สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 35.1 พ่ายแพ้เสียหายกันทั้งสองฝ่ายและการตายของซูหลิน (1)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 Chapter 35.1 พ่ายแพ้เสียหายกันทั้งสองฝ่ายและการตายของซูหลิน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หลัวซื่อจื่อ ท่านจะไปแล้วรึ?” เหยียนหลิงจวินเลิกคิ้วขึ้น แล้วรีบฟาดแส้ลงบนตัวม้าเคลื่อนตัวตามไป “อุตส่าห์มาทั้งที ไม่อยู่พูดคุยกันอีกสักพักล่ะ?”

หลัวเถิงเม้มปาก มองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันสดใสของอีกฝ่าย มันช่างรู้สึกตงิดเสียเหลือเกิน

เขาเลยเบนสายตาออก จากนั้นยิ้มแล้วพูดตอบว่า “ยังมีเวลาอีกมาก ไว้วันหลังข้าแวะมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนเลย”

ความหมายจากประโยคที่เขาพูดนั้น หรือว่าเขาไม่ยอมถอยทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าตนมีความสามารถไม่พองั้นรึ?

เหยียนหลิงจวินกระตุกมุมปาก ก้มหน้าเล่นแส้ในมือ ทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม

หลัวเถิงปรายตามองเขาหนึ่งที จากนั้นก็หันหลังไปแล้วกล่าวว่า “ผู้เป็นสาวงามนั้นเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม อีกอย่างหากครั้งนี้ต้องพูดเรื่องความรักครั้งนี้ขึ้นมาจริงๆ ดูท่า…ก็ไม่เกี่ยวกับการที่ใครมาก่อนมาหลังหรอกกระมัง?”

 แววตาของเหยียนหลิงจวินชำเลืองมอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนกำลังฟังเรื่องตลกอยู่ จึงแค่นหัวเราะออกมา จ้องมองไปที่แผ่นหลังของเขาแล้วพูดลอยๆ ขึ้นว่า “ท่านต้องทำความเข้าใจใหม่นะ! ข้อหนึ่งอย่าได้พูดว่าเป็นสาวงามเลย หากท่านยังไม่รู้จักนิสัยของนางดี ข้อสอง ท่านพูดถูก เรื่องความรักแบบนี้มันไม่เกี่ยวกับการที่ใครมาก่อนมาหลัง แต่หากท่านคิดเออเองอยู่ฝ่ายเดียวมันก็ไม่นับว่าใช่หรอก!”

เขาพูดขึ้นอย่างลื่นไหลไม่สะดุด จากนั้นพูดย้ำเสียงดังว่า “ข้าแนะนำว่าให้ท่านยอมถอยแต่โดยดีเสียจะดีกว่า ทำไมต้องทำให้ตัวเองลำบากแบบนี้ด้วยเล่า?”

หลัวเถิงหันกลับมามองอย่าโกรธแค้น ใบหน้าไม่หลงเหลือความสง่างามอยู่บนนั้นแม้แต่น้อย เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ “งั้นท่านคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ท่านมีสิทธิ์อะไรมาพูดเรื่องพวกนี้กับข้า?”

เหยียนหลิงจวินมองเขา แต่สีหน้าและท่าทางกลับแสดงออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างชัดเจน

“ท่านบอกว่าข้าคิดเออเองอยู่ฝ่ายเดียวงั้นรึ? แล้วท่านก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง? อย่างน้อย…” หลัวเถิงแสยะยิ้ม มองแววตาอันเฉียบคมของอีกฝ่าย จากนั้นชายตามองกำแพงวังบูรพาที่อยู่ไกลๆ “ความสัมพันธ์ครอบครัวสกุลหลัวของพวกข้ากับวังบูรพานั้น เรียกได้ว่าเป็นคู่หูกิ่งทองใบหยกเชียวนะรู้ไหม!”

“หึ…” เหยียนหลิงจวินแค่นหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยประชดประชัน เขากระตุกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม มองอีกฝ่ายที่กำลังโมโหเกรี้ยวกราด แล้วถามกลับไปว่า “ท่านคงไม่ได้ไม่รู้หรอกใช่ไหมว่าท่านหญิงสวินหยางเป็นใครน่ะ? ถึงได้กล้าเอาสถานะครอบครัวมาเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์? แต่หากท่านคิดว่าไม่เป็นไร จะลองดูก็ได้นะ!”

ทุกคนต่างรู้ดีว่าฉู่อี้อันเอ็นดูรักและหวงแหนฉู่สวินหยางมากขนาดไหน ขนาดการแต่งงานของฉู่สวินหยาง…

ขอเพียงแค่นางไม่อยาก ขนาดฉู่อี้อันก็ยังฝืนใจนางไม่ได้

รอยยิ้มค่อยๆ หายไปจากใบหน้าของหลัวเถิง

เหยียนหลิงจวินถอนหายใจออกมา จากนั้นบังคับม้าให้เดินเข้าไปตรงหน้าเขา มองหน้าอีกฝ่ายแล้วพูดกับเขาว่า “อีกอย่างดูท่าหลัวซื่อจื่อจะลืมอะไรไปนะขอรับ…ตอนนี้คนที่เป็นใหญ่ตัดสินใจทุกสิ่งทุกอย่างในจวนหลัวกั๋วกงคือท่านพ่อของท่านนะ ไม่ใช่ตัวท่านสักหน่อย!”

หากหลัวเถิงคิดจะใช้สถานะทางครอบครัวเป็นข้ออ้างในการเข้าใกล้ฉู่สวินหยาง อย่างน้อยเขาควรต้องแสดงความจริงใจที่แท้จริงออกมาก่อน

ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับวังบูรพางั้นรึ?

ถึงแม้ตอนนี้จวนอ๋องหนานเหอไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไรแล้ว แต่ทว่านิสัยขี้สงสัยของฮ่องเต้นั้นกลับมีมากขึ้นกว่าปกติ…

หลัวเหว่ยไม่มีทางกล้าต่อกรกับฉู่อี้อันในเวลานี้เป็นแน่

แต่จะไม่พูดก็ไม่ได้เลยว่า คำพูดของเหยียนหลิงจวินประโยคนั้นช่างทิ่มแทงใจเขาเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังพูดโจมตีอย่างไม่ไว้หน้าเขาอีกต่างหาก

ใบหน้าของหลัวเถิงมืดมน เขาเม้มปากแน่น มองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นยะเยือก

เหยียนหลิงจวินยักไหล่ ยิ้มเยาะเย้ยขึ้นอย่างชอบอกชอบใจ

เดิมทีหลัวเถิงโดนเขาแย่งชิงดีชิงเด่นจนน่าโมโห แต่เมื่อเห็นเขายิ้มยั่วอารมณ์เขาแบบนี้ จู่ๆ เขาก็คิดออก จากนั้นไม่นานก็หัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้นว่า “อุตส่าห์พูดมาตั้งเยอะ แต่ทั้งหมดคงเปล่าประโยชน์นะขอรับ พฤติกรรมของท่านตอนนี้นี่เป็นเพราะ…ท่านไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองมิใช่หรือ? ท่านอยากให้ข้าถอยเพื่อให้ท่านทำมันสำเร็จงั้นหรือ? ใต้เท้าเหยียนหลิง ท่านนี่เป็นเจ้าแผนการจริงๆ นะขอรับ แต่ว่านะ…ท่านคงหาเรื่องผิดคนแล้วล่ะ!”

หากสิ่งที่เหยียนหลิงจวินพูดคือความจริง งั้นเขากับฉู่สวินหยางทั้งสองฝ่ายต่างคิดเห็นตรงกันพอดี ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้แผนชั่วร้ายทำให้ตัวเองลำบากเลยนี่?

หลัวเถิงคิดแล้วก็เห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายเลยปล่อยวางไป จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม พวกเราสองคนอย่าได้มาพูดเกทับใส่กันแบบนี้เลย ใช้ความสามารถพิสูจน์ก็พอ!”

ขอเพียงแค่งานแต่งงานของฉู่สวินหยางยังไม่ถูกกำหนดขึ้น เขาก็ยังมีโอกาส!

ถึงแม้เหยียนหลิงจวินจะมาก่อนแล้วมันจะทำไม? อย่างน้อยดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ได้เกลียดชังเขา แถม…

เขายังได้เปรียบกว่าอีกฝ่ายเพราะสถานะทางครอบครัวอีกต่างหาก!

หากบอกว่าก่อนหน้านี้หลัวเถิงเพียงแค่มีความรู้สึกดีๆ ให้ฉู่สวินหยางแค่นั้น งั้นที่วันนี้เขาถูกเหยียนหลิงจวินพูดถากถางใส่ มันกลับทำให้เขารู้ใจตัวเองมากขึ้น

เขาเองก็มองว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่ตนหมายปอง เพียงแค่มองนางเฉยๆ เขาก็รู้สึกมีความสุขแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่เขาคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งตลอดเวลา ทั้งหน้าตาและรอยยิ้มของนาง มันช่างสวยงามจนทำให้เขาใจเต้น

เขาควบคุมสติ จากนั้นเบนสายตาออก แล้วบังคับม้าให้เดินจากออกไป

เหยียนหลิงจวินนั่งบนหลังม้าอยู่ที่เดิม มองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่ายหน้านิ่ง จากนั้นสบถออกมาหนึ่งที แล้วหันหลังจากออกไปเช่นกัน

หลังจากที่ทั้งสองคนจากออกไปได้ไม่นานนัก ก็มีม้าเร็ววิ่งเข้าไปในตรอกที่วังบูรพาตั้งอยู่ไกลๆ

เวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งถ้วยชา[1]ดี ฉู่อี้อันก็ออกมาในชุดพร้อมรบพร้อมกับขบวนทัพถือคบเพลิงมุ่งหน้าไปยังวังหลวงอย่างเร่งรีบ

กว่าคนแซ่ฟางจะตื่น เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม[2] ให้แล้ว

เมื่อฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางทราบข่าวก็รีบเข้ามาหานาง แม่นมฉางช่วยพยุงตัวนางให้ลุกขึ้นมาทานยา

นางสลบติดต่อกันไปหลายวันนัก ทำให้สีหน้าของนางซีดเซียวต่างจากปกติอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซูบผอมไร้ชีวิตชีวาเหลือเกิน ร่างกายอ่อนปวกเปียกราวกับแผ่นกระดาษบางๆ

“อาการของท่านแม่ดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” ฉู่สวินหยางเอ่ยถามขึ้น

คนแซ่ฟางไม่ชอบนาง แต่ก็คร้านที่จะตอบโต้ เลยไม่ได้ปฏิเสธการช่วยเหลืออันนั้น

คนแซ่ฟางลืมตามองนางเล็กน้อย จากนั้นส่ายศีรษะ “ไม่เป็นอะไรหรอก แค่รู้สึกล้าน่ะ แล้วองค์รัชทายาทเล่า? หลายวันมานี้ข้าทำให้เขาลำบากมากเลย!”

“เกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะขอรับ ท่านพ่อถูกเรียกตัวให้เข้าวัง” ฉู่ฉีเฟิงตอบ เขาเพียงยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างเตียง ไม่มีความคิดความตั้งใจที่จะเข้าไปช่วยป้อนยาให้คนแซ่ฟาง

คนแซ่ฟางเองก็ไม่รู้สึกแปลกใจ นางดื่มยาเข้าไปแล้วพูดว่า “ท่านหมอบอกว่าอย่างไรบ้าง? อาการของข้าต้องเฝ้าระวังเรื่องใดเป็นพิเศษไหม? หากไม่ต้องฝังเข็มแล้ว ก็ให้แม่นมฉางเก็บของให้เรียบร้อยเถิด เดี๋ยวอีกสองวันข้าก็จะกลับแล้ว”

แม่นมฉางตกใจ ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “อาการของท่านเพิ่งหายดีไม่นาน ทำไมไม่นอนพักที่จวนต่ออีกสักหน่อยล่ะเจ้าคะ รอให้หายดีก่อนค่อยกลับก็ได้นี่!”

เมื่อก่อนคนแซ่ฟางถูกหลัวฮองเฮาบีบกดดันให้ออกไปจากที่นี่ แต่ในเมื่อตอนนี้หลัวฮองเฮาไม่อยู่แล้ว นางก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อที่นี่อย่างเปิดเผยเลยก็ได้

แม่นมฉางไม่เข้าใจจริงๆ ว่านางคิดอะไรอยู่กันแน่

ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ตอนนี้ร่างกายของท่านแม่ยังอ่อนแออยู่ นอนพักต่ออีกสักสองสามคืนเถิด ที่จวนมีท่านหมออยู่ จะได้ตรวจดูอาการได้สะดวกขึ้น รออีกสักสองวัน หากร่างกายของท่านแม่ดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวข้าไปส่งท่านแม่เองนะขอรับ!”

แม่นมฉางรู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไร นางยังขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นหันไปมองฉู่สวินหยางแล้วพูดว่า “ท่านหญิงเจ้าคะ ท่านช่วยพูดกับพระชายารองหน่อยเถอะเจ้าค่ะ อาการป่วยครั้งนี้ทำให้ร่างกายนางอ่อนแอกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะเจ้าคะ จะไม่สนใจใยดีมันเหมือนก่อนไม่ได้หรอก”

สถานที่อย่างอารามเมตตานั้นมันลำบาก ถึงแม้ข้าวของเครื่องใช้รวมถึงของกินทุกสิ่งทุกอย่าง วังบูรพาจะเป็นคนส่งไปให้ ไม่ปล่อยให้พวกนางอดอยาก แต่ถ้าเทียบกันแล้ว…

ช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่น มันจะเทียบกับความสะดวกสบาย อยู่เป็นเจ้านายคนในวังบูรพาแบบนี้ได้เยี่ยงไร?

ฉู่สวินหยางยิ้ม แต่นางเองก็ทำได้แค่คล้อยตามคำพูดของท่านพี่กับท่านแม่นาง “แล้วแต่ท่านแม่เขาเถิด แม่นมฉางเองก็รู้จักนิสัยท่านแม่ดีนี่เจ้าคะ ยิ่งรั้งนางไว้ นางก็ยิ่งไม่ชอบใจ อาการป่วยก็ยิ่งสาหัสเข้าไปอีก!”

ฉู่สวินหยางรู้เหตุผลที่คนแซ่ฟางยืนยันจะกลับไปอารามเมตตาให้ได้นั้นดี…

นางเป็นคนลงมือสังหารฉู่ฉีฮุย แถมยังทำให้หลัวฮองเฮาเสียชีวิตอีก ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้มันทำให้ฉู่อี้อันทนไม่ได้

ถึงตอนนี้คดีของฉู่ฉีฮุยก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย ส่วนเรื่องหลัวฮองเฮา ถึงนางจะเสียชีวิตไปเพราะการกระทำอันเลวร้ายของตัวเองก็เถิด แต่หากมีใครไปสืบค้นเข้าจริงๆ ล่ะก็ ใครก็ไม่กล้ารับประกันหรอกว่ามันจะไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝงอยู่

เพียงคนแซ่ฟางอยู่พักในวังบูรพาแค่หนึ่งวัน ก็อาจทำให้เรื่องต้องห้ามพวกนี้หลุดออกไปได้ เพราะฉะนั้นแล้วทางที่ดี รีบหนีห่างออกไปไกลๆ น่าจะดีกว่า

แต่ฉู่ฉีเฟิง…

เขาเองก็ไม่อยากให้ความจริงของเรื่องพวกนี้ถูกเปิดโปงขึ้นอยู่แล้ว

แม่นมฉางอ้าปากพะงาบ อยากจะพูดอะไรบ้าง แต่เมื่อเห็นแม่ลูกสามคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน แล้วนึกถึงนิสัยของคนแซ่ฟางขึ้น สุดท้ายก็ทำได้แค่ปิดปากลง

ฉู่สวินหยางยิ้มขึ้นเล็กน้อย ตบไหล่นางเบาๆ เป็นการปลอบใจ กล่าวว่า “ท่านแม่นมอย่าคิดมากนะ ช่วงนี้ใต้เท้าเหยียนหลิงมาทุกวัน รับประกันได้เลย ว่าจะรักษาร่างกายของท่านแม่ให้หายดีก่อน ถึงจะปล่อยตัวนางไป”

“เจ้าค่ะ!” แม่นมฉางพูดตอบแล้วพยักหน้า หันมองคนแซ่ฟางไปอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นยกถ้วยยาเดินออกไปข้างนอก “จวิ้นอ๋องและท่านหญิงอยู่พูดคุยกับพระชายารองก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะเอาถ้วยยาไปคืนที่ห้องครัว”

อีกไม่นานก็จะถึงวันพิธีมงคลสมรสของฉู่เยว่หนิงแล้ว ที่จริงช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่คนแซ่ฟางเหมาะสมที่จะอยู่ต่อที่สุด แถมยังเป็นโอกาสที่จะได้ควบคุมจัดการธุระในท้ายเรือนแต่เพียงผู้เดียวอีกด้วย

น่าเสียดาย…

เฮ้อ!

——————————————

[1] เวลาหนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10 – 15 นาที

[2] หนึ่งชั่วยาม เท่ากับเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด