สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 10.3 ชื่อเสียงป่นปี้ (3)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 Chapter 10.3 ชื่อเสียงป่นปี้ (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จางอวิ๋นอี้มีท่าทีหลบหลีก ประเดี๋ยวก็มองไปที่ฉู่หลิงอวิ้น ประเดี๋ยวก็ก้มหัวมองที่พื้น ท้ายที่สุดก็ฝืนใจกล่าวออกไป “ตอนนั้นฟ้ายังไม่สว่างมาก ข้าจึงอาจจะตาลายไป อีกทั้ง…เวลานั้นใครจะคิดว่ามีคนใจกล้าทำเรื่องเช่นนี้…”

พูดโกหกต่อหน้าฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่าความกล้าของเขายังมีไม่พอ พลั้งปล่อยความขลาดออกมาอย่างง่ายดาย

ฮ่องเต้ประกายตาวาบ เหลือบมองผ่านฉู่หลิงอวิ้นที่ทำท่าทีกระวนกระวายใจไป จึงเผยใบหน้าราวกับมีพายุโหมกระหน่ำ เข้าใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ชั่วทั้งชีวิตของเขาล้วนแต่ยืนอยู่เหนือมวลชน มีอำนาจในการทำให้เรื่องราวพลิกเปลี่ยน ถึงแม้จะไม่มีคนกล้านินทา

แต่เมื่อพบฉู่หลิงอวิ้น หลานสาวที่ทำให้เขาเสียชื่อเสียง ทั้งถูกเขามองเป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง

ในช่วงเวลานั้น ดวงตาของโอรสสวรรค์ก็ปรากฏจิตสังหารที่เยือกเย็นประกายออกมา เพียงแต่ตอนที่สองสกุลโต้เถียงกันอย่างไม่หยุดข้างล่างจึงมองไม่เห็นความรู้สึกนี้ไป มีเพียงหลี่รุ่ยเสียงเท่านั้นที่รู้สึกถึงได้อย่างชัดเจน

หลังจากหลัวอี้ตาย ในใจของหลัวฮองเฮาก็มีแต่ความคับข้องใจ วันนี้จึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะมาปกป้องฉู่หลิงอวิ้น จึงไม่สนใจจะไปสืบสาเหตุเบื้องลึกเบื้องหลัง กล่าวไปด้วยเสียงเรียบเย็น “ในเมื่อเรื่องราวล้วนคลี่คลายแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ให้จบเพียงเท่านี้เถิด บ่าวสองคนนี้ใจกล้าไม่เกรงกลัวอันใด ลากลงไปแล่เนื้อเถือหนังซะ เรื่องนี้ต่อไปก็ไม่ต้องยกขึ้นมาพูดอีก”

“ฮองเฮาเพคะ…” ฮูหยินแซ่จางร้องเสียงแหลม จะต้องปล่อยฉู่หลิงอวิ้นไปเช่นนี้น่ะหรือ?

หลัวฮองเฮาเหลือบตามองนางอย่างไม่ยินดี

ฮูหยินแซ่จางถึงแม้จะโมโหอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าที่จะท้าทายกับนางอย่างเปิดเผย ลังเลอยู่นานก็ยังหลับตาลงอย่างฝืนใจกล่าวไป “เพคะ หม่อมฉันเคารพในการตัดสินพระทัยของฮองเฮาเพคะ!”

ตอนที่พูดว่าการตัดสินพระทัยของฮองเฮานั้นเห็นได้ชัดว่ากัดฟันพูด

สีหน้าของหลัวฮองเฮาดูไม่ค่อยดี นางกดความโกรธเอาไว้มองไปยังฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พระองค์ว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไรดีเพคะ?”

“ในเมื่อเรื่องราวชัดเจนขึ้นแล้ว บ่าวสองคนนั้นก็ตัดสินโทษตามที่ฮองเฮากล่าวไว้เถิด!” ฮ่องเต้กล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบ คนแซ่เจิ้งจึงค่อยวางใจลง ก่อนที่จะได้ยินเขากล่าวอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาโดยมองตรงไปทางฉู่หลิงอวิ้น “สามีเพิ่งจะตาย ในฐานะที่เจ้าเป็นภรรยาก็ควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเขาหน่อย กลับไปก็เก็บข้าวเก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าตรู่ออกเดินทางไปวัดก่วงเหลียนถือศีลภาวนาแทนเขาซะ!”

การสาดน้ำเย็นใส่หน้าจังๆ เช่นนี้ ทำให้สองแม่ลูกแซ่เจิ้งหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ

คำสั่งครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการขับไล่ธรรมดาอย่างแน่นอน ฮ่องเต้…พระองค์จะ…

คนแซ่เจิ้งตื่นกลัวขึ้นมา รีบหันกายคุกเข่าลงกล่าวกับฮ่องเต้ทันที “ฝ่าบาท ในจวนของกระหม่อมเองก็มีห้องโถงพระ

อวิ๋นเจี่ยนเด็กคนนั้นน่าสงสารจริงๆ อวิ๋นเอ๋อร์เป็นภรรยาให้นางถือศีลเคร่งครัดก็นับว่าเป็นเรื่องที่ควร แต่พระองค์ว่า…”

วัดก่วงเหลียนห่างจากเมืองหลวงนับสามสิบลี้ ถึงแม้จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่สุดแล้วก็ไกลเหลือเกิน คนแซ่เจิ้งไหนเลยจะยอมให้ลูกสาวไปตกระกำลำบากอยู่ที่นั่น?

หน้าของหลัวฮองเฮาก็เปลี่ยนสีเช่นกัน กล่าวออกไปอย่างสองจิตสองใจ “ฝ่าบาท…”

“พอแล้ว!” ฮ่องเต้กลับไม่รอให้นางพูดจบก็กล่าวขัดขึ้นมา หันไปกล่าวกับฉู่หลิงอวิ้น “ข้าบอกให้เจ้าไปเจ้าก็ต้องไป

จะพูดเรื่องไร้สาระอะไรออกมาตั้งมากมาย?”

เห็นได้ชัดว่าเป็นการร้องขอจากคนแซ่เจิ้งและหลัวฮองเฮา ทว่าฮ่องเต้กลับนำความโมโหทั้งหมดมาลงที่ตัวนาง

ใจของฉู่หลิงอวิ้นเย็นเยือกเป็นพักๆ เริ่มเข้าใจอย่างเลือนราง…

เกรงว่าในใจของฮ่องเต้จะเกิดความไม่พอใจต่อนางแล้ว

“เพคะ!” นางใช้แรงขบมุมปาก คุกเข่าขานรับด้วยเสียงแผ่วเบา

แม้จะไม่สามารถจัดการคนเลวให้ตายได้ แต่ว่าการที่นางได้ถูกส่งไปตกระกำลำบากในสถานที่ที่รกร้างห่างไกลผู้คนเช่นนั้นก็ทำให้รู้สึกสะใจไม่น้อย

ฮูหยินแซ่จางก็นับว่ากู้หน้าขึ้นมาได้

ใบหน้าของหลัวฮองเฮาและคนแซ่เจิ้งนั้นยากที่จะมองเป็นที่สุด ทว่าฮ่องเต้ก็โบกมือกล่าว “แยกย้ายกลับไปได้!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนต่างก็ค่อยๆ ลุกขึ้นคำนับ

จางอวิ๋นอี้และคนแซ่เฉียนพยุงมือของฮูหยินจางคนละข้างเดินออกมาด้านนอก เพิ่งจะถึงปากประตู กลับพบเข้ากับ

ฉู่อี้หมินที่สีหน้าดูไม่ค่อยดี หอบฎีกากองใหญ่เดินเข้ามาจากด้านนอก จึงยกมือหยุดจางติ่งและลูกชายไว้ กล่าวเสียงเรียบนิ่ง “พวกเจ้าพ่อลูกจวนติ้งเป่ยโหวรั้งอยู่ก่อนเถิด ออกไปเดี๋ยวก็ได้กลับเข้ามาใหม่ จะเสียเวลาเปล่าๆ!”

ทุกคนพลันหยุดฝีเท้าลง

ฉู่อี้หมินเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม สองมือหอบเอากองฎีกาถวายให้กับฮ่องเต้ที่โต๊ะทรงอักษร กล่าวว่า “เสด็จพ่อ นี่เป็นหลักฐานความผิดที่ฝ่ายตุลาการเพิ่งจะรวบรวมไม่นานมานี้ มีคนกล่าวหาว่าติ้งเป่ยโหวแอบยักยอกเงินที่ใช้ในการสร้างเขื่อน เป็นเงินจำนวนมหาศาล ที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงพ่ะย่ะค่ะ!”

สองพ่อลูกสกุลจางเมื่อได้ฟังก็ราวกับสมองระเบิดออกจากกัน

แต่ไหนแต่ไรเรื่องที่เกี่ยวพันกับเรื่องเงินนั้น ใช่ว่าจะมีขุนนางคนไหนที่ขาวสะอาด จุดนี้ฮ่องเต้รู้ดี เขาไหนเลยจะเพิกเฉยตรวจสอบการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับโครงการซ่อมแซมเขื่อนที่จางติ่งได้รับมอบหมาย? เพียงแต่หาจังหวะไม่ได้ก็ปล่อยไป

ฉู่อี้หมินกลับใช้ข้อกล่าวหาร้องเรียนขึ้นมาในตอนนี้ แค่นี้ก็รู้ได้อย่างทันทีว่าเป็นการอาศัยอำนาจมาแก้แค้นในเรื่องของฉู่หลิงอวิ้น!

ฮ่องเต้เหลือบมองดูลูกชายคนนี้ ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักคุณและโทษอยู่ในใจ

จางติ่งนั้นกระวนกระวายใจ รีบร้อนหันกลับไปคุกเข่า ร้องครวญด้วยเสียงขอความเมตตา “ฝ่าบาทได้โปรดตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่ากระหม่อมจะทำอะไรก็ล้วนแต่ทำด้วยความเที่ยงธรรมซื่อตรงมาโดยตลอด จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ พ่ะย่ะค่ะ อาจจะเพราะพลาดพลั้ง…”

“เข้าใจผิด!” ฉู่อี้หมินยิ้มเย็น สองมือนั้นออกมาจากแขนเสื้อ ใช้สายตาที่หยิ่งผยองนั้นมองดูเขา “ฎีกาที่ฝ่ายตุลาการร้องเรียนติ้งเป่ยโหวของเจ้านั้นมีไม่น้อยกว่าร้อยฉบับ เพราะเห็นแก่นายใหญ่สกุลโหว องค์รัชทายาทจึงเก็บเรื่องเหล่านี้เอาไว้มาตลอด เพื่ออยากให้โอกาสเจ้าทำความดีหักล้างความผิด คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวครั้งนี้เจ้าจะทำเกินไปจริงๆ เงินหนึ่งล้านตำลึง หนึ่งในสามส่วนกลับเข้าไปในกระเป๋าของเจ้า ติ้งเป่ยโหว การซ่อมแซมช่องน้ำนั้นเกี่ยวพันกับการใช้ชีวิตของชาวบ้านตาดำๆตลอดฝั่งแม่น้ำ เจ้าละเลยในหน้าที่เช่นนี้ อยากจะทำร้ายคนไปอีกเท่าไรจึงจะยอมวางมือยุติเรื่องนี้กัน?”

ในเมื่อพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ฝ่าบาทก็มิอาจทำเป็นไม่สนใจได้ จึงเปิดฎีกาขึ้นมาฉบับสองฉบับ ยิ่งอ่านใบหน้าก็ยิ่งมืดมนจนยากที่จะมอง โดยเฉพาะเมื่อเห็นข้อร้องเรียนเรื่องแม่น้ำทางฝูเจี้ยนที่ถูกส่งเข้ามาอย่างเร่งด่วนเมื่อสามวันก่อน ปีที่แล้วเพิ่งจะซ่อมแซมช่องทางน้ำเสร็จ เพียงในเวลาไม่กี่วัน หลักจากเกิดพายุหิมะก็เกิดรอยร้าวขึ้น เห็นได้ชัดว่า ถ้าหากถึงฤดูฝนในปีหน้าก็คงจะเสียหายอย่างหนักแน่นอน

“พวกไร้ประโยชน์!” ฮ่องเต้ด่าด้วยความโกรธเกรี้ยว ขว้างฎีกาอันนั้นไปทางจางติ่งที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง “เจ้าอ่านเองซะ อ่านเสร็จแล้วก็อธิบายให้ข้าฟัง!”

จางติ่งเหงื่อผุดขึ้นเต็มศีรษะ เก็บฎีกาฉบับนั้นขึ้นมาอย่างสั่นๆ ก่อนจะเปิดออก

เดิมทีตัวเขาก็อาศัยบารมีของพ่อที่ทำให้มีตำแหน่งที่ดีเช่นนี้ ไหนเลยจะมีความกล้าหาญและความสามารถ เวลานี้ก็สะดุ้งจนตัวโยน ร่างสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่

ทางแม่น้ำฝูเจี้ยนด้านนั้นเกิดเรื่อง แท้จริงสองวันก่อนหน้าอาศัยจากฐานะของเขาก็รู้แล้ว ทั้งยังเขียนจดหมายหย่าให้เพื่อนที่คบหาในขณะนั้นช่วยปิดบังเอาไว้เรียบร้อย ไม่คาดคิดว่าฎีกาจะส่งมาถึงเมืองหลวงเร็วขนาดนี้

แทบไม่จำเป็นต้องอ่านอย่างละเอียด ตัวเขาเองก็รู้ดีว่ายากที่จะหนีโทษ รีบร้อนเขกหัวกับพื้น “ฝ่าบาท…โปรดเมตตา ขอฝ่าบาทโปรดเมตตา กระหม่อมรู้ผิดแล้ว กระหม่อมกลัวแล้ว…กลัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”

“เจ้าพูดแต่คำว่ากลัวแล้ว ก็จะไม่สนใจความเป็นความตายของประชาชนนับแสนที่อยู่ทั้งสองฝั่งงั้นรึ? เจ้าช่างเกรงกลัวเสียจริงๆ!” ฮ่องเต้กล่าวเสียงดังอย่างโมโหสุดขีด ยกมือชี้ไปทางด้านนอกตำหนักอย่างไม่ลังเล “ทหาร นำตัวติ้งเป่ยโหวออกไปให้ข้า ขังไว้ในคุกหลวง หลังจากนั้นสามวันลงโทษตัดคอต่อหน้าผู้คน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป”

องครักษ์รับคำก่อนจะกรูเข้ามา

จางติ่งในเวลานี้ตกใจจนขาสองข้างอ่อนยวบ แม้แต่กำลังในการขัดขืนก็ยังไม่มี

จางอวิ๋นอี้ที่เห็นเหตุการณ์อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายขึ้นมา เร่งร้อนโขกศีรษะลงกับพื้นต่อหน้าฮ่องเต้ “ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อเพียงหน้ามืดตามัวไปชั่วครู่เท่านั้น เงินก้อนนั้นที่ยักยอกไป พวกเราจะชดใช้คืนให้สองเท่า อาศัยตอนที่ยังไม่ถึงช่วงน้ำหลาก ใช้โอกาสนี้แก้ไขยังทันนะพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดเมตตา ให้โอกาสพวกเราแบกรับความผิดเพื่อสร้างคุณประโยชน์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ใบหน้าของฮ่องเต้ดำมืด สกุลจางนี้ใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว หากยังหลงเหลือไว้ภายหน้าก็อาจจะก่อเรื่องวุ่นวายให้เขาอีก

เขามองดูสองพ่อลูกที่อยู่ด้านล่าง เผยในหน้าเยือกเย็นไม่เหลือสีหน้ายินดีแม้แต่น้อย

ดวงตาจับจ้องไปทางจางติ่งที่ถูกคุมตัวเอาไว้ ฮูหยินแซ่จางที่ตกตะลึงจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเกือบค่อนวัน เวลานี้เพิ่งจะสั่นขึ้นมา เดินตุปัดตุเป๋ดึงตัวจางติ่งไว้ ร้องเสียงเศร้า “อย่านะ!”

เวลานี้ ไร้ซึ่งหนทางที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นแล้ว นางจึงยอมฝืนใจ บิดหน้าไปหาฉู่หลิงอวิ้นอย่างทันที กล่าวอย่างร้องขอ “ท่านหญิง พวกเราผิดไปแล้ว เป็นข้าที่เข้าใจท่านผิด จะอย่างไรท่านก็เป็นคนของสกุลจาง ท่านรีบขอความเมตตาแทนสามีที ขอร้องด้วยท่าทีที่น่าเห็นใจต่อฝ่าบาท สกุลจางของพวกเราไม่อาจขาดเขาไปได้! ”

หากจางติ่งถูกรับโทษ เช่นนั้นฐานันดรของพวกเขาสกุลจางแปดถึงเก้าส่วนต้องถูกริบคืน พอถึงเวลานั้นก็หมดสิ้นแล้วจริงๆ

ใครก็ล้วนไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ฉู่อี้หมินจะปรากฏตัว ลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้กับสกุลจาง

ฉู่หลิงอวิ้นอึ้งไปพักใหญ่ เวลานี้เมื่อสติกลับเข้าร่องเข้ารอยสิ่งที่ประกายวาบเข้ามาในหัวอย่างแรกคือ…

ท่านพ่อต้องถูกใครบางคนส่งเสริมจึงทำเรื่องนี้เป็นแน่!

บีบบังคับสกุลจางจนไร้ทางหนี คนพวกนั้นหากจนตรอกก็ทำอะไรได้ทั้งนั้น เช่นนั้นนางควรจะทำอย่างไรดีเล่า?

เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องราวไม่จบไม่สิ้นกับนาง ฉู่หลิงอวิ้นสั่นไปทั่วร่าง ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

การกระทำของนางล้วนตกอยู่ในสายตาของฮูหยินแซ่จาง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมดหวังยิ่งขึ้นไปอีก นางอดไม่ไหวจึงหันไปทางฉู่อี้หมิน เอ็ดร้องเสียงดัง “อ๋องหนานเหอ ท่านใจดำอำมหิตเสียจริง ทำเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ลงไปเพื่อลูกสาวตนเอง ตอนนี้อยากจะฆ่าปิดปากพวกเราสกุลจางทั้งสกุลใช่หรือไม่? รีบร้อนฆ่าล้างสกุลขนาดนี้ไม่นึกถึงบาปบุญ นี่ท่านไม่กลัวเวรกรรมจะตามสนองคืนหรอกหรือ?”

ฉู่อี้หมินถูกฉู่หลิงอวิ้นและฮูหยินแซ่จางทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ วันนี้เพียงอยากจะเห็นคนพวกนั้นถูกชำระความให้พ้นสายตาไป

ใบหน้าของเขามืดมน ก่อนจะกล่าวกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้าไม่ต้องมาอาศัยฐานะอวิ้นเอ๋อร์ที่เป็นสะใภ้สกุลเจ้ามาวางอำนาจบาตรใหญ่ เรื่องราชกิจก็คือราชกิจ เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว ฝ่ายตุลาการสรุปข้อร้องเรียนของติ้งเป่ยโหวออกมา ข้าก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่!”

———————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด