สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 7.1 หญิงคบชู้ (1)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 Chapter 7.1 หญิงคบชู้ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มองตามหลังฉู่สวินหยางเข้าไปข้างในแล้ว แต่เหยียนหลิงจวินไม่ได้จากไปทันที ทว่ายังคงมองประตูบานใหญ่สีแดงที่ปิดแน่นสนิทข้างหน้าเงียบๆ

เหล่าสาวใช้ต่างมองหน้ากันไปมาอย่างกระวนกระวายใจ

ในที่สุดยังคงเป็นอิ้งจื่อที่ลองเข้าไปถามว่า “นายท่าน จะให้ข้าไปตรวจสอบทางถนนไฉ่ถังอีกรอบหรือไม่เจ้าคะ…”

ความคิดของเหยียนหลิงจวินสะดุดลง เขาถอนสายตากลับมามองนางอย่างเฉยชา

เวลานี้ถึงตอนที่อยู่กับฉู่สวินหยางกันตามลำพัง เขาจะแสดงอารมณ์ออกมามากขึ้น แต่พวกสาวใช้กลับรู้ดีว่า…

ตอนนี้นายท่านนิสัยดีขึ้นมากเพราะท่านหญิงสวินหยาง แต่ลึกๆ แล้วนิสัยเขาก็ยังเหมือนเดิม ทั้งเยือกเย็นและแข็งกร้าว มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกกดดันอย่างมาก

ต่อหน้าสายตาคู่นี้ อิ้งจื่อก็ใจเต้นระรัวและก้มหน้าหลบสายตาทันที

“พาคนไปดูหน่อย ถ้ายังมีเบาะแสอะไรอีกก็กำจัดให้เกลี้ยง” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พลางยกมือปิดประตูแล้วถอยกลับเข้าไปข้างในรถม้า

อันที่จริงเรื่องนี้ฉู่สวินหยางพลาดไปหลายจุด ถึงแม้เขาไม่ต้องเข้าไปยุ่งก็ได้ แต่ในเมื่อนางไม่อยากให้ใครไปสืบหาความจริงต่อ เขาก็จะไม่ดึงดันทำเรื่องที่ห้าม

เหล่าสาวใช้ต่างรู้สึกโล่งอก

เฉี่ยนลวี่หันตัวจะไปอย่างไม่ลังเล “ฝ่ายตรงข้ามลงมือได้อย่างไร้ที่ติ ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ข้าจะไปดูอีกรอบ”

“ช่างเถอะ ให้ข้าไปดีกว่า!” อิ้งจื่อรีบขวางนางไว้ก่อน “เจ้ากับเจี๋ยหงได้รับบาดเจ็บ กลับไปกับนายท่านก่อนเถอะ”

นางสองคนได้รับบาดเจ็บภายนอก ความจริงแล้วการปะทะกันอย่างรุนแรงตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่เวลานี้สถานการณ์ไม่ได้คับขันขนาดนั้น ใช้แค่สองคนก็พอแล้ว นางเพียงกำชับอิ้งจื่อให้ระวังให้มาก แล้วตามรถม้าของเหยียนหลิงจวินกลับจวนเฉินไปก่อน

คนทั้งกลุ่มเพิ่งจะเลี้ยวเข้าตรอกไปก็เห็นเด็กรับใช้ที่คอยเฝ้าประตูยืนชะเง้อมองจากหน้าประตูและถือจดหมายอยู่ไกลๆ ทั้งที่ดึกมากแล้ว

เจี๋ยหงกระโดดลงจากรถม้าเข้าไปดูก่อนอย่างระแวง แล้วเอ่ยถามว่า “ดึกมากแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่ปิดประตูไปนอน มาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”

“แม่นางเจี๋ยหง” เด็กรับใช้สะดุ้งตกใจได้สติกลับมา เขาถือจดหมายไว้ในมือแน่นและมองเหยียนหลิงจวินที่ลงมาจากรถม้าอย่างลำบากใจว่า “คุณชาย เมื่อครู่เพิ่งมีคนนำมาส่ง บอกว่า…”

เขาพูดไปสีหน้าก็ยิ่งไม่สบายใจ และลังเลอยู่ชั่วครู่ถึงจะเอ่ยว่า “คนที่มาบอกว่าเป็นคนของท่านหญิงอันเล่อขอรับ”

ฉู่หลิงอวิ้น!

ดึกดื่นเที่ยงคืนให้คนมาส่งจดหมายให้เหยียนหลิงจวินงั้นหรือ?

ตอนที่เหยียนหลิงจวินอยู่ต่อหน้าคนอื่น ต่อให้เป็นเฉินเกิงเหนียน เขาก็ยังคงรักษาท่าทีห่างเหินเสมอ

ตั้งแต่ลงมาจากรถม้า เขาก็ยกยิ้มมุมปากตลอด แต่เวลานี้กลับเดินผ่านเด็กรับใช้เข้าไปข้างในอย่างไม่แยแส พลางเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “กำจัดทิ้ง!”

ไม่ได้สนใจมองแม้แต่นิดเดียว

เด็กรับใช้ยังลำบากใจไปอีกพักหนึ่ง

เฉินเกิงเหนียนเป็นคนเจ้าอารมณ์ ถึงแม้จะเป็นคนสนิทได้ใกล้ชิดฮ่องเต้ และทำงานที่สำนักหมอหลวงมาหลายปีขนาดนี้ก็เก็บสะสมทรัพย์สินในบ้านไว้ไม่น้อย แต่เขากลับใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายมาก เขาอาศัยอยู่ในเรือนสี่ประสานที่แบ่งตัวบ้านเป็นสามส่วน[1] ทั้งหลังมีคนใช้แค่สิบกว่าคน อีกอย่างก่อนที่เหยียนหลิงจวินจะเข้ามาอยู่นั้น พ่อบ้านและเด็กรับใช้ในจวนเขาก็เป็นผู้ชายทั้งหมด

ถึงแม้เฉินเกิงเหนียนจะนิสัยไม่ดี แต่เขาไม่เคยสนใจของนอกกาย เขาพยายามเอาใจใส่คนที่คอยปรนนิบัติรับใช้อย่างเต็มที่ ด้วยค่าตอบแทนของคนรับใช้จวนเขาคงพอจะเทียบกับบ้านคหบดีหลังอื่นได้

หลังจากเหยียนหลิงจวินย้ายเข้ามาอยู่ นอกจากพาหมอยาออกไปตามหาและเก็บยาสมุนไพรเป็นบางครั้ง เฉินเกิงเหนียนก็ยิ่งเอาแต่ขังตนเองศึกษาตำราแพทย์และยาสมุนไพรอยู่ในเรือนที่สามทุกวันทั้งวันทั้งคืน อย่างมากก็ชี้นิ้วสั่งแล้วก็ไม่จู้จี้ คนนอกอย่างเหยียนหลิงจวินกลับเหมือนเป็นเจ้าของจวนเฉินด้วยซ้ำ

อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเจ้านาย คนทั้งจวนนี้ก็บ่นกันมากพอดู แต่เหยียนหลิงจวินกลับนิสัยคล้ายกับเฉินเกิงเหนียนมาก และไม่ค่อยจุกจิกเท่าไร พอเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง เหยียนหลิงจวินก็รับตำแหน่งเดิมของเฉินเกิงเหนียนที่ว่างลงและก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงได้อย่างสบาย เหล่าคนรับใช้ต่างก็รู้สึกคุ้นเคยและเคารพยำเกรงเขาเหมือนกัน ไม่ว่าทำอะไรก็ยิ่งพยายามทำงานอย่างเต็มที่ขึ้นไปอีก

แต่เรื่องของเหยียนหลิงจวินกลับไม่มีใครกล้าแสดงความเห็นตามใจชอบ…

แค่สาวใช้ที่เขาพามาด้วยแต่ละคนก็ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายนัก

ตอนที่เด็กรับใช้กำลังกลุ้มใจไม่รู้จะทำอย่างไรดีนั้นเอง เชินหลานก็วิ่งเข้ามาจากด้านหลังและแย่งจดหมายนั้นไปจากมือ “ส่งจดหมายอะไรดึกป่านนี้? ขอข้าดูหน่อย!”

เพราะปกตินางมักแต่งตัวเป็นผู้ช่วยหมอคอยติดตามเหยียนหลิงจวินเข้าออกวัง ดังนั้นปกติเวลาออกจากบ้านนางก็แต่งตัวเป็นผู้ชายตลอดเหมือนกัน

“อย่ายุ่ง!” เจี๋ยหงรีบแย่งจดหมายนั้นมาจากมือ จ้องนางอย่างไม่พอใจ แล้วเอ่ยกับเด็กรับใช้ว่า “รีบไปเรียกคนมาเอารถม้าไป จัดการปิดประตูแล้วไปนอนซะ! นายท่านสั่ง เจ้าก็ทำเฉยรึไง!”

“ขอรับ!” เด็กรับใช้ตอบรับแล้วไปเรียกอีกสองคนมาช่วยกันนำรถม้าไปเก็บในคอกม้า

เชินหลานยังอยากรู้อยากเห็นอยู่ดี นางชะโงกหน้าไปจ้องจดหมายในมือเจี๋ยหงเขม็ง

เจี๋ยหงจ้องนางอีกรอบแล้วหยิบกระบอกไฟ[2] ออกมาเผาจดหมายทิ้ง พลางเอ่ยกับเชินหลานว่า “ยังจะมองอะไรอีก ไปนอนไป!”

เชินหลานแลบลิ้นใส่…

ของของเหยียนหลิงจวิน ถึงฉู่หลิงอวิ้นจะเป็นคนส่งมา นางก็รู้กฎดี ห้ามแตะต้องมั่วซั่ว เพียงแต่ลึกๆ แล้วนางก็นิสัยเหมือนเด็ก แล้วเมื่อครู่ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง

พอตรงนี้ไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ทำ เชินหลานก็กลอกตามองและจากไปแล้ว

เฉี่ยนลวี่เดินจับปลายผมที่ไหม้เกรียมและขมวดคิ้วมาจากข้างหลัง มองขี้เถ้าที่ตกกระจายอยู่ข้างเท้าเจี๋ยหงและเอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านหญิงอันเล่อนี่หน้าไม่อายจริงๆ ถึงได้กล้าส่งจดหมายมาจวนเฉินแบบนี้!”

ผู้หญิงคนนี้มีดีแค่หน้าตาและฐานะเท่านั้น นางจะมาเกาะแกะเหยีนหลิงจวินหรือ? ไม่ต้องพูดถึงเหยียนหลิงจวิน พวกสาวใช้ก็ไม่ชอบนางทั้งนั้น

ตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายอย่างก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนี้ อีกอย่างตอนนี้…

เพียงคิดว่าเป็นจดหมายของผู้หญิงที่มีสามีแล้วอย่างนางส่งมาก็ไม่ต้องอ่าน แค่ถือจดหมายนั้นไว้ในมือก็ขยะแขยงเต็มทีแล้ว

เฉี่ยนลวี่เอ่ยอย่างหงุดหงิดไม่น้อน “เคยเจอคนหน้าไม่อาย แต่ไม่เคยเจอคนอย่างนางและยังน่ารำคาญอีก”

แต่เจี๋ยหงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมมาก นางใช้หัวรองเท้าขยี้ขี้เถ้าบนพื้นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พอขยับเท้าออกก็ไม่เหลืออะไรบนพื้นอีกแล้ว

“ผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์ ร้ายกาจ เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายนัก” เจี๋ยหงเอ่ย

ฉู่หลิงอวิ้นก็มีความหยิ่งยโส ถึงแม้นางจะลดตัวลงมาเพราะอยากได้เหยียนหลิงจวินแต่ก็ไม่ได้ไป ทว่านั่นก็มีระยะเวลาจำกัด

ไม่ว่าจะโดนฉีกหน้าบนเรือเมื่อตอนกลางคืนหรือส่งจดหมายมาถึงจวนอย่างโจ่งแจ้งแบบตอนนี้ ดูอย่างไรก็เกินความอดทนของนางแล้ว ในเมื่อนางทนได้ก็ไม่มีทางที่จะไม่แอบวางแผนอะไรไว้

สาวใช้ของเหยียนหลิงจวินทุกคนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เฉี่ยนลวี่ก็สติปัญญาเฉียบแหลม นางเอ่ยถามอย่างเย็นชาทันทีว่า “เจ้าว่านางมีแผนหรือ? เช่นนั้นนางน่าจะกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”

คงไม่ทำให้ฉู่สวินหยางไม่สบายใจแค่เพื่อสร้างสถานการณ์กระมัง?

“ไม่รู้!” เจี๋ยหงส่ายหน้าแล้วยกมือตบบ่านาง “ไปเถอะ ไปนอนได้แล้ว ในเมื่อนายท่านไม่ได้สั่ง ก็ไม่น่าจะมีอะไร”

ในเมื่อเหยียนหลิงจวินไม่สนใจ เช่นนั้นก็แสดงว่าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา

เฉี่ยนลวี่ก็เชื่อแบบนั้น ดังนั้นจึงไม่ได้สืบสาวราวเรื่องต่อ นางพยักหน้าแล้วเข้าไปในเรือนที่สองที่เหยียนหลิงจวินอาศัยอยู่พร้อมกับเจี๋ยหง

———————————–

ณ ริมแม่น้ำฮู่สุ่ย

ฉู่สวินหยางรอจนกระทั่งคนออกไปพอสมควรแล้ว เจิ้งเหวินคังถูกบังคับให้ยอมแพ้ก็รู้สึกไม่สนุก แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะดื่มเหล้าและเที่ยวเล่นต่อแล้ว จึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟให้คนเอาเรือจอดเทียบท่า

ผู้คนต่างก็หัวเราะเยาะ แล้วก็ไม่พูดอะไร แค่ทักทายหยอกล้อกันไม่กี่คำแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้าย

จางอวิ๋นอี้รีบพาบ่าวมุ่งหน้าไปทางถนนไฉ่ถังอย่างเร่งด่วน

เพราะว่าแถวนั้นเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น จึงมีคนมากมายกลับไปก่อน ดังนั้นพอเลยยามสองเกิง[3] ไปมากแล้ว ถนนก็เงียบสงัดขึ้นทันตา ไม่มีบรรยากาศเฉลิมฉลองงานเทศกาลในช่วงเวลานี้เหมือนอย่างปีที่ผ่านมา

ตลอดทางจางอวิ๋นอี้พาคนกลับอย่างรวดเร็ว เดิมทีอยากไปตามฉู่หลิงอวิ้นจะได้ให้นางกลับจวนด้วยกัน แต่ก็ยังช้าไปจึงคว้าน้ำเหลว ดังนั้นจะมัวชักช้าโอ้เอ้ไม่ได้ เขาขี่ม้ากลับไปอย่างร้อนใจ อยากลองว่าจะสามารถตามนางทันระหว่างทางหรือไม่

ตอนนั้นฉู่หลิงอวิ้นน่าจะโกรธมาก จึงรีบร้อนกลับไปท่าเดียว

ตลอดทางจางอวิ๋นอี้ไม่เจอใครเลย พอคิดว่าฉู่หลิงอวิ้นโดนฉีกหน้าต่อหน้าคนอื่นอีกก็รู้สึกกระวนกระวายใจ

“ซื่อจื่อ กลับมาแล้วหรือขอรับ?” บ่าวที่คอยเฝ้าประตูรีบเข้ามารับแส้ม้าไปจากมือเขา

“อืม!” จางอวิ๋นอี้รีบเดินเข้าไปข้างใน พลางถามว่า “ท่านหญิงกลับมารึยัง?”

“กลับมาได้สักครู่แล้วขอรับ” บ่าวรับใช้ตอบ โดยไม่ได้คิดอะไรมากแล้วออกไปช่วยจูงม้า

————————————

[1] เรือนสี่ประสาน (四合院)คือการสร้างบ้านล้อมเป็นกำแพงสี่ด้านโดยมีลานบ้านอยู่ตรงกลาง ในเรื่องกล่าวถึง 三进的院子 บ่งบอกว่าบริเวณบ้านแบ่งออกเป็นสามส่วนคล้ายตัวอักษรจีน 目

[2] กระบอกไฟ กระบอกไม้ขนาดเล็กมีฝาปิดที่ใช้สำหรับจุดไฟในสมัยโบราณของจีน คล้ายไฟแช็กในปัจจุบัน โดยเริ่มใช้มาตั้งแต่ปีค.ศ.577 แรกเริ่มใช้วัสดุที่หาได้ง่าย เช่น นำกระดาษมาม้วนเป็นแท่งทรงกระบอกแล้วจุดไฟ รอให้กระดาษไหม้แค่พอประมาณแล้วดับไฟ จากนั้นเก็บม้วนกระดาษนี้เป็นเชื้อไฟไว้ในกระบอกไม้ หากต้องการใช้อีกเพียงแค่เป่าลม ไฟก็จะติดขึ้นมาอีกครั้ง ภายหลังมีการพัฒนาต่อด้วยการนำวัสดุอื่นมาใช้แทนกระดาษเพื่อให้ไฟติดง่ายขึ้นด้วย

[3] เกิง หรือ ยาม คือ การนับเวลาช่วงกลางคืนตั้งแต่พระอาทิตย์ตกไปแล้วของจีน โดยแบ่งออกเป็น 5 เกิง หนึ่งเกิงมี 2 ชั่วโมง เริ่มนับตั้งแต่ 19.00-05.00 น. ดังนั้นยามสองเกิงคือช่วงเวลา 21.00-23.00 น.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด