ขณะที่จ้องมองพื้น ก็รู้สึกเสียใจจากก้นบึ้งของหัวใจ  

 

 

 

「เฮ้อ….นอกจากจอมมารแห่งความโลภแล้ว ขนาดเจ้านายอย่างคาเนะฮิโตะก็เอากับเขาด้วย……」

 

「ส่วนนั้นอาจจะเป็นข้อดีของชั้นในฐานะเจ้านายก็ได้……」

 

「เคยมีคนกล่าวไว้ว่าผู้ทำสัญญากับข้ารับใช้มักจะมีความชอบคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตามรวมถึงเวทมนตร์เองก็ด้วย ดังนั้นแล้วกรณีนี้มันก็ตรงกับคาเนะฮิโตะเป๊ะเลย สงสัยต้องจดไว้ให้ดี……」

 

 

 

ก่อนที่จะรู้ตัวก็โดนปฏิบัติเหมือนเด็กมีปัญหาแล้ว

 

ก็แค่อยากจะทำตามความปรารถนาของตัวเอง

 

ขณะที่คิดแบบนั้น รุ่นพี่คามิยะชิกิก็เข้ามาหา

 

 

 

「คาเนะฮิโตะคุง ได้โปรดสวมสิ่งนี้ด้วยค่ะ」

 

 

 

หลังจากพูดจบ เธอก็ยื่นสร้อยข้อมือสีดำมาให้ชั้น

 

 

 

「นี่คือเครื่องมือสำหรับใช้กระตุ้นพลังเวทย์และมันจะกระตุ้นพลังเวทย์ของผู้สวมใส่ให้ตื่นขึ้นมา」

 

「เอ๊ะ……」

 

「ตอนนี้ด้วยการทำพันธสัญญากับแมมมอน คาเนะฮิโตะจำเป็นต้องปลุกพลังเวทย์ภายในตัวให้ตื่นขึ้นมา อย่างไรก็ตาม นั่นไม่เพียงพอต่อการใช้เวทมนตร์ เพื่อที่จะใช้เวทมนตร์จำเป็นต้องให้พลังเวทย์ไหลเวียนไปทั่วร่าง」

 

「ถ้าทำแบบนั้นพลังจะเพิ่มขึ้นเหรอ?」

 

「แน่นอนค่ะ เวทมนตร์ที่ติดอยู่กับสร้อยข้อมือจะตอบสนองต่อพลังเวทย์ของคาเนะฮิโตะคุงและจะเปิดใช้งานอัตโนมัติ หากทำแบบนั้นแม้จะเป็นคาเนะฮิโตะก็สามารถใช้เวทย์ได้ค่ะ」

 

 

 

พอใส่สร้อยข้อมือจู่ๆมันก็หดตัวพอดีเข้ากับแขนของชั้น

 

 

 

「หะ」

 

「ตอนนี้มันกำลังวัดพลังเวทย์ของคาเนะฮิโตะคุง」

 

 

 

ทันทีที่ขนาดสร้อยเปลี่ยนไป ก็มีสิ่งแปลกปรากฏขึ้นในร่างกายของชั้น

 

 

 

「อยู่ดีๆ…ใจก็ร้อนผ่าว……!」

 

 

 

ไม่เจ็บหรืออะไรเลยแค่รู้สึกร้อนรุ่มในอก

 

จากนั้นความร้อนก็เคลื่อนตัวอย่างช้าๆโดยไหลเวียนจากศีรษะถึงนิ้วเท้า

 

ในตอนแรกก็ร้อนไปทั้งตัว แต่หลังจากนั้นความร้อนก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

 

 

 

「อะไรล่ะนั่นน่ะ?」

 

「ดูเหมือนว่าการปลุกพลังเวทย์จะเสร็จสิ้นแล้วถ้างั้นผลการวัด—————————หะ?」

 

 

 

ดูเหมือนว่าจะวัดเสร็จสมบูรณ์แล้ว และรุ่นพี่คามิยะชิกิที่เอาสร้อยข้อมือจากชั้นไปก็ตัวแข็งทื่อที่ได้เห็น

 

 

 

「? เรกะ เกิดอะไรขึ้น……!?」

 

「คือว่าเจ้านี่……」

 

「ไหนผมขอดู……」

 

「ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะ!」

 

 

 

เมื่อสมาชิกทั้งหมดเห็นสร้อยที่รุ่นพี่คามิยะชิกิถือ พวกเขาก็ต่างมีปฏิกิริยาเป็นของตัวเอง

 

ประธานเองก็ตัวแข็งทื่อเหมือนกับรุ่นพี่คามิยะชิกิ ทาเคชิก็ยิ้มมาอย่างขมขื่น ยาคุชิจิสับสนหนัก และมานะก็หัวเราะลั่น

 

 ……มองยังไงก็ท่าจะแย่แล้วแฮะ

 

จากนั้น ประธานที่ได้สติกลับมาจากการที่ช็อคกับผลการวัด ก็พูดด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

 

 

 

「ก่อนอื่นเลยนะ……..เกี่ยวกับธาตุของนายปรากฏว่ามันคือ “ความว่างเปล่า(土属性)” มันไม่อยู่ในหมวดหมู่ธาตุใดเลย อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถใช้ธาตุอื่นได้นะ」

 

「เข้าใจแล้ว…ถ้ายังงั้นก็ควรจะฝึกเวทย์ “ความว่างเปล่า” จำพวกนั้นใช่ไหม?」

 

 

 

ในการตอบคำถาม ประธานตอบด้วยความลำบากใจ

 

 

 

「……เอ่อคือ….ที่เรียกว่า “ความว่างเปล่า” ก็เพราะว่าใช้เวทย์ไม่ได้ไงล่ะ」

 

「หะ?」

 

「ไม่  จะพูดให้ชัดเจนกว่านี้ไม่ใช่ว่าใช้เวทย์ไม่ได้ แต่ไม่มีพลังเวทย์พอที่จะใช้เวทย์ต่างหาก」

 

「อาาา……」

 

『ก็นะ ข้ารู้อยู่แล้วตั้งแต่แรก』

 

 

 

แมมมอนเองก็บ่นว่าพลังเวทย์ของชั้นต่ำ

 

 

 

「สรุปคือจะใช้เวทย์ได้ไหม?」

 

『ข้าแนะนำ ถ้าอยากใช้เวทย์ ไปหาทรักซังแล้วเกิดใหม่ง่ายกว่านะ』

 

「เอาจริงดิ」

 

 

 

จนถึงตอนนี้ ไม่เคยโดนจี้ใจดำขนาดนี้เลย แต่เมื่อดูจากปฏิกิริยาทุกคน น่าจะเป็นเรื่องจริง

 

อย่างไรก็ตาม แมมมอน บอกว่ามีแค่เท่าก้นหอย ก็เลยไม่แปลกใจและไม่ได้เศร้าสักเท่าไร

 

 ในความเป็นจริง ชั้นมีชีวิตอยู่โดยปราศจากพลังเวทย์มาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าจะไม่ต้องบอกว่ามีพลังลึกลับก็คงเข้าใจได้

 

 แต่……。

 

 

 

「ด้วยพลังเวทย์แค่นี้ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับนายที่จะทำงานในสาขาแฟนตาซีต่อจากนี้ไป」

 

「เอ๊ะ ทำไมอะ!?」

 

 

 

เดี๋ยวก่อนถ้างั้นก็เป็นปัญหาสิ

 

ถ้าโดนไล่ออก ก็ไม่มีเงินใช้แล้วนะ

 

 

 

「แน่นอนว่าไม่ได้จะไล่ออก แต่แค่จะบอกว่าการเลื่อนตำแหน่งนั้นยากมากเลยล่ะ」

 

「หะ!?」

 

「……องค์กรนี้น่ะ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเหตุการณ์แฟนตาซี มักจะได้เลื่อนตำแหน่งเร็วที่สุด เพราะมันเป็นหน่วยที่ทำขึ้นมาแบบนั้น」

 

「แล้วถ้าชั้นใช้พลังของจอมมารแห่งความโลภ……」

 

『……』

 

 

 

ประธานจ้องมองแมมมอน แต่แมมมอนก็เงียบเป็นเป่าสาก

 

ถึงกระนั้น ชั้นจะอัพเงินเดือนไม่ได้งั้นเรอะ นั่นหมายความว่าชั้นจะหามากกว่านี้ไม่ได้ หรือหาไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม?

 

 

 

「เอ่อ….ไม่มีวิธีไหนที่จะเลื่อนตำแหน่งได้อีกเหรอ……?」

 

「ขอโทษด้วยแต่……」

 

「เอาล่ะ กลับมาสู่โลกความเป็นจริงได้แล้วมั้งคะ?」

 

「อึก!」

 

 

 

จากนั้นมานะก็หัวเราะกับผลการวัดพลังเวทย์ของชั้นและดูถูกกันจนถึงที่สุด

 

ประธานพยายามจะห้าม แต่มานะก็ไม่หยุด

 

 

 

「ก็รู้สึกแย่กับหัวหน้านะ ถึงแม้ว่าจะมีพันธสัญญากับจอมมาร แต่ถ้าไม่มีพลังเวทย์เลยก็เป็นได้แค่พวกไร้ค่าเท่านั้นแหละค่ะ――――『ระเบิดเพลิง(火炎弾)』」

 

 

 

ช่วงเวลาต่อมา มานะก็ยิงกระสุนเพลิงไปที่ผนังห้องฝึก

 

กระสุนเพลิงมีขนาดเท่าหัวมนุษย์ และไหม้อย่างรุนแรงตอนกระทบเข้ากับผนัง

 

 

 

「เห็นไหม ? นี่แหละคือเวทมนตร์ เป็นพลังในการต่อสู้กับพวกแฟนตาซี ดังนั้น ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็ทำอะไรพวกมันไม่ได้หรอกนะ แล้วนายล่ะจะทำอะไรได้ ไร้ซึ่งทั้งพลัง คู่หูก็ไม่มีพลังเวทย์?」

 

 

 

ก็เข้าใจอยู่ ที่พูดแบบนั้น ชั้นมันไร้พลังและไม่สามารถทำอะไรได้เลย

 

 

 

「……ช่างเสียเวลาเสียจริง ดีล่ะถ้าอย่างงั้นขอตัวก่อนนะคะ」

 

 

 

หลังจากพูดจบมานะก็หันหลังกลับและจากไป

 

ขณะที่มีบรรยากาศซับซ้อน ประธานก็พูดขึ้น

 

 

 

「เฮ้อ แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่ได้ความว่าพวกเราจะไม่ปกป้องนาย นายเป็นเจ้านายของจอมมาร ดังนั้นอย่าท้อแท้จนเกินไป พลังเวทย์จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหลังจากปลุกพลังแล้ว แม้ว่าจะทีละน้อยก็ตาม」

 

「ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ชาตินี้หรือว่าชาติหน้า ถึงจะพร้อมที่จะต่อสู้」

 

「เรกะ!」

 

 

 

ถัดจากมานะก็เป็นรุ่นพี่คามิยะชิกิที่หมดความสนใจในตัวชั้นและออกจากห้องไป

 

ประธานเองก็ตามเธอไป

 

ทาเคชิเองก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และจากไปเช่นกัน

 

คนสุดท้ายที่เหลืออยู่คือ ยาคุชิจิที่โค้งคำนับให้กับชั้นแล้วค่อยจากไป

 

ถูกทิ้งอยู่ตามลำพังในห้องฝึก

 

จากนั้นแมมมอนก็หัวเราะ

 

 

 

『ฮะฮะฮ่า สุดยอดเลยนะเนื้อเรื่องนี่กลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยนะ คาเนะฮิโตะ เจ้าเองก็จำได้ใช่ไหมตอนที่ข้าเจอเจ้าครั้งแรกข้าก็พูดแบบนั้น……』

 

「ชั้นมันก็แค่ตัวปัญหาใช่ไหมล่ะ」

 

『……อะไรกันแค่นี้เจ้าก็อารมณ์เสียแล้วเรอะ ท่าทีอันองอาจมันจางหายไปไหนหมดแล้วล่ะ』

 

「งั้นเหรอ? ก็ชั้นมันไม่มีพลังเวทย์ จะไม่ให้หดหู่ได้ยังไง? มันไม่สำคัญหรอกว่าต่อให้ต้องทำยังไง ชั้นก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาก็เท่านั้น เวลามีค่าทุกอย่างกลายเป็นเงินได้」

 

 

 

แมมมอนพยักหน้ากับคำพูดของชั้น

 

 

 

『ใช่แล้วที่เจ้าพูดมามันก็ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย』

 

「อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ชั้นจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์และก็เรื่องสายพันธุ์งั้นเหรอ……」

 

『ทำไมเจ้าถึงต้องพยายามเรียนเวทย์ทั้งๆที่เจ้าก็ใช้ไม่ได้แท้ๆ?』

 

「แน่นอนสิ? มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างรู้กับไม่รู้ แม้ว่าจะใช้ไม่ได้ แต่หากคู่ต่อสู้ใช้เวทย์ที่ชั้นรู้จัก ชั้นก็จะสามารถตอบโต้ได้หากรู้เรื่องนั้น」

 

『แต่ว่าสำหรับเจ้าในตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องยากในการหลบการโจมตีเหล่านั้นล่ะนะ』

 

「อย่างน้อยมันก็เพิ่มความเป็นไปได้ นี่ นายเองก็มาช่วยชั้นด้วย?」

 

『เหตุใดข้าต้องลดตัวไปทำแบบนั้นกันเล่า』

 

「ลืมไปแล้วรึไงถ้าชั้นตาย นายก็ตายด้วย หากเป็นแบบนั้นนายก็ต้องช่วยชั้น เพื่อที่ชั้นจะได้เอาตัวรอดจากทุกสถานการณ์」

 

『ก๊ากกฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า………..เออก็จริงว่ะ……』

 

 

 

แมมมอนหมดคำพูด แต่แล้วก็ถอนหายใจและมองสิ่งรอบตัว

 

 

 

『เฮ้อ….ไม่มีใครอยู่เลยสินะ?』

 

「เอ๊ะ ! ทุกคนออกไปกันหมดแล้วนี่」

 

 

 

เมื่อชั้นพูดแบบนั้น แมมมอนก็จ้องมองชั้นด้วยสีหน้าจริงจัง……。

 

 

 

『เพื่อให้เจ้าได้มีชีวิตรอดได้นานที่สุด ข้าจะสอนเกี่ยวกับพลังของข้าให้เอง』

 

 

 

ใช่แล้วนั่นคือสิ่งที่สองเราต้องทำ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด