เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ 4 ด้านฟ้ายามเย็น

Now you are reading เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ Chapter 4 ด้านฟ้ายามเย็น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 04 ด้านฟ้ายามเย็น

 

ระหว่างที่ชายหนุ่มสวมแว่นกำลังเดินอยู่บนทางเดิน

 

สุ้มเสียงไม่พอใจของหญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้น น้ำเสียงของพวกหล่อนค่อนข้างขุ่นมัวคล้ายพึ่งพานพบเจอเรื่องราวชวนให้รู้สึกอารมณ์เสีย

 

เรียกได้ว่ายิ่งระยะห่างขยับเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ ถ้อยคำสบถมากมายก็ยิ่งปรากฎให้ได้ยินมากขึ้นเท่านั้น

 

ทราเวียร์ยังคงราบเรียบเรียบเฉยหาได้สนใจใครคนอื่น

 

“…” ขณะกลุ่มหญิงสาวกับกระทำตรงกันข้าม

 

“ทำลงไปได้ยังไง?!”

 

“พวกเกเรก็แบบนี้แหละ”

 

“ไปกันเถอะ”

 

“อืม!” 

 

แม้ใจไม่ต้องการไม่ยินยอม

 

แต่สุดท้ายปลายทางเรื่องราวของคนอื่นก็เป็นเรื่องราวของคนอื่นหาใช่เรื่องราวของตนการเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วย มีแต่จะสร้างผลเสียหาใช่สร้างผลดีโดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นเพียงพวกขยะสังคมเดินได้

 

ตอนแรกชายหนุ่มสวมแว่นก็มีครุ่นคิดจินตนาการเหมือนกัน เขาอยากรู้ว่าต้องเป็นสถานการณ์แบบไหนถึงทำให้พวกหล่อนเลือกสบถออกมาโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น

 

แต่แล้วไม่ว่าจะเป็นห้วงความคิดทั้งหมดหรือห้วงจินตนาการ ล้วนเปล่าประโยชน์หาค่าไม่ได้เมื่อสายตาของเขาเหลือบหันไปเจอของจริง

 

ไปเจอสถานการณ์ที่ทำให้กลุ่มหญิงสาวเมื่อครู่เลือกสบถออกมา

 

และฉากภาพเบื้องหน้าที่ทราเวียร์พบเห็น

 

ก็คือฉากที่ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังถูกปิดล้อมไปด้วยคนหมู่มาก แถมคนหมู่มากที่ว่ายังเข้ามาปิดล้อมด้วยเจตนาเลวร้ายไม่คิดปกปิด

 

นอกจากเจตนาเลวร้ายที่พวกมันแสดงออกมา ทั้งสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงก็ยังดังต่อเนื่องพยายามเข้าคุกคามชายหนุ่มผู้โชคร้ายคล้ายต้องการเล่นงานอีกฝ่ายให้ถึงตาย

 

หนึ่งในพวกมันเริ่มหมดความอดทนอดกลั้นกับความหัวดื้อของอีกฝ่ายที่ยังไม่คิดยินยอมโอนอ่อนให้ พวกมันเลยคิดปรับเปลี่ยน

 

เปลี่ยนไปใช้วิธีการอื่นที่ง่ายดายและทรงประสิทธิภาพ

 

“…” นั้นก็คือการใช้กำลังเข้าว่าเป็นหลัก

 

“หุบปาก!”

 

“อย่าเอาแต่ร้องอย่างเดียวสิวะ”

 

“รีบส่งเงินมาได้แล้ว”

 

“ตะ แต่—”

 

“บอกเอาไว้ก่อนยิ่งแกช้า”

 

“แกจะยิ่งเจ็บหนัก”

 

“เข้าใจไหม?”

 

“…” ชายหนุ่มผู้โชคร้ายย้ายสายตาไปทางอื่น

 

แววตาสิ้นหวังในตอนแรกแปรเปลี่ยนเปี่ยมล้นไปด้วยความหวังคล้ายพานพบเจอแสงสว่างส่องเข้ามาในชีวิต

 

แน่นอนว่าพฤติกรรมแปลกประหลาดมีเหรอ พวกมันจะมองไม่เห็นหลากหลายสายตาหันมองย้อนกลับไปด้านหลัง

 

จนกระทั่งพบเห็นทราเวียร์ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ หนึ่งในพวกมันรีบร้องตะโกนตักเตือนกันไม่ให้ทราเวียร์คิดทำอะไรยุ่งยาก

 

น้ำเสียงตวาดดังลั่นขึ้นมาทันที

 

“มองอะไรวะ?!”

 

“…”

 

“ฉันถามว่ามองอะไร?!”

 

“เดี๋ยวก่อน”

 

“อะไรอีก?”

 

“…” ฝ่ามือยกห้ามกันไม่ให้มีเรื่อง

 

แววตาหนึ่งในพวกมันหรี่มองคล้ายรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอีกฝ่าย

 

หลังจากไตร่ตรองอยู่กับตัวเองปล่อยให้หัวสมองครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย ในที่สุดภาพจำของใครคนหนึ่งก็ไหลผ่านเข้ามาในหัวสมอง

 

มันกะพริบตาถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

 

“คนแปลก?”

 

“…”

 

“คนแปลกของโรงเรียน?”

 

“เอาจริงดิ”

 

“จริงด้วยวะ”

 

“ไอ้ตัวแปลกประหลาด?!”

 

คำว่า ‘คนแปลก’ มันคือชื่อที่สองของทราเวียร์

 

ซึ่งต้นสายปลายกำเนิดของชื่อที่สองมันก็มาจากใบหน้าของเขาที่นิ่งเงียบราบเรียบตลอดเวลาไม่ว่าใครจะทำอะไรจะนินทาว่าร้ายยังไง

 

เขาก็เพียงนิ่งเงียบไม่ตอบสนองหรือโต้ตอบกลับไป จนสุดท้ายปลายทางกลุ่มคนที่เคยหยอกล้อเคยต้องการลองของก็พากันเบื่อหน่าย

 

ก่อนพากันตั้งชื่อเรียกให้เขาส่งท้าย

 

“…”

 

“แกจะไปทั้งแบบนี้จริงเหรอ?”

 

“…”

 

“ทางใครทางมันครับ”

 

“พวกคุณอยากจะทำอะไรก็เชิญ”

 

“…” แววตาไม่มีแปรเปลี่ยน

 

ท่วงท่าเป็นเอกลักษณ์ถูกแสดงออกมาให้เห็น

 

แม้ฉากภาพเบื้องหน้าฉากภาพการรังแกคนอ่อนแอมันจะทำให้ใครคนอื่นเกิดอารมณ์ร่วมแต่ไม่ใช่สำหรับเขาไม่ใช่สำหรับทราเวียร์

 

เขาเพียงเหลือบมองพอเป็นพิธีเท่านั้นไม่มีคิดกระทำเป็นอย่างอื่น ซึ่งตรงจุดนี้จุดที่ชายหนุ่มสวมแว่นตอบตามตรงมันทำให้เหล่าอันธพาลทั้งหลายรู้สึกถูกใจเป็นอย่างมาก

 

พวกมันต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที

 

“แกได้ยินไหม?”

 

“มันบอกให้เรากระทืบแกได้ตามใจต้องการ”

 

“คุณ!”

 

“…” ไม่เหมือนกับที่คิด

 

สิ่งที่ตอบสนองกลับมา

 

คือแววตาราบเรียบตามแบบฉบับของคนแปลก ชายหนุ่มนักเรียนที่โดนกระทำเนื้อตัวสั่นสะท้านก่อนแผดเสียงร้องด่าดังลั่น

 

เป็นเสียงร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยห้วงอารมณ์ด้านลบขั้นสุด

 

“ไอ้คนเห็นแก่ตัว!”

 

“เห็นคนอื่นเดือดร้อนทำไมไม่ช่วย!”

 

“แก—” 

 

ยังกล่าวไม่ทันจบประเด็น

 

ฝ่าเท้าเหล่าอันธพาลในชุดนักเรียนก็ต่างพากันยกถีบเข้าตามลำตัวอีกฝ่ายหวังให้มันหยุดร้องตะโกนเสียงดังสักที

 

แน่นอนมันได้ผลทั้งยังได้ผลมากอีกด้วย

 

ตึง!

 

“…”

 

“หุบปาก!”

 

“ถ้าแกไม่อยากหุบพวกฉันจะช่วยให้!”

 

ทราเวียร์ละสายตากลับไม่คิดสนใจ

 

ก่อนเดินมุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมายปลายทาง ส่วนชายหนุ่มที่โดนกระทืบโดนรังแกมันจะมีสภาพแบบไหนโดนกระทืบยังไงเขาหาได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

 

ระหว่างกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังสถานที่ความลับของเขากับใบเฟิร์น ชายหนุ่มสวมแว่นเลือกหยิบเอาสมุดจดบันทึกขนาดเล็กขึ้นมาก่อนเปิดมันด้วยนิ้วมือเรียวงาม

 

เปิดไปเรื่อยเปิดจนกระทั่งไปหยุดอยู่หน้าหนึ่ง มีรูปใบหน้าของคนคุ้นหน้าคุ้นตามันคือใบหน้าของชายหนุ่มคนที่พึ่งโดนกระทืบเมื่อครู่

 

ทราเวียร์หยิบจับปากกาขึ้นมาเตรียมขีดเขียน

 

…‘โดนคนแบบมันด่านี่ไม่ชอบเลย’

 

“…”

 

“โดนด่ามา 60 ครั้ง”

 

“ไม่สิ”

 

“ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 61 สินะ”

 

“…” ทราเวียร์ใช้ปากกาขีดเพิ่มแต้มไปอีกหนึ่ง

 

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนด่าโดนต่อว่าและจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน แม้ว่าครั้งนี้มันออกจะเกินเลยไปหน่อยที่ปล่อยให้โดนกระทืบระบายอารมณ์

 

แต่ครั้งก่อนหน้า 60 ครั้ง ล้วนเป็นการแซะว่ากล่าวด่าทอต่อหน้าหรือไม่ก็นินทาหยอกล้อลับหลังให้ได้ยินมาตลอด

 

อีกทั้งยังเป็นคำด่าที่ปราศจากเหตุผลปราศจากความขัดแย้งส่วนตัว เอาแค่มีอารมณ์ร่วมนึกสนุกที่เหลือมันจะเป็นยังไงก็ช่างจะทำร้ายจิตใจใครคนอื่นก็ช่าง

 

เพราะฉะนั้นครั้งนี้ก็รับกรรมของตัวเองไปละกัน

 

“โดนบ้างก็ดี”

 

“เผื่ออาการปากหมามันจะได้ดีขึ้น”

 

ช่วงจังหวะเวลานั้นเอง

 

ช่วงที่เขากำลังเก็บสมุดบันทึกเล่มเล็กของตน หญิงสาวคนงามทั้งสองก็โผล่หน้าออกมาจากหัวมุมทางเดิน พวกหล่อนทั้งสองช่างโดดเด่นมีเอกลักษณ์ขั้นสุด

 

หนึ่งคนเป็นคุณหนูสาวตระกูลใหญ่ อีกหนึ่งคือเมดสาวในชุดดำมากไปด้วยเสน่ห์อันตราย ใช่ พวกหล่อนคือเมญ่ากับฮเยริน

 

สองนายบ่าวคนที่เขาพึ่งไปมีสายสัมพันธ์ทางอ้อมมา ทั้งสองฝ่ายต่างเมินเฉยไม่มองหน้าซึ่งกันและกันไม่คิดเหลือบมองให้เปลืองสายตาจนกระทั่งทั้งสองต่างเดินสวนไปตามเส้นทางของตัวเอง

 

และเป็นฝ่ายเมญ่าที่ดวงตาหวั่นไหวเมื่อพบเห็นแววตาคุ้นเคยจากอีกฝ่ายน่าเสียดายกว่าจะรู้สึกตัวอีกฝ่ายก็หายลับไปจากสายตาเรียบร้อย

 

คุณหนูสาวหยุดย่างก้าวของตน

 

…‘เมื่อกี้นี้มัน?!’

 

“…”

 

“คุณหนู?”

 

เมื่อเมญ่าหันหลังกลับไปมองก็หลงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่าปราศจากผู้คน หล่อนมองนิ่งแข็งค้างจนผิดสังเกต

 

ก่อนจะกล่าวพึมพำขึ้นมาเบาบาง

 

“ผู้ชายคนเมื่อกี้”

 

“คะ?”

 

“…”

 

“ไม่”

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ช่างเถอะ”

 

“อีกเดี๋ยวก็รู้เองว่าคิดไปเองหรือว่าเป็นเรื่องจริง”

 

ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจบางทีมันอาจเป็นเพียงเหตุบังเอิญ

 

เป็นเพียงหัวสมองของหล่อนที่ครุ่นคิดจินตนาการไปเอง แม้ว่าคุณหนูสาวของฮเยรินจะกล่าวออกมาแบบนั้นแต่ในฐานะข้ารับใช้

 

หล่อนไม่อาจปล่อยผ่านง่ายดายและเมื่อไม่อาจปล่อยผ่านง่ายดายหล่อนจึงเลือกเส้นทางอีกเส้นสายที่แตกต่างออกไป

 

เป็นเส้นทางที่ฮเยรินมีความถนัดมากที่สุด

 

“ต้องการให้ดิฉันตามสืบไหมคะ?”

 

“…”

 

“เอาพอประมาณ”

 

“อย่าให้อีกฝ่ายรู้ตัวเด็ดขาด”

 

“ค่ะ” ฮเยรินก้มหัวน้อมรับคำสั่ง

 

ก่อนก้าวเท้าถอยหลังเตรียมมุ่งหน้าไปทำหน้าที่ของตน ส่วนคุณหนูสาวหล่อนเพียงนิ่งเงียบไม่คิดกล่าวเพิ่มเติม

 

เมญ่าลอบขบปากตัวเองแน่น

 

…‘ต้องรีบหาให้เจอ’

 

“…”

 

“คุณหนูเมญ่า?”

 

“สวัสดีค่ะ”

 

สีหน้าเคร่งเครียดแปรเปลี่ยนรวดเร็ว

 

นอกจากสีหน้าที่แปรเปลี่ยนรวดเร็ว เมดสาวที่อยู่เคียงข้างกายมาตลอดพลันหายลับไปจากสายตาหลงเหลือเพียงแค่หล่อนคนเดียวเท่านั้น

 

ท่ามกลางอิสตรีมากหน้าหลายตาที่เข้ามาทักทายก่อนกลับบ้าน หล่อนก็ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามเดิมปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคุณหนูสาวได้อย่างยอดเยี่ยม

 

อีกด้านหนึ่งของเส้นทาง

 

ทราเวียร์ก้าวเท้าเดินไปเรื่อยเปื่อย

 

เดินไปตามอารมณ์ เดินไปตามเส้นทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดิมสถานที่แห่งความลับระหว่างเขากับหมอสาวใบเฟิร์น แน่นอนระหว่างเส้นทางล้วนพบเจอนักเรียนมากหน้าหลายตาเยอะแยะเต็มไปหมด

 

ยิ่งขาทั้งสองก้าวเท้าไปไกลมากเท่าไหร่ นักเรียนตามเส้นทางปรกติธรรมดายิ่งลดน้อยถอยลงมากขึ้นเท่านั้น จวบจนกระทั่งมาถึงหน้าประตูบานใหญ่เป็นประตูเหล็กหนาตลอดทั้งบาน ทราเวียร์เพียงยิ้มเล็กน้อยก่อนหยิบเอากุญแจขึ้นมา

 

พร้อมไขเปิดประตูเปิดเผยให้เห็นวิวทิวทัศน์ยอดเยี่ยม เบื้องหลังประตูหนามันไม่ใช่ห้องเรียนเต็มเปี่ยมไปด้วยอุปกรณ์หรือเต็มเปี่ยมไปด้วยหนังสือหลายร้อยหลายพันเล่ม แต่เป็นด้านฟ้าสถานที่เปล่าเปลี่ยวปราศจากผู้คน 

 

สายตาชายหนุ่มสวมแว่นกวาดมองไปทั่วบริเวณหวังมองหาบางสิ่งอย่าง ก่อนไปหยุดที่หญิงสาวนางหนึ่งคนที่กำลังเกาะรั่วมองเบื้องสูงลงมายังเบื้องล่าง

 

มองด้วยแววตายากจะคาดเดา

 

“…” หล่อนเพียงยิ้มเล็กน้อย

 

คล้ายรับรู้ว่าใครบางคนได้มาถึงเป็นที่เรียบร้อย

 

ก่อนกล่าวขึ้นมาเบาบาง

 

“ปล่อยให้คนสวยรอนานแบบนี้”

 

“ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยนะคะ”

 

“สุภาพบุรุษ?” 

 

“ใครละครับนั่น”

 

ทราเวียร์ย้ายขยับมาอยู่เคียงข้างกายหมอสาว

 

ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบไม่คิดพูดจาเพิ่มเติม เอาแต่จับจ้องมองเหล่าเด็กน้อยทั้งหลายกำลังพูดคุยหัวเราะสนุกสนานไปตามอารมณ์ หลังจากนิ่งเงียบไปนานเกือบนาที

 

ใบเฟิร์นก็เริ่มเปิดปากถามขณะสายตายังเหลือบมองเบื้องล่างตามเดิมไม่มีแปรเปลี่ยน

 

“แล้วรู้สึกยังไงบ้าง?”

 

“หลังจากเข้าเรียนทั้งที่พึ่งเย็บแผลเสร็จ”

 

“…”

 

“ปรกติครับ”

 

“มีอาการเจ็บหรือว่าตึงชาบริเวณแผลไหม?”

 

“นิดหน่อยครับ”

 

“แต่ยังอยู่ในขอบเขตยอมรับได้”

 

“…” 

 

หมอสาวขมวดคิ้วแน่น

 

คล้ายพบเห็นสิ่งไม่ชอบใจไม่ตรงตามความต้องการ

 

ทั้งที่หล่อนอุตส่าห์บอกกล่าวไปขนาดนั้น ร้องขอบอกให้เขากลับไปพักผ่อนกลับไปนอนบ้าน แต่เจ้าตัวก็ยังเลือกเมินเฉยทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

ใบเฟิร์นถอนหายใจเหนื่อยหน่าย

 

…‘อยู่ในขอบเขตยอมรับได้?’

 

“…” 

 

“หัวดื้อเป็นบ้า”

 

เมญ่าส่ายหน้าให้กับความดื้อดึงของอีกฝ่าย

 

เอาเถอะเรื่องว่ากล่าวตักเตือนคงต้องยกยอดไปก่อน ช่วงจังหวะเวลานี้มีเรื่องสำคัญยิ่งกว่ารอคอยให้หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น ซึ่งก่อนจะได้เปิดปากพูดคุย

 

เป็นชายหนุ่มสวมแว่นที่กล่าวแทรกกลางขึ้นมากะทันหัน

 

“แล้วเรียกผมมาทำไม?”

 

“…”

 

“คงไม่ใช่ว่าผูกใจเจ็บที่ผมปฏิเสธคุณ”

 

“หรือว่าโกรธที่ผมขู่คุณด้วยความลับหรอกนะ”

 

“เห็นฉันเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

“หรือไม่จริง?”

 

“…” ใบเฟิร์นหรี่ตามอง

 

มองด้วยแววตาประกายแหลมคม

 

ต้องบอกว่าเจ้าลูกศิษย์คนนี้กล้ามาก

 

กล้ามาบอกว่าหมอสาวอย่างหล่อนเป็นคนใจแคบเป็นคนไม่มีน้ำใจ หากหล่อนใจแคบจริงอย่างที่เขาบอกกล่าวหล่อนคงไม่มาปรากฎตัวที่นี่หรอก

 

หมอสาวเลือกส่ายหน้าไม่เอาความ

 

“…” พร้อมตัดเข้าประเด็นทันที

 

“เมื่อประมาณบ่าย 3 โมง”

 

“คุณหนูเมญ่าบุกเข้ามาหาฉันถึงห้องพยาบาล”

 

“…”

 

“บุกเข้ามาถามรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

 

“ถามมันตั้งแต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

“ทำไมหล่อนถึงหมดสติ”

 

“ใครเป็นคนช่วยเหลือ”

 

“อาการของผู้ช่วยเหลือเป็นยังไง”

 

“ชายหนุ่มคนที่ช่วยเหลือหล่อนหายไปไหน”

 

“หน้าตายังไง”

 

“ส่วนสูงเท่าไหร่”

 

“กระทั่งชื่อเล่นเธอ”

 

“หล่อนยังถาม”

 

“เรียกได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ถาม”

 

“หล่อนถามแต่เรื่องของเธอทั้งนั้น”

 

“ไม่มีถามเรื่องของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย”

 

“เนื้อหอมจังนะ~” 

 

สีหน้าเย้าหยอกไม่ได้ทำให้ทราเวียร์แปรเปลี่ยนสีหน้า

 

เขายังคงเยือกเย็นเย็นชาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน สำหรับประเด็นโดนตามตัวชายหนุ่มสวมแว่นไม่ได้เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อยเนื่องจากเขาได้วางมาตรการรองรับเอาไว้แล้ว

 

ติดปัญหาอยู่อย่างเดียวเลยคือหมอสาวได้บอกไปรึเปล่าว่าเขาเป็นใครมาจากไหน

 

“…” ทราเวียร์หรี่ตาถามเสียงเรียบ

 

“ได้บอกไหมครับ?”

 

“ไม่ได้บอก” 

 

ใบเฟิร์นส่ายหน้าปฏิเสธ

 

แม้เบื้องหลังคุณหนูเมญ่าจะยิ่งใหญ่ ใหญ่โตจนไม่มีใครหน้าไหนกล้าปฏิเสธคำร้องขอของพวกหล่อนแต่หมอสาวก็หาได้สนใจ ไม่มีคิดเก็บมาใส่หัวสมองให้เหนื่อยเปล่า

 

ทำเสมือนทุกสิ่งอย่างเป็นเพียงเรื่องปรกติธรรมดา

 

…‘อีกอย่างเกิดบอกไปคนที่จะซวยที่สุดก็คือฉันน่ะสิ’

 

“…” 

 

“วางใจได้เห็นแบบนี้ใช่ว่าฉันจะเป็นพวกปากมาก”

 

“ความลับของเธอไม่มีทางหลุดออกไปจากปากฉันแน่นอน”

 

“ให้มันจริงเถอะครับ”

 

“เมื่อกี้พูดอะไรนะ?”

 

“เปล่าครับ”

 

“ไม่ได้พูด” 

 

ทราเวียร์เพียงบ่ายเบี่ยงทำเมินไม่สนใจ

 

มีเหรอว่าเขาจะไม่ล่วงรู้แนวคิดของหล่อน เกิดมีผลประโยชน์มากพอหรือมีเหตุการณ์ปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกแซงทั้งยังทำให้หล่อนได้รับประโยชน์มากมายกว่าที่เป็นอยู่

 

เกรงว่าหล่อนคงเลือกขายเขาทิ้งโดยไม่มีความคิดลังเลด้วยซ้ำ

 

“…” สายตาเขียวคล้ำยังมองมาที่ทราเวียร์

 

ก่อนต่อยเขาบางเบา

 

…‘ทำผิดแล้วยังไม่รู้จักยอมรับผิดอีก’

 

“…”

 

“เจ้าคนกะล่อน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ 4 ด้านฟ้ายามเย็น

Now you are reading เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ Chapter 4 ด้านฟ้ายามเย็น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 04 ด้านฟ้ายามเย็น

 

ระหว่างที่ชายหนุ่มสวมแว่นกำลังเดินอยู่บนทางเดิน

 

สุ้มเสียงไม่พอใจของหญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้น น้ำเสียงของพวกหล่อนค่อนข้างขุ่นมัวคล้ายพึ่งพานพบเจอเรื่องราวชวนให้รู้สึกอารมณ์เสีย

 

เรียกได้ว่ายิ่งระยะห่างขยับเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ ถ้อยคำสบถมากมายก็ยิ่งปรากฎให้ได้ยินมากขึ้นเท่านั้น

 

ทราเวียร์ยังคงราบเรียบเรียบเฉยหาได้สนใจใครคนอื่น

 

“…” ขณะกลุ่มหญิงสาวกับกระทำตรงกันข้าม

 

“ทำลงไปได้ยังไง?!”

 

“พวกเกเรก็แบบนี้แหละ”

 

“ไปกันเถอะ”

 

“อืม!” 

 

แม้ใจไม่ต้องการไม่ยินยอม

 

แต่สุดท้ายปลายทางเรื่องราวของคนอื่นก็เป็นเรื่องราวของคนอื่นหาใช่เรื่องราวของตนการเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วย มีแต่จะสร้างผลเสียหาใช่สร้างผลดีโดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นเพียงพวกขยะสังคมเดินได้

 

ตอนแรกชายหนุ่มสวมแว่นก็มีครุ่นคิดจินตนาการเหมือนกัน เขาอยากรู้ว่าต้องเป็นสถานการณ์แบบไหนถึงทำให้พวกหล่อนเลือกสบถออกมาโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น

 

แต่แล้วไม่ว่าจะเป็นห้วงความคิดทั้งหมดหรือห้วงจินตนาการ ล้วนเปล่าประโยชน์หาค่าไม่ได้เมื่อสายตาของเขาเหลือบหันไปเจอของจริง

 

ไปเจอสถานการณ์ที่ทำให้กลุ่มหญิงสาวเมื่อครู่เลือกสบถออกมา

 

และฉากภาพเบื้องหน้าที่ทราเวียร์พบเห็น

 

ก็คือฉากที่ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังถูกปิดล้อมไปด้วยคนหมู่มาก แถมคนหมู่มากที่ว่ายังเข้ามาปิดล้อมด้วยเจตนาเลวร้ายไม่คิดปกปิด

 

นอกจากเจตนาเลวร้ายที่พวกมันแสดงออกมา ทั้งสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงก็ยังดังต่อเนื่องพยายามเข้าคุกคามชายหนุ่มผู้โชคร้ายคล้ายต้องการเล่นงานอีกฝ่ายให้ถึงตาย

 

หนึ่งในพวกมันเริ่มหมดความอดทนอดกลั้นกับความหัวดื้อของอีกฝ่ายที่ยังไม่คิดยินยอมโอนอ่อนให้ พวกมันเลยคิดปรับเปลี่ยน

 

เปลี่ยนไปใช้วิธีการอื่นที่ง่ายดายและทรงประสิทธิภาพ

 

“…” นั้นก็คือการใช้กำลังเข้าว่าเป็นหลัก

 

“หุบปาก!”

 

“อย่าเอาแต่ร้องอย่างเดียวสิวะ”

 

“รีบส่งเงินมาได้แล้ว”

 

“ตะ แต่—”

 

“บอกเอาไว้ก่อนยิ่งแกช้า”

 

“แกจะยิ่งเจ็บหนัก”

 

“เข้าใจไหม?”

 

“…” ชายหนุ่มผู้โชคร้ายย้ายสายตาไปทางอื่น

 

แววตาสิ้นหวังในตอนแรกแปรเปลี่ยนเปี่ยมล้นไปด้วยความหวังคล้ายพานพบเจอแสงสว่างส่องเข้ามาในชีวิต

 

แน่นอนว่าพฤติกรรมแปลกประหลาดมีเหรอ พวกมันจะมองไม่เห็นหลากหลายสายตาหันมองย้อนกลับไปด้านหลัง

 

จนกระทั่งพบเห็นทราเวียร์ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ หนึ่งในพวกมันรีบร้องตะโกนตักเตือนกันไม่ให้ทราเวียร์คิดทำอะไรยุ่งยาก

 

น้ำเสียงตวาดดังลั่นขึ้นมาทันที

 

“มองอะไรวะ?!”

 

“…”

 

“ฉันถามว่ามองอะไร?!”

 

“เดี๋ยวก่อน”

 

“อะไรอีก?”

 

“…” ฝ่ามือยกห้ามกันไม่ให้มีเรื่อง

 

แววตาหนึ่งในพวกมันหรี่มองคล้ายรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอีกฝ่าย

 

หลังจากไตร่ตรองอยู่กับตัวเองปล่อยให้หัวสมองครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย ในที่สุดภาพจำของใครคนหนึ่งก็ไหลผ่านเข้ามาในหัวสมอง

 

มันกะพริบตาถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

 

“คนแปลก?”

 

“…”

 

“คนแปลกของโรงเรียน?”

 

“เอาจริงดิ”

 

“จริงด้วยวะ”

 

“ไอ้ตัวแปลกประหลาด?!”

 

คำว่า ‘คนแปลก’ มันคือชื่อที่สองของทราเวียร์

 

ซึ่งต้นสายปลายกำเนิดของชื่อที่สองมันก็มาจากใบหน้าของเขาที่นิ่งเงียบราบเรียบตลอดเวลาไม่ว่าใครจะทำอะไรจะนินทาว่าร้ายยังไง

 

เขาก็เพียงนิ่งเงียบไม่ตอบสนองหรือโต้ตอบกลับไป จนสุดท้ายปลายทางกลุ่มคนที่เคยหยอกล้อเคยต้องการลองของก็พากันเบื่อหน่าย

 

ก่อนพากันตั้งชื่อเรียกให้เขาส่งท้าย

 

“…”

 

“แกจะไปทั้งแบบนี้จริงเหรอ?”

 

“…”

 

“ทางใครทางมันครับ”

 

“พวกคุณอยากจะทำอะไรก็เชิญ”

 

“…” แววตาไม่มีแปรเปลี่ยน

 

ท่วงท่าเป็นเอกลักษณ์ถูกแสดงออกมาให้เห็น

 

แม้ฉากภาพเบื้องหน้าฉากภาพการรังแกคนอ่อนแอมันจะทำให้ใครคนอื่นเกิดอารมณ์ร่วมแต่ไม่ใช่สำหรับเขาไม่ใช่สำหรับทราเวียร์

 

เขาเพียงเหลือบมองพอเป็นพิธีเท่านั้นไม่มีคิดกระทำเป็นอย่างอื่น ซึ่งตรงจุดนี้จุดที่ชายหนุ่มสวมแว่นตอบตามตรงมันทำให้เหล่าอันธพาลทั้งหลายรู้สึกถูกใจเป็นอย่างมาก

 

พวกมันต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที

 

“แกได้ยินไหม?”

 

“มันบอกให้เรากระทืบแกได้ตามใจต้องการ”

 

“คุณ!”

 

“…” ไม่เหมือนกับที่คิด

 

สิ่งที่ตอบสนองกลับมา

 

คือแววตาราบเรียบตามแบบฉบับของคนแปลก ชายหนุ่มนักเรียนที่โดนกระทำเนื้อตัวสั่นสะท้านก่อนแผดเสียงร้องด่าดังลั่น

 

เป็นเสียงร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยห้วงอารมณ์ด้านลบขั้นสุด

 

“ไอ้คนเห็นแก่ตัว!”

 

“เห็นคนอื่นเดือดร้อนทำไมไม่ช่วย!”

 

“แก—” 

 

ยังกล่าวไม่ทันจบประเด็น

 

ฝ่าเท้าเหล่าอันธพาลในชุดนักเรียนก็ต่างพากันยกถีบเข้าตามลำตัวอีกฝ่ายหวังให้มันหยุดร้องตะโกนเสียงดังสักที

 

แน่นอนมันได้ผลทั้งยังได้ผลมากอีกด้วย

 

ตึง!

 

“…”

 

“หุบปาก!”

 

“ถ้าแกไม่อยากหุบพวกฉันจะช่วยให้!”

 

ทราเวียร์ละสายตากลับไม่คิดสนใจ

 

ก่อนเดินมุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมายปลายทาง ส่วนชายหนุ่มที่โดนกระทืบโดนรังแกมันจะมีสภาพแบบไหนโดนกระทืบยังไงเขาหาได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

 

ระหว่างกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังสถานที่ความลับของเขากับใบเฟิร์น ชายหนุ่มสวมแว่นเลือกหยิบเอาสมุดจดบันทึกขนาดเล็กขึ้นมาก่อนเปิดมันด้วยนิ้วมือเรียวงาม

 

เปิดไปเรื่อยเปิดจนกระทั่งไปหยุดอยู่หน้าหนึ่ง มีรูปใบหน้าของคนคุ้นหน้าคุ้นตามันคือใบหน้าของชายหนุ่มคนที่พึ่งโดนกระทืบเมื่อครู่

 

ทราเวียร์หยิบจับปากกาขึ้นมาเตรียมขีดเขียน

 

…‘โดนคนแบบมันด่านี่ไม่ชอบเลย’

 

“…”

 

“โดนด่ามา 60 ครั้ง”

 

“ไม่สิ”

 

“ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 61 สินะ”

 

“…” ทราเวียร์ใช้ปากกาขีดเพิ่มแต้มไปอีกหนึ่ง

 

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนด่าโดนต่อว่าและจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน แม้ว่าครั้งนี้มันออกจะเกินเลยไปหน่อยที่ปล่อยให้โดนกระทืบระบายอารมณ์

 

แต่ครั้งก่อนหน้า 60 ครั้ง ล้วนเป็นการแซะว่ากล่าวด่าทอต่อหน้าหรือไม่ก็นินทาหยอกล้อลับหลังให้ได้ยินมาตลอด

 

อีกทั้งยังเป็นคำด่าที่ปราศจากเหตุผลปราศจากความขัดแย้งส่วนตัว เอาแค่มีอารมณ์ร่วมนึกสนุกที่เหลือมันจะเป็นยังไงก็ช่างจะทำร้ายจิตใจใครคนอื่นก็ช่าง

 

เพราะฉะนั้นครั้งนี้ก็รับกรรมของตัวเองไปละกัน

 

“โดนบ้างก็ดี”

 

“เผื่ออาการปากหมามันจะได้ดีขึ้น”

 

ช่วงจังหวะเวลานั้นเอง

 

ช่วงที่เขากำลังเก็บสมุดบันทึกเล่มเล็กของตน หญิงสาวคนงามทั้งสองก็โผล่หน้าออกมาจากหัวมุมทางเดิน พวกหล่อนทั้งสองช่างโดดเด่นมีเอกลักษณ์ขั้นสุด

 

หนึ่งคนเป็นคุณหนูสาวตระกูลใหญ่ อีกหนึ่งคือเมดสาวในชุดดำมากไปด้วยเสน่ห์อันตราย ใช่ พวกหล่อนคือเมญ่ากับฮเยริน

 

สองนายบ่าวคนที่เขาพึ่งไปมีสายสัมพันธ์ทางอ้อมมา ทั้งสองฝ่ายต่างเมินเฉยไม่มองหน้าซึ่งกันและกันไม่คิดเหลือบมองให้เปลืองสายตาจนกระทั่งทั้งสองต่างเดินสวนไปตามเส้นทางของตัวเอง

 

และเป็นฝ่ายเมญ่าที่ดวงตาหวั่นไหวเมื่อพบเห็นแววตาคุ้นเคยจากอีกฝ่ายน่าเสียดายกว่าจะรู้สึกตัวอีกฝ่ายก็หายลับไปจากสายตาเรียบร้อย

 

คุณหนูสาวหยุดย่างก้าวของตน

 

…‘เมื่อกี้นี้มัน?!’

 

“…”

 

“คุณหนู?”

 

เมื่อเมญ่าหันหลังกลับไปมองก็หลงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่าปราศจากผู้คน หล่อนมองนิ่งแข็งค้างจนผิดสังเกต

 

ก่อนจะกล่าวพึมพำขึ้นมาเบาบาง

 

“ผู้ชายคนเมื่อกี้”

 

“คะ?”

 

“…”

 

“ไม่”

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ช่างเถอะ”

 

“อีกเดี๋ยวก็รู้เองว่าคิดไปเองหรือว่าเป็นเรื่องจริง”

 

ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจบางทีมันอาจเป็นเพียงเหตุบังเอิญ

 

เป็นเพียงหัวสมองของหล่อนที่ครุ่นคิดจินตนาการไปเอง แม้ว่าคุณหนูสาวของฮเยรินจะกล่าวออกมาแบบนั้นแต่ในฐานะข้ารับใช้

 

หล่อนไม่อาจปล่อยผ่านง่ายดายและเมื่อไม่อาจปล่อยผ่านง่ายดายหล่อนจึงเลือกเส้นทางอีกเส้นสายที่แตกต่างออกไป

 

เป็นเส้นทางที่ฮเยรินมีความถนัดมากที่สุด

 

“ต้องการให้ดิฉันตามสืบไหมคะ?”

 

“…”

 

“เอาพอประมาณ”

 

“อย่าให้อีกฝ่ายรู้ตัวเด็ดขาด”

 

“ค่ะ” ฮเยรินก้มหัวน้อมรับคำสั่ง

 

ก่อนก้าวเท้าถอยหลังเตรียมมุ่งหน้าไปทำหน้าที่ของตน ส่วนคุณหนูสาวหล่อนเพียงนิ่งเงียบไม่คิดกล่าวเพิ่มเติม

 

เมญ่าลอบขบปากตัวเองแน่น

 

…‘ต้องรีบหาให้เจอ’

 

“…”

 

“คุณหนูเมญ่า?”

 

“สวัสดีค่ะ”

 

สีหน้าเคร่งเครียดแปรเปลี่ยนรวดเร็ว

 

นอกจากสีหน้าที่แปรเปลี่ยนรวดเร็ว เมดสาวที่อยู่เคียงข้างกายมาตลอดพลันหายลับไปจากสายตาหลงเหลือเพียงแค่หล่อนคนเดียวเท่านั้น

 

ท่ามกลางอิสตรีมากหน้าหลายตาที่เข้ามาทักทายก่อนกลับบ้าน หล่อนก็ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามเดิมปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคุณหนูสาวได้อย่างยอดเยี่ยม

 

อีกด้านหนึ่งของเส้นทาง

 

ทราเวียร์ก้าวเท้าเดินไปเรื่อยเปื่อย

 

เดินไปตามอารมณ์ เดินไปตามเส้นทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดิมสถานที่แห่งความลับระหว่างเขากับหมอสาวใบเฟิร์น แน่นอนระหว่างเส้นทางล้วนพบเจอนักเรียนมากหน้าหลายตาเยอะแยะเต็มไปหมด

 

ยิ่งขาทั้งสองก้าวเท้าไปไกลมากเท่าไหร่ นักเรียนตามเส้นทางปรกติธรรมดายิ่งลดน้อยถอยลงมากขึ้นเท่านั้น จวบจนกระทั่งมาถึงหน้าประตูบานใหญ่เป็นประตูเหล็กหนาตลอดทั้งบาน ทราเวียร์เพียงยิ้มเล็กน้อยก่อนหยิบเอากุญแจขึ้นมา

 

พร้อมไขเปิดประตูเปิดเผยให้เห็นวิวทิวทัศน์ยอดเยี่ยม เบื้องหลังประตูหนามันไม่ใช่ห้องเรียนเต็มเปี่ยมไปด้วยอุปกรณ์หรือเต็มเปี่ยมไปด้วยหนังสือหลายร้อยหลายพันเล่ม แต่เป็นด้านฟ้าสถานที่เปล่าเปลี่ยวปราศจากผู้คน 

 

สายตาชายหนุ่มสวมแว่นกวาดมองไปทั่วบริเวณหวังมองหาบางสิ่งอย่าง ก่อนไปหยุดที่หญิงสาวนางหนึ่งคนที่กำลังเกาะรั่วมองเบื้องสูงลงมายังเบื้องล่าง

 

มองด้วยแววตายากจะคาดเดา

 

“…” หล่อนเพียงยิ้มเล็กน้อย

 

คล้ายรับรู้ว่าใครบางคนได้มาถึงเป็นที่เรียบร้อย

 

ก่อนกล่าวขึ้นมาเบาบาง

 

“ปล่อยให้คนสวยรอนานแบบนี้”

 

“ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยนะคะ”

 

“สุภาพบุรุษ?” 

 

“ใครละครับนั่น”

 

ทราเวียร์ย้ายขยับมาอยู่เคียงข้างกายหมอสาว

 

ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบไม่คิดพูดจาเพิ่มเติม เอาแต่จับจ้องมองเหล่าเด็กน้อยทั้งหลายกำลังพูดคุยหัวเราะสนุกสนานไปตามอารมณ์ หลังจากนิ่งเงียบไปนานเกือบนาที

 

ใบเฟิร์นก็เริ่มเปิดปากถามขณะสายตายังเหลือบมองเบื้องล่างตามเดิมไม่มีแปรเปลี่ยน

 

“แล้วรู้สึกยังไงบ้าง?”

 

“หลังจากเข้าเรียนทั้งที่พึ่งเย็บแผลเสร็จ”

 

“…”

 

“ปรกติครับ”

 

“มีอาการเจ็บหรือว่าตึงชาบริเวณแผลไหม?”

 

“นิดหน่อยครับ”

 

“แต่ยังอยู่ในขอบเขตยอมรับได้”

 

“…” 

 

หมอสาวขมวดคิ้วแน่น

 

คล้ายพบเห็นสิ่งไม่ชอบใจไม่ตรงตามความต้องการ

 

ทั้งที่หล่อนอุตส่าห์บอกกล่าวไปขนาดนั้น ร้องขอบอกให้เขากลับไปพักผ่อนกลับไปนอนบ้าน แต่เจ้าตัวก็ยังเลือกเมินเฉยทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

ใบเฟิร์นถอนหายใจเหนื่อยหน่าย

 

…‘อยู่ในขอบเขตยอมรับได้?’

 

“…” 

 

“หัวดื้อเป็นบ้า”

 

เมญ่าส่ายหน้าให้กับความดื้อดึงของอีกฝ่าย

 

เอาเถอะเรื่องว่ากล่าวตักเตือนคงต้องยกยอดไปก่อน ช่วงจังหวะเวลานี้มีเรื่องสำคัญยิ่งกว่ารอคอยให้หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น ซึ่งก่อนจะได้เปิดปากพูดคุย

 

เป็นชายหนุ่มสวมแว่นที่กล่าวแทรกกลางขึ้นมากะทันหัน

 

“แล้วเรียกผมมาทำไม?”

 

“…”

 

“คงไม่ใช่ว่าผูกใจเจ็บที่ผมปฏิเสธคุณ”

 

“หรือว่าโกรธที่ผมขู่คุณด้วยความลับหรอกนะ”

 

“เห็นฉันเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

“หรือไม่จริง?”

 

“…” ใบเฟิร์นหรี่ตามอง

 

มองด้วยแววตาประกายแหลมคม

 

ต้องบอกว่าเจ้าลูกศิษย์คนนี้กล้ามาก

 

กล้ามาบอกว่าหมอสาวอย่างหล่อนเป็นคนใจแคบเป็นคนไม่มีน้ำใจ หากหล่อนใจแคบจริงอย่างที่เขาบอกกล่าวหล่อนคงไม่มาปรากฎตัวที่นี่หรอก

 

หมอสาวเลือกส่ายหน้าไม่เอาความ

 

“…” พร้อมตัดเข้าประเด็นทันที

 

“เมื่อประมาณบ่าย 3 โมง”

 

“คุณหนูเมญ่าบุกเข้ามาหาฉันถึงห้องพยาบาล”

 

“…”

 

“บุกเข้ามาถามรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

 

“ถามมันตั้งแต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

“ทำไมหล่อนถึงหมดสติ”

 

“ใครเป็นคนช่วยเหลือ”

 

“อาการของผู้ช่วยเหลือเป็นยังไง”

 

“ชายหนุ่มคนที่ช่วยเหลือหล่อนหายไปไหน”

 

“หน้าตายังไง”

 

“ส่วนสูงเท่าไหร่”

 

“กระทั่งชื่อเล่นเธอ”

 

“หล่อนยังถาม”

 

“เรียกได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ถาม”

 

“หล่อนถามแต่เรื่องของเธอทั้งนั้น”

 

“ไม่มีถามเรื่องของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย”

 

“เนื้อหอมจังนะ~” 

 

สีหน้าเย้าหยอกไม่ได้ทำให้ทราเวียร์แปรเปลี่ยนสีหน้า

 

เขายังคงเยือกเย็นเย็นชาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน สำหรับประเด็นโดนตามตัวชายหนุ่มสวมแว่นไม่ได้เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อยเนื่องจากเขาได้วางมาตรการรองรับเอาไว้แล้ว

 

ติดปัญหาอยู่อย่างเดียวเลยคือหมอสาวได้บอกไปรึเปล่าว่าเขาเป็นใครมาจากไหน

 

“…” ทราเวียร์หรี่ตาถามเสียงเรียบ

 

“ได้บอกไหมครับ?”

 

“ไม่ได้บอก” 

 

ใบเฟิร์นส่ายหน้าปฏิเสธ

 

แม้เบื้องหลังคุณหนูเมญ่าจะยิ่งใหญ่ ใหญ่โตจนไม่มีใครหน้าไหนกล้าปฏิเสธคำร้องขอของพวกหล่อนแต่หมอสาวก็หาได้สนใจ ไม่มีคิดเก็บมาใส่หัวสมองให้เหนื่อยเปล่า

 

ทำเสมือนทุกสิ่งอย่างเป็นเพียงเรื่องปรกติธรรมดา

 

…‘อีกอย่างเกิดบอกไปคนที่จะซวยที่สุดก็คือฉันน่ะสิ’

 

“…” 

 

“วางใจได้เห็นแบบนี้ใช่ว่าฉันจะเป็นพวกปากมาก”

 

“ความลับของเธอไม่มีทางหลุดออกไปจากปากฉันแน่นอน”

 

“ให้มันจริงเถอะครับ”

 

“เมื่อกี้พูดอะไรนะ?”

 

“เปล่าครับ”

 

“ไม่ได้พูด” 

 

ทราเวียร์เพียงบ่ายเบี่ยงทำเมินไม่สนใจ

 

มีเหรอว่าเขาจะไม่ล่วงรู้แนวคิดของหล่อน เกิดมีผลประโยชน์มากพอหรือมีเหตุการณ์ปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกแซงทั้งยังทำให้หล่อนได้รับประโยชน์มากมายกว่าที่เป็นอยู่

 

เกรงว่าหล่อนคงเลือกขายเขาทิ้งโดยไม่มีความคิดลังเลด้วยซ้ำ

 

“…” สายตาเขียวคล้ำยังมองมาที่ทราเวียร์

 

ก่อนต่อยเขาบางเบา

 

…‘ทำผิดแล้วยังไม่รู้จักยอมรับผิดอีก’

 

“…”

 

“เจ้าคนกะล่อน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+