สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 58.2 ตำหนักทองบังคับแต่งงาน เสี่ยงอันตรายเข้าเมืองฉู่ (2)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 Chapter 58.2 ตำหนักทองบังคับแต่งงาน เสี่ยงอันตรายเข้าเมืองฉู่ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เขาไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาถึงขั้นไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะเหมาะสมที่สุด เพียงแต่ถูกคนที่เด็กกว่าอย่างซูอี้หยอกเล่นและท้าทายต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ในใจก็ต้องไม่ยอมอยู่แล้ว

“ในเมื่อซูชิงสุ่ยมีความประสงค์เช่นนี้ เสด็จพ่อก็ตรัสพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่เขาเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่อี้อันเอ่ยกับฮ่องเต้ว่า “ความรักที่เกิดจากการร่วมทุกข์กันนั้นหาได้ยากที่สุด ส่วนฐานะ ชื่อเสียง และบารมีพวกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง”

ทุกคนต่างรู้ว่าองค์รัชทายาทในรัชสมัยปัจจุบันของพวกเขาเป็นคนตรงไปตรงมา เพราะเรื่องของคนแซ่ฟางในตอนนั้น เพียงแต่หลายปีมานี้เห็นเขาจัดการบริหารราชการแผ่นดินด้วยวิธีการแข็งกร้าวอย่างจริงจังและละเอียดรอบคอบมากจนเคยชิน จึงทำให้ภาพจำติดตานั้นค่อยๆ ถูกลืมเลือนไป

เวลานี้พอเขาพูดขึ้นมา สายตาของทุกคนก็เก็บอาการไม่ไหวจนเปลี่ยนไปอย่างคาดเดาได้ยากอีก

ฮ่องเต้รู้สึกเพียงความโกรธแค้นอัดแน่นอยู่ในอกเท่านั้น เขาตบที่วางแขนทองคำของบัลลังก์อย่างโมโหและลุกขึ้นจะจากไป “เหลวไหล ฐานะของผู้หญิงคนนี้ไม่คู่ควรกับเจ้า เดี๋ยวข้าจะหาภรรยาใหม่ที่ฐานะเท่าเทียมกันให้เจ้าเอง แล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก”

“ฐานะเท่าเทียมกันก็เทียบกับที่พวกกระหม่อมสองคนรักกันมากเพราะร่วมทุกข์กันมาไม่ได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงพระเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ซูอี้เอาแต่เอ่ยเสียงดังโดยไม่สนว่าเขาจะรีบไปเช่นกัน

ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป แน่นอนว่าการเข้าเฝ้าในเช้าวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้

“แยกย้ายกันไปให้หมดได้แล้ว!” ฉู่อี้อันโบกมือและพาขุนนางใหญ่ถอยออกไป

ซูอี้คุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่ขยับ จนกระทั่งขุนนางออกไปจากตำหนักนี้หมดแล้ว เขาถึงจะสะบัดเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นเดินออกไปคุกเข่าตัวตรงกลางลานกว้างหน้าตำหนักโดยหันหน้าไปทางท้องพระโรงอีก

ผ่านไปชั่วครู่ซื่อหรงถึงจะตามออกมาจากในตำหนัก นางยืนมองเงาร่างของชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่กับพื้นด้านล่างอย่างไม่ย่อท้ออยู่บนบันไดขั้นสูงมาก ความรู้สึกพรั่งพรูออกมาในดวงตาของนาง หลังจากยืนพิงเสาข้างประตูอยู่ครู่ใหญ่ นางก็เดินตามลงไปคุกเข่าลงใกล้ตัวเขา

ซูอี้มีสีหน้าเรียบเฉย และไม่หันมาสบสายตานางแม้แต่น้อย

ทั้งสองคนคุกเข่าเคียงข้างกันอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปทางด้านหลัง

หลังฝนตกแสงแดดจ้า และเดิมทีบนพื้นก็ชื้นมากอยู่แล้ว พอโดนแสงอาทิตย์แผดเผาร่างจึงทรมานยิ่งนัก

หลังจากนั้นนานโข ซื่อหรงก็ทนไม่ไหวจนถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ กลับไปเถอะ! ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้!”

ฐานะและชื่อเสียงเช่นนี้ไม่ได้มีความสำคัญและมีความหมายต่อพวกเขาสองคนสักนิด ที่จริงแล้วก็แค่เล่นละครตบตาเท่านั้น

ซูอี้ยิ้มเยาะตรงมุมปาก อยู่ดีๆ เขาก็ถามว่า “เมื่อครู่…เขาก็อยู่ในตำหนักทองนี่ด้วยใช่หรือไม่?”

เขา? ซื่อหรงตะลึงและเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อทันที ใบหน้าพลันซีดเผือด พลางกัดฟันไม่พูดไม่จา

ซูอี้รออยู่ชั่วครู่ แม้ไม่ได้รอจนนางตอบก็รู้ได้เช่นกัน

“หึ…” ทันใดนั้นเขาก็หลับตาลงและหัวเราะออกมาราวกับเสียใจยิ่งนัก แต่น้ำเสียงกลับเย้ยหยันตนเองมากยิ่งขึ้น “ทีแรกข้าคิดว่าเจ้าไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ และแค่อยากจะอาศัยฐานะของข้าหาสถานที่สักแห่งที่เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ แต่ที่แท้เจ้าแค่ยังอาลัยอาวรณ์…”

เขาพูดไปได้เพียงครึ่งเดียว จู่ๆ ก็เหมือนกับควบคุมตนเองไม่อยู่ หลังจากฝืนหยุดไปชั่วครู่ก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจอีกว่า “ช่างเถอะ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงเวลานั้นก็ค่อยๆ ดูกันไปแล้วกัน ขอเพียงให้ข้าสามารถทำเช่นนั้นได้ สักวันหนึ่งข้าจะพาเจ้าออกมาจากกรงที่เขาขังเจ้าเอาไว้จริงๆ”

ที่นางอยู่ข้างกายเขา แท้จริงแล้วไม่ใช่เพื่อหาทางให้ตนเองมีชีวิตรอดต่อไป ทว่าแค่อาศัยฐานะของเขาคุ้มครองให้นางสามารถอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้ ถึงแม้ไม่ได้อยู่ใกล้ตัวคนนั้น นางก็ต้องอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะที่นี่สามารถพบเจอและมองเห็นเขาได้ตลอดเวลา

ผู้หญิงคนนี้ต้องโง่และดื้อขนาดไหน ถึงได้ดึงดันจะปกป้องคนที่ไกลเกินเอื้อมแบบนั้นให้ได้?

ส่วนเขา…

ต้องบ้าและว่างขนาดไหน ถึงยอมดิ้นรนเฮือกสุดท้ายไปด้วยกันกับนางเช่นนี้?

ซื่อหรงไม่โต้เถียงแม้แต่นิดเดียว นางแค่ฟังเขาต่อว่าอย่างเงียบๆ

แล้วซูอี้ก็ไม่พูดอะไรมากความอีกเช่นกัน

ความจริงแล้วทั้งสองคนคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักไม่นานนัก เพราะว่า…

ซูอี้ไข้ขึ้นสูงจนเป็นลมหมดสติไปอย่างกะทันหัน

ซื่อหรงเหมือนเพิ่งจะลนลานขึ้นมา ตอนที่เขาหน้าแดงก่ำและร่างของเขาล้มลงไปเสียงดัง นางรีบถลาเข้าไปกอดร่างที่ล้มลงของเขาไว้ ทว่าพอนิ้วมือแตะโดนหลังมือของเขาก็ตื่นตระหนกที่เขาตัวร้อนมากจนน่าตกใจ

บนตัวเขามีแผลฉกรรจ์จากรอยฟันดาบอยู่สองรอย แถมยังตากฝนกับนางไปอีกครึ่งคืน พอคิดดูแล้วเมื่อคืนตอนที่อยู่ด้วยกัน ตัวเขาก็เหมือนจะร้อนผิดปกติ แต่ตอนนั้นนางคิดแค่ว่าอารมณ์รักพาไปจึงไม่ได้สนใจ

“ซูอี้!” ซื่อหรงโอบกอดเขาไว้ นางคุกเข่านั่งบนพื้นและให้เขาหนุนตักของตนเอง พอมองหน้าแดงก่ำและริมฝีปากแห้งแตกของเขาก็พลันรู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา นางยกมือขึ้นมาแล้วแต่ไม่กล้าจับแก้มของเขาอยู่นานมาก

ใครบางคนหยุดฝีเท้ามองอยู่ไกลๆ จากสุดระเบียงคดแสนไกลนั้น แล้วเขาก็ค่อยๆ หายไปในที่ลับตาแสนรกร้างอย่างไร้เสียงอีกครั้ง ภาพเงาด้านหลังเดินตัวตรงอย่างแน่วแน่

ขอให้…

ขอให้เจ้าสามารถเดินออกไปได้เถอะ!

ไปจากข้า ไปจากอดีตที่ไม่ควรค่าแก่การจดจำไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ขอให้…

ผู้ชายคนนี้สามารถพาเจ้ากลับไปใช้ชีวิตที่เงียบสงบและเรียบง่ายเฉกเช่นเมื่อก่อนได้

ข่าวที่ซูอี้หมดสติอยู่หน้าตำหนักไปถึงหูของฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว มือของฮ่องเต้ที่กำลังเขียนพู่กันพลันชะงักไปทันที น้ำหมึกเพียงหยดเดียวที่เลอะกระดาษกระจายออกเป็นรอยหมึกวงใหญ่อย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาท เรื่องของตระกูลซูเพิ่งจะจบลง เวลานี้ไม่ควรจะผิดใจกันอีกแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงดึงกระดาษเซวียนจื่อ[1] ที่เลอะเทอะออกไปจากข้างมือเขา พลางครุ่นคิดและกล่าวเตือนอย่างคลุมเครือ

ถึงแม้จะรู้ดีว่าซูอี้ทำแบบนี้เพราะมีเจตนาร้ายจะท้าทายเขา และถึงแม้เหตุผลที่เขาปฏิเสธจัดงานแต่งงานให้จะสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ แต่ว่า…

ทุกอย่างมันแย่ตรงที่เรื่องนี้เกิดขึ้นผิดเวลา

ซูอี้อาศัยฐานะของขุนนางที่มีความดีความชอบมากดดันเขา ดังนั้นอย่างไรเขาก็ต้องยอมรับเคราะห์ร้ายนี้

“เขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? อาการหนักมากหรือ?” ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่นานมาก ในที่สุดก็จำเป็นต้องยอม

“หมอหลวงไปดูแล้ว บอกว่าไข้ขึ้นสูงเพราะรีบเดินทางในคืนฝนตก อาการไม่ค่อยดีนักพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย

ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าซูอี้เตรียมข้ออ้างที่รีบเดินทางติดต่อกันหลายคืนไว้เรียบร้อยก่อนแล้วเช่นกัน เขาคงไม่พลาดรายละเอียดแม้แต่นิดเดียวและยังมาสร้างความกดดันอีกเช่นนี้ เหมือนคิดปูทางสู่หนทางข้างหน้าไว้พร้อมหมดแล้ว

ฮ่องเต้บีบพู่กันในมือจนข้อนิ้วซีดขาวเล็กน้อย แล้วครุ่นคิดอีกครู่ใหญ่ สุดท้ายก็กัดฟันตรัส “ส่งเขากลับไปเถอะ!”

“เช่นนั้นเรื่องพระราชทานงานแต่งงาน…” หลี่รุ่ยเสียงยังคงเอ่ยเหมือนลังเล

เขารู้นิสัยของฮ่องเต้เป็นอย่างดี ครั้งนี้ซูอี้ทำให้เขาตกที่นั่งลำบากขนาดนี้ เขาก็ต้องรู้สึกแค้นใจเป็นธรรมดา

“รอเขาหายดีแล้ว ให้เขาเข้าวังมารับราชโองการด้วยตนเอง” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา

หลี่รุ่ยเสียงขานรับและออกไปถ่ายทอดคำสั่งของฮ่องเต้ แต่พอคิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ก็รู้สึกกลุ้มใจไม่น้อย…

ครั้งนี้ซูอี้ทำผิดร้ายแรงต่อฮ่องเต้ หากฮ่องเต้คิดจะเก็บทั้งสองคนไว้ใต้จมูกเช่นนี้ แสดงว่าต้องไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่ ไม่ช้าก็เร็วต้องระเบิดอารมณ์ออกมาอีก

…………………………………………….

[1] กระดาษเซวียนจื่อ กระดาษคุณภาพสูงจากอำเภอจินเซี่ยน เมืองเซวียนเฉิง มณฑลอันฮุย สีกระดาษขาวสะอาด เนื้อกระดาษละเอียด นิ่ม เบา และเหนียวไม่ขาดง่าย อีกทั้งยังดูดซับน้ำหมึกได้สม่ำเสมอ จึงเหมาะสำหรับการวาดภาพและเขียนตัวอักษร นอกจากนี้ยังเป็น 1 ใน 4 สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือของจีน อันประกอบด้วยพู่กัน กระดาษ หมึก และจานฝนหมึก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 58.2 ตำหนักทองบังคับแต่งงาน เสี่ยงอันตรายเข้าเมืองฉู่ (2)

Now you are reading สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 Chapter 58.2 ตำหนักทองบังคับแต่งงาน เสี่ยงอันตรายเข้าเมืองฉู่ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เขาไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาถึงขั้นไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะเหมาะสมที่สุด เพียงแต่ถูกคนที่เด็กกว่าอย่างซูอี้หยอกเล่นและท้าทายต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ในใจก็ต้องไม่ยอมอยู่แล้ว

“ในเมื่อซูชิงสุ่ยมีความประสงค์เช่นนี้ เสด็จพ่อก็ตรัสพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่เขาเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่อี้อันเอ่ยกับฮ่องเต้ว่า “ความรักที่เกิดจากการร่วมทุกข์กันนั้นหาได้ยากที่สุด ส่วนฐานะ ชื่อเสียง และบารมีพวกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง”

ทุกคนต่างรู้ว่าองค์รัชทายาทในรัชสมัยปัจจุบันของพวกเขาเป็นคนตรงไปตรงมา เพราะเรื่องของคนแซ่ฟางในตอนนั้น เพียงแต่หลายปีมานี้เห็นเขาจัดการบริหารราชการแผ่นดินด้วยวิธีการแข็งกร้าวอย่างจริงจังและละเอียดรอบคอบมากจนเคยชิน จึงทำให้ภาพจำติดตานั้นค่อยๆ ถูกลืมเลือนไป

เวลานี้พอเขาพูดขึ้นมา สายตาของทุกคนก็เก็บอาการไม่ไหวจนเปลี่ยนไปอย่างคาดเดาได้ยากอีก

ฮ่องเต้รู้สึกเพียงความโกรธแค้นอัดแน่นอยู่ในอกเท่านั้น เขาตบที่วางแขนทองคำของบัลลังก์อย่างโมโหและลุกขึ้นจะจากไป “เหลวไหล ฐานะของผู้หญิงคนนี้ไม่คู่ควรกับเจ้า เดี๋ยวข้าจะหาภรรยาใหม่ที่ฐานะเท่าเทียมกันให้เจ้าเอง แล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก”

“ฐานะเท่าเทียมกันก็เทียบกับที่พวกกระหม่อมสองคนรักกันมากเพราะร่วมทุกข์กันมาไม่ได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงพระเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ซูอี้เอาแต่เอ่ยเสียงดังโดยไม่สนว่าเขาจะรีบไปเช่นกัน

ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป แน่นอนว่าการเข้าเฝ้าในเช้าวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้

“แยกย้ายกันไปให้หมดได้แล้ว!” ฉู่อี้อันโบกมือและพาขุนนางใหญ่ถอยออกไป

ซูอี้คุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่ขยับ จนกระทั่งขุนนางออกไปจากตำหนักนี้หมดแล้ว เขาถึงจะสะบัดเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นเดินออกไปคุกเข่าตัวตรงกลางลานกว้างหน้าตำหนักโดยหันหน้าไปทางท้องพระโรงอีก

ผ่านไปชั่วครู่ซื่อหรงถึงจะตามออกมาจากในตำหนัก นางยืนมองเงาร่างของชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่กับพื้นด้านล่างอย่างไม่ย่อท้ออยู่บนบันไดขั้นสูงมาก ความรู้สึกพรั่งพรูออกมาในดวงตาของนาง หลังจากยืนพิงเสาข้างประตูอยู่ครู่ใหญ่ นางก็เดินตามลงไปคุกเข่าลงใกล้ตัวเขา

ซูอี้มีสีหน้าเรียบเฉย และไม่หันมาสบสายตานางแม้แต่น้อย

ทั้งสองคนคุกเข่าเคียงข้างกันอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปทางด้านหลัง

หลังฝนตกแสงแดดจ้า และเดิมทีบนพื้นก็ชื้นมากอยู่แล้ว พอโดนแสงอาทิตย์แผดเผาร่างจึงทรมานยิ่งนัก

หลังจากนั้นนานโข ซื่อหรงก็ทนไม่ไหวจนถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ กลับไปเถอะ! ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้!”

ฐานะและชื่อเสียงเช่นนี้ไม่ได้มีความสำคัญและมีความหมายต่อพวกเขาสองคนสักนิด ที่จริงแล้วก็แค่เล่นละครตบตาเท่านั้น

ซูอี้ยิ้มเยาะตรงมุมปาก อยู่ดีๆ เขาก็ถามว่า “เมื่อครู่…เขาก็อยู่ในตำหนักทองนี่ด้วยใช่หรือไม่?”

เขา? ซื่อหรงตะลึงและเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อทันที ใบหน้าพลันซีดเผือด พลางกัดฟันไม่พูดไม่จา

ซูอี้รออยู่ชั่วครู่ แม้ไม่ได้รอจนนางตอบก็รู้ได้เช่นกัน

“หึ…” ทันใดนั้นเขาก็หลับตาลงและหัวเราะออกมาราวกับเสียใจยิ่งนัก แต่น้ำเสียงกลับเย้ยหยันตนเองมากยิ่งขึ้น “ทีแรกข้าคิดว่าเจ้าไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ และแค่อยากจะอาศัยฐานะของข้าหาสถานที่สักแห่งที่เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ แต่ที่แท้เจ้าแค่ยังอาลัยอาวรณ์…”

เขาพูดไปได้เพียงครึ่งเดียว จู่ๆ ก็เหมือนกับควบคุมตนเองไม่อยู่ หลังจากฝืนหยุดไปชั่วครู่ก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจอีกว่า “ช่างเถอะ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงเวลานั้นก็ค่อยๆ ดูกันไปแล้วกัน ขอเพียงให้ข้าสามารถทำเช่นนั้นได้ สักวันหนึ่งข้าจะพาเจ้าออกมาจากกรงที่เขาขังเจ้าเอาไว้จริงๆ”

ที่นางอยู่ข้างกายเขา แท้จริงแล้วไม่ใช่เพื่อหาทางให้ตนเองมีชีวิตรอดต่อไป ทว่าแค่อาศัยฐานะของเขาคุ้มครองให้นางสามารถอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้ ถึงแม้ไม่ได้อยู่ใกล้ตัวคนนั้น นางก็ต้องอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะที่นี่สามารถพบเจอและมองเห็นเขาได้ตลอดเวลา

ผู้หญิงคนนี้ต้องโง่และดื้อขนาดไหน ถึงได้ดึงดันจะปกป้องคนที่ไกลเกินเอื้อมแบบนั้นให้ได้?

ส่วนเขา…

ต้องบ้าและว่างขนาดไหน ถึงยอมดิ้นรนเฮือกสุดท้ายไปด้วยกันกับนางเช่นนี้?

ซื่อหรงไม่โต้เถียงแม้แต่นิดเดียว นางแค่ฟังเขาต่อว่าอย่างเงียบๆ

แล้วซูอี้ก็ไม่พูดอะไรมากความอีกเช่นกัน

ความจริงแล้วทั้งสองคนคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักไม่นานนัก เพราะว่า…

ซูอี้ไข้ขึ้นสูงจนเป็นลมหมดสติไปอย่างกะทันหัน

ซื่อหรงเหมือนเพิ่งจะลนลานขึ้นมา ตอนที่เขาหน้าแดงก่ำและร่างของเขาล้มลงไปเสียงดัง นางรีบถลาเข้าไปกอดร่างที่ล้มลงของเขาไว้ ทว่าพอนิ้วมือแตะโดนหลังมือของเขาก็ตื่นตระหนกที่เขาตัวร้อนมากจนน่าตกใจ

บนตัวเขามีแผลฉกรรจ์จากรอยฟันดาบอยู่สองรอย แถมยังตากฝนกับนางไปอีกครึ่งคืน พอคิดดูแล้วเมื่อคืนตอนที่อยู่ด้วยกัน ตัวเขาก็เหมือนจะร้อนผิดปกติ แต่ตอนนั้นนางคิดแค่ว่าอารมณ์รักพาไปจึงไม่ได้สนใจ

“ซูอี้!” ซื่อหรงโอบกอดเขาไว้ นางคุกเข่านั่งบนพื้นและให้เขาหนุนตักของตนเอง พอมองหน้าแดงก่ำและริมฝีปากแห้งแตกของเขาก็พลันรู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา นางยกมือขึ้นมาแล้วแต่ไม่กล้าจับแก้มของเขาอยู่นานมาก

ใครบางคนหยุดฝีเท้ามองอยู่ไกลๆ จากสุดระเบียงคดแสนไกลนั้น แล้วเขาก็ค่อยๆ หายไปในที่ลับตาแสนรกร้างอย่างไร้เสียงอีกครั้ง ภาพเงาด้านหลังเดินตัวตรงอย่างแน่วแน่

ขอให้…

ขอให้เจ้าสามารถเดินออกไปได้เถอะ!

ไปจากข้า ไปจากอดีตที่ไม่ควรค่าแก่การจดจำไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ขอให้…

ผู้ชายคนนี้สามารถพาเจ้ากลับไปใช้ชีวิตที่เงียบสงบและเรียบง่ายเฉกเช่นเมื่อก่อนได้

ข่าวที่ซูอี้หมดสติอยู่หน้าตำหนักไปถึงหูของฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว มือของฮ่องเต้ที่กำลังเขียนพู่กันพลันชะงักไปทันที น้ำหมึกเพียงหยดเดียวที่เลอะกระดาษกระจายออกเป็นรอยหมึกวงใหญ่อย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาท เรื่องของตระกูลซูเพิ่งจะจบลง เวลานี้ไม่ควรจะผิดใจกันอีกแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงดึงกระดาษเซวียนจื่อ[1] ที่เลอะเทอะออกไปจากข้างมือเขา พลางครุ่นคิดและกล่าวเตือนอย่างคลุมเครือ

ถึงแม้จะรู้ดีว่าซูอี้ทำแบบนี้เพราะมีเจตนาร้ายจะท้าทายเขา และถึงแม้เหตุผลที่เขาปฏิเสธจัดงานแต่งงานให้จะสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ แต่ว่า…

ทุกอย่างมันแย่ตรงที่เรื่องนี้เกิดขึ้นผิดเวลา

ซูอี้อาศัยฐานะของขุนนางที่มีความดีความชอบมากดดันเขา ดังนั้นอย่างไรเขาก็ต้องยอมรับเคราะห์ร้ายนี้

“เขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? อาการหนักมากหรือ?” ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่นานมาก ในที่สุดก็จำเป็นต้องยอม

“หมอหลวงไปดูแล้ว บอกว่าไข้ขึ้นสูงเพราะรีบเดินทางในคืนฝนตก อาการไม่ค่อยดีนักพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย

ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าซูอี้เตรียมข้ออ้างที่รีบเดินทางติดต่อกันหลายคืนไว้เรียบร้อยก่อนแล้วเช่นกัน เขาคงไม่พลาดรายละเอียดแม้แต่นิดเดียวและยังมาสร้างความกดดันอีกเช่นนี้ เหมือนคิดปูทางสู่หนทางข้างหน้าไว้พร้อมหมดแล้ว

ฮ่องเต้บีบพู่กันในมือจนข้อนิ้วซีดขาวเล็กน้อย แล้วครุ่นคิดอีกครู่ใหญ่ สุดท้ายก็กัดฟันตรัส “ส่งเขากลับไปเถอะ!”

“เช่นนั้นเรื่องพระราชทานงานแต่งงาน…” หลี่รุ่ยเสียงยังคงเอ่ยเหมือนลังเล

เขารู้นิสัยของฮ่องเต้เป็นอย่างดี ครั้งนี้ซูอี้ทำให้เขาตกที่นั่งลำบากขนาดนี้ เขาก็ต้องรู้สึกแค้นใจเป็นธรรมดา

“รอเขาหายดีแล้ว ให้เขาเข้าวังมารับราชโองการด้วยตนเอง” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา

หลี่รุ่ยเสียงขานรับและออกไปถ่ายทอดคำสั่งของฮ่องเต้ แต่พอคิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ก็รู้สึกกลุ้มใจไม่น้อย…

ครั้งนี้ซูอี้ทำผิดร้ายแรงต่อฮ่องเต้ หากฮ่องเต้คิดจะเก็บทั้งสองคนไว้ใต้จมูกเช่นนี้ แสดงว่าต้องไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่ ไม่ช้าก็เร็วต้องระเบิดอารมณ์ออกมาอีก

…………………………………………….

[1] กระดาษเซวียนจื่อ กระดาษคุณภาพสูงจากอำเภอจินเซี่ยน เมืองเซวียนเฉิง มณฑลอันฮุย สีกระดาษขาวสะอาด เนื้อกระดาษละเอียด นิ่ม เบา และเหนียวไม่ขาดง่าย อีกทั้งยังดูดซับน้ำหมึกได้สม่ำเสมอ จึงเหมาะสำหรับการวาดภาพและเขียนตัวอักษร นอกจากนี้ยังเป็น 1 ใน 4 สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือของจีน อันประกอบด้วยพู่กัน กระดาษ หมึก และจานฝนหมึก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+