สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 57.4 ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องเป็นของข้าอยู่ดี! (4)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 Chapter 57.4 ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องเป็นของข้าอยู่ดี! (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ณ วังหลวง

 

องครักษ์เงาหกคนคุกเข่าลงในตำหนักของฮ่องเต้อย่างพร้อมเพรียง พวกนางก้มศีรษะลงต่ำและไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

 

ฮ่องเต้นั่งหน้าบึ้งจนดูน่ากลัวยิ่งนักอยู่บนเตียง เพราะเพิ่งจะถูกปลุกให้ตื่น เขาจ้องกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเขม็งจนรู้สึกเหมือนเย็นยะเยือก

 

คนชุดดำที่เป็นหัวหน้าประคองดาบโค้งไว้ด้วยสองมือ

 

รอยเลือดบนนั้นถูกน้ำฝนชะล้างจนเกลี้ยงแล้ว ดาบนั้นส่องแสงเย็นเยียบใต้แสงตะเกียงและสะท้อนสีหน้าของฮ่องเต้ที่ยิ่งเย็นชาและเฉียบขาดจนน่ากลัวดุจคมมีด

 

“พวกข้าไม่ได้ตัวนางมา เพราะคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นช่วยซื่อหรงไปแล้ว” คนชุดดำที่เป็นหัวหน้าเอ่ย ถึงแม้นางจะพยายามสงบสติอารมณ์อย่างที่สุดแล้ว แต่ก็ยังเหงื่อตกโซมกาย “นี่คือดาบของนางเพคะ!”

 

ฮ่องเต้เงียบไปนานมาก แล้วถึงจะเอ่ยอย่างฝืดเคืองว่า “ส่งมา!”

 

“เพคะ!” นางขานรับและลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบายใจนัก พลางก้มตัวและก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วส่งดาบโค้งในมือให้

 

ฮ่องเต้จ้องปลายดาบนั้นไม่วางตา หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่อีกครั้งถึงจะค่อยๆ ยื่นมือมารับดาบโค้งเล่มนั้นไป

 

สองขาของคนชุดดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาสั่นเล็กน้อย แทบจะจินตนาการถึงโชคชะตาต่อไปของตนเองได้

 

มือของฮ่องเต้แอบสั่นเล็กน้อย ขณะถือดาบเล่มนั้น แล้วทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้น

 

องครักษ์คนนั้นเผลอหลับตาลง ในใจมีเพียงความสิ้นหวัง

 

ทว่าหลังจากนั้นกลับได้ยินเสียงของแตกตรงหน้าไม่ดังนัก ตามด้วยเสียงดังสนั่น แล้วก็เสียงเครื่องเคลือบแตกอีก ดาบโค้งเล่มนั้นบินเฉียงออกไปผ่ากลางชั้นวางกระถางดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล

 

“ไสหัวไป!” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็นเยียบ

 

คนชุดดำอึ้งไปแล้วก็รีบคุกเข่าขอบพระคุณเหมือนได้นิรโทษกรรม และคนทั้งกลุ่มก็รีบถอยออกไปทันที

 

จนกระทั่งทุกคนจากไปแล้ว เย่าสุ่ยยังคงด้อมๆ มองๆ อยู่ด้านนอกไม่กล้าเข้าไปข้างใน แต่ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้นกลับได้ยินเสียงคนถามจากข้างหลังว่า “ทำลับๆ ล่อๆ อะไร?”

 

เย่าสุ่ยพลันรู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีที่หันกลับไปเห็นหลี่รุ่ยเสียงยืนอยู่ด้านหลัง เขาเอ่ยอย่างดีใจจนน้ำตาเกือบจะไหลว่า “ท่านอาจารย์ ช่วงสองสามวันนี้ท่านไม่มาเพราะเป็นหวัดไม่ใช่หรือขอรับ?”

 

“ไม่เข้าไปคอยรับใช้ แล้วเจ้ามาแอบทำอะไรอยู่ตรงนี้?” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย พลางขมวดคิ้วมองเข้าไปในตำหนัก

 

“ฝ่าบาทพิโรธอยู่น่ะสิขอรับ!” เย่าสุ่ยเอ่ยเสียงเบา

 

เขาไม่ค่อยรู้เรื่ององครักษ์ลับ เมื่อครู่ก็ไม่กล้าเข้าไปข้างใน ตอนนี้จึงทำได้เพียงเตือนอย่างกำกวมเท่านั้น

 

หลี่รุ่ยเสียงเขม่นมองแล้วสูดหายใจเล็กน้อย และตบบ่าเขาแล้วเดินเข้าไปด้านใน

 

ฮ่องเต้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงในท่าเดิม เศษกระถางดอกสุ่ยเซียน (ดอกนาร์ซัส) ตกแตกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น

 

หลี่รุ่ยเสียงเดินเข้าไปหา ทว่าพอเห็นดาบโค้งตกอยู่ท่ามกลางเศษกระถางแตกก็พอจะเข้าใจ จึงลองถามเอ่ย

 

“ฝ่าบาท ซื่อหรงนาง…”

 

“นังสารเลว!” ฮ่องเต้ด่าทออย่างโมโห ทีแรกก็แค่โพล่งออกไปโดยไม่ได้ยั้งคิด แต่เพราะเก็บโทสะไว้ในใจนานเกินไป เวลานี้เสียงที่ออกมาจึงกลายเป็นเสียงคำรามอย่างยั้งไว้ไม่อยู่

 

เขาทุบไม้รองเตียงอย่างแรง ท่าทางน่าเกรงขามและเคร่งขรึมจนทำให้ผู้คนเคารพยำเกรงของฮ่องเต้ในอดีตหายไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ เขาแผดเสียงดังลั่นอย่างควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่

 

หลี่รุ่ยเสียงขมวดคิ้ว พอเขาโบกมือ เย่าสุ่ยที่อยู่ด้านนอกก็รีบพาเหล่าข้ารับใช้ถอยออกไป

 

หลี่รุ่ยเสียงรอจนฮ่องเต้ระบายอารมณ์ออกมาหมดแล้ว ถึงเดินเข้าไปตบหลังให้เขาใจเย็นลงว่า “ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะก่อนพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงกำชับแล้วว่าให้พระองค์พยายามอย่าพิโรธ พระวรกายของพระองค์สำคัญที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

“นังชั่วนั่นไปเข้าพวกกับซูอี้อย่างที่คิดแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างจงเกลียดจงชัง แล้วกระอักเลือดออกมาระหว่างที่พูดอย่างกะทันหัน

 

“ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงตกใจและรีบเข้าไปพยุงเขาไว้ พอจัดการพาเขากลับไปนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้วก็ค้นหายาออกมาจากใต้ที่วางเท้าไม้และป้อนให้เขาสองเม็ดติดกัน

 

ฮ่องเต้นอนอยู่บนเตียง สายตาจับจ้องผ้าม่านสีเหลืองสดใสเหนือศีรษะอย่างเย็นชา สีหน้าเคียดแค้นไม่เปลี่ยนอยู่นานมาก

 

หลี่รุ่ยเสียงหันไปจัดการคราบสกปรกบนพื้น ตอนที่เขาจัดการเรียบร้อยแล้วกลับไปข้างเตียงอีกครั้ง สีหน้าของฮ่องเต้ก็เหมือนจะผ่อนคลายลงแล้ว แต่สายตานั้นยังคงเย็นยะเยือกเหมือนเดิมจนน่าตกใจ

 

“ลองไปตรวจสอบดูว่าองครักษ์เงาที่ส่งไปทำงานสองกลุ่ม ทำไมกลับมาแค่กลุ่มเดียว” ฮ่องเต้สั่ง เวลานี้เขาใจเย็นลงบ้างแล้ว

 

“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่รุ่ยเสียงตกใจ “เป็นไปได้อย่างไรกัน? องครักษ์เงากลุ่มนั้นน่าจะมีกันมากถึงสิบสองคนได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีทาง…”

 

“ไม่ได้ข่าวคราวแล้วก็ไม่ได้ส่งสัญญาณลับติดต่อมา นังสารเลวนั่นรู้เรื่องมากเกินไป จะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ไม่ได้เด็ดขาด!” ฮ่องเต้กล่าว ถึงแม้น้ำเสียงจะเหมือนนิ่งสงบ แต่กล้ามเนื้อข้างแก้มกลับสั่นไม่หยุดทุกขณะ ทุกคำที่ออกมาจากปากนั้นเห็นชัดได้ว่าอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุด

 

แล้วเขาก็หลับตาไม่เอ่ยอะไรอีก

 

มีแต่เขาเองที่รู้เคล็ดลับยาพิษที่เขาใช้คุมองครักษ์เงา หากไม่ใช่ว่าคนทรยศอย่างซื่อหรงแพร่งพรายเรื่องราวออกไป จะไม่ได้ข่าวคราวขององครักษ์เงาทั้งสิบสองคนแม้แต่นิดเดียวจนเหมือนหายตัวไปอย่างกะทันหันได้อย่างไร?

 

หลี่รุ่ยเสียงก็รู้ว่าฮ่องเต้มีเรื่องปิดบังเขาอยู่เช่นกัน แต่กลับตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนเองต่อไปโดยไม่ถามอะไรมาก แค่เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “เช่นนั้นเข้าเฝ้าเช้าวันนี้…”

 

“เตรียมชุดพิธีการให้ข้า!” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น

 

“แต่พระวรกายของฝ่าบาทเป็นเช่นนี้ พักสักวันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย

 

“เตรียมชุดพิธีการ!” ฮ่องเต้กล่าวซ้ำโดยไม่ฟังแม้แต่นิดเดียว

 

หลี่รุ่ยเสียงจึงจำเป็นต้องขานรับแล้วไปจัดการอย่างจำใจ

 

ยามห้าเกิงฮ่องเต้เตรียมตัวพร้อมและนั่งรถม้าไปท้องพระโรงแล้ว

 

เพราะว่าเป็นหน้าร้อน เวลานี้ฟ้าจึงเริ่มสว่างแล้ว แสงสว่างที่เข้ามาแทนที่ความมืดมิดตกกระทบใบหน้าของฮ่องเต้ ทำให้สีหน้าของเขาดูแปลกเป็นพิเศษ

 

หากเป็นเมื่อก่อน ปกติแล้วเขาจะต้องเลือกเก็บตัวและงดเข้าเฝ้าหนึ่งวัน เพื่อไม่ให้พวกขุนนางรู้ว่าตนเองแข็งแรงแค่ภายนอก แต่เพราะวันนี้กำลังโมโห ใครพูดอะไรจึงไม่ฟังทั้งนั้น

 

ขุนนางทั้งหมดมารออยู่ในท้องพระโรงก่อนแล้ว พอได้ยินเสียงหลี่รุ่ยเสียงว่าฮ่องเต้มาถึงแล้ว ทุกคนต่างรีบคุกเข่ารับเสด็จ เสียงกล่าวทรงพระเจริญหมื่นปีดังสนั่นอย่างเหลือเชื่อ

 

ฮ่องเต้เดินขึ้นบันไดโดยมีหลี่รุ่ยเสียงคอยช่วยพยุง พอประทับบนบัลลังก์สูงแล้วก็ตรัสขึ้นมาเองก่อน โดยไม่รอให้หลี่รุ่ยเสียงเอ่ยปากว่า “วันนี้ข้ามีเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบตามแนวแม่น้ำหมิน…”

 

ทว่าเขายังพูดไม่ทันจบ กลับเห็นองครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างรวดเร็วและคุกเข่าอยู่หน้าประตูใหญ่ไกลๆ ว่า “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพซูขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”

 

แม่ทัพซู? ซูอี้?

 

เขาควรจะบัญชาการรบอยู่ที่ค่ายทหารหมินเจียงไม่ใช่หรือ?

 

เหล่าขุนนางได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ฮ่องเต้กำหมัด ความเย็นชาฉายผ่านดวงตาไปอย่างเลือนราง พลางกัดฟันพยายามคิดหาทางบอกปัดไม่ให้ซูอี้เข้ามา

 

ซูอี้ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าตนเองกำลังหาตัวเขาอยู่ หากยังเข้าวังมาอย่างเปิดเผยในเวลานี้ แสดงว่าต้องเตรียมพร้อมมาก่อนแล้วแน่นอน

 

นี่เขายังไม่ทันได้ตอบโต้ เจ้าหนุ่มคนนี้ก็เข้าวังอย่างเปิดเผยเพื่อมาท้าทายเขาแล้วหรือ?

 

ฮ่องเต้เปลี่ยนสีหน้าไปมาหลายครั้ง แต่ยังคงคิดหาข้ออ้างปฏิเสธอยู่

 

องครักษ์คนนั้นดูสถานการณ์แล้วก็จำเป็นต้องแข็งใจหยิบกล่องผ้าไหมที่ซูอี้มอบให้เขาก่อนหน้านี้จากข้างหลัง มายกขึ้นเหนือศีรษะสูงๆ ถวายแก่ฮ่องเต้ “แม่ทัพซูฝากถวายให้ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทโปรดรับไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

———————————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 57.4 ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องเป็นของข้าอยู่ดี! (4)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 Chapter 57.4 ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องเป็นของข้าอยู่ดี! (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ณ วังหลวง

 

องครักษ์เงาหกคนคุกเข่าลงในตำหนักของฮ่องเต้อย่างพร้อมเพรียง พวกนางก้มศีรษะลงต่ำและไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

 

ฮ่องเต้นั่งหน้าบึ้งจนดูน่ากลัวยิ่งนักอยู่บนเตียง เพราะเพิ่งจะถูกปลุกให้ตื่น เขาจ้องกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเขม็งจนรู้สึกเหมือนเย็นยะเยือก

 

คนชุดดำที่เป็นหัวหน้าประคองดาบโค้งไว้ด้วยสองมือ

 

รอยเลือดบนนั้นถูกน้ำฝนชะล้างจนเกลี้ยงแล้ว ดาบนั้นส่องแสงเย็นเยียบใต้แสงตะเกียงและสะท้อนสีหน้าของฮ่องเต้ที่ยิ่งเย็นชาและเฉียบขาดจนน่ากลัวดุจคมมีด

 

“พวกข้าไม่ได้ตัวนางมา เพราะคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นช่วยซื่อหรงไปแล้ว” คนชุดดำที่เป็นหัวหน้าเอ่ย ถึงแม้นางจะพยายามสงบสติอารมณ์อย่างที่สุดแล้ว แต่ก็ยังเหงื่อตกโซมกาย “นี่คือดาบของนางเพคะ!”

 

ฮ่องเต้เงียบไปนานมาก แล้วถึงจะเอ่ยอย่างฝืดเคืองว่า “ส่งมา!”

 

“เพคะ!” นางขานรับและลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบายใจนัก พลางก้มตัวและก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วส่งดาบโค้งในมือให้

 

ฮ่องเต้จ้องปลายดาบนั้นไม่วางตา หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่อีกครั้งถึงจะค่อยๆ ยื่นมือมารับดาบโค้งเล่มนั้นไป

 

สองขาของคนชุดดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาสั่นเล็กน้อย แทบจะจินตนาการถึงโชคชะตาต่อไปของตนเองได้

 

มือของฮ่องเต้แอบสั่นเล็กน้อย ขณะถือดาบเล่มนั้น แล้วทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้น

 

องครักษ์คนนั้นเผลอหลับตาลง ในใจมีเพียงความสิ้นหวัง

 

ทว่าหลังจากนั้นกลับได้ยินเสียงของแตกตรงหน้าไม่ดังนัก ตามด้วยเสียงดังสนั่น แล้วก็เสียงเครื่องเคลือบแตกอีก ดาบโค้งเล่มนั้นบินเฉียงออกไปผ่ากลางชั้นวางกระถางดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล

 

“ไสหัวไป!” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็นเยียบ

 

คนชุดดำอึ้งไปแล้วก็รีบคุกเข่าขอบพระคุณเหมือนได้นิรโทษกรรม และคนทั้งกลุ่มก็รีบถอยออกไปทันที

 

จนกระทั่งทุกคนจากไปแล้ว เย่าสุ่ยยังคงด้อมๆ มองๆ อยู่ด้านนอกไม่กล้าเข้าไปข้างใน แต่ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้นกลับได้ยินเสียงคนถามจากข้างหลังว่า “ทำลับๆ ล่อๆ อะไร?”

 

เย่าสุ่ยพลันรู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีที่หันกลับไปเห็นหลี่รุ่ยเสียงยืนอยู่ด้านหลัง เขาเอ่ยอย่างดีใจจนน้ำตาเกือบจะไหลว่า “ท่านอาจารย์ ช่วงสองสามวันนี้ท่านไม่มาเพราะเป็นหวัดไม่ใช่หรือขอรับ?”

 

“ไม่เข้าไปคอยรับใช้ แล้วเจ้ามาแอบทำอะไรอยู่ตรงนี้?” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย พลางขมวดคิ้วมองเข้าไปในตำหนัก

 

“ฝ่าบาทพิโรธอยู่น่ะสิขอรับ!” เย่าสุ่ยเอ่ยเสียงเบา

 

เขาไม่ค่อยรู้เรื่ององครักษ์ลับ เมื่อครู่ก็ไม่กล้าเข้าไปข้างใน ตอนนี้จึงทำได้เพียงเตือนอย่างกำกวมเท่านั้น

 

หลี่รุ่ยเสียงเขม่นมองแล้วสูดหายใจเล็กน้อย และตบบ่าเขาแล้วเดินเข้าไปด้านใน

 

ฮ่องเต้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงในท่าเดิม เศษกระถางดอกสุ่ยเซียน (ดอกนาร์ซัส) ตกแตกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น

 

หลี่รุ่ยเสียงเดินเข้าไปหา ทว่าพอเห็นดาบโค้งตกอยู่ท่ามกลางเศษกระถางแตกก็พอจะเข้าใจ จึงลองถามเอ่ย

 

“ฝ่าบาท ซื่อหรงนาง…”

 

“นังสารเลว!” ฮ่องเต้ด่าทออย่างโมโห ทีแรกก็แค่โพล่งออกไปโดยไม่ได้ยั้งคิด แต่เพราะเก็บโทสะไว้ในใจนานเกินไป เวลานี้เสียงที่ออกมาจึงกลายเป็นเสียงคำรามอย่างยั้งไว้ไม่อยู่

 

เขาทุบไม้รองเตียงอย่างแรง ท่าทางน่าเกรงขามและเคร่งขรึมจนทำให้ผู้คนเคารพยำเกรงของฮ่องเต้ในอดีตหายไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ เขาแผดเสียงดังลั่นอย่างควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่

 

หลี่รุ่ยเสียงขมวดคิ้ว พอเขาโบกมือ เย่าสุ่ยที่อยู่ด้านนอกก็รีบพาเหล่าข้ารับใช้ถอยออกไป

 

หลี่รุ่ยเสียงรอจนฮ่องเต้ระบายอารมณ์ออกมาหมดแล้ว ถึงเดินเข้าไปตบหลังให้เขาใจเย็นลงว่า “ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะก่อนพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงกำชับแล้วว่าให้พระองค์พยายามอย่าพิโรธ พระวรกายของพระองค์สำคัญที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

“นังชั่วนั่นไปเข้าพวกกับซูอี้อย่างที่คิดแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างจงเกลียดจงชัง แล้วกระอักเลือดออกมาระหว่างที่พูดอย่างกะทันหัน

 

“ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงตกใจและรีบเข้าไปพยุงเขาไว้ พอจัดการพาเขากลับไปนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้วก็ค้นหายาออกมาจากใต้ที่วางเท้าไม้และป้อนให้เขาสองเม็ดติดกัน

 

ฮ่องเต้นอนอยู่บนเตียง สายตาจับจ้องผ้าม่านสีเหลืองสดใสเหนือศีรษะอย่างเย็นชา สีหน้าเคียดแค้นไม่เปลี่ยนอยู่นานมาก

 

หลี่รุ่ยเสียงหันไปจัดการคราบสกปรกบนพื้น ตอนที่เขาจัดการเรียบร้อยแล้วกลับไปข้างเตียงอีกครั้ง สีหน้าของฮ่องเต้ก็เหมือนจะผ่อนคลายลงแล้ว แต่สายตานั้นยังคงเย็นยะเยือกเหมือนเดิมจนน่าตกใจ

 

“ลองไปตรวจสอบดูว่าองครักษ์เงาที่ส่งไปทำงานสองกลุ่ม ทำไมกลับมาแค่กลุ่มเดียว” ฮ่องเต้สั่ง เวลานี้เขาใจเย็นลงบ้างแล้ว

 

“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่รุ่ยเสียงตกใจ “เป็นไปได้อย่างไรกัน? องครักษ์เงากลุ่มนั้นน่าจะมีกันมากถึงสิบสองคนได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีทาง…”

 

“ไม่ได้ข่าวคราวแล้วก็ไม่ได้ส่งสัญญาณลับติดต่อมา นังสารเลวนั่นรู้เรื่องมากเกินไป จะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ไม่ได้เด็ดขาด!” ฮ่องเต้กล่าว ถึงแม้น้ำเสียงจะเหมือนนิ่งสงบ แต่กล้ามเนื้อข้างแก้มกลับสั่นไม่หยุดทุกขณะ ทุกคำที่ออกมาจากปากนั้นเห็นชัดได้ว่าอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุด

 

แล้วเขาก็หลับตาไม่เอ่ยอะไรอีก

 

มีแต่เขาเองที่รู้เคล็ดลับยาพิษที่เขาใช้คุมองครักษ์เงา หากไม่ใช่ว่าคนทรยศอย่างซื่อหรงแพร่งพรายเรื่องราวออกไป จะไม่ได้ข่าวคราวขององครักษ์เงาทั้งสิบสองคนแม้แต่นิดเดียวจนเหมือนหายตัวไปอย่างกะทันหันได้อย่างไร?

 

หลี่รุ่ยเสียงก็รู้ว่าฮ่องเต้มีเรื่องปิดบังเขาอยู่เช่นกัน แต่กลับตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนเองต่อไปโดยไม่ถามอะไรมาก แค่เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “เช่นนั้นเข้าเฝ้าเช้าวันนี้…”

 

“เตรียมชุดพิธีการให้ข้า!” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น

 

“แต่พระวรกายของฝ่าบาทเป็นเช่นนี้ พักสักวันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย

 

“เตรียมชุดพิธีการ!” ฮ่องเต้กล่าวซ้ำโดยไม่ฟังแม้แต่นิดเดียว

 

หลี่รุ่ยเสียงจึงจำเป็นต้องขานรับแล้วไปจัดการอย่างจำใจ

 

ยามห้าเกิงฮ่องเต้เตรียมตัวพร้อมและนั่งรถม้าไปท้องพระโรงแล้ว

 

เพราะว่าเป็นหน้าร้อน เวลานี้ฟ้าจึงเริ่มสว่างแล้ว แสงสว่างที่เข้ามาแทนที่ความมืดมิดตกกระทบใบหน้าของฮ่องเต้ ทำให้สีหน้าของเขาดูแปลกเป็นพิเศษ

 

หากเป็นเมื่อก่อน ปกติแล้วเขาจะต้องเลือกเก็บตัวและงดเข้าเฝ้าหนึ่งวัน เพื่อไม่ให้พวกขุนนางรู้ว่าตนเองแข็งแรงแค่ภายนอก แต่เพราะวันนี้กำลังโมโห ใครพูดอะไรจึงไม่ฟังทั้งนั้น

 

ขุนนางทั้งหมดมารออยู่ในท้องพระโรงก่อนแล้ว พอได้ยินเสียงหลี่รุ่ยเสียงว่าฮ่องเต้มาถึงแล้ว ทุกคนต่างรีบคุกเข่ารับเสด็จ เสียงกล่าวทรงพระเจริญหมื่นปีดังสนั่นอย่างเหลือเชื่อ

 

ฮ่องเต้เดินขึ้นบันไดโดยมีหลี่รุ่ยเสียงคอยช่วยพยุง พอประทับบนบัลลังก์สูงแล้วก็ตรัสขึ้นมาเองก่อน โดยไม่รอให้หลี่รุ่ยเสียงเอ่ยปากว่า “วันนี้ข้ามีเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบตามแนวแม่น้ำหมิน…”

 

ทว่าเขายังพูดไม่ทันจบ กลับเห็นองครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างรวดเร็วและคุกเข่าอยู่หน้าประตูใหญ่ไกลๆ ว่า “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพซูขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”

 

แม่ทัพซู? ซูอี้?

 

เขาควรจะบัญชาการรบอยู่ที่ค่ายทหารหมินเจียงไม่ใช่หรือ?

 

เหล่าขุนนางได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ฮ่องเต้กำหมัด ความเย็นชาฉายผ่านดวงตาไปอย่างเลือนราง พลางกัดฟันพยายามคิดหาทางบอกปัดไม่ให้ซูอี้เข้ามา

 

ซูอี้ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าตนเองกำลังหาตัวเขาอยู่ หากยังเข้าวังมาอย่างเปิดเผยในเวลานี้ แสดงว่าต้องเตรียมพร้อมมาก่อนแล้วแน่นอน

 

นี่เขายังไม่ทันได้ตอบโต้ เจ้าหนุ่มคนนี้ก็เข้าวังอย่างเปิดเผยเพื่อมาท้าทายเขาแล้วหรือ?

 

ฮ่องเต้เปลี่ยนสีหน้าไปมาหลายครั้ง แต่ยังคงคิดหาข้ออ้างปฏิเสธอยู่

 

องครักษ์คนนั้นดูสถานการณ์แล้วก็จำเป็นต้องแข็งใจหยิบกล่องผ้าไหมที่ซูอี้มอบให้เขาก่อนหน้านี้จากข้างหลัง มายกขึ้นเหนือศีรษะสูงๆ ถวายแก่ฮ่องเต้ “แม่ทัพซูฝากถวายให้ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทโปรดรับไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

———————————————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+