เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา 24

Now you are reading เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา Chapter 24 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

The Demon Prince goes to the Academy

ตอนที่ 24

 

“ฉันไม่รู้จริงๆว่าจะเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรดี คุณเกิดมาพร้อมกับพรของพระเจ้า…. หรือนี่คือพลังเหนือธรรมชาติบางอย่าง…?”

 

ที่ปรึกษาทำหน้างง

 

อย่างไรก็ตาม ฉันรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของเรื่องนี้

 

ฉันสามารถเพิ่มความสามารถที่แต่เดิมไม่ใช่พรสวรรค์ของฉันได้โดยใช้คะแนนความสำเร็จ แม้ว่าฉันจะมีคะแนนไม่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้น แต่ความเป็นไปได้ก็ยังคงอยู่

 

ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงอยู่ในสถานะที่สามารถมีพรสวรรค์ทั้งหมดในโลกได้ ฉันจึงสามารถเรียกได้ว่าเกิดมามีความถนัดในทุกสิ่ง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะได้พรสวรรค์บางอย่างมา

 

ที่ปรึกษาดูตกตะลึง

 

“ในกรณีนี้…. ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้ไหม ความถนัดทั้งด้านดาบและการยิงธนูไม่ใช่ปัญหาจริงๆ แต่ถ้าข้อมูลนี้ถูกต้อง ไรน์ฮาร์ดก็สามารถใช้ทั้งมนต์ดำและพลังศักดิ์สิทธิ์ได้”

 

ฉันสามารถใช้ทั้งพลังแห่งความมืดและพลังศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถใช้ทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ แต่สำหรับฉันมันเป็นไปได้

 

“ยังไงก็ตาม…. ไม่เคยมีกรณีใด… ที่เด็กได้รับเข้าเรียนพิเศษจากความถนัดเท่านั้น มันไม่ใช่พรสวรรค์……”

 

ที่ปรึกษาดูเหมือนจะคิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาสามารถแก้ไขได้ด้วยอำนาจของเขาเพียงอย่างเดียว

 

“ถ้าอย่างนั้นเขาสามารถเข้าไปในวิหารได้ใช่มั้ย?”

 

ไดบุนดูเหมือนจะปิดกั้นรายละเอียดและได้ยินเฉพาะสิ่งที่เขาต้องการจะได้ยิน

 

“นี่ นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เนื่องจากเป็นกรณีพิเศษเช่นนี้….”

 

ที่ปรึกษาพยักหน้าอย่างว่างเปล่า

 

“ฉันคิดว่าน่าจะได้”

 

“ดีเลย!”

 

-ป๊าบ!

 

“อัก!”

 

ไดบุนตบหลังฉันแล้วตะโกน

 

เขาเกือบจะฆ่าฉัน!

 

ในท้ายที่สุด ดูเหมือนว่าเป็นเพียงภาพลวงตาว่าฉันรู้สภาพของตัวเองดีที่สุด

 

จากการยืนกรานที่ไร้ประโยชน์ของไดบุนตอนนี้ฉันสามารถเห็นได้อย่างแน่นอนว่าสภาพของฉันเป็นอย่างไร

 

ฉันไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น

 

* * *

 

“ความถนัดในทุกสิ่ง?”

 

“ใช่ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาพูด”

 

ดวงตาของโลยาร์เบิกกว้างเมื่อฉันบอกเธอถึงผลการทดสอบ

 

มันไม่จบแค่คำพูดของที่ปรึกษา หลังจากนั้นก็มีจอมเวทย์มืออาชีพมาตรวจสอบความสามารถของฉันอย่างแม่นยำ ดังนั้นหลังจากทรมานอยู่ระยะหนึ่งจึงยืนยันว่าการตัดสินเกี่ยวกับความถนัดของฉันเป็นเรื่องจริง

 

“เฮ้ นี่มันเกินกว่าที่เราคาดไว้มากเลย?”

 

นั่นคือสิ่งที่เธอพูด แต่ฉันรู้สึกได้ถึงความชื่นชมอย่างมากในคำพูดของเธอ แม้แต่ราชาปีศาจคนก่อนก็ไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าฉันจะไม่มีพรสวรรค์ แต่ฉันเกิดมาพร้อมกับความถนัดที่จะได้รับความสามารถในด้านต่างๆ

 

นี่อาจเป็นเพียงการแก้ไขที่เกิดจากการที่ระบบนี้รบกวนร่างกายของฉันได้ แต่การแก้ไขในตัวมันเองนั้นเป็นความสามารถที่มหาศาลอยู่แล้ว

 

ความถนัดเหล่านี้ยังไม่อยู่ในขีดจำกัดที่ปกติอีกด้วย

 

มันเป็นไปได้สำหรับคนที่ไม่มีพรสวรรค์หรือความถนัดในวิชาดาบที่จะเป็นนักดาบระดับปรมาจารย์ได้โดยการฝึกฝนวิชาดาบ อย่างไรก็ตามมันจะเป็นเรื่องยากมาก

 

เราต้องเอาชนะกำแพงนี้ด้วยความพยายาม

 

แต่ทำไมคนที่ไม่มีความถนัดถึงฝึกฝนวิชาดาบได้? ตื่นจากอาการหลงผิดเหล่านั้นไม่ดีกว่าหรือ?

 

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่อัจฉริยะที่มีความถนัดและพรสวรรค์มากมายก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่พอสมควร

 

ตัวอย่างเช่น ถ้าคนๆ หนึ่งมีความถนัดในเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่สามารถใช้มนต์ดำได้ ในทางกลับกัน บุคคลที่มีความถนัดด้านมนต์ดำจะไม่สามารถเรียนรู้เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ความสามารถบางอย่างปฏิเสธกันและกัน

 

แต่ฉันไม่มีขีดจำกัดนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

 

แน่นอน ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนัเนจริงๆมั้ย หรือฉันแค่คิดคาดเดาไปเอง?

 

ฉันไปวิหาีด้วยความตั้งใจที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนสำหรับภาคการศึกษาหนึ่ง แต่ลงเอยด้วยเส้นทางที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

 

ฉันต้องกลับไปที่สำนักงานรับสมัครในภายหลัง แต่ฉันได้รับแจ้งว่าพวกเขาน่าจะตัดสินใจให้การรับเข้าเรียนเป็นกรณีพิเศษ ฉันไม่ได้คิดอะไรมากในตอนนี้ แต่ถ้ามีผู้ชายสักคนที่เก่งทุกเรื่อง มันคงค่อนข้างแปลกที่จะไม่ให้เขาลงทะเบียนผ่านการคัดเลือกพิเศษ

 

นี่เป็นโชคลาภที่ไม่คาดคิด เพียงเพราะพวกเขาตัดสินใจให้ฉันลงทะเบียนผ่านการรับเข้าเรียนแบบพิเศษ เราจึงไม่ต้องรบกวนกองทุนของแก๊งนี้

 

ไม่จำเป็นต้องทิ้งร่องรอยไว้ข้างหลังด้วยการจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยเงินของพวกเขาอีกต่อไป ทุกคนต้องการให้ฉันมีสภาพแวดล้อมที่ฉันสามารถมุ่งความสนใจไปที่การพัฒนาตัวเองในวิหารได้อย่างเต็มที่ แบบนี้ทุกคนคงพอใจ

 

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลังกับกลุ่มโรตารี ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อฉัน

 

“แต่นายดูไม่ค่อยดีใจเลยนะ?”

 

ฉันยิ้มให้กับคำพูดของไดบุน

 

“ไม่ ไม่ มันไม่มีอะไรหรอก นี้เป็นสิ่งที่ดี แบบนี้ฉันเข้าได้แม้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแก๊งก็ตาม”

 

แต่ก็อย่างที่ไดบุนพูด ฉันไม่ได้ดีใจขนาดนั้น

 

เดิมที แผนของฉันคือค่อยๆ พัฒนาความสามารถของฉันในหนึ่งภาคการศึกษา จากนั้นฉันวางแผนที่จะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน ซึ่งทำให้ฉันเข้าร่วมเนื้อเรื่องหลักผ่านพรสวรรค์ดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของพัฒนาการ ตอนนี้ฉันมีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักทันที มากกว่าการเป็นนักเรียนทุนธรรมดาๆ..

 

วิหารมีชั้นเรียนพิเศษสองประเภท

 

รอยัลคลาสซึ่งใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาได้หากมีพรสวรรค์ และ ออร์บิสคลาสซึ่งใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาได้ผ่านทักษะ

 

นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษได้เข้าสู่รอยัลคลาส

 

นักเรียนที่ขาดพรสวรรค์แต่ได้รับความสามารถที่โดดเด่นจากการฝึกฝนอย่างหนักได้เข้าสู่ออร์บิสคลาส

 

มีการแข่งขันระหว่างสองคลาสนี้ แต่นั่นจะเกิดขึ้นในภายหลัง

 

ถึงอย่างไร

 

การเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักหมายความว่า อีกไม่นานฉันจะเข้าร่วมหนึ่งในคลาสพิเศษของวิหาร ซึ่งน่าจะเป็นรอยัคลาส

 

มีโอกาสสูงที่ฉันจะได้เข้าสู่รอยัลคลาสเพราะฉันได้รับการยอมรับจากความถนัดที่มีศักยภาพไม่ใช่ความสามารถที่โดดเด่นของฉัน

 

เดิมทีฉันวางแผนที่จะเข้าสู่เรื่องราวอย่างช้าๆโดยสร้างพลังของฉันเป็นเวลาหนึ่งภาคเรียนแล้วไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นในภายหลัง

 

อย่างไรก็ตาม ฉันจะลงเอยด้วยการเข้าสู่รอยัลคลาสตั้งแต่แรก

 

นั่นหมายความว่าฉันจะได้อยู่ร่วมกับตัวละครหลักทันทีเมื่อเรื่องราวหลักเริ่มต้นขึ้น ฉันจะเจอพวกเขาโดยไม่ต้องคิดมากหรือวางแผนที่จะทำอะไร หากเรื่องราวเปลี่ยนไปเพราะการกระทำของฉัน ฉันจะได้รับคะแนนความสำเร็จ แต่ผลที่ตามมาก็คือ เรื่องราวอาจพลิกผันไปในทิศทางที่แปลกประหลาด เหตุการณ์ทั้งหมดจะคาดเดาไม่ได้

 

ฉันจะต้องใช้คะแนนความสำเร็จที่ได้รับจากการเปลี่ยนอนาคตเพื่อดูว่าอนาคตเปลี่ยนไปอย่างไร ฉันจะไม่ได้อะไรเลย ฉันอาจได้รับประโยชน์อื่น ๆ แต่คะแนนความสำเร็จเหล่านั้นสำคัญที่สุดสำหรับฉันในตอนนี้ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถเสียมันไปได้

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันอยากใช้เวลาหนึ่งภาคเรียนเพื่อวางแผนสิ่งต่างๆ แต่โอกาสนั้นถูกขโมยไปจากฉัน

 

“เฮ้อ….”

 

ดังนั้นฉันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจลึก ๆ เมื่อคิดถึงการรับเข้าเรียนแบบพิเศษ

 

อย่างไรก็ตาม

 

ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าการพัฒนานี้เกิดขึ้นอย่างจงใจ

 

* * *

 

คุณอาจถามว่า [ราชาปีศาจตายแล้ว] เป็นนิยายแนวไหน?

 

แม้ว่ามันจะเป็นนิยายที่ฉันเขียน แต่มันก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันมืดมนของฉันมากกว่า ได้รับการจัดอันดับที่แย่ที่สุดและบทวิจารณ์ที่ไม่ดีมากมาย

 

นี่ควรจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากราชาปีศาจพ่ายแพ้ เรื่องราวเกิดขึ้นใน [วิหาร] ซึ่งตั้งอยู่ใน เมืองหลวงการ์เดียม ซึ่งผู้คนที่มีอำนาจและความมั่งคั่งมหาศาลมารวมตัวกัน

 

แม้ว่าพวกเขาจะเน้นบ่มเพาะพรสวรรค์ที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ แต่ก็มีการสอนสิ่งต่างๆ เช่น เวทมนตร์และวิาการอื่นๆด้วย วิหารซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งกำเนิดของการเรียนรู้ทั้งหมด ยังรวมถึงการศึกษาระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาด้วย

 

จำนวนนักศึกษาไม่รวมคณาจารย์เกิน 100,000 คน

 

ตั้งแต่ชั้นประถม พวกเขาใช้ระบบการสอนแบบเดียวกับมหาวิทยาลัย สามารถสมัครเรียนได้ตามต้องการ ดังนั้นจึงมีเด็กจำนวนมากที่ไม่เคยเจอหน้ากันแม้ว่าจะเรียนห้องเดียวกันหากไม่ได้เรียนวิชาเดียวกัน

 

ในสถานที่แบบนั้น เวทีหลักก็คือ รอยัลคลาสซึ่งเป็นหนึ่งในสองคลาสที่สำคัญที่สุดในวิหารและอีกคลาสคือออร์บิสคลาส

 

คลาสทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยผู้มีความสามารถสูงสุดของจักรวรรดิ ซึ่งเป็นคลาสที่มีความคาดหวังมากที่สุด แน่นอน พวกเขาทั้งหมดมีทุนการศึกษาถาวร อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ขอกันออร์บิสคลาสออกจากการพูดคุยนี้ก่อน ฉันคงจะไม่บังเอิญเจอพวกเขาในตอนนี้

 

อย่างไรก็ตาม นี่หนึ่งในสองเรือธงของวิหาร

 

สิทธิพิเศษระดับรอยัล

 

แม้ว่าหลักสูตรจะเต็มความจุแล้ว ก็ยังสมัครเรียนหลักสูตรดังกล่าวได้ แม้แต่วิชาที่เรียนเกินเกรดก็สามารถสมัครได้ เพื่อเป็นข้อพิจารณาสำหรับอัจฉริยะ ดังนั้นรอยัลคลาสจึงตกเป็นเป้าหมายของความอิจฉาริษยาของนักเรียนทั่วไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

นอกจากนี้ วิหารยังแบกรับค่าใช้จ่ายให้สมกับศักดิ์ศรีเช่นเดียวชื่อรอยัลคลาส เช่นหอพักสุดหรูสำหรับนักเรียนรอยัลคลาสเท่านั้น

 

มีหลายคนที่พยายามเข้าสู่รอยัลคลาสโดยใช้เงินและอำนาจของพวกเขา อย่างไรก็ตาม แม้คนๆ หนึ่งสามารถเข้าวิหารได้ด้วยเงิน แต่กับรอยัลคลาสนั้นไม่สนซึ่งสถานะ ยศ หรือความมั่งคั่ง พรสวรรค์เท่านั้นที่จะตัดสินว่าใครจะเข้าได้หรือไม่ได้

 

การศึกษาระดับอุดมศึกษาที่วิหารเริ่มต้นจากมัธยมปลาย

 

มันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น

 

การศึกษาระดับสูงของวิหารรวมถึงรอยัลคลาสประกอบด้วย 6 เกรดเช่นเดียวกับประถม

 

นั่นหมายความว่าเด็กม.6 ไม่ใช่เรื่องแปลกในโลกนี้

 

พูดง่ายๆ มันก็เหมือนกับเรียนจบมัธยมต้นแล้วเข้าเรียนต่อทันทีเป็นเวลาหกปี

 

ในความเป็นจริง มันเหมือนเริ่มต้นจากปีแรกของโรงเรียนมัธยมปลายและจบลงด้วยปีที่สามของวิทยาลัย แน่นอนว่าเป็นไปได้ที่จะเข้าเรียนเป็นเวลาสามปีแล้วจึงสำเร็จการศึกษา แต่การศึกษามักจะเสร็จสิ้นหลังจากปีที่หก หลังจากนั้นก็มีระดับมหาวิทยาลัย แต่เป็นเหมือนบัณฑิตวิทยาลัยมากกว่า

 

รอยัลคลาสที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุด แบ่งชนชั้นตามความสามารถ ตัวละครหลักเป็นปี 1 คลาส B ของแผนกมัธยมปลาย

 

สิ่งที่แตกต่างคือรอยัคลาสซึ่งคัดเลือกคนตามพรสวรรค์ แบ่งเกรดตามความสามารถในช่วงแรก

 

นั่นหมายความว่าระหว่างคลาส A และคลาส B ของรอยัลคลาส คลาส B เป็นคลาสที่ด้อยกว่า ซึ่งประกอบด้วยเด็กที่มีพรสวรรค์ระดับต่ำกว่า

 

เนื่องจากชั้นเรียนถูกแบ่งตามลำดับพรสวรรค์สมาชิกของรอยัลคลาส จึงยังคงเหมือนเดิมแม้ว่าจะเลื่อนชั้นปีไปก็ตาม เว้นแต่จะมีใครถูกคัดออกหรือเลิกเรียนกลางคัน หรือมีคนเพิ่มเข้ามา จำนวนเพื่อนร่วมชั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี1จนกระทั่งจบการศึกษา

 

คลาส B ซึ่งเป็นกลุ่มรอยัลคลาสที่มีพรสวรรค์ด้อยกว่า คือที่ที่ตัวละครหลักปรากฏตัว ในตอนแรกเขารู้สึกสับสนกับเพื่อนร่วมชั้นที่พ่ายแพ้ อดทนต่อความอัปยศอดสูและการเยาะเย้ยจากเด็ก ๆ ของคลาส A ที่มีความสามารถและทรงพลังมากกว่า และในที่สุดพวกเขาก็แซงหน้าคลาส A ได้ด้วยพลังแห่งความรักและมิตรภาพ นั่นเป็นละครเยาวชนที่ฉันวางแผนจะเขียน

 

ไม่น่าสนใจเลย? ฟังดูเหมือนไม่สนุกที่จะอ่าน?

 

แน่นอนว่ามันน่าเบื่อมาก

 

เรื่องราวเกี่ยวกับนักเรียนที่อ่อนแอกว่าเอาชนะนักเรียนที่แข็งแกร่งกว่าด้วยการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเรื่องปกติและไม่มีอะไรใหม่ พลังแห่งความรักและมิตรภาพ? ทุกวันนี้ผู้คนทำได้ดีด้วยตัวเอง หากคุณปล่อยให้เพื่อนร่วมชั้นของคุณดูดกลืนชีวิตของคุณเหมือนสารก่อมะเร็ง พวกเขาจะคิดว่าพวกเขาห่วยแตกหลังจากที่คุณดูแลพวกเขาและช่วยให้พวกเขาเติบโต

 

ฉันควรจะหยุดเขียนทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่บก.บอกฉัน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ตอนนี้เป็นเดือนกุมภาพันธ์

 

เนื้อเรื่องหลักจะเริ่มต้นด้วยภาคการศึกษาใหม่ในปีเดียวกับการสิ้นสุดของสงครามโลกปีศาจ

 

[คุณได้รับการตอบรับเข้าเรียนในวิหาร รอยัลคลาสปี 1-A]

 

และสำนักงานการรับสมัครของวิหารได้ตัดสินว่า ‘ความถนัดที่ไม่สิ้นสุด’ ของฉันเป็นพรสวรรค์ขั้นสูง

 

ไม่มีอะไรดีจริงๆเกี่ยวกับเรื่องนั้น

 

คลาส A จะเป็นที่ที่ฉันจะได้เรียน

 

* * *

 

“คุณกังวลไหม?”

 

ตอนนี้ฉันอยู่ที่ร้านอุปกรณ์เวทมนตร์ของเอเลริส

 

“ฉันคงจะโกหกถ้าบอกว่าไม่”

 

ฉันถอนหายใจ

 

“เป็นเรื่องดีที่พวกเขาคิดว่าฉันมีพรสวรรค์ การได้เข้าเรียนแบบพิเศษก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าจะยากที่จะบรรลุความคาดหวังเหล่านี้ให้เร็วเท่าที่หวังไว้……”

 

ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ที่สะพานบรอนซ์เกตทั้งวัน ฉันเลยไปเยี่ยมเอเลริสแก๊งโรตารีก็คลายความกดดันทางการเงินด้วยเพราะฉันได้ผ่านการรับสมัครแบบพิเศษ

 

ขณะที่ยังไม่ถึงพิธีเข้าเรียน ฉันจึงไปมาระหว่างสะพานบรอนซ์เกตและร้านขายอุปกรณ์เวทมนตร์ของเอเลริส

 

“ฉันมั่นใจว่าคุณจะทำได้ดี”

 

เอเลริสยิ้มให้ฉันอย่างมั่นใจ ใช่ ฉันสามารถเป็นอะไรก็ได้ ฉันรู้ว่าฉันแค่ประหม่าเพราะฉันยังไม่เป็นอะไรและยังไม่ได้ทำอะไร

 

ต้องขอบคุณความถนัดของฉัน ซึ่งได้รับการตัดสินว่าเป็นพรสวรรค์ขั้นสูง ฉันจึงสามารถข้ามขั้นตอนต่างๆ ที่จำเป็นในการรับเข้าศึกษาได้ หากใครมีพรสวรรค์ระดับสูงสุด วิหารไม่เพียงแค่รับนักเรียนเข้ามา แต่พวกเขาจะต้อนรับเป็นอย่างดี นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมส่วนที่วุ่นวายเกี่ยวกับตัวตนและที่มาของฉันจึงถูกมองข้ามไป

 

วิหารกลับกลายมาเป็นผู้ปกครองของฉัน

 

สิ่งต่าง ๆ เป็นไปได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทุกอย่างจะดี แต่ก็มีปัญหาในอนาคตแน่นอน ดังนั้นการคิดถึงเพื่อนจากคลาส A ทำให้ฉันปวดหัว

 

เหนือสิ่งอื่นใด การอาศัยอยู่ในหอพักโดยไม่มี เอเลริส, โลยาร์หรือซาร์เคการ์ซึ่งเป็นผู้ปกครองของฉัน เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฉันกังวล

 

โดยทั่วไปแล้ว มันไม่น่าจะมีเหตุเกิดขึ้นที่วิหาร

 

อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักเขียน ฉันได้เพิ่มเหตุการณ์หลายอย่างที่จะเกิดขึ้น ฉันทราบดีว่า วิหารวุ่นวายแค่ไหน ฉันเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเองล่ะนะ

 

เอเลริสคว้ามือของฉันในขณะที่ฉันจมอยู่ในความคิด อุณหภูมิร่างกายที่ต่ำของแวมไพร์รู้สึกไม่คุ้นเคย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งความเย็นก็เริ่มรู้สึกเหมือนความอบอุ่น

 

“เราจะสนับสนุนฝ่าบาทสุดใจ และแม้ว่าคุณจะเข้าไปในวิหาร นั่นหมายความว่าคุณถูกห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอกงั้นเหรอ?”

 

“มันไม่ใช่ แต่ก็ยัง….”

 

พวกเขาจะไม่ห้ามไม่ให้ฉันออกไปข้างนอกหรืออะไร

 

ถ้าฉันอยากเจอพวกเขา ฉันจะออกไปเยี่ยมซาร์เคการ์ โลยาร์ หรือเอเลริสก็ได้

 

“ยังไงก็ตาม มีอะไรที่ต้องเอาไปด้วยหรือเปล่า”

 

“ฉันไม่ได้มีอะไรมากมายขนาดนั้น ส่วนมากฉันคงใส่แต่ชุดนักเรียนอยู่ดี”

 

พรุ่งนี้ฉันจะต้องไปหอพัก ฉันเลยต้องเตรียมตัวไปที่นั่น แต่ฉันไม่รู้ว่าควรเอาอะไรไปเพราะฉันอยู่ในฐานะที่ไม่มีอะไรติดตัวเลยนอกจากเสื้อผ้า

 

ขณะที่ฉันกรอกแบบฟอร์มต่างๆ ก่อนรับเข้าเรียน และได้รับคำแนะนำทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้ ฉันไม่คิดว่าจะต้องเอารอะไรไปมากนัก

 

“ว่าแต่ ทำไมคุณถึงอยากให้ฉันเข้าวิหารล่ะ”

 

ฉันถามคำถามที่ฉันไม่สามารถหาคำตอบได้เมื่อวันก่อน

 

เอเลริสไม่ต้องการให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น แต่เธอก็ยังสนับสนุนให้ฉันไปที่วิหาร เอเลริสยิ้มให้กับคำถามของฉัน

 

“เพราะฉันคิดว่าถ้าคุณอยู่ใกล้มนุษย์ คุณจะต้องหลงรักพวกเขาแน่ๆ”

 

นี่เป็นตรรกะที่แตกต่างเล็กน้อยจากซาร์เคการ์ซึ่งต้องการให้ฉันรู้จักมนุษย์เพื่อใช้ความรู้ของพวกเขาจัดการกับพวกเขา

 

เอเลริสดูเหมือนจะต้องการให้ฉันรักพวกเขา

 

ฉันไม่รู้สึกถึงความรักที่แท้จริงต่อมนุษยชาติตั้งแต่แรก

 

“แต่คุณอาจจะเสียใจในภายหลังนะ”

 

เอเลริสหัวเราะกับคำพูดของฉัน

 

“ฉันจะคิดถึงมันเมื่อถึงเวลา”

 

สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในกลุ่มไม่ใช่ซาร์เคการ์แต่เป็นเอเลริส เธอนำหีบจากที่ไหนสักแห่งออกมา

 

เธอเรียกมันมาแทนที่จะยกมันขึ้นมาเอง

 

“นี่คืออะไร?”

 

“นี่เป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่คุณใส่ได้ คุณไม่สามารถสวมเครื่องแบบของคุณตลอดเวลาได้”

 

ดูเหมือนว่าเธอไม่ต้องการส่งฉันมือเปล่า เอเลริสถอดสร้อยคอของเธอออกแล้วสวมรอบคอของฉัน

 

“นี่คือ….”

 

“คุณจำได้ไหมว่าฉันเรียกตนเองว่าเอเลริสแห่งวันอังคาร”

 

“อ่า จำได้”

 

ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร แต่มันเกี่ยวกับบ้านเจ็ดราตรีนั้นหรือเปล่า?

 

“ฉันเชื่อว่าคุณก็ลืมเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นให้ฉันอธิบาย มีกลุ่มแวมไพร์เจ็ดกลุ่มที่เรียกว่า บ้านแห่งเจ็ดราตรี”

 

“จันทร์ อังคาร พุธ แบบนั้นหรือ”

 

“ใช่”

 

ชื่อเหล่านั้นค่อนข้างเรียบง่าย

 

“แต่ละตระกูลเชี่ยวชาญในประเภทเวทมนตร์ขององค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง”

 

“มีเวทมนตร์ธาตุตามวันด้วยเหรอ?”

 

“ใช่ เผ่าวันจันทร์และวันอาทิตย์หายไปนานมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้บอกว่าพวกเขาใช้เวทมนตร์ประเภทใด แต่วันอังคารเป็นไฟ วันพุธเป็นน้ำ วันพฤหัสบดีเป็นไม้ วันศุกร์เป็นโลหะ และวันเสาร์เป็นดิน ”

 

แม้ว่าฉันจะยังพอเข้าใจพลังของดวงจันทร์ได้ แต่ฉันก็นึกไม่ออกว่าแวมไพร์จะใช้เวทมนตร์แห่งดวงอาทิตย์ได้อย่างไร แต่เนื่องจากแวมไพร์ลอร์ดสามารถทนต่อแสงแดดได้ มันคงไม่แปลกหรอกมั้งที่กลุ่มนั้นสามารถใช้เวทมนตร์แห่งแสงอาทิตย์ได้

 

“นี่คือมรดกตกทอดจากตระกูลของเราและเป็นสัญลักษณ์ของบ้านของเรา นั่นคือ ‘เปลวไฟแห่งวันอังคาร’

 

สร้อยคอที่เอเลริสให้ฉันถือ คือจี้ทองคำขนาดเล็กประดับด้วยทับทิมที่เหมือนหยดเลือด

 

“เอเลริส… พวกเขาเรียกว่าหัวหน้าตระกูลแวมไพร์ลอร์ดเหรอ?”

 

“ก็คงเป็นอย่างนั้น แต่ว่า….”

 

เอเลริสดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในแวมไพร์ที่ทรงพลังที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ง่ายสำหรับเธอที่จะอยู่กลางแดด แม้ว่าจะไม่ถึงจุดที่เป็นไปไม่ได้ก็ตาม

 

“แล้วทำไมเธอถึงให้สร้อยเส้นนี้กับฉัน….?”

 

“ถ้าแหวนนี้มีพลังของเดรดฟีนคุณคิดว่าจี้นี้จะทำอะไรได้บ้าง”

 

จี้ที่มีพลังของกลุ่มที่เชี่ยวชาญด้านเวทย์ไฟ

 

“มันจะทำให้ฉันใช้เวทย์ไฟได้ใช่มั้ย?”

 

“แน่นอน มันจะใช้งานในขอบเขตของปริมาณมานาของฝ่าบาทเท่านั้น มันแตกต่างจากแหวนของ ซาร์เคการ์นิดหน่อย คุณสามารถเรียกไฟได้เพียงแค่ใช้มานา ไม่จำเป็นต้องร่ายคาถาที่ซับซ้อน”

 

ฉันไม่ค่อยเข้าใจมัน แต่แค่ได้ยินคำอธิบายของเธอก็ทำให้ฉันรู้ว่านี่มันน่าทึ่งมาก

 

เวทมนตร์เป็นพลังที่อัจฉริยะเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ สิ่งนี้ทำให้แม้แต่คนงี่เง่าก็สามารถเรียกไฟได้หากพวกเขามีมานาเพียงพอ

 

ม้วนคาถาเป็นไอเทมที่ใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ด้วยสิ่งนี้ ฉันจะสามารถใช้เวทมนตร์นี้ได้อย่างถาวร

 

สมบัติล้ำค่าจริงๆ

 

“อยากลองดูไหม”

 

“อืม….”

 

ด้วย เปลวไฟแห่งวันอังคาร ฉันสามารถใช้เวทมนตร์ไฟได้ ระดับมานาของฉันอยู่ที่ 9.9 เท่าที่ฉันจำได้ ฉันรู้ว่ามันค่อนข้างสูงสำหรับคนที่อายุเท่าฉัน

 

ฉันถือจี้ไว้ในมือและนึกภาพเปลวไฟในหัว เหมือนที่เอเลริสบอกฉันเมื่อวินาทีที่แล้ว

 

-พรึ่บ!

 

จากนั้นเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาฉัน

 

“นี่คือวิธีใช้งาน”

 

“แค่นี้เหรอ”

 

ฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะมีลูกไฟปรากฏขึ้น แต่นี่เป็นเพียงระดับของเปลวไฟเล็กๆ หรือจริงๆแล้วฉันมีมานามากพอๆกับหนูหรือเปล่านะ?

 

“ฝ่าบาทยังใช้มานาได้ไม่เต็มที่ หากคุณเรียนรู้พลังที่เกี่ยวข้องกับความไวของเวทมนตร์หรือการควบคุมเวทมนตร์ คุณจะสามารถสร้างเปลวไฟที่ทรงพลังมากขึ้นด้วยมานาในปริมาณที่เท่ากัน”

 

ในที่สุดฉันก็ทำได้แค่นี้กับสมบัติอันทรงพลังนี้เนื่องจากความสามารถของฉันไม่เพียงพอ

 

“ทำไมคุณให้เจ้านี่กับฉัน”

 

“อาจมีเหตุฉุกเฉินบางอย่างที่ฝ่าบาทไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นการมีสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ใช่มั้ยล่ะ?”

 

ฉันไม่รู้จริงๆว่าฉันจะใช้ไฟแช็กทำอะไรได้บ้าง

 

“ถึงกระนั้น สิ่งที่เหมือนกับสัญลักษณ์ของกลุ่มคุณ…. ให้อะไรแบบนี้มันจะดีเหรอ”

 

“ถ้าฉันให้ของที่มีค่าใกล้เคียงกับที่ซาร์เคการ์ให้คุณ โอกาสที่คุณจะยืนข้างฉันในอนาคตมันจะไม่เพิ่มขึ้นหรือ”

 

เอเลริสพูดในขณะที่หัวเราะติดตลก ซาร์เคการ์และเอเลริสต่างก็ให้มรดกตกทอดของครอบครัวแก่ฉัน

 

มันค่อนข้างตลก

 

ซาร์เคการ์ผู้ซึ่งต้องการทำสงครามได้มอบบางสิ่งที่ช่วยให้ฉันมีชีวิตที่สงบสุขในโลกมนุษย์

 

ในทางกลับกัน เอเลริสผู้รักความสงบได้ให้สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการทำลายล้างแก่ฉัน

 

“นอกจากนี้ มันค่อนข้างไร้ยางอายหากจะใช้ของสิ่งนี้อย่างภาคภูมิในขณะที่ตัดสินใจทรยศเจ้าของเดิม”

 

เอเลริสดูเหมือนจะต้องการสละความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทั้งหมดที่เธอมีในฐานะหัวหน้ากลุ่มรวมถึงสมาชิกคนสุดท้ายของกลุ่มวันอังคาร ด้วยสิ่งนี้ ดูเหมือนว่าปีศาจจะไม่สามารถละทิ้งครอบครัวของพวกเขาได้แม้ว่าจะทรยศต่อพวกเขาก็ตาม

 

“ฉันมีเรื่องจะถามอย่างหนึ่ง”

 

“อะไรคะ ฝ่าบาท”

 

“ถ้าฉันใช้นี่ ก็แค่เปลวไฟเล็กๆ นี้ออกมา แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณใช้สิ่งนี้?”

 

ฉันสามารถสร้างเปลวไฟขนาดเล็กได้ การลดความซับซ้อนของการร่ายเวทมนตร์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับจอมเวทย์ แทนที่จะเป็นคนที่โง่เขลาอย่างฉัน

 

ดังนั้นสิ่งเล็ก ๆ น้อยๆนี้สามารถแสดงพลังได้มากแค่ไหนในมือของคนอย่างเอเลริส?

 

“ไม่รู้ เพราะฉันไม่เคยใช้มาก่อน”

 

แค่มองตาเธอก็บอกได้ว่าเธอโกหก

 

ดูเหมือนว่ามีความทรงจำที่เจ็บปวดบางอย่างปรากฏขึ้นในตัวเธอ ฉันเห็นว่าความเจ็บปวดนี้ผ่านดวงตาของเธอเพียงช่วงสั้นๆ เอเลริสบอกสิ่งสุดท้ายกับฉัน มองตรงเข้าไปในดวงตาของฉัน จับไหล่ของฉัน

 

“ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่ของที่ดีเลย”

 

เอเลริสดูเหมือนจะไม่ชื่นชมมรดกตกทอดที่เรียกว่า เปลวไฟแห่งวันอังคาร

 

“…….”

 

“มันเป็นวัตถุที่ตอบสนองต่ออารมณ์ด้านมืด ยิ่งคุณคิดร้ายกับใครมากเท่าไหร่ เปลวไฟก็จะยิ่งลุกโชนมากขึ้นเท่านั้น”

 

นี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ฉันควรระวังในขณะที่ใช้

 

วัตถุที่สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเจ้าของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเกลียดชังและความอาฆาตพยาบาท มันเป็นสิ่งของที่เข้ากับภาพลักษณ์ที่มนุษย์มีต่อปีศาจได้อย่างสมบูรณ์

 

“ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงมอบ เปลวไฟแห่งวันอังคาร ให้กับคุณ”

 

เธอไม่อยากให้ฉันทำร้ายใคร แต่เธอเป็นห่วงฉัน เธอเลยให้อะไรแบบนั้นกับฉัน

 

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่วิหารฉันควรใช้สิ่งนี้ก็ต่อเมื่อฉันอยู่ในสถานการณ์ที่คุกคามชีวิตเท่านั้น

 

นั่นคือสิ่งที่เอเลริสหมายถึง

 

เอเลริสกลัวฉัน แต่เธอก็ให้ค่ากับฉันมากพอๆกัน

 

“ขอบคุณ ฉันวางแผนที่จะไม่ใช้มันจนกว่าฉันจะเรียนจบ”

 

เอเลริสยิ้มอย่างสดใส เพราะนี่คือสิ่งที่เธออยากได้ยินมากที่สุด

 

เธอเป็นคนที่แปลกประหลาดที่สุดจริงๆ

 

* * *

 

มรดกตกทอดของตระกูลเดรดฟีน

 

มรดกตกทอดของตระกูลวันอังคารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเจ็ดราตรี

 

ฉันเป็นทายาทคนเดียวของแดนปีศาจที่รวมแดนทมิฬเป็นหนึ่งเดียว จึงไม่แปลกที่ฉันจะถือสิ่งของเหล่านี้

 

ถึงกระนั้น นักเรียนขอทานที่ได้เรียนที่วิหาร ก็ได้รับอาติแฟคระดับจักรพรรดิสองชิ้นในครอบครอง

 

นั่นต้องเป็นที่น่าสงสัยอย่างแน่นอน

 

แน่นอนว่าแหวนเป็นของพรางตัว ดังนั้นมันจึงมีคุณสมบัติด้านเวทมนตร์ที่โปร่งใสและสลายตัวเป็นวัตถุด้วยตัวมันเอง ดังนั้นมันจึงดูเหมือนแหวนโลหะทั่วไป และเอเริสก็ใส่กรอบโลหะที่ดูเก่า ๆ รอบด้านนอกของจี้ ทำให้ดูเหมือนไม่ใช่ของล้ำค่า ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี ในการใส่กรอยที่ดูธรรมดารอบๆ มันมากกว่าเวทย์มนตร์อำพรางที่อาจถูกตรวจจับได้ สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ฉันมีก็มีแต่สิ่งที่ดูเหมือนแหวนและจี้ที่ชำรุด พูดตามตรง ฉันจะเชื่อถ้ามีคนบอกฉันว่าของพวกนี้ถูกขโมยไปโดยขอทานที่เดินไปมา

 

เนื่องจากฉันได้รับสิ่งของที่น่าทึ่งจากทั้งเอเลริสและซาร์เคการ์ ฉันจึงคิดว่าโลยาร์อาจให้บางอย่างกับฉันเช่นกัน แต่แล้วฉันจะคาดหวังอะไรดีๆจากคนที่นุ่งผ้าขี้ริ้วนอนรอบกองไฟทั้งวันได้อย่างไร เธอควรดูแลตัวเองให้ดีและกินให้ดีก่อน

 

นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด แต่….

 

“……นี่คืออะไร?”

 

“เงินค่าขนม”

 

โลยาร์มอบถุงเหรียญทองให้ฉันเพื่อใช้ที่วิหาร

 

โลยาร์บอกให้ฉันบอกเธอว่าฉันต้องการเงินอีกมั้ย เพราะปัญหาเรื่องค่าเข้าเรียนได้รับการแก้ไขแล้ว และวิหารจะจ่ายเฉพาะค่าครองชีพบางส่วนเท่านั้น

 

โลยาร์ให้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันในระยะยาว

 

ดูเหมือนว่าความคืบหน้าในการขยายการค้าไปยังขบวนรถไฟมานาจะเป็นไปอย่างราบรื่น

 

พรุ่งนี้ ในที่สุดฉันก็ได้ย้ายเข้าหอพักของวิหารแล้ว

 

แน่นอนว่ามันไม่ดีสำหรับฉันที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป แต่ฉันก็หมดแรงแค่คิดที่จะย้ายไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ฉันไม่คุ้นเคย เต็มไปด้วยตัวละครหลัก

 

การอาศัยอยู่ที่บ้านของเอเลริสก็คงไม่เลวนัก

 

คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะฉันมัวแต่คิดถึงปัญหาทั้งหมดที่จะตามมา

 

อย่างไรก็ตามฉันได้ให้คำมั่นสัญญา

 

ฉันจะทำสิ่งที่ฉันตั้งใจและฉันจะทำมันให้ดีที่สุด

 

ฉันรู้สึกได้ในกรณีของชาร์ลอตต์

 

การช่วยคนที่ควรจะตายไม่ใช่เรื่องเลวร้ายขนาดนั้น

 

ผลที่ได้คือฉันสามารถช่วยคนที่ต้องตายเพราะกรรมของฉัน

 

ถ้าคุณถามฉัน ฉันเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ดี

 

นี่เป็นเรื่องราวชีวิตประจำวัน

 

แต่ แม้แต่เรื่องแนวชีวิตประจำวันก็ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ที่มีความสามารถในด้านนั้น

 

ดังนั้นเหตุผลใหญ่ที่สุดที่ทำให้นิยายเรื่องนี้ล้มเหลว เหตุผลที่นักอ่านทุกคนที่อ่านต่อไปจนถึงกลางเรื่องก็ล้มเลิกอ่านไป ก็คือ…

 

ฉันไม่มีพรสวรรค์ในการเขียนเรื่องประเภทนี้จนจบ เนื่องจากเหตุการณ์และเนื้อหาที่ฉันวางแผนไว้หมดลง งานเขียนของฉันจึงหมดความหมาย และส่งผลให้ฉันสูญเสียแรงจูงใจในการดำเนินเรื่องราวไปข้างหน้า

 

ดังนั้น

 

ฉันจึงล้างกระดาน

 

นวนิยายบ้าๆ บอๆ นี้เกิดขึ้นเพียงเพราะผู้เขียนไม่สามารถคิดสถานการณ์เพิ่มได้

 

…ในช่วงกลางของเรื่องนั้น…

 

…ฉันทำให้มีเกทเปิดออกในเรื่อง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา 24

Now you are reading เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา Chapter 24 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

The Demon Prince goes to the Academy

ตอนที่ 24

 

“ฉันไม่รู้จริงๆว่าจะเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรดี คุณเกิดมาพร้อมกับพรของพระเจ้า…. หรือนี่คือพลังเหนือธรรมชาติบางอย่าง…?”

 

ที่ปรึกษาทำหน้างง

 

อย่างไรก็ตาม ฉันรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของเรื่องนี้

 

ฉันสามารถเพิ่มความสามารถที่แต่เดิมไม่ใช่พรสวรรค์ของฉันได้โดยใช้คะแนนความสำเร็จ แม้ว่าฉันจะมีคะแนนไม่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้น แต่ความเป็นไปได้ก็ยังคงอยู่

 

ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงอยู่ในสถานะที่สามารถมีพรสวรรค์ทั้งหมดในโลกได้ ฉันจึงสามารถเรียกได้ว่าเกิดมามีความถนัดในทุกสิ่ง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะได้พรสวรรค์บางอย่างมา

 

ที่ปรึกษาดูตกตะลึง

 

“ในกรณีนี้…. ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้ไหม ความถนัดทั้งด้านดาบและการยิงธนูไม่ใช่ปัญหาจริงๆ แต่ถ้าข้อมูลนี้ถูกต้อง ไรน์ฮาร์ดก็สามารถใช้ทั้งมนต์ดำและพลังศักดิ์สิทธิ์ได้”

 

ฉันสามารถใช้ทั้งพลังแห่งความมืดและพลังศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถใช้ทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ แต่สำหรับฉันมันเป็นไปได้

 

“ยังไงก็ตาม…. ไม่เคยมีกรณีใด… ที่เด็กได้รับเข้าเรียนพิเศษจากความถนัดเท่านั้น มันไม่ใช่พรสวรรค์……”

 

ที่ปรึกษาดูเหมือนจะคิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาสามารถแก้ไขได้ด้วยอำนาจของเขาเพียงอย่างเดียว

 

“ถ้าอย่างนั้นเขาสามารถเข้าไปในวิหารได้ใช่มั้ย?”

 

ไดบุนดูเหมือนจะปิดกั้นรายละเอียดและได้ยินเฉพาะสิ่งที่เขาต้องการจะได้ยิน

 

“นี่ นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เนื่องจากเป็นกรณีพิเศษเช่นนี้….”

 

ที่ปรึกษาพยักหน้าอย่างว่างเปล่า

 

“ฉันคิดว่าน่าจะได้”

 

“ดีเลย!”

 

-ป๊าบ!

 

“อัก!”

 

ไดบุนตบหลังฉันแล้วตะโกน

 

เขาเกือบจะฆ่าฉัน!

 

ในท้ายที่สุด ดูเหมือนว่าเป็นเพียงภาพลวงตาว่าฉันรู้สภาพของตัวเองดีที่สุด

 

จากการยืนกรานที่ไร้ประโยชน์ของไดบุนตอนนี้ฉันสามารถเห็นได้อย่างแน่นอนว่าสภาพของฉันเป็นอย่างไร

 

ฉันไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น

 

* * *

 

“ความถนัดในทุกสิ่ง?”

 

“ใช่ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาพูด”

 

ดวงตาของโลยาร์เบิกกว้างเมื่อฉันบอกเธอถึงผลการทดสอบ

 

มันไม่จบแค่คำพูดของที่ปรึกษา หลังจากนั้นก็มีจอมเวทย์มืออาชีพมาตรวจสอบความสามารถของฉันอย่างแม่นยำ ดังนั้นหลังจากทรมานอยู่ระยะหนึ่งจึงยืนยันว่าการตัดสินเกี่ยวกับความถนัดของฉันเป็นเรื่องจริง

 

“เฮ้ นี่มันเกินกว่าที่เราคาดไว้มากเลย?”

 

นั่นคือสิ่งที่เธอพูด แต่ฉันรู้สึกได้ถึงความชื่นชมอย่างมากในคำพูดของเธอ แม้แต่ราชาปีศาจคนก่อนก็ไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าฉันจะไม่มีพรสวรรค์ แต่ฉันเกิดมาพร้อมกับความถนัดที่จะได้รับความสามารถในด้านต่างๆ

 

นี่อาจเป็นเพียงการแก้ไขที่เกิดจากการที่ระบบนี้รบกวนร่างกายของฉันได้ แต่การแก้ไขในตัวมันเองนั้นเป็นความสามารถที่มหาศาลอยู่แล้ว

 

ความถนัดเหล่านี้ยังไม่อยู่ในขีดจำกัดที่ปกติอีกด้วย

 

มันเป็นไปได้สำหรับคนที่ไม่มีพรสวรรค์หรือความถนัดในวิชาดาบที่จะเป็นนักดาบระดับปรมาจารย์ได้โดยการฝึกฝนวิชาดาบ อย่างไรก็ตามมันจะเป็นเรื่องยากมาก

 

เราต้องเอาชนะกำแพงนี้ด้วยความพยายาม

 

แต่ทำไมคนที่ไม่มีความถนัดถึงฝึกฝนวิชาดาบได้? ตื่นจากอาการหลงผิดเหล่านั้นไม่ดีกว่าหรือ?

 

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่อัจฉริยะที่มีความถนัดและพรสวรรค์มากมายก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่พอสมควร

 

ตัวอย่างเช่น ถ้าคนๆ หนึ่งมีความถนัดในเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่สามารถใช้มนต์ดำได้ ในทางกลับกัน บุคคลที่มีความถนัดด้านมนต์ดำจะไม่สามารถเรียนรู้เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ความสามารถบางอย่างปฏิเสธกันและกัน

 

แต่ฉันไม่มีขีดจำกัดนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

 

แน่นอน ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนัเนจริงๆมั้ย หรือฉันแค่คิดคาดเดาไปเอง?

 

ฉันไปวิหาีด้วยความตั้งใจที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนสำหรับภาคการศึกษาหนึ่ง แต่ลงเอยด้วยเส้นทางที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

 

ฉันต้องกลับไปที่สำนักงานรับสมัครในภายหลัง แต่ฉันได้รับแจ้งว่าพวกเขาน่าจะตัดสินใจให้การรับเข้าเรียนเป็นกรณีพิเศษ ฉันไม่ได้คิดอะไรมากในตอนนี้ แต่ถ้ามีผู้ชายสักคนที่เก่งทุกเรื่อง มันคงค่อนข้างแปลกที่จะไม่ให้เขาลงทะเบียนผ่านการคัดเลือกพิเศษ

 

นี่เป็นโชคลาภที่ไม่คาดคิด เพียงเพราะพวกเขาตัดสินใจให้ฉันลงทะเบียนผ่านการรับเข้าเรียนแบบพิเศษ เราจึงไม่ต้องรบกวนกองทุนของแก๊งนี้

 

ไม่จำเป็นต้องทิ้งร่องรอยไว้ข้างหลังด้วยการจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยเงินของพวกเขาอีกต่อไป ทุกคนต้องการให้ฉันมีสภาพแวดล้อมที่ฉันสามารถมุ่งความสนใจไปที่การพัฒนาตัวเองในวิหารได้อย่างเต็มที่ แบบนี้ทุกคนคงพอใจ

 

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลังกับกลุ่มโรตารี ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อฉัน

 

“แต่นายดูไม่ค่อยดีใจเลยนะ?”

 

ฉันยิ้มให้กับคำพูดของไดบุน

 

“ไม่ ไม่ มันไม่มีอะไรหรอก นี้เป็นสิ่งที่ดี แบบนี้ฉันเข้าได้แม้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแก๊งก็ตาม”

 

แต่ก็อย่างที่ไดบุนพูด ฉันไม่ได้ดีใจขนาดนั้น

 

เดิมที แผนของฉันคือค่อยๆ พัฒนาความสามารถของฉันในหนึ่งภาคการศึกษา จากนั้นฉันวางแผนที่จะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน ซึ่งทำให้ฉันเข้าร่วมเนื้อเรื่องหลักผ่านพรสวรรค์ดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของพัฒนาการ ตอนนี้ฉันมีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักทันที มากกว่าการเป็นนักเรียนทุนธรรมดาๆ..

 

วิหารมีชั้นเรียนพิเศษสองประเภท

 

รอยัลคลาสซึ่งใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาได้หากมีพรสวรรค์ และ ออร์บิสคลาสซึ่งใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาได้ผ่านทักษะ

 

นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษได้เข้าสู่รอยัลคลาส

 

นักเรียนที่ขาดพรสวรรค์แต่ได้รับความสามารถที่โดดเด่นจากการฝึกฝนอย่างหนักได้เข้าสู่ออร์บิสคลาส

 

มีการแข่งขันระหว่างสองคลาสนี้ แต่นั่นจะเกิดขึ้นในภายหลัง

 

ถึงอย่างไร

 

การเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักหมายความว่า อีกไม่นานฉันจะเข้าร่วมหนึ่งในคลาสพิเศษของวิหาร ซึ่งน่าจะเป็นรอยัคลาส

 

มีโอกาสสูงที่ฉันจะได้เข้าสู่รอยัลคลาสเพราะฉันได้รับการยอมรับจากความถนัดที่มีศักยภาพไม่ใช่ความสามารถที่โดดเด่นของฉัน

 

เดิมทีฉันวางแผนที่จะเข้าสู่เรื่องราวอย่างช้าๆโดยสร้างพลังของฉันเป็นเวลาหนึ่งภาคเรียนแล้วไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นในภายหลัง

 

อย่างไรก็ตาม ฉันจะลงเอยด้วยการเข้าสู่รอยัลคลาสตั้งแต่แรก

 

นั่นหมายความว่าฉันจะได้อยู่ร่วมกับตัวละครหลักทันทีเมื่อเรื่องราวหลักเริ่มต้นขึ้น ฉันจะเจอพวกเขาโดยไม่ต้องคิดมากหรือวางแผนที่จะทำอะไร หากเรื่องราวเปลี่ยนไปเพราะการกระทำของฉัน ฉันจะได้รับคะแนนความสำเร็จ แต่ผลที่ตามมาก็คือ เรื่องราวอาจพลิกผันไปในทิศทางที่แปลกประหลาด เหตุการณ์ทั้งหมดจะคาดเดาไม่ได้

 

ฉันจะต้องใช้คะแนนความสำเร็จที่ได้รับจากการเปลี่ยนอนาคตเพื่อดูว่าอนาคตเปลี่ยนไปอย่างไร ฉันจะไม่ได้อะไรเลย ฉันอาจได้รับประโยชน์อื่น ๆ แต่คะแนนความสำเร็จเหล่านั้นสำคัญที่สุดสำหรับฉันในตอนนี้ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถเสียมันไปได้

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันอยากใช้เวลาหนึ่งภาคเรียนเพื่อวางแผนสิ่งต่างๆ แต่โอกาสนั้นถูกขโมยไปจากฉัน

 

“เฮ้อ….”

 

ดังนั้นฉันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจลึก ๆ เมื่อคิดถึงการรับเข้าเรียนแบบพิเศษ

 

อย่างไรก็ตาม

 

ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าการพัฒนานี้เกิดขึ้นอย่างจงใจ

 

* * *

 

คุณอาจถามว่า [ราชาปีศาจตายแล้ว] เป็นนิยายแนวไหน?

 

แม้ว่ามันจะเป็นนิยายที่ฉันเขียน แต่มันก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันมืดมนของฉันมากกว่า ได้รับการจัดอันดับที่แย่ที่สุดและบทวิจารณ์ที่ไม่ดีมากมาย

 

นี่ควรจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากราชาปีศาจพ่ายแพ้ เรื่องราวเกิดขึ้นใน [วิหาร] ซึ่งตั้งอยู่ใน เมืองหลวงการ์เดียม ซึ่งผู้คนที่มีอำนาจและความมั่งคั่งมหาศาลมารวมตัวกัน

 

แม้ว่าพวกเขาจะเน้นบ่มเพาะพรสวรรค์ที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ แต่ก็มีการสอนสิ่งต่างๆ เช่น เวทมนตร์และวิาการอื่นๆด้วย วิหารซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งกำเนิดของการเรียนรู้ทั้งหมด ยังรวมถึงการศึกษาระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาด้วย

 

จำนวนนักศึกษาไม่รวมคณาจารย์เกิน 100,000 คน

 

ตั้งแต่ชั้นประถม พวกเขาใช้ระบบการสอนแบบเดียวกับมหาวิทยาลัย สามารถสมัครเรียนได้ตามต้องการ ดังนั้นจึงมีเด็กจำนวนมากที่ไม่เคยเจอหน้ากันแม้ว่าจะเรียนห้องเดียวกันหากไม่ได้เรียนวิชาเดียวกัน

 

ในสถานที่แบบนั้น เวทีหลักก็คือ รอยัลคลาสซึ่งเป็นหนึ่งในสองคลาสที่สำคัญที่สุดในวิหารและอีกคลาสคือออร์บิสคลาส

 

คลาสทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยผู้มีความสามารถสูงสุดของจักรวรรดิ ซึ่งเป็นคลาสที่มีความคาดหวังมากที่สุด แน่นอน พวกเขาทั้งหมดมีทุนการศึกษาถาวร อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ขอกันออร์บิสคลาสออกจากการพูดคุยนี้ก่อน ฉันคงจะไม่บังเอิญเจอพวกเขาในตอนนี้

 

อย่างไรก็ตาม นี่หนึ่งในสองเรือธงของวิหาร

 

สิทธิพิเศษระดับรอยัล

 

แม้ว่าหลักสูตรจะเต็มความจุแล้ว ก็ยังสมัครเรียนหลักสูตรดังกล่าวได้ แม้แต่วิชาที่เรียนเกินเกรดก็สามารถสมัครได้ เพื่อเป็นข้อพิจารณาสำหรับอัจฉริยะ ดังนั้นรอยัลคลาสจึงตกเป็นเป้าหมายของความอิจฉาริษยาของนักเรียนทั่วไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

นอกจากนี้ วิหารยังแบกรับค่าใช้จ่ายให้สมกับศักดิ์ศรีเช่นเดียวชื่อรอยัลคลาส เช่นหอพักสุดหรูสำหรับนักเรียนรอยัลคลาสเท่านั้น

 

มีหลายคนที่พยายามเข้าสู่รอยัลคลาสโดยใช้เงินและอำนาจของพวกเขา อย่างไรก็ตาม แม้คนๆ หนึ่งสามารถเข้าวิหารได้ด้วยเงิน แต่กับรอยัลคลาสนั้นไม่สนซึ่งสถานะ ยศ หรือความมั่งคั่ง พรสวรรค์เท่านั้นที่จะตัดสินว่าใครจะเข้าได้หรือไม่ได้

 

การศึกษาระดับอุดมศึกษาที่วิหารเริ่มต้นจากมัธยมปลาย

 

มันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น

 

การศึกษาระดับสูงของวิหารรวมถึงรอยัลคลาสประกอบด้วย 6 เกรดเช่นเดียวกับประถม

 

นั่นหมายความว่าเด็กม.6 ไม่ใช่เรื่องแปลกในโลกนี้

 

พูดง่ายๆ มันก็เหมือนกับเรียนจบมัธยมต้นแล้วเข้าเรียนต่อทันทีเป็นเวลาหกปี

 

ในความเป็นจริง มันเหมือนเริ่มต้นจากปีแรกของโรงเรียนมัธยมปลายและจบลงด้วยปีที่สามของวิทยาลัย แน่นอนว่าเป็นไปได้ที่จะเข้าเรียนเป็นเวลาสามปีแล้วจึงสำเร็จการศึกษา แต่การศึกษามักจะเสร็จสิ้นหลังจากปีที่หก หลังจากนั้นก็มีระดับมหาวิทยาลัย แต่เป็นเหมือนบัณฑิตวิทยาลัยมากกว่า

 

รอยัลคลาสที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุด แบ่งชนชั้นตามความสามารถ ตัวละครหลักเป็นปี 1 คลาส B ของแผนกมัธยมปลาย

 

สิ่งที่แตกต่างคือรอยัคลาสซึ่งคัดเลือกคนตามพรสวรรค์ แบ่งเกรดตามความสามารถในช่วงแรก

 

นั่นหมายความว่าระหว่างคลาส A และคลาส B ของรอยัลคลาส คลาส B เป็นคลาสที่ด้อยกว่า ซึ่งประกอบด้วยเด็กที่มีพรสวรรค์ระดับต่ำกว่า

 

เนื่องจากชั้นเรียนถูกแบ่งตามลำดับพรสวรรค์สมาชิกของรอยัลคลาส จึงยังคงเหมือนเดิมแม้ว่าจะเลื่อนชั้นปีไปก็ตาม เว้นแต่จะมีใครถูกคัดออกหรือเลิกเรียนกลางคัน หรือมีคนเพิ่มเข้ามา จำนวนเพื่อนร่วมชั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี1จนกระทั่งจบการศึกษา

 

คลาส B ซึ่งเป็นกลุ่มรอยัลคลาสที่มีพรสวรรค์ด้อยกว่า คือที่ที่ตัวละครหลักปรากฏตัว ในตอนแรกเขารู้สึกสับสนกับเพื่อนร่วมชั้นที่พ่ายแพ้ อดทนต่อความอัปยศอดสูและการเยาะเย้ยจากเด็ก ๆ ของคลาส A ที่มีความสามารถและทรงพลังมากกว่า และในที่สุดพวกเขาก็แซงหน้าคลาส A ได้ด้วยพลังแห่งความรักและมิตรภาพ นั่นเป็นละครเยาวชนที่ฉันวางแผนจะเขียน

 

ไม่น่าสนใจเลย? ฟังดูเหมือนไม่สนุกที่จะอ่าน?

 

แน่นอนว่ามันน่าเบื่อมาก

 

เรื่องราวเกี่ยวกับนักเรียนที่อ่อนแอกว่าเอาชนะนักเรียนที่แข็งแกร่งกว่าด้วยการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเรื่องปกติและไม่มีอะไรใหม่ พลังแห่งความรักและมิตรภาพ? ทุกวันนี้ผู้คนทำได้ดีด้วยตัวเอง หากคุณปล่อยให้เพื่อนร่วมชั้นของคุณดูดกลืนชีวิตของคุณเหมือนสารก่อมะเร็ง พวกเขาจะคิดว่าพวกเขาห่วยแตกหลังจากที่คุณดูแลพวกเขาและช่วยให้พวกเขาเติบโต

 

ฉันควรจะหยุดเขียนทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่บก.บอกฉัน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ตอนนี้เป็นเดือนกุมภาพันธ์

 

เนื้อเรื่องหลักจะเริ่มต้นด้วยภาคการศึกษาใหม่ในปีเดียวกับการสิ้นสุดของสงครามโลกปีศาจ

 

[คุณได้รับการตอบรับเข้าเรียนในวิหาร รอยัลคลาสปี 1-A]

 

และสำนักงานการรับสมัครของวิหารได้ตัดสินว่า ‘ความถนัดที่ไม่สิ้นสุด’ ของฉันเป็นพรสวรรค์ขั้นสูง

 

ไม่มีอะไรดีจริงๆเกี่ยวกับเรื่องนั้น

 

คลาส A จะเป็นที่ที่ฉันจะได้เรียน

 

* * *

 

“คุณกังวลไหม?”

 

ตอนนี้ฉันอยู่ที่ร้านอุปกรณ์เวทมนตร์ของเอเลริส

 

“ฉันคงจะโกหกถ้าบอกว่าไม่”

 

ฉันถอนหายใจ

 

“เป็นเรื่องดีที่พวกเขาคิดว่าฉันมีพรสวรรค์ การได้เข้าเรียนแบบพิเศษก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าจะยากที่จะบรรลุความคาดหวังเหล่านี้ให้เร็วเท่าที่หวังไว้……”

 

ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ที่สะพานบรอนซ์เกตทั้งวัน ฉันเลยไปเยี่ยมเอเลริสแก๊งโรตารีก็คลายความกดดันทางการเงินด้วยเพราะฉันได้ผ่านการรับสมัครแบบพิเศษ

 

ขณะที่ยังไม่ถึงพิธีเข้าเรียน ฉันจึงไปมาระหว่างสะพานบรอนซ์เกตและร้านขายอุปกรณ์เวทมนตร์ของเอเลริส

 

“ฉันมั่นใจว่าคุณจะทำได้ดี”

 

เอเลริสยิ้มให้ฉันอย่างมั่นใจ ใช่ ฉันสามารถเป็นอะไรก็ได้ ฉันรู้ว่าฉันแค่ประหม่าเพราะฉันยังไม่เป็นอะไรและยังไม่ได้ทำอะไร

 

ต้องขอบคุณความถนัดของฉัน ซึ่งได้รับการตัดสินว่าเป็นพรสวรรค์ขั้นสูง ฉันจึงสามารถข้ามขั้นตอนต่างๆ ที่จำเป็นในการรับเข้าศึกษาได้ หากใครมีพรสวรรค์ระดับสูงสุด วิหารไม่เพียงแค่รับนักเรียนเข้ามา แต่พวกเขาจะต้อนรับเป็นอย่างดี นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมส่วนที่วุ่นวายเกี่ยวกับตัวตนและที่มาของฉันจึงถูกมองข้ามไป

 

วิหารกลับกลายมาเป็นผู้ปกครองของฉัน

 

สิ่งต่าง ๆ เป็นไปได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทุกอย่างจะดี แต่ก็มีปัญหาในอนาคตแน่นอน ดังนั้นการคิดถึงเพื่อนจากคลาส A ทำให้ฉันปวดหัว

 

เหนือสิ่งอื่นใด การอาศัยอยู่ในหอพักโดยไม่มี เอเลริส, โลยาร์หรือซาร์เคการ์ซึ่งเป็นผู้ปกครองของฉัน เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฉันกังวล

 

โดยทั่วไปแล้ว มันไม่น่าจะมีเหตุเกิดขึ้นที่วิหาร

 

อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักเขียน ฉันได้เพิ่มเหตุการณ์หลายอย่างที่จะเกิดขึ้น ฉันทราบดีว่า วิหารวุ่นวายแค่ไหน ฉันเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเองล่ะนะ

 

เอเลริสคว้ามือของฉันในขณะที่ฉันจมอยู่ในความคิด อุณหภูมิร่างกายที่ต่ำของแวมไพร์รู้สึกไม่คุ้นเคย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งความเย็นก็เริ่มรู้สึกเหมือนความอบอุ่น

 

“เราจะสนับสนุนฝ่าบาทสุดใจ และแม้ว่าคุณจะเข้าไปในวิหาร นั่นหมายความว่าคุณถูกห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอกงั้นเหรอ?”

 

“มันไม่ใช่ แต่ก็ยัง….”

 

พวกเขาจะไม่ห้ามไม่ให้ฉันออกไปข้างนอกหรืออะไร

 

ถ้าฉันอยากเจอพวกเขา ฉันจะออกไปเยี่ยมซาร์เคการ์ โลยาร์ หรือเอเลริสก็ได้

 

“ยังไงก็ตาม มีอะไรที่ต้องเอาไปด้วยหรือเปล่า”

 

“ฉันไม่ได้มีอะไรมากมายขนาดนั้น ส่วนมากฉันคงใส่แต่ชุดนักเรียนอยู่ดี”

 

พรุ่งนี้ฉันจะต้องไปหอพัก ฉันเลยต้องเตรียมตัวไปที่นั่น แต่ฉันไม่รู้ว่าควรเอาอะไรไปเพราะฉันอยู่ในฐานะที่ไม่มีอะไรติดตัวเลยนอกจากเสื้อผ้า

 

ขณะที่ฉันกรอกแบบฟอร์มต่างๆ ก่อนรับเข้าเรียน และได้รับคำแนะนำทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้ ฉันไม่คิดว่าจะต้องเอารอะไรไปมากนัก

 

“ว่าแต่ ทำไมคุณถึงอยากให้ฉันเข้าวิหารล่ะ”

 

ฉันถามคำถามที่ฉันไม่สามารถหาคำตอบได้เมื่อวันก่อน

 

เอเลริสไม่ต้องการให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น แต่เธอก็ยังสนับสนุนให้ฉันไปที่วิหาร เอเลริสยิ้มให้กับคำถามของฉัน

 

“เพราะฉันคิดว่าถ้าคุณอยู่ใกล้มนุษย์ คุณจะต้องหลงรักพวกเขาแน่ๆ”

 

นี่เป็นตรรกะที่แตกต่างเล็กน้อยจากซาร์เคการ์ซึ่งต้องการให้ฉันรู้จักมนุษย์เพื่อใช้ความรู้ของพวกเขาจัดการกับพวกเขา

 

เอเลริสดูเหมือนจะต้องการให้ฉันรักพวกเขา

 

ฉันไม่รู้สึกถึงความรักที่แท้จริงต่อมนุษยชาติตั้งแต่แรก

 

“แต่คุณอาจจะเสียใจในภายหลังนะ”

 

เอเลริสหัวเราะกับคำพูดของฉัน

 

“ฉันจะคิดถึงมันเมื่อถึงเวลา”

 

สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในกลุ่มไม่ใช่ซาร์เคการ์แต่เป็นเอเลริส เธอนำหีบจากที่ไหนสักแห่งออกมา

 

เธอเรียกมันมาแทนที่จะยกมันขึ้นมาเอง

 

“นี่คืออะไร?”

 

“นี่เป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่คุณใส่ได้ คุณไม่สามารถสวมเครื่องแบบของคุณตลอดเวลาได้”

 

ดูเหมือนว่าเธอไม่ต้องการส่งฉันมือเปล่า เอเลริสถอดสร้อยคอของเธอออกแล้วสวมรอบคอของฉัน

 

“นี่คือ….”

 

“คุณจำได้ไหมว่าฉันเรียกตนเองว่าเอเลริสแห่งวันอังคาร”

 

“อ่า จำได้”

 

ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร แต่มันเกี่ยวกับบ้านเจ็ดราตรีนั้นหรือเปล่า?

 

“ฉันเชื่อว่าคุณก็ลืมเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นให้ฉันอธิบาย มีกลุ่มแวมไพร์เจ็ดกลุ่มที่เรียกว่า บ้านแห่งเจ็ดราตรี”

 

“จันทร์ อังคาร พุธ แบบนั้นหรือ”

 

“ใช่”

 

ชื่อเหล่านั้นค่อนข้างเรียบง่าย

 

“แต่ละตระกูลเชี่ยวชาญในประเภทเวทมนตร์ขององค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง”

 

“มีเวทมนตร์ธาตุตามวันด้วยเหรอ?”

 

“ใช่ เผ่าวันจันทร์และวันอาทิตย์หายไปนานมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้บอกว่าพวกเขาใช้เวทมนตร์ประเภทใด แต่วันอังคารเป็นไฟ วันพุธเป็นน้ำ วันพฤหัสบดีเป็นไม้ วันศุกร์เป็นโลหะ และวันเสาร์เป็นดิน ”

 

แม้ว่าฉันจะยังพอเข้าใจพลังของดวงจันทร์ได้ แต่ฉันก็นึกไม่ออกว่าแวมไพร์จะใช้เวทมนตร์แห่งดวงอาทิตย์ได้อย่างไร แต่เนื่องจากแวมไพร์ลอร์ดสามารถทนต่อแสงแดดได้ มันคงไม่แปลกหรอกมั้งที่กลุ่มนั้นสามารถใช้เวทมนตร์แห่งแสงอาทิตย์ได้

 

“นี่คือมรดกตกทอดจากตระกูลของเราและเป็นสัญลักษณ์ของบ้านของเรา นั่นคือ ‘เปลวไฟแห่งวันอังคาร’

 

สร้อยคอที่เอเลริสให้ฉันถือ คือจี้ทองคำขนาดเล็กประดับด้วยทับทิมที่เหมือนหยดเลือด

 

“เอเลริส… พวกเขาเรียกว่าหัวหน้าตระกูลแวมไพร์ลอร์ดเหรอ?”

 

“ก็คงเป็นอย่างนั้น แต่ว่า….”

 

เอเลริสดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในแวมไพร์ที่ทรงพลังที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ง่ายสำหรับเธอที่จะอยู่กลางแดด แม้ว่าจะไม่ถึงจุดที่เป็นไปไม่ได้ก็ตาม

 

“แล้วทำไมเธอถึงให้สร้อยเส้นนี้กับฉัน….?”

 

“ถ้าแหวนนี้มีพลังของเดรดฟีนคุณคิดว่าจี้นี้จะทำอะไรได้บ้าง”

 

จี้ที่มีพลังของกลุ่มที่เชี่ยวชาญด้านเวทย์ไฟ

 

“มันจะทำให้ฉันใช้เวทย์ไฟได้ใช่มั้ย?”

 

“แน่นอน มันจะใช้งานในขอบเขตของปริมาณมานาของฝ่าบาทเท่านั้น มันแตกต่างจากแหวนของ ซาร์เคการ์นิดหน่อย คุณสามารถเรียกไฟได้เพียงแค่ใช้มานา ไม่จำเป็นต้องร่ายคาถาที่ซับซ้อน”

 

ฉันไม่ค่อยเข้าใจมัน แต่แค่ได้ยินคำอธิบายของเธอก็ทำให้ฉันรู้ว่านี่มันน่าทึ่งมาก

 

เวทมนตร์เป็นพลังที่อัจฉริยะเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ สิ่งนี้ทำให้แม้แต่คนงี่เง่าก็สามารถเรียกไฟได้หากพวกเขามีมานาเพียงพอ

 

ม้วนคาถาเป็นไอเทมที่ใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ด้วยสิ่งนี้ ฉันจะสามารถใช้เวทมนตร์นี้ได้อย่างถาวร

 

สมบัติล้ำค่าจริงๆ

 

“อยากลองดูไหม”

 

“อืม….”

 

ด้วย เปลวไฟแห่งวันอังคาร ฉันสามารถใช้เวทมนตร์ไฟได้ ระดับมานาของฉันอยู่ที่ 9.9 เท่าที่ฉันจำได้ ฉันรู้ว่ามันค่อนข้างสูงสำหรับคนที่อายุเท่าฉัน

 

ฉันถือจี้ไว้ในมือและนึกภาพเปลวไฟในหัว เหมือนที่เอเลริสบอกฉันเมื่อวินาทีที่แล้ว

 

-พรึ่บ!

 

จากนั้นเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาฉัน

 

“นี่คือวิธีใช้งาน”

 

“แค่นี้เหรอ”

 

ฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะมีลูกไฟปรากฏขึ้น แต่นี่เป็นเพียงระดับของเปลวไฟเล็กๆ หรือจริงๆแล้วฉันมีมานามากพอๆกับหนูหรือเปล่านะ?

 

“ฝ่าบาทยังใช้มานาได้ไม่เต็มที่ หากคุณเรียนรู้พลังที่เกี่ยวข้องกับความไวของเวทมนตร์หรือการควบคุมเวทมนตร์ คุณจะสามารถสร้างเปลวไฟที่ทรงพลังมากขึ้นด้วยมานาในปริมาณที่เท่ากัน”

 

ในที่สุดฉันก็ทำได้แค่นี้กับสมบัติอันทรงพลังนี้เนื่องจากความสามารถของฉันไม่เพียงพอ

 

“ทำไมคุณให้เจ้านี่กับฉัน”

 

“อาจมีเหตุฉุกเฉินบางอย่างที่ฝ่าบาทไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นการมีสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ใช่มั้ยล่ะ?”

 

ฉันไม่รู้จริงๆว่าฉันจะใช้ไฟแช็กทำอะไรได้บ้าง

 

“ถึงกระนั้น สิ่งที่เหมือนกับสัญลักษณ์ของกลุ่มคุณ…. ให้อะไรแบบนี้มันจะดีเหรอ”

 

“ถ้าฉันให้ของที่มีค่าใกล้เคียงกับที่ซาร์เคการ์ให้คุณ โอกาสที่คุณจะยืนข้างฉันในอนาคตมันจะไม่เพิ่มขึ้นหรือ”

 

เอเลริสพูดในขณะที่หัวเราะติดตลก ซาร์เคการ์และเอเลริสต่างก็ให้มรดกตกทอดของครอบครัวแก่ฉัน

 

มันค่อนข้างตลก

 

ซาร์เคการ์ผู้ซึ่งต้องการทำสงครามได้มอบบางสิ่งที่ช่วยให้ฉันมีชีวิตที่สงบสุขในโลกมนุษย์

 

ในทางกลับกัน เอเลริสผู้รักความสงบได้ให้สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการทำลายล้างแก่ฉัน

 

“นอกจากนี้ มันค่อนข้างไร้ยางอายหากจะใช้ของสิ่งนี้อย่างภาคภูมิในขณะที่ตัดสินใจทรยศเจ้าของเดิม”

 

เอเลริสดูเหมือนจะต้องการสละความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทั้งหมดที่เธอมีในฐานะหัวหน้ากลุ่มรวมถึงสมาชิกคนสุดท้ายของกลุ่มวันอังคาร ด้วยสิ่งนี้ ดูเหมือนว่าปีศาจจะไม่สามารถละทิ้งครอบครัวของพวกเขาได้แม้ว่าจะทรยศต่อพวกเขาก็ตาม

 

“ฉันมีเรื่องจะถามอย่างหนึ่ง”

 

“อะไรคะ ฝ่าบาท”

 

“ถ้าฉันใช้นี่ ก็แค่เปลวไฟเล็กๆ นี้ออกมา แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณใช้สิ่งนี้?”

 

ฉันสามารถสร้างเปลวไฟขนาดเล็กได้ การลดความซับซ้อนของการร่ายเวทมนตร์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับจอมเวทย์ แทนที่จะเป็นคนที่โง่เขลาอย่างฉัน

 

ดังนั้นสิ่งเล็ก ๆ น้อยๆนี้สามารถแสดงพลังได้มากแค่ไหนในมือของคนอย่างเอเลริส?

 

“ไม่รู้ เพราะฉันไม่เคยใช้มาก่อน”

 

แค่มองตาเธอก็บอกได้ว่าเธอโกหก

 

ดูเหมือนว่ามีความทรงจำที่เจ็บปวดบางอย่างปรากฏขึ้นในตัวเธอ ฉันเห็นว่าความเจ็บปวดนี้ผ่านดวงตาของเธอเพียงช่วงสั้นๆ เอเลริสบอกสิ่งสุดท้ายกับฉัน มองตรงเข้าไปในดวงตาของฉัน จับไหล่ของฉัน

 

“ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่ของที่ดีเลย”

 

เอเลริสดูเหมือนจะไม่ชื่นชมมรดกตกทอดที่เรียกว่า เปลวไฟแห่งวันอังคาร

 

“…….”

 

“มันเป็นวัตถุที่ตอบสนองต่ออารมณ์ด้านมืด ยิ่งคุณคิดร้ายกับใครมากเท่าไหร่ เปลวไฟก็จะยิ่งลุกโชนมากขึ้นเท่านั้น”

 

นี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ฉันควรระวังในขณะที่ใช้

 

วัตถุที่สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเจ้าของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเกลียดชังและความอาฆาตพยาบาท มันเป็นสิ่งของที่เข้ากับภาพลักษณ์ที่มนุษย์มีต่อปีศาจได้อย่างสมบูรณ์

 

“ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงมอบ เปลวไฟแห่งวันอังคาร ให้กับคุณ”

 

เธอไม่อยากให้ฉันทำร้ายใคร แต่เธอเป็นห่วงฉัน เธอเลยให้อะไรแบบนั้นกับฉัน

 

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่วิหารฉันควรใช้สิ่งนี้ก็ต่อเมื่อฉันอยู่ในสถานการณ์ที่คุกคามชีวิตเท่านั้น

 

นั่นคือสิ่งที่เอเลริสหมายถึง

 

เอเลริสกลัวฉัน แต่เธอก็ให้ค่ากับฉันมากพอๆกัน

 

“ขอบคุณ ฉันวางแผนที่จะไม่ใช้มันจนกว่าฉันจะเรียนจบ”

 

เอเลริสยิ้มอย่างสดใส เพราะนี่คือสิ่งที่เธออยากได้ยินมากที่สุด

 

เธอเป็นคนที่แปลกประหลาดที่สุดจริงๆ

 

* * *

 

มรดกตกทอดของตระกูลเดรดฟีน

 

มรดกตกทอดของตระกูลวันอังคารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเจ็ดราตรี

 

ฉันเป็นทายาทคนเดียวของแดนปีศาจที่รวมแดนทมิฬเป็นหนึ่งเดียว จึงไม่แปลกที่ฉันจะถือสิ่งของเหล่านี้

 

ถึงกระนั้น นักเรียนขอทานที่ได้เรียนที่วิหาร ก็ได้รับอาติแฟคระดับจักรพรรดิสองชิ้นในครอบครอง

 

นั่นต้องเป็นที่น่าสงสัยอย่างแน่นอน

 

แน่นอนว่าแหวนเป็นของพรางตัว ดังนั้นมันจึงมีคุณสมบัติด้านเวทมนตร์ที่โปร่งใสและสลายตัวเป็นวัตถุด้วยตัวมันเอง ดังนั้นมันจึงดูเหมือนแหวนโลหะทั่วไป และเอเริสก็ใส่กรอบโลหะที่ดูเก่า ๆ รอบด้านนอกของจี้ ทำให้ดูเหมือนไม่ใช่ของล้ำค่า ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี ในการใส่กรอยที่ดูธรรมดารอบๆ มันมากกว่าเวทย์มนตร์อำพรางที่อาจถูกตรวจจับได้ สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ฉันมีก็มีแต่สิ่งที่ดูเหมือนแหวนและจี้ที่ชำรุด พูดตามตรง ฉันจะเชื่อถ้ามีคนบอกฉันว่าของพวกนี้ถูกขโมยไปโดยขอทานที่เดินไปมา

 

เนื่องจากฉันได้รับสิ่งของที่น่าทึ่งจากทั้งเอเลริสและซาร์เคการ์ ฉันจึงคิดว่าโลยาร์อาจให้บางอย่างกับฉันเช่นกัน แต่แล้วฉันจะคาดหวังอะไรดีๆจากคนที่นุ่งผ้าขี้ริ้วนอนรอบกองไฟทั้งวันได้อย่างไร เธอควรดูแลตัวเองให้ดีและกินให้ดีก่อน

 

นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด แต่….

 

“……นี่คืออะไร?”

 

“เงินค่าขนม”

 

โลยาร์มอบถุงเหรียญทองให้ฉันเพื่อใช้ที่วิหาร

 

โลยาร์บอกให้ฉันบอกเธอว่าฉันต้องการเงินอีกมั้ย เพราะปัญหาเรื่องค่าเข้าเรียนได้รับการแก้ไขแล้ว และวิหารจะจ่ายเฉพาะค่าครองชีพบางส่วนเท่านั้น

 

โลยาร์ให้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันในระยะยาว

 

ดูเหมือนว่าความคืบหน้าในการขยายการค้าไปยังขบวนรถไฟมานาจะเป็นไปอย่างราบรื่น

 

พรุ่งนี้ ในที่สุดฉันก็ได้ย้ายเข้าหอพักของวิหารแล้ว

 

แน่นอนว่ามันไม่ดีสำหรับฉันที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป แต่ฉันก็หมดแรงแค่คิดที่จะย้ายไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ฉันไม่คุ้นเคย เต็มไปด้วยตัวละครหลัก

 

การอาศัยอยู่ที่บ้านของเอเลริสก็คงไม่เลวนัก

 

คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะฉันมัวแต่คิดถึงปัญหาทั้งหมดที่จะตามมา

 

อย่างไรก็ตามฉันได้ให้คำมั่นสัญญา

 

ฉันจะทำสิ่งที่ฉันตั้งใจและฉันจะทำมันให้ดีที่สุด

 

ฉันรู้สึกได้ในกรณีของชาร์ลอตต์

 

การช่วยคนที่ควรจะตายไม่ใช่เรื่องเลวร้ายขนาดนั้น

 

ผลที่ได้คือฉันสามารถช่วยคนที่ต้องตายเพราะกรรมของฉัน

 

ถ้าคุณถามฉัน ฉันเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ดี

 

นี่เป็นเรื่องราวชีวิตประจำวัน

 

แต่ แม้แต่เรื่องแนวชีวิตประจำวันก็ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ที่มีความสามารถในด้านนั้น

 

ดังนั้นเหตุผลใหญ่ที่สุดที่ทำให้นิยายเรื่องนี้ล้มเหลว เหตุผลที่นักอ่านทุกคนที่อ่านต่อไปจนถึงกลางเรื่องก็ล้มเลิกอ่านไป ก็คือ…

 

ฉันไม่มีพรสวรรค์ในการเขียนเรื่องประเภทนี้จนจบ เนื่องจากเหตุการณ์และเนื้อหาที่ฉันวางแผนไว้หมดลง งานเขียนของฉันจึงหมดความหมาย และส่งผลให้ฉันสูญเสียแรงจูงใจในการดำเนินเรื่องราวไปข้างหน้า

 

ดังนั้น

 

ฉันจึงล้างกระดาน

 

นวนิยายบ้าๆ บอๆ นี้เกิดขึ้นเพียงเพราะผู้เขียนไม่สามารถคิดสถานการณ์เพิ่มได้

 

…ในช่วงกลางของเรื่องนั้น…

 

…ฉันทำให้มีเกทเปิดออกในเรื่อง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+