สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 108.10 ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้า (10)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 Chapter 108.10 ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้า (10) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คนจิตใจคับแคบอย่างฮ่องเต้นั้น ไม่อาจใจดีกับพวกนางสองแม่ลูกได้อยู่แล้ว

กระนั้นนางก็ยังเสี่ยงชีวิตช่วยฮ่องเต้มาจากเงื้อมมือของฉู่อี้เจี่ยน

“เดิมทีข้าก็คิดว่าครั้งนี้จะสามารถยืมมือฉู่อี้เจี่ยนจบภาระเรื่องนี้ไปได้เสียอีก ไม่คิดว่ากลับมาเสียท่าในตอนสุดท้าย”

ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ในน้ำเสียงเจือไปด้วยความเสียดายอยู่บ้าง

แม้ว่าฉู่อี้อันจะมีใจคิดบังคับฮ่องเต้ลงจากตำแหน่งก็ตามที แต่อย่างไรก็ยังตระหนักว่าอีกฝ่ายเป็นบิดา จึงไม่ได้มีความคิดอยากจะให้อีกฝ่ายตายแต่อย่างใด

แต่ตัวเขาเอง แม้ว่าเขาจะไม่สนว่าชีวิตของฮ่องเต้จะตายตกด้วยน้ำมือของใคร แต่ก็กลับยังคำนึงถึงฉู่อี้อัน จึงไม่อาจลงมือกับฮ่องเต้ได้อย่างโจ่งแจ้ง

โอกาสครั้งนี้ หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง

คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขากลับรู้แจ้งแก่ใจ…

ที่ฉู่อี้อันได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อาจหลบลูกดอกนั้นได้ แต่เพราะเขาตั้งใจทำเช่นนั้นต่างหาก

ฮ่องเต้ในยามนี้ เขาสามารถทำให้ชีวิตของผู้อื่นนั้นล้วนอยู่ในกำมือเขาได้ตลอดเวลา นี่เป็นการตัดสินใจแน่วแน่ครั้งสุดท้ายของฉู่อี้อันที่เลือกใช้วิธีที่สุดโต่งเช่นนี้ เพราะเลือกที่จะปล่อยเรื่องราวนี้ไปอย่างไม่สนใจ

“ความคิดของข้าและฉู่สวินหยาง ท่านพ่อล้วนรู้ดี นี่เป็นโอกาสที่เขามอบให้พวกเรา เพียงแต่เสียดาย…” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ขณะที่คิดก็ยังคงส่ายหน้าอย่างขมขื่น

เจี่ยงลิ่วก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว จึงเข้าไปช่วยเขาคอยจัดการนำทหารมาดับไฟ

ยามที่ทางด้านนี้กำลังวุ่นวายไปด้วยผู้คน ก็พบกับจูหย่วนซานที่ย้อนกลับมาถลาเข้ามาด้วยท่าทีตื่นตระหนกอยู่บ้าง

เมื่อฉู่ฉีเฟิงเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วถาม “เป็นอะไร? เกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นรึ?”

“ได้ข่าวทางด้านท่านหญิงแล้วขอรับ!” จูหย่วนซานกล่าว ก่อนจะปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ท่านหญิงถูกท่านชายเจี่ยนพาตัวไปที่จวนรุ่ยชินอ๋อง จากนั้นก็ไม่ได้กลับออกมาขอรับ ยามนี้ใต้เท้าเหยียนหลิงตามไปทันและพาตัวไปแล้วขอรับ!”

“เช่นนั้นรึ!” ใบหน้าของฉู่ฉีเฟิงดูคลุมเคลือ แต่ใจที่แขวนค้างกลางอากาศมาตั้งนาน ในที่สุดก็ค่อยตกสู่พื้นเช่นเดิมแล้ว

จูหย่วนซานใช้หางตามองพินิจท่าทีของเขา แต่อย่างไรก็ดูไม่ออกอยู่ดี ท้ายที่สุดเขาก็ไม่กล้าปิดบัง ผ่านไปชั่วครู่ก็กล่าวเสริมอีกประโยค “ฝ่าบาทได้ส่งองครักษ์ลับ…ไปจัดการกับคนในจวนรุ่ยชินอ๋องแล้วขอรับ!”

ฉู่ฉีเฟิงฟังจบ ก็แทบที่จะสั่นไปทั่วสรรพางค์กาย ใบหน้าที่งดงามราวกับหยกแกะสลักนั้น ชั่วขณะก็เผยความเยือกเย็นอย่างถึงที่สุด

จูหย่วนซานรับรู้ถึงบรรยากาศเยียบเย็นที่แผ่มาจากตัวเขา ก็จำต้องฝืนกล่าวต่อไป “เป็นช่วงหลังจากที่รถม้าของท่านหญิงฉางหนิงออกจากจวนไปขอรับ!”

“องครักษ์ลับของฮ่องเต้หนึ่งวันสิบสองชั่วยามล้วนจับตามองอยู่ที่จวนรุ่ยชินอ๋อง ท่านหญิงตกอยู่ในมือของท่านชายเจี่ยน เขาย่อมไม่มีทางไม่รู้เรื่องนี้” เจี่ยงลิ่วที่ฟังอยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ “แล้วเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้เล่า?”

ฮ่องเต้ไม่มีเหตุผลที่จะฆ่าฉู่สวินหยาง แม้ว่าหลังจากที่กลับเมืองฉู่มาฉู่สวินหยางจะแข็งข้อก่อเรื่องให้เขาเดือนร้อนใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดที่ว่าจะทำให้เขามีใจสังหารนางได้

ยิ่งไปกว่านั้น…

ยังมีฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงอยู่ ฮ่องเต้จะลงมือกับฉู่สวินหยางได้อย่างไร?

ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่ได้สนใจคำพูดของเขา ขยับมือกำหมัดแน่นใต้แขนเสื้อ ผ่านไปพักใหญ่ จึงค่อยสงบใจลง เอ่ยออกไป “สวินหยางล่ะ? ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

“ท่านหญิงไม่เป็นไรขอรับ ใต้เท้าเหยียนหลิงตามไปทันเวลา จึงพาตัวออกไปแล้วขอรับ!” จูหย่วนซานกล่าว

ฉู่ฉีเฟิงได้ยินเช่นนี้ จู่ๆ ริมฝีปากก็กระตุกขึ้นอย่างประหลาด

ริมฝีปากของเขาเป็นสีแดงระเรื่อดูมีเสน่ห์ เดิมทีก็มีใบหน้าที่งดงามอย่างหาได้ยากยิ่ง แต่เพราะยามปกติเขามักจะเป็นคนที่สุขุมนิ่งลึก ไม่ค่อยเผยรอยยิ้มให้เป็นจุดสนใจ เมื่อมองแล้วจึงดูสง่างามน่าค้นหา

แต่ในยามนี้ เจี่ยงลิ่วกับจูหย่วนซานที่มองรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายและเย็นเยียบของเขา ต่างก็พากันรู้สึกเจ็บแสบ ไปหมด

“เป็นฉู่ซินรุ่ย!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

มิน่าเล่าหญิงสาวผู้นั้นจึงยอมทำลายโอกาสที่ฉู่อี้เจี่ยนคว้าไว้ได้ ทั้งยังช่วยฮ่องเต้ ก็เพราะว่านางเองเข้าใจเรื่องที่ตัวเองทำลงไปเป็นอย่างดี

นางคิดลงมือสังหารฉู่สวินหยางจริงๆ เช่นนั้นภายหลังไม่ว่านางจะตกไปอยู่ในมือของฉู่อี้อันหรือฉู่ฉีเฟิง…

จุดจบนั้นแทบที่จะไม่มีอะไรดีไปกว่าการตกลงไปในมือของฮ่องเต้อีกแล้ว

ดังนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักคำนึงถึงทั้งสองฝ่าย นางจึงทำได้พียงเลือกช่วยฮ่องเต้มาจากฉู่อี้เจี่ยน อย่างน้อยที่สุดหากฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ นางก็อาจมีทางให้หันหลังกลับอยู่!

ผู้หญิงคนนี้…

ฉลาด! ฉลาดยิ่งนัก!

มือซ้ายที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมของฉู่ฉีเฟิงบิดจนเกิดเป็นเสียงดังกรอดๆ

จูหย่วนซานมองใบหน้าที่มืดดำและเยือกเย็นของเขา ก็คล้ายกับไม่ใช่รอยยิ้มของเขาอย่างแปลกประหลาด พริบตานั้นสมองก็สว่างวาบ เข้าใจความหมายของเขาขึ้นมาอย่างทันที

“ท่านชายกำลังจะบอกว่า ผู้ที่สั่งให้องครักษ์ลับลงมือกับท่านหญิงคือท่านหญิงฉางหนิง?” ตาของจูหย่วนซานเบิกกว้างอย่างยากที่จะเชื่อ กล่าวด้วยสับสน “เป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ นั่นเป็นองครักษ์ลับของฝ่าบาทนะขอรับ!”

องครักษ์ลับของฝ่าบาท จะฟังคำสั่งของฉู่ซินรุ่ยได้อย่างไร?

แต่ไม่ว่าหญิงสาวผู้นี้จะทำได้อย่างไร แต่เรื่องนี้ย่อมต้องเป็นฝีมือของนางอย่างไม่อาจผิดเพี้ยนไปได้

ฉู่ฉีเฟิงไม่มีใจจะไปคิดถึงเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นอีกแล้ว สะบัดเสื้อคลุมก็ก้าวเท้าใหญ่หมุนกายเดินไป “เจี่ยงลิ่วเจ้าอยู่ช่วยจัดการที่นี่ ส่วนจูหย่วนซานไปกับข้า ไปกองบัญชาการทหารม้าเมืองเก้า เตรียมระดมกำลังคน สั่งปิดเมือง จับกุมคนพวกนั้นให้ข้า”

“ขอรับ!” จูหย่วนซานรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ก็สาวเท้าก้าวตามเขาอย่างรีบเร่ง เดินไปพลางก็รายงานข่าวใหม่ที่ได้รับให้เขาไปพลาง “ซื่อจื่อหนานเหอที่ถูกคนของจวนรุ่ยชินอ๋องควบคุมตัว ได้หลบหนีไประหว่างทางกลับเมืองแล้วขอรับ เมื่อเกิดเรื่องในวัง เขาก็ตรงไปยังค่ายพยัคฆ์เพื่อเคลื่อนกำลังพลทันที ยามนี้คนของค่ายพยัคฆ์ได้สกัดกั้นล้อมรอบทั้งเมืองหลวงไว้หมดแล้ว ไม่มีใครสามารถเข้าออกเมืองได้ตามใจชอบแล้วขอรับ”

“เขาช่างโชคดีเสียจริง!” ฉู่ฉีเฟิงแค่นหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร

ค่ายพยัคฆ์นอกเมือง หากไม่มีตราพยัคฆ์ของฮ่องเต้ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวโดยพลการได้ ครั้งนี้เป็นโชคดีของฉู่ฉีเหยียนจริงๆ เพราะว่าฉู่อี้เจี่ยนใช้ดินปืนโจมตี อนุภาพของเสียงจึงมีมาก เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนไปถึงค่ายพยัคฆ์ทางนั้น

เขาจึงสามารถเคลื่อนกำลังพลมาได้โดยราบรื่น นับเป็นผลงานที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญเสียจริง

กลุ่มของฉู่อี้เจี่ยนออกจากวังด้วยความเร่งรีบ

เวลานี้สีของท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว แสงบนรถม้าจึงสลัวเป็นอย่างมาก

ฉู่อี้เจี่ยนหลับตาพิงพนักรถม้าเพื่อสงบใจ ฉู่ซินรุ่ยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กลับจิตใจสับสนว้าวุ่น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ตั้งแต่รถม้าออกจากวัง นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเลยว่ากำลังจะไปไหน

ครุ่นคิดอยู่นาน ฉู่ซินรุ่ยก็เงยหน้ามองไปทางฉู่อี้เจี่ยน เปิดปากอย่างหยั่งเชิง “พี่ห้า!”

ฉู่อี้เจี่ยนลืมตาขึ้น ตั้งแต่เดินทางเขาก็ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอันใดออกมา เพราะรู้ว่าหากเปิดปากถามไปก่อนก็ไม่มีประโยชน์อันใด เวลานี้ฉู่ซินรุ่ยเป็นฝ่ายเรียกเขาก่อน เขาจึงเงยมองไป ถามด้วยอารมณ์คล้ายผืนน้ำที่ราบเรียบ “มีเรื่องอันใด?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 108.10 ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้า (10)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 Chapter 108.10 ชีวิตของพวกเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับข้า (10) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คนจิตใจคับแคบอย่างฮ่องเต้นั้น ไม่อาจใจดีกับพวกนางสองแม่ลูกได้อยู่แล้ว

กระนั้นนางก็ยังเสี่ยงชีวิตช่วยฮ่องเต้มาจากเงื้อมมือของฉู่อี้เจี่ยน

“เดิมทีข้าก็คิดว่าครั้งนี้จะสามารถยืมมือฉู่อี้เจี่ยนจบภาระเรื่องนี้ไปได้เสียอีก ไม่คิดว่ากลับมาเสียท่าในตอนสุดท้าย”

ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ในน้ำเสียงเจือไปด้วยความเสียดายอยู่บ้าง

แม้ว่าฉู่อี้อันจะมีใจคิดบังคับฮ่องเต้ลงจากตำแหน่งก็ตามที แต่อย่างไรก็ยังตระหนักว่าอีกฝ่ายเป็นบิดา จึงไม่ได้มีความคิดอยากจะให้อีกฝ่ายตายแต่อย่างใด

แต่ตัวเขาเอง แม้ว่าเขาจะไม่สนว่าชีวิตของฮ่องเต้จะตายตกด้วยน้ำมือของใคร แต่ก็กลับยังคำนึงถึงฉู่อี้อัน จึงไม่อาจลงมือกับฮ่องเต้ได้อย่างโจ่งแจ้ง

โอกาสครั้งนี้ หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง

คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขากลับรู้แจ้งแก่ใจ…

ที่ฉู่อี้อันได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อาจหลบลูกดอกนั้นได้ แต่เพราะเขาตั้งใจทำเช่นนั้นต่างหาก

ฮ่องเต้ในยามนี้ เขาสามารถทำให้ชีวิตของผู้อื่นนั้นล้วนอยู่ในกำมือเขาได้ตลอดเวลา นี่เป็นการตัดสินใจแน่วแน่ครั้งสุดท้ายของฉู่อี้อันที่เลือกใช้วิธีที่สุดโต่งเช่นนี้ เพราะเลือกที่จะปล่อยเรื่องราวนี้ไปอย่างไม่สนใจ

“ความคิดของข้าและฉู่สวินหยาง ท่านพ่อล้วนรู้ดี นี่เป็นโอกาสที่เขามอบให้พวกเรา เพียงแต่เสียดาย…” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ขณะที่คิดก็ยังคงส่ายหน้าอย่างขมขื่น

เจี่ยงลิ่วก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว จึงเข้าไปช่วยเขาคอยจัดการนำทหารมาดับไฟ

ยามที่ทางด้านนี้กำลังวุ่นวายไปด้วยผู้คน ก็พบกับจูหย่วนซานที่ย้อนกลับมาถลาเข้ามาด้วยท่าทีตื่นตระหนกอยู่บ้าง

เมื่อฉู่ฉีเฟิงเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วถาม “เป็นอะไร? เกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นรึ?”

“ได้ข่าวทางด้านท่านหญิงแล้วขอรับ!” จูหย่วนซานกล่าว ก่อนจะปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ท่านหญิงถูกท่านชายเจี่ยนพาตัวไปที่จวนรุ่ยชินอ๋อง จากนั้นก็ไม่ได้กลับออกมาขอรับ ยามนี้ใต้เท้าเหยียนหลิงตามไปทันและพาตัวไปแล้วขอรับ!”

“เช่นนั้นรึ!” ใบหน้าของฉู่ฉีเฟิงดูคลุมเคลือ แต่ใจที่แขวนค้างกลางอากาศมาตั้งนาน ในที่สุดก็ค่อยตกสู่พื้นเช่นเดิมแล้ว

จูหย่วนซานใช้หางตามองพินิจท่าทีของเขา แต่อย่างไรก็ดูไม่ออกอยู่ดี ท้ายที่สุดเขาก็ไม่กล้าปิดบัง ผ่านไปชั่วครู่ก็กล่าวเสริมอีกประโยค “ฝ่าบาทได้ส่งองครักษ์ลับ…ไปจัดการกับคนในจวนรุ่ยชินอ๋องแล้วขอรับ!”

ฉู่ฉีเฟิงฟังจบ ก็แทบที่จะสั่นไปทั่วสรรพางค์กาย ใบหน้าที่งดงามราวกับหยกแกะสลักนั้น ชั่วขณะก็เผยความเยือกเย็นอย่างถึงที่สุด

จูหย่วนซานรับรู้ถึงบรรยากาศเยียบเย็นที่แผ่มาจากตัวเขา ก็จำต้องฝืนกล่าวต่อไป “เป็นช่วงหลังจากที่รถม้าของท่านหญิงฉางหนิงออกจากจวนไปขอรับ!”

“องครักษ์ลับของฮ่องเต้หนึ่งวันสิบสองชั่วยามล้วนจับตามองอยู่ที่จวนรุ่ยชินอ๋อง ท่านหญิงตกอยู่ในมือของท่านชายเจี่ยน เขาย่อมไม่มีทางไม่รู้เรื่องนี้” เจี่ยงลิ่วที่ฟังอยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ “แล้วเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้เล่า?”

ฮ่องเต้ไม่มีเหตุผลที่จะฆ่าฉู่สวินหยาง แม้ว่าหลังจากที่กลับเมืองฉู่มาฉู่สวินหยางจะแข็งข้อก่อเรื่องให้เขาเดือนร้อนใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดที่ว่าจะทำให้เขามีใจสังหารนางได้

ยิ่งไปกว่านั้น…

ยังมีฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงอยู่ ฮ่องเต้จะลงมือกับฉู่สวินหยางได้อย่างไร?

ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่ได้สนใจคำพูดของเขา ขยับมือกำหมัดแน่นใต้แขนเสื้อ ผ่านไปพักใหญ่ จึงค่อยสงบใจลง เอ่ยออกไป “สวินหยางล่ะ? ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

“ท่านหญิงไม่เป็นไรขอรับ ใต้เท้าเหยียนหลิงตามไปทันเวลา จึงพาตัวออกไปแล้วขอรับ!” จูหย่วนซานกล่าว

ฉู่ฉีเฟิงได้ยินเช่นนี้ จู่ๆ ริมฝีปากก็กระตุกขึ้นอย่างประหลาด

ริมฝีปากของเขาเป็นสีแดงระเรื่อดูมีเสน่ห์ เดิมทีก็มีใบหน้าที่งดงามอย่างหาได้ยากยิ่ง แต่เพราะยามปกติเขามักจะเป็นคนที่สุขุมนิ่งลึก ไม่ค่อยเผยรอยยิ้มให้เป็นจุดสนใจ เมื่อมองแล้วจึงดูสง่างามน่าค้นหา

แต่ในยามนี้ เจี่ยงลิ่วกับจูหย่วนซานที่มองรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายและเย็นเยียบของเขา ต่างก็พากันรู้สึกเจ็บแสบ ไปหมด

“เป็นฉู่ซินรุ่ย!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

มิน่าเล่าหญิงสาวผู้นั้นจึงยอมทำลายโอกาสที่ฉู่อี้เจี่ยนคว้าไว้ได้ ทั้งยังช่วยฮ่องเต้ ก็เพราะว่านางเองเข้าใจเรื่องที่ตัวเองทำลงไปเป็นอย่างดี

นางคิดลงมือสังหารฉู่สวินหยางจริงๆ เช่นนั้นภายหลังไม่ว่านางจะตกไปอยู่ในมือของฉู่อี้อันหรือฉู่ฉีเฟิง…

จุดจบนั้นแทบที่จะไม่มีอะไรดีไปกว่าการตกลงไปในมือของฮ่องเต้อีกแล้ว

ดังนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักคำนึงถึงทั้งสองฝ่าย นางจึงทำได้พียงเลือกช่วยฮ่องเต้มาจากฉู่อี้เจี่ยน อย่างน้อยที่สุดหากฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ นางก็อาจมีทางให้หันหลังกลับอยู่!

ผู้หญิงคนนี้…

ฉลาด! ฉลาดยิ่งนัก!

มือซ้ายที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมของฉู่ฉีเฟิงบิดจนเกิดเป็นเสียงดังกรอดๆ

จูหย่วนซานมองใบหน้าที่มืดดำและเยือกเย็นของเขา ก็คล้ายกับไม่ใช่รอยยิ้มของเขาอย่างแปลกประหลาด พริบตานั้นสมองก็สว่างวาบ เข้าใจความหมายของเขาขึ้นมาอย่างทันที

“ท่านชายกำลังจะบอกว่า ผู้ที่สั่งให้องครักษ์ลับลงมือกับท่านหญิงคือท่านหญิงฉางหนิง?” ตาของจูหย่วนซานเบิกกว้างอย่างยากที่จะเชื่อ กล่าวด้วยสับสน “เป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ นั่นเป็นองครักษ์ลับของฝ่าบาทนะขอรับ!”

องครักษ์ลับของฝ่าบาท จะฟังคำสั่งของฉู่ซินรุ่ยได้อย่างไร?

แต่ไม่ว่าหญิงสาวผู้นี้จะทำได้อย่างไร แต่เรื่องนี้ย่อมต้องเป็นฝีมือของนางอย่างไม่อาจผิดเพี้ยนไปได้

ฉู่ฉีเฟิงไม่มีใจจะไปคิดถึงเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นอีกแล้ว สะบัดเสื้อคลุมก็ก้าวเท้าใหญ่หมุนกายเดินไป “เจี่ยงลิ่วเจ้าอยู่ช่วยจัดการที่นี่ ส่วนจูหย่วนซานไปกับข้า ไปกองบัญชาการทหารม้าเมืองเก้า เตรียมระดมกำลังคน สั่งปิดเมือง จับกุมคนพวกนั้นให้ข้า”

“ขอรับ!” จูหย่วนซานรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ก็สาวเท้าก้าวตามเขาอย่างรีบเร่ง เดินไปพลางก็รายงานข่าวใหม่ที่ได้รับให้เขาไปพลาง “ซื่อจื่อหนานเหอที่ถูกคนของจวนรุ่ยชินอ๋องควบคุมตัว ได้หลบหนีไประหว่างทางกลับเมืองแล้วขอรับ เมื่อเกิดเรื่องในวัง เขาก็ตรงไปยังค่ายพยัคฆ์เพื่อเคลื่อนกำลังพลทันที ยามนี้คนของค่ายพยัคฆ์ได้สกัดกั้นล้อมรอบทั้งเมืองหลวงไว้หมดแล้ว ไม่มีใครสามารถเข้าออกเมืองได้ตามใจชอบแล้วขอรับ”

“เขาช่างโชคดีเสียจริง!” ฉู่ฉีเฟิงแค่นหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร

ค่ายพยัคฆ์นอกเมือง หากไม่มีตราพยัคฆ์ของฮ่องเต้ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวโดยพลการได้ ครั้งนี้เป็นโชคดีของฉู่ฉีเหยียนจริงๆ เพราะว่าฉู่อี้เจี่ยนใช้ดินปืนโจมตี อนุภาพของเสียงจึงมีมาก เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนไปถึงค่ายพยัคฆ์ทางนั้น

เขาจึงสามารถเคลื่อนกำลังพลมาได้โดยราบรื่น นับเป็นผลงานที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญเสียจริง

กลุ่มของฉู่อี้เจี่ยนออกจากวังด้วยความเร่งรีบ

เวลานี้สีของท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว แสงบนรถม้าจึงสลัวเป็นอย่างมาก

ฉู่อี้เจี่ยนหลับตาพิงพนักรถม้าเพื่อสงบใจ ฉู่ซินรุ่ยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กลับจิตใจสับสนว้าวุ่น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ตั้งแต่รถม้าออกจากวัง นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเลยว่ากำลังจะไปไหน

ครุ่นคิดอยู่นาน ฉู่ซินรุ่ยก็เงยหน้ามองไปทางฉู่อี้เจี่ยน เปิดปากอย่างหยั่งเชิง “พี่ห้า!”

ฉู่อี้เจี่ยนลืมตาขึ้น ตั้งแต่เดินทางเขาก็ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอันใดออกมา เพราะรู้ว่าหากเปิดปากถามไปก่อนก็ไม่มีประโยชน์อันใด เวลานี้ฉู่ซินรุ่ยเป็นฝ่ายเรียกเขาก่อน เขาจึงเงยมองไป ถามด้วยอารมณ์คล้ายผืนน้ำที่ราบเรียบ “มีเรื่องอันใด?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+