เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา 14

Now you are reading เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา Chapter 14 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

The Demon Prince goes to the Academy

ตอนที่ 14

 

ปีศาจที่ฉันเห็นที่ปราสาทราชาปีศาจออกอาละวาดเพื่อช่วยฉัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจำฉันได้แม้ว่าฉันจะร่ายเวทย์อำพรางใส่ตัวเองก็ตาม

 

อย่างไรก็ตามเอเลริสซึ่งเป็นปีศาจเหมือนกันกลับจำฉันไม่ได้ ก่อนที่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของฉันจะถูกเปิดเผย

 

อะไรคือสาเหตุของเรื่องนั้น? ฉันครุ่นคิดขณะที่ เอเลริสไม่อยู่ แต่ฉันไม่ได้รับคำตอบ

 

ความสามารถในการควบคุมปีศาจของฉันยังไม่สมบูรณ์ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันคาดเดาได้

 

สิ่งที่เอเลริสซื้อมาคือแซนวิชและนม เธอขอโทษที่ฉันไม่มีอะไรให้ทานมากนัก

 

“ฉันไม่มีงบขนาดนั้น… ฉันขอโทษ ฝ่าบาท”

 

ขณะที่ฉันกินอย่างซาบซึ้ง ฉันเอียงศีรษะทันทีเมื่อนึกขึ้นได้

 

“…คุณเพิ่งซื้อม้วนไฟร์บอลในราคา 4 เหรียญทองไม่ใช่เหรอ?”

 

“โอ้ นั่นคือ….”

 

เธอบอกฉันว่ามันอันตรายเกินไปสำหรับเด็กอย่างฉันที่จะเดินพกของแบบนั้นไปรอบๆ แล้วโยนเงินก้อนโตใส่ฉัน

 

“ฉันแค่คิดว่ามันอันตรายสำหรับเด็กที่จะพกอะไรแบบนั้น… ฉันขอโทษ ฝ่าบาท”

 

สำหรับสายลับ เธอค่อนข้างเห็นอกเห็นใจและมีเมตตา แวมไพร์นิสัยดีแบบนี้กันหมดมั้น? นั่นเป็นวิธีที่คุณใช้เงินทั้งหมดของคุณงั้นหรอ?

 

ฉันหยิบเหรียญทอง 4 เหรียญที่ฉันเก็บไว้ออกมาและวางไว้บนโต๊ะ

 

“ฉันไม่คิดว่าฉันต้องใช้เงินมากขนาดนั้น ดังนั้นฉันจะคืนให้คุณ”

 

“อ๊ะ คือว่า…. ขอบคุณค่ะ”

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันมีผู้ปกครองที่เป็นแวมไพร์ระดับสูง ดังนั้นการมีเงินทั้งหมดนั้นจึงดูไม่มีความหมายเลย

 

เธอกำลังดูฉันกินด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย โชคดีที่นิสัยจองเธอดี ฉันได้รับผู้พิทักษ์แวมไพร์มา เธอสามารถช่วยฉันได้ในกรณีฉุกเฉิน

 

และ

 

บรรยากาศน่าอึดอัดนั้นยังคงมีอยู่

 

มีอารมณ์บางอย่างที่ไม่รู้จักเกิดขึ้นบนใบหน้า เอเลริสเมื่อฉันบอกเธอว่าราชาปีศาจตายแล้ว

 

เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ความโกรธที่สูญเสียเจ้านายของเธอ มันรู้สึกเหมือนโล่งอก

 

แม้ว่าฉันจะยัวกินต่อไปอยู่ แต่ฉันก็ได้ไม่หยุดคิด

 

เอเลริสดูเหมือนจะมีความสุขที่ราชาปีศาจตายและความจริงที่ว่าสงครามโลกปีศาจจบลงด้วยชัยชนะของมนุษย์

 

แวมไพร์ตนนี้รักความสงบหรือยังไงในขณะที่ยังเป็นสายลับอยู่?

 

หรือบางทีเธออาจได้รับอิทธิพลจากมนุษย์เพราะเธออาศัยอยู่ในการ์เดียมนานเกินไป ไม่ว่าจะแบบไหน แวมไพร์ตนนี้เป็นคนประเภทที่ไม่สามารถแม้แต่จะมองข้ามเด็กหนุ่มอย่างฉันที่ถือคัมภีร์ไฟร์บอลแม้ว่าเธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร

 

และอารมณ์ที่เธอแสดงออกมาในขณะที่ฉันพูดถึงเจ้าหญิงก็รู้สึกเหมือนเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง

 

เธอบอกว่าเธอต้องผ่านความยากลำบากมามากในขณะที่ยังเด็กอยู่

 

แวมไพร์ตนนี้เกลียดสงครามและรู้สึกดีใจที่มันจบลง

 

ฉันยังไม่รู้ว่าเธอมีความสุขกับการสิ้นสุดของสงครามหรือชัยชนะของมนุษย์

 

ตอนนี้เธอดูแลฉันอยู่ แต่ความภักดีของเธอที่มีต่อ ราชาปีศาจได้หายไปนานแล้ว

 

แล้วเจ้าชายปีศาจที่รอดตายเป็นอะไรสำหรับผู้ที่เกลียดชังสงคราม?

 

เขาจะไม่เป็นเหมือนถ่านที่คุของสงครามครั้งใหม่หรือ? เห็นได้ชัดว่าทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอคืออะไรหากเธอต้องการหลีกเลี่ยงสงครามอีกครั้ง

 

เข้าใจละ

 

ใต้ชายเสื้อคลุมของเธอ ปลายนิ้วของเอเลริสกำลังสั่นอย่างรุนแรง

 

บางทีเธออาจจะรู้สึกอ่อนแอเพราะต้องเผชิญแสงแดด แต่จริงๆ แล้วเธออาจจะเพิ่งตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง แต่กลัวเกินกว่าจะรับมือกับมัน?

 

กลัวที่จะต้องปิดฉากโลกปีศาจบ้านเกิดของเธอด้วยมือของเธอเอง

 

รังเกียจตัวเธอเองที่พยายามฆ่าเด็กเพื่อไม่ให้เกิดสงครามขึ้นอีก

 

ฉันสงสัยว่าเธอคิดแบบนั้นจริง ๆ หรือนี่เป็นเพียงจินตนาการของฉัน

 

“ฝ่าบาท”

 

“เอ่อ อา…. ใช่”

 

“จริงเหรอ… คุณสูญเสียความทรงจำทั้งหมดจริงๆงั้นเหรอ?”

 

เมื่อเอเลริสถามฉันด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ฉันเกือบจะแน่ใจว่าเธอกำลังพยายามจะทำอะไร

 

“ใช่ ฉันจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากว่าฉันเป็นใคร ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น และฉันก็เชื่อว่าฉันไม่ได้ถูกสาปหรือถูกสิงอย่างแน่นอน”

 

“……”

 

“อืม ยังไงก็ช่าง ไม่ใช่ว่าการฟื้นความทรงจำของฉันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้”

 

ฉันไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้เธอสบายใจขึ้นรึเปล่า

 

“ถึงฉันผ่านมันไปได้แค่วันเดียว แต่บอกได้เลยสงครามมันบ้ามากจริงๆ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าของเอเลริสก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างไม่สามารถอธิบายได้

 

“อ่า ไม่! คุณเป็นทายาทของแดนปีศาจและเป็นความหวังของปีศาจทั้งหมด! คุณต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งและสร้างอาณาจักรปีศาจขึ้นใหม่ให้ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง…!”

 

เธอพยายามอย่างมากที่จะพูดในสิ่งที่เธอไม่ได้ตั้งใจหรือพูดไม่ทันตั้งตัว

 

“แดนปีศาจได้ล่มสลายไปแล้ว”

 

“……”

 

“ฉันไม่ตั้งใจที่จะเป็นราชาของประเทศที่ไม่มีอยู่จริง”

 

“คุณไม่ควรพูดอย่างจริงจังเรื่องประเทศที่ไม่มีอยู่จริง”

 

“…….”

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ น้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาของแวมไพร์

 

เธอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการร้องไห้

 

มีช่วงเวลาที่นิยายนั้นครอบงำวัยเด็กของฉัน

 

แต่แวมไพร์สามารถร้องไห้ได้จริงๆ?

 

หลังจากพูดว่าเธอรู้สึกเสียใจกับพฤติกรรมของเธอเอเลริสก็ลงไปที่ชั้นหนึ่งและไม่ได้ขึ้นมาพักหนึ่ง ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฉันพูดจะไม่ส่งผลเสียต่อเธอ

 

* * *

 

ในคืนนั้น

 

ฉันนอนอยู่บนเตียง เอเลริสบอกว่าเธอจะเฝ้าดูฉัน เอง เธอจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงของฉัน มองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีแสงจันทร์ส่องเข้ามา

 

ว่ากันว่าแวมไพร์เป็นขุนนางแห่งรัตติกาล

 

เธอสวยจริงๆ

 

ฉันกำลังมองไปที่เอเลริสผู้ซึ่งส่องประกายระยิบระยับใต้แสงจันทร์

 

“ฝ่าบาท”

 

“อย่าเรียกฉันแบบนั้น”

 

“.…… ฉันขอโทษ แต่ฉันเรียกคุณแบบอื่นไม่ได้”

 

เอเลริสพูดอย่างนั้นและพูดต่อไปโดยไม่หันมามองฉัน

 

“คุณไม่ควรบอกเรื่องในวันนี้ให้ใครฟัง”

 

“ไม่มีเหตุผลที่จะบอก ถ้าฉันบอกมันจะเปิดเผยว่าฉันเป็นปีศาจได้”

 

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันหมายถึง”

 

นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ว่า เอเลริสพูดอย่างทรงพลัง

 

“ไม่รวมฉัน ยังมีผู้แทรกซึมอีกสองคนที่แทรกซึมเข้าอยู่ในการ์ดเดียม”

 

ใช่

 

นั่นคือสิ่งที่ฉันคาดไว้ เพราะเธอบอกฉันว่าเป็นสมาชิกกลุ่มแทรกซึม

 

“คุณจะต้องเจออีกสองคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน มันคงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับพวกเขาหากฝ่าบาทยังคงหลบซ่อนตัวจากโลกนี้ต่อไป”

 

“พวกเขาเป็นใคร?”

 

“เคานต์อาร์กอน พอนธีอุส แล้วก็มีตัวที่รู้จักกันในชื่อ หมาป่าแห่งไอรีน”

 

“หนึ่งในนั้นเป็นขุนนาง?”

 

ทางนั้นเป็นมากกว่าสายลับไม่ใช่เหรอ?

 

“ใช่ เขาเป็นคนดำเนินการลักพาตัวเจ้าหญิงและจักรพรรดินีโดยตรง”

 

เมื่อฉันได้ยินว่าเขาเป็นผู้ลักพาตัวเจ้าหญิงไป ฉันสะดุ้ง โดยธรรมชาติแล้ว ปีศาจที่นี่ต้องเป็นผู้ลักพาตัวไป

 

แต่รู้สึกแปลกที่คิดว่าคนที่ทำคือคนอย่างเขา และแน่นอนว่าเขาต้องเป็นคนที่ภักดีต่อแดนปีศาจ

 

ฉันรู้สึกเหมือนต้องเผชิญกับความจริงที่น่าอึดอัดใจ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากเป็นศัตรูของชาร์ลอตต์กับพ่อแม่ของเธอ

 

“ชื่อจริงของเคานต์ปอนธีอุสคือซาร์เคการ์ เขามาจากเผ่าพันธุ์ อสูรเดรดฟีน”

 

อสูรเป็นสายพันธุ์ย่อยของปีศาจ แต่ฉันไม่รู้ว่า อสูรเกรดฟีน คืออะไร

 

ทำไมฉันถึงถูกส่งเข้ามาในนิยายของฉันเพียงเพื่อเจอกับเรื่องที่ฉันไม่รู้เป็นส่วนใหญ่”

 

“คุณช่วยขยายความได้ไหม”

 

“เดรดฟีนโดยพื้นฐานแล้วเป็นปีศาจที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์การแปลงร่าง รวมถึงเวทมนตร์ต่อต้านด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถหลอกตามนุษย์และแทรกแซงเข้าไปในสังคมชนชั้นสูงซึ่งเป็นหัวใจของการ์เดียมได้ เขาไม่ถูกตรวจพบไม่ใช่เพราะระดับเวทเปลี่ยนแปลงของเขา แต่เพราะเขาเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ของเขาเอง คุณสามารถคิดได้ว่าพวกเขาสามารถใช้ความสามารถที่คล้ายกับ โพลิมอร์ฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในเวทมนตร์ระดับสูงสุดได้ตั้งแต่แรกเกิด”

 

เวทมนตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงมีหลายประเภท มีการพรางตัวซึ่งเป็นเวทย์มนตร์ระดับต่ำ มันเป็นสิ่งที่ฉันใช้ จากนั้นก็มีวิธีสร้างภาพลวงตาด้วยเวทมนตร์ภาพลวงตา และวิธีการแปลงร่างในช่วงเวลาสั้นๆ

 

อย่างไรก็ตาม โพลิมอร์ฟเป็นเวทระดับสูงสุดที่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายของคนๆ หนึ่งได้ เวทมนตร์ชนิดนี้ไม่สามารถถูกพบได้ด้วยการใช้การตรวจจับหรือการปัดเป่า

 

เดรดฟีนสามารถใช้ความสามารถที่คล้ายกับโพลิมอร์ฟได้ตั้งแต่แรกเกิด ทั้งหมดนี้คงจะง่ายกว่านี้มากถ้าฉันกลายเป็นปีศาจแบบนั้น

 

“เขาภักดีต่อราชาปีศาจอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่เขาจะเข้าร่วมสงครามเท่านั้น เขายังเต็มใจที่จะเสียสละแม้กระทั่งจิตวิญญาณของเขา หากนั่นหมายความว่าเขาสามารถสร้างแดนปีศาจขึ้นมาใหม่ได้”

 

ปกติแล้วอสูรมักจะอยู่ในฐานะขโมยวิญญาณไม่ใช่เหรอ? เขาภัคดีขนาดไหนกันเนี่ย?

 

“ถ้าเขารู้ว่าฉันไม่สนใจที่จะสร้างแดนปีศาจขึ้นใหม่… มันจะก่อให้เกิดปัญหาจริง ๆ ใช่มั้ย”

 

“ฉันไม่คิดว่ามันจะถึงขั้นนั้น แต่เขาจะพยายามโน้มน้าวให้ฝ่าบาทต้องการ”

 

“เขาจะไม่ฆ่าฉันเหรอ?”

 

“คุณคืออาร์คเดมอนคนสุดท้าย หากไม่มีคุณแดนปีศาจจะไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ ดังนั้นเขาจะพยายามเปลี่ยนใจคุณด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง”

 

อาร์คเดมอนเป็นเผ่าพันธุ์ที่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้ฉันเป็นแค่เด็กที่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้

 

“แล้วถ้าฉันยังไม่เปลี่ยนใจล่ะ?”

 

เอเลริสมองมาที่ฉันและยิ้ม จากนั้นเธอก็วางมือบนหัวของฉัน เธอมีอุณหภูมิร่างกายต่ำ แต่ก็รู้สึกดีในแบบของมันเอง

 

“แม้ว่ามันจะหมายถึงการทำลายทุกสิ่งที่คุณรัก เขาก็จะทำ”

 

ฉันเพิ่งมาถึงโลกนี้ แต่ ซาร์เกการ์จะทำทุกอย่างยกเว้นฆ่าฉันเพื่อให้ฉันเป็นราชาปีศาจคนต่อไป

 

“สำหรับตอนนี้ โปรดตามน้ำกับเขาก่อน และจะไม่สายเกินไปที่จะทำตามใจคุณ เมื่อคุณมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเอาชนะซาร์เกการ์”

 

“.…ใช่แล้ว มาทำแบบนั้นกันเถอะ”

 

“เขายังมีความสามารถมาก เขาจะสามารถช่วยฝ่าบาทได้มากเกินกว่าที่ฉันจะทำได้”

 

ก่อนอื่นเขาเป็นสายลับ แต่เขาก็เป็นขุนนางเช่นกัน ซาร์เกการ์ เป็นผู้ภักดี เขาจะไม่ทำอะไรที่จะทำให้ฉันได้รับอันตราย

 

จริงๆ แล้ว คนที่อันตรายที่สุดสำหรับฉันคือเอเลริสก่อนที่ฉันจะบอกเธอว่าฉันไม่สนใจเรื่องสงคราม ดูเหมือน เอเลริสพยายามจะฆ่าฉัน แม้ว่าดูเหมือนเธอจะไม่อยากทำแบบนั้นอีกแล้วก็ตาม

 

“เดี๋ยวก่อน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ถ้าฉันได้เป็นราชาปีศาจจริงหลังจากทำตามที่เขาพูด คุณจะทำอย่างไร”

 

“..… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

เอเลริสถอนหายใจด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

 

“เมื่อถึงเวลานั้น คุณจะต้องเลือกระหว่างฉันหรือซาร์เกการ์”

 

“…….”

 

บางทีการฆ่าฉันตอนนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอในการเผารากเหง้าของสงคราม แต่ดูเหมือนว่าเอเลริสจะทำแบบนั้นไม่ได้

 

“คุณต้องเติบโตเป็นคนดี ฝ่าบาท”

 

“…ฉันจะพยายาม”

 

ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันได้ยินสิ่งเหล่านี้จากแวมไพร์

 

“แล้วหมาป่าแห่งไอรีนตัวนั้นคืออะไร”

 

ชื่อเล่นที่น่าขนลุกนั้นคืออะไร? หมาป่าแห่งไอรีน? เขาพยายามที่จะดูเท่งั้นหรอ? เธอเกาแก้มเล็กน้อย

 

“พวกเขา….. มีแก๊งผิดกฎหมายในการ์เดียมก่ออาชญากรรมในที่ต่าง ๆ…… อะไรทำนองนั้น…… หมาป่าแห่งไอรีนเป็นหัวหน้าของแก๊งดังกล่าว”

 

“……ปีศาจที่ถูกส่งไปเป็นสายลับกลายเป็นอันธพาล?”

 

เขาควรจะเป็นสุนัขแบบไหนกัน?

 

เอเลริสยิ้มแบบเขินๆออกมา

 

“พูดตามตรง แทนที่จะเป็นแก๊งค์… พวกเขาเป็นแค่บางคนที่เกาะกลุ่มกัน เป็นเพียงว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ความรุนแรงจะเกิดขึ้นเพราะพวกเขาอยู่ด้วยกัน”

 

“…นั่นมันก็แก๊งค์ไม่ใช่เหรอ?”

 

“ฉันควรเรียกว่ายังไงดีล่ะ….”

 

เอเลริสดูลังเลยิ่งกว่าตอนที่เธอพูดถึงซาร์เกการ์

 

“นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะแทรกซึม ถ้าสิ่งเดียวที่คนคนนั้นทำได้ดีคือการต่อสู้”

 

ยังไงก็ตาม ถ้าคนที่จะช่วยฉันเป็นหัวหน้าองค์กรใหญ่ จะมีผลเสียอะไรมั้ย? เอเลริสถอนหายใจลึก ๆ และพึมพำอย่างเปิดเผย

 

“พวกเขาเป็น…ขอทาน”

 

“..…อะไรนะ?”

 

“สมาชิกแก๊งมักขายลูกอมหรือของบางอย่างให้กับผู้คนที่เดินไปตามแม่น้ำไอรีน…. อันที่จริง นั่นเป็นวิธีที่จะได้รับเงินทุนสำหรับงานของพวกเราด้วย….”

 

…นี่ไม่ใช่การล้อเล่นใช้มั้ย?

 

ดังนั้นปีศาจที่ถูกส่งไปยังการ์เดียม กลายเป็นหัวหน้าของกลุ่มขอทาน และนั่นคือวิธีหากองทุนสำหรับภารกิจของพวกเขา? คนคนนั้นเป็นสายลับแบบไหนกัน? นี่เป็นเวอร์ชันยุคกลางของพรรคกระยาจกใช่มั้น?

 

อา

 

หมาป่าแห่วไอรีน

 

ไม่ใช่ชื่อที่ดูจูนิเบียว แต่มันอธิบายตามตัวอักษรเลย

 

พวกเขาคือหมาที่ถูกทิ้ง ณ แม่น้ำไอรีน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา 14

Now you are reading เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา Chapter 14 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

The Demon Prince goes to the Academy

ตอนที่ 14

 

ปีศาจที่ฉันเห็นที่ปราสาทราชาปีศาจออกอาละวาดเพื่อช่วยฉัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจำฉันได้แม้ว่าฉันจะร่ายเวทย์อำพรางใส่ตัวเองก็ตาม

 

อย่างไรก็ตามเอเลริสซึ่งเป็นปีศาจเหมือนกันกลับจำฉันไม่ได้ ก่อนที่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของฉันจะถูกเปิดเผย

 

อะไรคือสาเหตุของเรื่องนั้น? ฉันครุ่นคิดขณะที่ เอเลริสไม่อยู่ แต่ฉันไม่ได้รับคำตอบ

 

ความสามารถในการควบคุมปีศาจของฉันยังไม่สมบูรณ์ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันคาดเดาได้

 

สิ่งที่เอเลริสซื้อมาคือแซนวิชและนม เธอขอโทษที่ฉันไม่มีอะไรให้ทานมากนัก

 

“ฉันไม่มีงบขนาดนั้น… ฉันขอโทษ ฝ่าบาท”

 

ขณะที่ฉันกินอย่างซาบซึ้ง ฉันเอียงศีรษะทันทีเมื่อนึกขึ้นได้

 

“…คุณเพิ่งซื้อม้วนไฟร์บอลในราคา 4 เหรียญทองไม่ใช่เหรอ?”

 

“โอ้ นั่นคือ….”

 

เธอบอกฉันว่ามันอันตรายเกินไปสำหรับเด็กอย่างฉันที่จะเดินพกของแบบนั้นไปรอบๆ แล้วโยนเงินก้อนโตใส่ฉัน

 

“ฉันแค่คิดว่ามันอันตรายสำหรับเด็กที่จะพกอะไรแบบนั้น… ฉันขอโทษ ฝ่าบาท”

 

สำหรับสายลับ เธอค่อนข้างเห็นอกเห็นใจและมีเมตตา แวมไพร์นิสัยดีแบบนี้กันหมดมั้น? นั่นเป็นวิธีที่คุณใช้เงินทั้งหมดของคุณงั้นหรอ?

 

ฉันหยิบเหรียญทอง 4 เหรียญที่ฉันเก็บไว้ออกมาและวางไว้บนโต๊ะ

 

“ฉันไม่คิดว่าฉันต้องใช้เงินมากขนาดนั้น ดังนั้นฉันจะคืนให้คุณ”

 

“อ๊ะ คือว่า…. ขอบคุณค่ะ”

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันมีผู้ปกครองที่เป็นแวมไพร์ระดับสูง ดังนั้นการมีเงินทั้งหมดนั้นจึงดูไม่มีความหมายเลย

 

เธอกำลังดูฉันกินด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย โชคดีที่นิสัยจองเธอดี ฉันได้รับผู้พิทักษ์แวมไพร์มา เธอสามารถช่วยฉันได้ในกรณีฉุกเฉิน

 

และ

 

บรรยากาศน่าอึดอัดนั้นยังคงมีอยู่

 

มีอารมณ์บางอย่างที่ไม่รู้จักเกิดขึ้นบนใบหน้า เอเลริสเมื่อฉันบอกเธอว่าราชาปีศาจตายแล้ว

 

เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ความโกรธที่สูญเสียเจ้านายของเธอ มันรู้สึกเหมือนโล่งอก

 

แม้ว่าฉันจะยัวกินต่อไปอยู่ แต่ฉันก็ได้ไม่หยุดคิด

 

เอเลริสดูเหมือนจะมีความสุขที่ราชาปีศาจตายและความจริงที่ว่าสงครามโลกปีศาจจบลงด้วยชัยชนะของมนุษย์

 

แวมไพร์ตนนี้รักความสงบหรือยังไงในขณะที่ยังเป็นสายลับอยู่?

 

หรือบางทีเธออาจได้รับอิทธิพลจากมนุษย์เพราะเธออาศัยอยู่ในการ์เดียมนานเกินไป ไม่ว่าจะแบบไหน แวมไพร์ตนนี้เป็นคนประเภทที่ไม่สามารถแม้แต่จะมองข้ามเด็กหนุ่มอย่างฉันที่ถือคัมภีร์ไฟร์บอลแม้ว่าเธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร

 

และอารมณ์ที่เธอแสดงออกมาในขณะที่ฉันพูดถึงเจ้าหญิงก็รู้สึกเหมือนเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง

 

เธอบอกว่าเธอต้องผ่านความยากลำบากมามากในขณะที่ยังเด็กอยู่

 

แวมไพร์ตนนี้เกลียดสงครามและรู้สึกดีใจที่มันจบลง

 

ฉันยังไม่รู้ว่าเธอมีความสุขกับการสิ้นสุดของสงครามหรือชัยชนะของมนุษย์

 

ตอนนี้เธอดูแลฉันอยู่ แต่ความภักดีของเธอที่มีต่อ ราชาปีศาจได้หายไปนานแล้ว

 

แล้วเจ้าชายปีศาจที่รอดตายเป็นอะไรสำหรับผู้ที่เกลียดชังสงคราม?

 

เขาจะไม่เป็นเหมือนถ่านที่คุของสงครามครั้งใหม่หรือ? เห็นได้ชัดว่าทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอคืออะไรหากเธอต้องการหลีกเลี่ยงสงครามอีกครั้ง

 

เข้าใจละ

 

ใต้ชายเสื้อคลุมของเธอ ปลายนิ้วของเอเลริสกำลังสั่นอย่างรุนแรง

 

บางทีเธออาจจะรู้สึกอ่อนแอเพราะต้องเผชิญแสงแดด แต่จริงๆ แล้วเธออาจจะเพิ่งตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง แต่กลัวเกินกว่าจะรับมือกับมัน?

 

กลัวที่จะต้องปิดฉากโลกปีศาจบ้านเกิดของเธอด้วยมือของเธอเอง

 

รังเกียจตัวเธอเองที่พยายามฆ่าเด็กเพื่อไม่ให้เกิดสงครามขึ้นอีก

 

ฉันสงสัยว่าเธอคิดแบบนั้นจริง ๆ หรือนี่เป็นเพียงจินตนาการของฉัน

 

“ฝ่าบาท”

 

“เอ่อ อา…. ใช่”

 

“จริงเหรอ… คุณสูญเสียความทรงจำทั้งหมดจริงๆงั้นเหรอ?”

 

เมื่อเอเลริสถามฉันด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ฉันเกือบจะแน่ใจว่าเธอกำลังพยายามจะทำอะไร

 

“ใช่ ฉันจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากว่าฉันเป็นใคร ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น และฉันก็เชื่อว่าฉันไม่ได้ถูกสาปหรือถูกสิงอย่างแน่นอน”

 

“……”

 

“อืม ยังไงก็ช่าง ไม่ใช่ว่าการฟื้นความทรงจำของฉันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้”

 

ฉันไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้เธอสบายใจขึ้นรึเปล่า

 

“ถึงฉันผ่านมันไปได้แค่วันเดียว แต่บอกได้เลยสงครามมันบ้ามากจริงๆ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าของเอเลริสก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างไม่สามารถอธิบายได้

 

“อ่า ไม่! คุณเป็นทายาทของแดนปีศาจและเป็นความหวังของปีศาจทั้งหมด! คุณต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งและสร้างอาณาจักรปีศาจขึ้นใหม่ให้ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง…!”

 

เธอพยายามอย่างมากที่จะพูดในสิ่งที่เธอไม่ได้ตั้งใจหรือพูดไม่ทันตั้งตัว

 

“แดนปีศาจได้ล่มสลายไปแล้ว”

 

“……”

 

“ฉันไม่ตั้งใจที่จะเป็นราชาของประเทศที่ไม่มีอยู่จริง”

 

“คุณไม่ควรพูดอย่างจริงจังเรื่องประเทศที่ไม่มีอยู่จริง”

 

“…….”

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ น้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาของแวมไพร์

 

เธอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการร้องไห้

 

มีช่วงเวลาที่นิยายนั้นครอบงำวัยเด็กของฉัน

 

แต่แวมไพร์สามารถร้องไห้ได้จริงๆ?

 

หลังจากพูดว่าเธอรู้สึกเสียใจกับพฤติกรรมของเธอเอเลริสก็ลงไปที่ชั้นหนึ่งและไม่ได้ขึ้นมาพักหนึ่ง ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฉันพูดจะไม่ส่งผลเสียต่อเธอ

 

* * *

 

ในคืนนั้น

 

ฉันนอนอยู่บนเตียง เอเลริสบอกว่าเธอจะเฝ้าดูฉัน เอง เธอจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงของฉัน มองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีแสงจันทร์ส่องเข้ามา

 

ว่ากันว่าแวมไพร์เป็นขุนนางแห่งรัตติกาล

 

เธอสวยจริงๆ

 

ฉันกำลังมองไปที่เอเลริสผู้ซึ่งส่องประกายระยิบระยับใต้แสงจันทร์

 

“ฝ่าบาท”

 

“อย่าเรียกฉันแบบนั้น”

 

“.…… ฉันขอโทษ แต่ฉันเรียกคุณแบบอื่นไม่ได้”

 

เอเลริสพูดอย่างนั้นและพูดต่อไปโดยไม่หันมามองฉัน

 

“คุณไม่ควรบอกเรื่องในวันนี้ให้ใครฟัง”

 

“ไม่มีเหตุผลที่จะบอก ถ้าฉันบอกมันจะเปิดเผยว่าฉันเป็นปีศาจได้”

 

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันหมายถึง”

 

นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ว่า เอเลริสพูดอย่างทรงพลัง

 

“ไม่รวมฉัน ยังมีผู้แทรกซึมอีกสองคนที่แทรกซึมเข้าอยู่ในการ์ดเดียม”

 

ใช่

 

นั่นคือสิ่งที่ฉันคาดไว้ เพราะเธอบอกฉันว่าเป็นสมาชิกกลุ่มแทรกซึม

 

“คุณจะต้องเจออีกสองคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน มันคงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับพวกเขาหากฝ่าบาทยังคงหลบซ่อนตัวจากโลกนี้ต่อไป”

 

“พวกเขาเป็นใคร?”

 

“เคานต์อาร์กอน พอนธีอุส แล้วก็มีตัวที่รู้จักกันในชื่อ หมาป่าแห่งไอรีน”

 

“หนึ่งในนั้นเป็นขุนนาง?”

 

ทางนั้นเป็นมากกว่าสายลับไม่ใช่เหรอ?

 

“ใช่ เขาเป็นคนดำเนินการลักพาตัวเจ้าหญิงและจักรพรรดินีโดยตรง”

 

เมื่อฉันได้ยินว่าเขาเป็นผู้ลักพาตัวเจ้าหญิงไป ฉันสะดุ้ง โดยธรรมชาติแล้ว ปีศาจที่นี่ต้องเป็นผู้ลักพาตัวไป

 

แต่รู้สึกแปลกที่คิดว่าคนที่ทำคือคนอย่างเขา และแน่นอนว่าเขาต้องเป็นคนที่ภักดีต่อแดนปีศาจ

 

ฉันรู้สึกเหมือนต้องเผชิญกับความจริงที่น่าอึดอัดใจ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากเป็นศัตรูของชาร์ลอตต์กับพ่อแม่ของเธอ

 

“ชื่อจริงของเคานต์ปอนธีอุสคือซาร์เคการ์ เขามาจากเผ่าพันธุ์ อสูรเดรดฟีน”

 

อสูรเป็นสายพันธุ์ย่อยของปีศาจ แต่ฉันไม่รู้ว่า อสูรเกรดฟีน คืออะไร

 

ทำไมฉันถึงถูกส่งเข้ามาในนิยายของฉันเพียงเพื่อเจอกับเรื่องที่ฉันไม่รู้เป็นส่วนใหญ่”

 

“คุณช่วยขยายความได้ไหม”

 

“เดรดฟีนโดยพื้นฐานแล้วเป็นปีศาจที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์การแปลงร่าง รวมถึงเวทมนตร์ต่อต้านด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถหลอกตามนุษย์และแทรกแซงเข้าไปในสังคมชนชั้นสูงซึ่งเป็นหัวใจของการ์เดียมได้ เขาไม่ถูกตรวจพบไม่ใช่เพราะระดับเวทเปลี่ยนแปลงของเขา แต่เพราะเขาเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ของเขาเอง คุณสามารถคิดได้ว่าพวกเขาสามารถใช้ความสามารถที่คล้ายกับ โพลิมอร์ฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในเวทมนตร์ระดับสูงสุดได้ตั้งแต่แรกเกิด”

 

เวทมนตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงมีหลายประเภท มีการพรางตัวซึ่งเป็นเวทย์มนตร์ระดับต่ำ มันเป็นสิ่งที่ฉันใช้ จากนั้นก็มีวิธีสร้างภาพลวงตาด้วยเวทมนตร์ภาพลวงตา และวิธีการแปลงร่างในช่วงเวลาสั้นๆ

 

อย่างไรก็ตาม โพลิมอร์ฟเป็นเวทระดับสูงสุดที่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายของคนๆ หนึ่งได้ เวทมนตร์ชนิดนี้ไม่สามารถถูกพบได้ด้วยการใช้การตรวจจับหรือการปัดเป่า

 

เดรดฟีนสามารถใช้ความสามารถที่คล้ายกับโพลิมอร์ฟได้ตั้งแต่แรกเกิด ทั้งหมดนี้คงจะง่ายกว่านี้มากถ้าฉันกลายเป็นปีศาจแบบนั้น

 

“เขาภักดีต่อราชาปีศาจอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่เขาจะเข้าร่วมสงครามเท่านั้น เขายังเต็มใจที่จะเสียสละแม้กระทั่งจิตวิญญาณของเขา หากนั่นหมายความว่าเขาสามารถสร้างแดนปีศาจขึ้นมาใหม่ได้”

 

ปกติแล้วอสูรมักจะอยู่ในฐานะขโมยวิญญาณไม่ใช่เหรอ? เขาภัคดีขนาดไหนกันเนี่ย?

 

“ถ้าเขารู้ว่าฉันไม่สนใจที่จะสร้างแดนปีศาจขึ้นใหม่… มันจะก่อให้เกิดปัญหาจริง ๆ ใช่มั้ย”

 

“ฉันไม่คิดว่ามันจะถึงขั้นนั้น แต่เขาจะพยายามโน้มน้าวให้ฝ่าบาทต้องการ”

 

“เขาจะไม่ฆ่าฉันเหรอ?”

 

“คุณคืออาร์คเดมอนคนสุดท้าย หากไม่มีคุณแดนปีศาจจะไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ ดังนั้นเขาจะพยายามเปลี่ยนใจคุณด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง”

 

อาร์คเดมอนเป็นเผ่าพันธุ์ที่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้ฉันเป็นแค่เด็กที่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้

 

“แล้วถ้าฉันยังไม่เปลี่ยนใจล่ะ?”

 

เอเลริสมองมาที่ฉันและยิ้ม จากนั้นเธอก็วางมือบนหัวของฉัน เธอมีอุณหภูมิร่างกายต่ำ แต่ก็รู้สึกดีในแบบของมันเอง

 

“แม้ว่ามันจะหมายถึงการทำลายทุกสิ่งที่คุณรัก เขาก็จะทำ”

 

ฉันเพิ่งมาถึงโลกนี้ แต่ ซาร์เกการ์จะทำทุกอย่างยกเว้นฆ่าฉันเพื่อให้ฉันเป็นราชาปีศาจคนต่อไป

 

“สำหรับตอนนี้ โปรดตามน้ำกับเขาก่อน และจะไม่สายเกินไปที่จะทำตามใจคุณ เมื่อคุณมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเอาชนะซาร์เกการ์”

 

“.…ใช่แล้ว มาทำแบบนั้นกันเถอะ”

 

“เขายังมีความสามารถมาก เขาจะสามารถช่วยฝ่าบาทได้มากเกินกว่าที่ฉันจะทำได้”

 

ก่อนอื่นเขาเป็นสายลับ แต่เขาก็เป็นขุนนางเช่นกัน ซาร์เกการ์ เป็นผู้ภักดี เขาจะไม่ทำอะไรที่จะทำให้ฉันได้รับอันตราย

 

จริงๆ แล้ว คนที่อันตรายที่สุดสำหรับฉันคือเอเลริสก่อนที่ฉันจะบอกเธอว่าฉันไม่สนใจเรื่องสงคราม ดูเหมือน เอเลริสพยายามจะฆ่าฉัน แม้ว่าดูเหมือนเธอจะไม่อยากทำแบบนั้นอีกแล้วก็ตาม

 

“เดี๋ยวก่อน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ถ้าฉันได้เป็นราชาปีศาจจริงหลังจากทำตามที่เขาพูด คุณจะทำอย่างไร”

 

“..… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

เอเลริสถอนหายใจด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

 

“เมื่อถึงเวลานั้น คุณจะต้องเลือกระหว่างฉันหรือซาร์เกการ์”

 

“…….”

 

บางทีการฆ่าฉันตอนนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอในการเผารากเหง้าของสงคราม แต่ดูเหมือนว่าเอเลริสจะทำแบบนั้นไม่ได้

 

“คุณต้องเติบโตเป็นคนดี ฝ่าบาท”

 

“…ฉันจะพยายาม”

 

ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันได้ยินสิ่งเหล่านี้จากแวมไพร์

 

“แล้วหมาป่าแห่งไอรีนตัวนั้นคืออะไร”

 

ชื่อเล่นที่น่าขนลุกนั้นคืออะไร? หมาป่าแห่งไอรีน? เขาพยายามที่จะดูเท่งั้นหรอ? เธอเกาแก้มเล็กน้อย

 

“พวกเขา….. มีแก๊งผิดกฎหมายในการ์เดียมก่ออาชญากรรมในที่ต่าง ๆ…… อะไรทำนองนั้น…… หมาป่าแห่งไอรีนเป็นหัวหน้าของแก๊งดังกล่าว”

 

“……ปีศาจที่ถูกส่งไปเป็นสายลับกลายเป็นอันธพาล?”

 

เขาควรจะเป็นสุนัขแบบไหนกัน?

 

เอเลริสยิ้มแบบเขินๆออกมา

 

“พูดตามตรง แทนที่จะเป็นแก๊งค์… พวกเขาเป็นแค่บางคนที่เกาะกลุ่มกัน เป็นเพียงว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ความรุนแรงจะเกิดขึ้นเพราะพวกเขาอยู่ด้วยกัน”

 

“…นั่นมันก็แก๊งค์ไม่ใช่เหรอ?”

 

“ฉันควรเรียกว่ายังไงดีล่ะ….”

 

เอเลริสดูลังเลยิ่งกว่าตอนที่เธอพูดถึงซาร์เกการ์

 

“นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะแทรกซึม ถ้าสิ่งเดียวที่คนคนนั้นทำได้ดีคือการต่อสู้”

 

ยังไงก็ตาม ถ้าคนที่จะช่วยฉันเป็นหัวหน้าองค์กรใหญ่ จะมีผลเสียอะไรมั้ย? เอเลริสถอนหายใจลึก ๆ และพึมพำอย่างเปิดเผย

 

“พวกเขาเป็น…ขอทาน”

 

“..…อะไรนะ?”

 

“สมาชิกแก๊งมักขายลูกอมหรือของบางอย่างให้กับผู้คนที่เดินไปตามแม่น้ำไอรีน…. อันที่จริง นั่นเป็นวิธีที่จะได้รับเงินทุนสำหรับงานของพวกเราด้วย….”

 

…นี่ไม่ใช่การล้อเล่นใช้มั้ย?

 

ดังนั้นปีศาจที่ถูกส่งไปยังการ์เดียม กลายเป็นหัวหน้าของกลุ่มขอทาน และนั่นคือวิธีหากองทุนสำหรับภารกิจของพวกเขา? คนคนนั้นเป็นสายลับแบบไหนกัน? นี่เป็นเวอร์ชันยุคกลางของพรรคกระยาจกใช่มั้น?

 

อา

 

หมาป่าแห่วไอรีน

 

ไม่ใช่ชื่อที่ดูจูนิเบียว แต่มันอธิบายตามตัวอักษรเลย

 

พวกเขาคือหมาที่ถูกทิ้ง ณ แม่น้ำไอรีน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+