เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ 9 ดอกไม้งามเปี่ยมไปด้วยหนามแหลม

Now you are reading เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ Chapter 9 ดอกไม้งามเปี่ยมไปด้วยหนามแหลม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 09 ดอกไม้งามเปี่ยมไปด้วยหนามแหลมคม

 

“เดี๋ยวก่อน—” 

 

คำกล่าวห้ามจากผู้คนล้อมรอบกายไม่เป็นผล

 

เงื้อมืออันธพาลหนุ่มเตรียมยื่นมือมั่นหมายคว้าอีกฝ่าย

 

อาศัยชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เงื้อมือที่ควรคว้าเอาข้อมือหญิงสาวผู้งดงามปานเทพธิดากับคว้าได้เพียงอากาศธาตุ ก่อนทุกสิ่งอย่างจะเกิดขึ้นรวดเร็ว รวดเร็วเกินกว่าจะตอบสนองได้ทันท่วงทีพร้อมส่งร่างมันกระเด็นล้มถอยหลังไปหลายต่อหลายก้าว

 

ดวงตากากเดนสองคู่ที่พบเห็นเพื่อนตัวเองโดนเล่นงานต่างเบิกกว้างขั้นสุด

 

ก่อนเสียงกรีดร้องหนึ่งเสียงจะดังลั่นทันที

 

ปัง!

 

“อ๊าก!”

 

“นพ!”

 

“สารเลว!”

 

“เป็นแค่เด็กน้อยบังอาจเล่นข้ามหัว!”

 

พอพบเห็นเพื่อนหนุ่มตัวเองโดนเล่นงาน 

 

พวกมันทั้งสองต่างวิ่งหน้าตั้งเตรียมเล่นงานอีกฝ่าย

 

“…” เมญ่าเบี่ยงตัวหลบเล็กพอ

 

ก่อนวาดมือไปตามอากาศกระแทกฝ่ามือเข้ากลางใบหน้าส่งอีกหนึ่งกระเด็นไปตามอารมณ์และด้วยการเคลื่อนไหวยอดเยี่ยมบวกกับเรือนร่างทรงประสิทธิภาพ

 

หล่อนหมุนตัวหลบเลี่ยงหมัดอีกครั้งและก็เป็นอีกครั้งที่ฝ่ามือกระแทกเข้าใบหน้าอีกฝ่ายส่งร่างเนื้อคนสุดท้ายล่วงหล่นลงพื้น ทุกท่วงท่าทุกการลงมือล้วนหมดจด

 

งดงามสง่าเป็นที่สุด

 

ปัง!

 

ปัง!

 

“…”

 

“อึก!” 

 

รอยแดงเริ่มปรากฎให้เห็นบนใบหน้าพวกมันสามคน

 

หากว่ากล่าวตามความเป็นจริงด้วยพละกำลังหญิงสาวเพียงคนเดียวจะต้านทานชายหนุ่มอันธพาลร่างใหญ่โตทั้งสามได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ความเป็นจริงเบื้องหน้ามันช่างแตกต่างเหลือเกิน

 

นอกจากไม่พ่ายแพ้ไม่กลายเป็นเครื่องมือสนองตัณหาให้กับชายหนุ่มทั้งสาม หล่อนยังจัดการเด็ดขาดอาศัยฝ่ามือเดียวส่งร่างชายหนุ่มทั้งสามลอยกระเด็นถอยหลังตามเดิม

 

เพิ่มเติมคือไม่ได้ส่งไปร่างเดียวแต่ส่งไปถึงสามร่าง

 

“…” เมญ่ายิ้มสง่างาม

 

“พวกคุณเป็นฝ่ายหาเรื่องเองนะคะ”

 

“บัดซบ!” 

 

หนึ่งในพวกมันยกมือทุบพื้นถนน

 

ก่อนลุกขึ้นยืนอาศัยพละกำลังเข้าว่า อาศัยความบ้าคลั่งขั้นสุดออกวิ่งเข้าหาหญิงสาวผู้งดงามปานเทพธิดาอีกครั้ง ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนเนื่องจากมันไม่ได้เข้าหาคนเดียว

 

แต่เข้าหาถึงสามคนด้วยฝ่ามือทั้งหกของเหล่าอันธพาล มันต้องมีสักข้างสักหมัดที่สามารถฝากร่องรอยบางสิ่งอย่างเอาไว้บนใบหน้าหยิ่งยโสของเมญ่า

 

มันควรจะเป็นแบบนั้นหากไม่โดนขัดขวางเสียก่อน

 

…‘ก้อนหิน?’

 

“…” เมญ่าหรี่ตามอง

 

เป็นช่วงจังหวะเวลาเดียวกับก้อนหินก้อนเล็กพุ่งแหวกอากาศกระแทกเข้ากับดวงตาของพวกมันทั้งสามและทันทีที่ก้อนหินเข้าปะทะกับดวงตาเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นทันที

 

และเมื่อเสียงกรีดร้องดังขึ้นก็เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ลงมือหนักหน่วงขั้นสุด หล่อนไม่คิดปล่อยผ่านปล่อยให้โอกาสเบื้องหน้าเปล่าประโยชน์ เมญ่าเลือกพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที

 

เข้าจัดการกระทืบพวกมันอย่างโหดเหี้ยม

 

“อ๊าก!”

 

“จะ เจ็บ!”

 

“อย่า!”

 

ตลอดการกระทืบ

 

เสียงกรีดร้องของพวกมันยังดังต่อเนื่อง

 

ฉากภาพทั้งหมดเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนอยู่ในสายตาเหล่าประชาชนคนปรกติธรรมดาทั้งหลาย พวกเขาต่างฝ่ายต่างหยิบยกแนวความคิดเห็นของตนเองออกมาทันที

 

กล่าวโดยไม่คิดสนใจใครคนอื่น

 

“นี่ฉันกำลังดูอะไรอยู่เนี่ย?”

 

“คนเดียวจัดการผู้ชายได้ทั้งหมด”

 

“นี่มัน ดอกกุหลาบเต็มไปด้วยหนาม”

 

ยิ่งได้ยินเสียงชื่นชมชื่นชอบอิสตรีเบื้องหน้าห้วงอารมณ์ความคิดของพวกมันยิ่งมืดมนบิดเบี้ยวเปลี่ยนจากความต้องการเล่นสนุกไปตามอารมณ์กลายเป็นเลวร้ายสุดอันตราย

 

อยากจะบดขยี้หล่อนให้แหลกละเอียดคามือ

 

หนึ่งในพวกมันลอบกำหมัดแน่นตัดสินใจเด็ดขาด

 

เตรียมลงมือประหัตประหารขั้นสุด

 

…‘เล่นตัวนักใช่ไหม?!’

 

“…”

 

“บัดซบ!”

 

“แกนะแก!”

 

“ตาย—” 

 

หมัดใหญ่ถูกปลดปล่อยเตรียมอัดกระแทกแก้มซ้ายของหญิงสาว

 

เหล่าผู้คนมากมายล้อมรอบกายต่างร้องเสียงหลงออกมาหมดไม่ว่าชายหรือหญิง ขณะหมัดใหญ่มุ่งเข้าหาเมญ่าด้วยความเร็วสูง หล่อนเพียงนิ่งเงียบไม่คิดขยับไปไหน

 

เสมือนหมัดเบื้องหน้าเป็นเพียงเนื้อหนังมังสาปรกติธรรมดาไม่มีอะไรน่ากลัวเกรง หลงเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้นก่อนหมัดใหญ่จะอัดกระแทกใบหน้า

 

ตอนนั้นเองที่เสียงเข้มกล่าวร้องตะโกนเข้าแทรกกลาง

 

เป็นคำเสียงดังกังวาลมากไปด้วยพลังอำนาจ

 

“หยุด!” 

 

“…” 

 

หมัดที่ควรอัดกระแทกใบหน้าเมญ่าพลันหยุดนิ่ง

 

อีกทั้งระยะหยุดนิ่งยังห่างจากใบหน้าเพียง 3 เซนติเมตรเท่านั้น เรียกได้ว่าหากเสียงร้องตะโกนดังช้ากว่านี้อีกเพียงไม่กี่วินาทีโศกนาฎกรรมใหญ่คงไม่พ้นต้องเกิดขึ้น

 

เหล่าอันธพาลที่พบเห็นตำรวจหนุ่มเข้ามาแทรกแซงต่างร้องเสียงหลงทันที

 

ร้องเหมือนหนูที่เจอแมวน้อยไล่ล่า

 

“ตะ ตำรวจ”

 

“หนี!”

 

“…”

 

“เจอกันครั้งต่อไป!”

 

“ไม่จบแบบนี้แน่!” 

 

พวกมันหันมามองเมญ่าด้วยแววตาอาฆาตแค้นขั้นสุดส่งท้าย

 

ก่อนวิ่งหนีหายลับไปจากสายตา แน่นอนว่าเหล่าพลเมืองดีทั้งหลายเตรียมกระชากตัวกดหัวพวกมันลงพื้น แต่ด้วยความหวาดหวั่นหวาดกลัวบวกกับพละกำลังของพวกมัน

 

พวกเขาเลยทำได้แค่ปล่อยผ่านปล่อยให้พวกมันหลบหนีไปทั้งแบบนั้น ผลลัพธิ์ท้ายสุดเหล่าอันธพาลทั้งหลายก็หลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกมันเหล่าอันธพาลเลวร้ายพวกนั้นหลบหนีไปได้ก็คือตำรวจหนุ่มตรงหน้า

 

หน้าที่ที่ควรกระทำตามจับอีกฝ่าย กับเป็นอันต้องนิ่งชะงักแข็งค้างไม่เป็นอันทำอะไร ซึ่งต้นสายปลายเหตุคงไม่พ้นต้องเป็นใบหน้าเมญ่าที่สะกดทุกสายตาไม่เว้นกระทั่งตำรวจ

 

ไม่เว้นกระทั่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

 

หลังจากผ่านพ้นไปหลายวินาที

 

เหมือนตำรวจหนุ่มจะเริ่มฟื้นคืนสติกลับมา

 

ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

 

“คะ คือ”

 

“คะ?”

 

“…” เสน่ห์ของหล่อนมากล้นเกินไป

 

เพียงแค่ตอบกลับปรกติธรรมดา

 

ก็ทำให้ตำรวจหนุ่มเลือกบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงสายตาไม่กล้าจ้องมอง

 

เขากล้ายืนยันเต็มปากเต็มคำในช่วงชีวิตของเขาตลอดหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาพบเห็นอิสตรีผู้ครอบครองความงามหวานหยดย้อยกระทั่งดาราแถวหน้ายังด้อยค่า

 

ทั้งยังด้อยกว่ามาก มากจนไม่อาจสรรหาคำกล่าวมาบรรยายเปรียบเทียบ

 

…‘สวยมาก’

 

“…”

 

“มะ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

 

“ไม่เป็นไรค่ะ”

 

“ทั้งหมดต้องขอบคุณคุณตำรวจที่เข้ามาเห็นพอดี”

 

“ช่วยได้มากเลยค่ะ” 

 

เมญ่าก้มขอบคุณตามมารยาท

 

ขอบคุณตำรวจหนุ่มที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

 

ทำเอาตำรวจหนุ่มเกิดอาการประหม่าไปชั่วขณะ

 

“คะ ครับ” 

 

หน้านี่เรียกได้ว่าแดงก่ำไปจนถึงต้นคอ

 

เอาเข้าจริงแม้ตำรวจหนุ่มจะไม่โผล่หน้าออกมาหรือทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์เบื้องหน้า เหล่าผู้คนที่กำลังจับจ้องมองอยู่ก็ล้วนเข้าใจดีว่าสุดท้ายปลายทางผลลัพธ์ของมันจะออกมาเป็นแบบไหน

 

การเข้ามาของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในห้วงจังหวะเวลานี้ มันก็แค่ทำให้เรื่องราวที่ง่ายดายอยู่แล้วมันง่ายดายยิ่งกว่าเดิมมากขึ้นเท่านั้น หรือก็คือจะมีหรือไม่มีก็ได้

 

ดวงตาตำรวจหนุ่มกะพริบตามองกวาดไปทั่วบริเวณ

 

พยายามมองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

“…” ก่อนร้องถามกลับไป

 

“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

“ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ?”

 

ตำรวจหนุ่มเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ

 

แม้ตอนแรกเขาจะพอคาดเดาได้ไม่มากก็น้อยว่าปัญหาพวกนี้มันมีต้นสายปลายทางมาจากไหน แต่พอได้มาเห็นในระยะประชิดเขาถึงได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

ด้วยความงดงามปานเทพธิดาของเมญ่ากระทั่งตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยังเผลอเหม่อลอยนิ่งแข็งค้างไปหลายต่อหลายวินาทียิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มชายหนุ่มสันดานเสียทั้งสาม

 

หลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมดตำรวจหนุ่มลอบพยักหน้าให้กับตัวเอง

 

…‘นารีเป็นเหตุสินะ’

 

“…”

 

“เรื่องไม่เป็นเรื่อง”

 

“เดี๋ยวผมจัดการให้” 

 

“ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่อีก”

 

“ติดต่อหาผม”

 

“ผมจะมาหาคุณทันที” 

 

กล่าวจบเจ้าตัวก็ยื่นเศษกระดาษให้

 

เป็นเศษกระดาษที่แนบเบอร์โทรศัพท์ของเขาเอาไว้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจตนาแท้จริงของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบเป็นมายังไงเป็นมาแบบไหน

 

แต่เมญ่าไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม นอกเสียจากรอยยิ้มงดงามงามสง่าเป็นเอกลักษณ์ก่อนเก็บเศษกระดาษเข้ากระเป๋าทำเหมือนทุกสิ่งอย่างเป็นเพียงเรื่องปรกติธรรมดา

 

แน่นอนว่าหล่อนไม่ลืมกล่าวขอบคุณตามมารยาทกลับไป

 

“ขอบคุณค่ะ”

 

“…” 

 

ตำรวจหนุ่มที่เห็นท่าทีเมินเฉยของหล่อน

 

ก็เริ่มเกิดห้วงอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งแปลกประหลาดผุดเข้ามาในหัวสมอง ส่วนเป็นห้วงอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนคงมีเพียงแค่เจ้าตัวคนเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้ตระหนักรู้

 

แววตาที่เคยแปรเปลี่ยนไปในตอนแรกหวนคืนกลับมารวดเร็ว

 

รวดเร็วจนไม่เปิดเผยร่องรอยผิดปรกติให้เห็น

 

“…” ก่อนตำรวจยิ้มกล่าวตอบ

 

กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเป็นที่สุด

 

“ไม่เป็นไรครับ”

 

“เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” 

 

“…”

 

“ว่าแต่คุณมาคนเดียวหรือมากับคนอื่น?”

 

“มาคนเดียวค่ะ”

 

“มาคนเดียวมันอันตรายนะครับ”

 

“ยิ่งเป็นช่วงเวลาแบบนี้ด้วย”

 

“ยิ่งไม่สมควรออกไปไหนมาไหนคนเดียว”

 

กล่าวมาถึงจุดนี้สีหน้าตำรวจหนุ่มพลันจริงจังมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

 

ก่อนพยายามกล่าวบอกย้ำเตือนให้หญิงสางเบื้องหน้าระมัดระวังตัวให้มาก ยังดีที่ครั้งนี้หล่อนพานพบเจอเพียงกุ้งน้อยหอยน้อยเป็นแค่เด็กน้อยปรกติธรรมดา

 

ยังไม่ใช่รุ่นใหญ่เจ้าพ่อพื้นที่ไม่งั้นเรื่องราวมันคงไม่จบง่ายดายเหมือนที่เป็น

 

“…” ตำรวจหนุ่มลอบถอนหายใจ

 

“ครั้งนี้ถือว่าคุณโชคดีที่เจอเด็กน้อยพวกนั้นเข้า”

 

“เกิดไปเจอพวกแก๊งปล้นธนาคารแทน”

 

“เรื่องราวมันอาจไม่จบที่อีกฝ่ายวิ่งหนีหาย”

 

“…”

 

“ดิฉันจะระวังให้มากค่ะ”

 

เมญ่าพยักหน้าตอบกลับไม่มีออกอาการให้เห็น

 

มองจากภายนอกสถานการณ์เหมือนจะดีเหมือนบรรยากาศจะเป็นใจให้เขาเดินหน้าสนทนาต่อ แต่ความเป็นจริงมันโหดร้ายกว่านั้นหล่อนเพียงกล่าวตามมารยาทขั้นพื้นฐาน

 

ไม่มีห้วงความรู้สึกอื่นใดเข้ามาแทรกแซง กระทั่งสีหน้าแววตาก็ยังไม่แปรเปลี่ยน มันเลยทำให้อีกฝ่ายที่คิดเข้าหาพยายามต่อความยาวสาวความยืดเริ่มรู้สึกอึดอัด

 

อึดอัดกับการกระทำของตน 

 

อึดอัดกับความเห็นแก่ตัวเกินควรของตน

 

สุดท้ายปลายทางก็จำต้องยอมถอย

 

“…” ยอมปล่อยให้หล่อนจากไป

 

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว”

 

“งั้นผมขอตัวกลับไปทำงานต่อนะครับ”

 

“ขอบคุณที่ทำงานหนักค่ะ” 

 

“…” 

 

ตำรวจหนุ่มหันมามองเมญ่าส่งท้าย

 

คล้ายต้องการสลักหญิงผู้สาวงดงามปานเทพธิดาเอาไว้บนหัวสมอง สลักลึกถึงห้วงจิตใจ ทั้งยังเฝ้าปรารถนาอย่างแรงกล้าขอให้เขาได้พานพบเจอหน้าหล่อนอีกครั้ง

 

เมื่อตำรวจหนุ่มก้าวเท้าพ้นออกจากพื้นที่เกิดเหตุ รวมถึงเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนคลี่คลายเป็นที่เรียบร้อยเหล่าผู้เฝ้าจับจ้องมองทั้งหลายก็เริ่มแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง

 

รวมถึงตัวของชายหนุ่มสวมแว่นด้วย

 

…‘จบสักที’

 

“…” 

 

พอเห็นเรื่องราวทั้งหมดจบสิ้น

 

ทราเวียร์ก็โยนหินในมือทิ้ง

 

สิ่งที่ควรกระทำก็กระทำไปหมดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเหตุผลอื่นใดให้อยู่ต่อการหยุดยืนอยู่ต่อมีแต่จะเปลืองเวลาเปล่าประโยชน์ทั้งยังสุ่มเสี่ยงโดนหล่อนพบเจอตัวอีกต่างหาก

 

เมื่อคิดได้ตัดสินใจเสร็จสิ้นเขาก็เลือกหันหลังก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าต่อ

 

…‘เราเองก็ไปบ้างดีกว่า’

 

“…” 

 

แผ่นหลังของชายหนุ่มสวมแว่นเริ่มเพิ่มระยะห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ 

 

ก่อนจะหายลับไปจากสายตา

 

แน่นอนว่าฉากภาพทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของใครบางคนตลอดเวลา ทั้งพฤติกรรมปรกติธรรมดาหาค่าไม่ได้รวมถึงพฤติกรรมยอดเยี่ยมยากจะจดจ้องมอง

 

ทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในแววตาสีฟ้าคู่งามทั้งสิ้น

 

“…” หล่อนเพียงเผยรอยยิ้มเบาบางสง่าส่งท้าย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ 9 ดอกไม้งามเปี่ยมไปด้วยหนามแหลม

Now you are reading เพื่อนบ้านผมคือคุณหนูสาวเจ้าเสน่ห์ Chapter 9 ดอกไม้งามเปี่ยมไปด้วยหนามแหลม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 09 ดอกไม้งามเปี่ยมไปด้วยหนามแหลมคม

 

“เดี๋ยวก่อน—” 

 

คำกล่าวห้ามจากผู้คนล้อมรอบกายไม่เป็นผล

 

เงื้อมืออันธพาลหนุ่มเตรียมยื่นมือมั่นหมายคว้าอีกฝ่าย

 

อาศัยชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เงื้อมือที่ควรคว้าเอาข้อมือหญิงสาวผู้งดงามปานเทพธิดากับคว้าได้เพียงอากาศธาตุ ก่อนทุกสิ่งอย่างจะเกิดขึ้นรวดเร็ว รวดเร็วเกินกว่าจะตอบสนองได้ทันท่วงทีพร้อมส่งร่างมันกระเด็นล้มถอยหลังไปหลายต่อหลายก้าว

 

ดวงตากากเดนสองคู่ที่พบเห็นเพื่อนตัวเองโดนเล่นงานต่างเบิกกว้างขั้นสุด

 

ก่อนเสียงกรีดร้องหนึ่งเสียงจะดังลั่นทันที

 

ปัง!

 

“อ๊าก!”

 

“นพ!”

 

“สารเลว!”

 

“เป็นแค่เด็กน้อยบังอาจเล่นข้ามหัว!”

 

พอพบเห็นเพื่อนหนุ่มตัวเองโดนเล่นงาน 

 

พวกมันทั้งสองต่างวิ่งหน้าตั้งเตรียมเล่นงานอีกฝ่าย

 

“…” เมญ่าเบี่ยงตัวหลบเล็กพอ

 

ก่อนวาดมือไปตามอากาศกระแทกฝ่ามือเข้ากลางใบหน้าส่งอีกหนึ่งกระเด็นไปตามอารมณ์และด้วยการเคลื่อนไหวยอดเยี่ยมบวกกับเรือนร่างทรงประสิทธิภาพ

 

หล่อนหมุนตัวหลบเลี่ยงหมัดอีกครั้งและก็เป็นอีกครั้งที่ฝ่ามือกระแทกเข้าใบหน้าอีกฝ่ายส่งร่างเนื้อคนสุดท้ายล่วงหล่นลงพื้น ทุกท่วงท่าทุกการลงมือล้วนหมดจด

 

งดงามสง่าเป็นที่สุด

 

ปัง!

 

ปัง!

 

“…”

 

“อึก!” 

 

รอยแดงเริ่มปรากฎให้เห็นบนใบหน้าพวกมันสามคน

 

หากว่ากล่าวตามความเป็นจริงด้วยพละกำลังหญิงสาวเพียงคนเดียวจะต้านทานชายหนุ่มอันธพาลร่างใหญ่โตทั้งสามได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ความเป็นจริงเบื้องหน้ามันช่างแตกต่างเหลือเกิน

 

นอกจากไม่พ่ายแพ้ไม่กลายเป็นเครื่องมือสนองตัณหาให้กับชายหนุ่มทั้งสาม หล่อนยังจัดการเด็ดขาดอาศัยฝ่ามือเดียวส่งร่างชายหนุ่มทั้งสามลอยกระเด็นถอยหลังตามเดิม

 

เพิ่มเติมคือไม่ได้ส่งไปร่างเดียวแต่ส่งไปถึงสามร่าง

 

“…” เมญ่ายิ้มสง่างาม

 

“พวกคุณเป็นฝ่ายหาเรื่องเองนะคะ”

 

“บัดซบ!” 

 

หนึ่งในพวกมันยกมือทุบพื้นถนน

 

ก่อนลุกขึ้นยืนอาศัยพละกำลังเข้าว่า อาศัยความบ้าคลั่งขั้นสุดออกวิ่งเข้าหาหญิงสาวผู้งดงามปานเทพธิดาอีกครั้ง ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนเนื่องจากมันไม่ได้เข้าหาคนเดียว

 

แต่เข้าหาถึงสามคนด้วยฝ่ามือทั้งหกของเหล่าอันธพาล มันต้องมีสักข้างสักหมัดที่สามารถฝากร่องรอยบางสิ่งอย่างเอาไว้บนใบหน้าหยิ่งยโสของเมญ่า

 

มันควรจะเป็นแบบนั้นหากไม่โดนขัดขวางเสียก่อน

 

…‘ก้อนหิน?’

 

“…” เมญ่าหรี่ตามอง

 

เป็นช่วงจังหวะเวลาเดียวกับก้อนหินก้อนเล็กพุ่งแหวกอากาศกระแทกเข้ากับดวงตาของพวกมันทั้งสามและทันทีที่ก้อนหินเข้าปะทะกับดวงตาเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นทันที

 

และเมื่อเสียงกรีดร้องดังขึ้นก็เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ลงมือหนักหน่วงขั้นสุด หล่อนไม่คิดปล่อยผ่านปล่อยให้โอกาสเบื้องหน้าเปล่าประโยชน์ เมญ่าเลือกพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที

 

เข้าจัดการกระทืบพวกมันอย่างโหดเหี้ยม

 

“อ๊าก!”

 

“จะ เจ็บ!”

 

“อย่า!”

 

ตลอดการกระทืบ

 

เสียงกรีดร้องของพวกมันยังดังต่อเนื่อง

 

ฉากภาพทั้งหมดเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนอยู่ในสายตาเหล่าประชาชนคนปรกติธรรมดาทั้งหลาย พวกเขาต่างฝ่ายต่างหยิบยกแนวความคิดเห็นของตนเองออกมาทันที

 

กล่าวโดยไม่คิดสนใจใครคนอื่น

 

“นี่ฉันกำลังดูอะไรอยู่เนี่ย?”

 

“คนเดียวจัดการผู้ชายได้ทั้งหมด”

 

“นี่มัน ดอกกุหลาบเต็มไปด้วยหนาม”

 

ยิ่งได้ยินเสียงชื่นชมชื่นชอบอิสตรีเบื้องหน้าห้วงอารมณ์ความคิดของพวกมันยิ่งมืดมนบิดเบี้ยวเปลี่ยนจากความต้องการเล่นสนุกไปตามอารมณ์กลายเป็นเลวร้ายสุดอันตราย

 

อยากจะบดขยี้หล่อนให้แหลกละเอียดคามือ

 

หนึ่งในพวกมันลอบกำหมัดแน่นตัดสินใจเด็ดขาด

 

เตรียมลงมือประหัตประหารขั้นสุด

 

…‘เล่นตัวนักใช่ไหม?!’

 

“…”

 

“บัดซบ!”

 

“แกนะแก!”

 

“ตาย—” 

 

หมัดใหญ่ถูกปลดปล่อยเตรียมอัดกระแทกแก้มซ้ายของหญิงสาว

 

เหล่าผู้คนมากมายล้อมรอบกายต่างร้องเสียงหลงออกมาหมดไม่ว่าชายหรือหญิง ขณะหมัดใหญ่มุ่งเข้าหาเมญ่าด้วยความเร็วสูง หล่อนเพียงนิ่งเงียบไม่คิดขยับไปไหน

 

เสมือนหมัดเบื้องหน้าเป็นเพียงเนื้อหนังมังสาปรกติธรรมดาไม่มีอะไรน่ากลัวเกรง หลงเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้นก่อนหมัดใหญ่จะอัดกระแทกใบหน้า

 

ตอนนั้นเองที่เสียงเข้มกล่าวร้องตะโกนเข้าแทรกกลาง

 

เป็นคำเสียงดังกังวาลมากไปด้วยพลังอำนาจ

 

“หยุด!” 

 

“…” 

 

หมัดที่ควรอัดกระแทกใบหน้าเมญ่าพลันหยุดนิ่ง

 

อีกทั้งระยะหยุดนิ่งยังห่างจากใบหน้าเพียง 3 เซนติเมตรเท่านั้น เรียกได้ว่าหากเสียงร้องตะโกนดังช้ากว่านี้อีกเพียงไม่กี่วินาทีโศกนาฎกรรมใหญ่คงไม่พ้นต้องเกิดขึ้น

 

เหล่าอันธพาลที่พบเห็นตำรวจหนุ่มเข้ามาแทรกแซงต่างร้องเสียงหลงทันที

 

ร้องเหมือนหนูที่เจอแมวน้อยไล่ล่า

 

“ตะ ตำรวจ”

 

“หนี!”

 

“…”

 

“เจอกันครั้งต่อไป!”

 

“ไม่จบแบบนี้แน่!” 

 

พวกมันหันมามองเมญ่าด้วยแววตาอาฆาตแค้นขั้นสุดส่งท้าย

 

ก่อนวิ่งหนีหายลับไปจากสายตา แน่นอนว่าเหล่าพลเมืองดีทั้งหลายเตรียมกระชากตัวกดหัวพวกมันลงพื้น แต่ด้วยความหวาดหวั่นหวาดกลัวบวกกับพละกำลังของพวกมัน

 

พวกเขาเลยทำได้แค่ปล่อยผ่านปล่อยให้พวกมันหลบหนีไปทั้งแบบนั้น ผลลัพธิ์ท้ายสุดเหล่าอันธพาลทั้งหลายก็หลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกมันเหล่าอันธพาลเลวร้ายพวกนั้นหลบหนีไปได้ก็คือตำรวจหนุ่มตรงหน้า

 

หน้าที่ที่ควรกระทำตามจับอีกฝ่าย กับเป็นอันต้องนิ่งชะงักแข็งค้างไม่เป็นอันทำอะไร ซึ่งต้นสายปลายเหตุคงไม่พ้นต้องเป็นใบหน้าเมญ่าที่สะกดทุกสายตาไม่เว้นกระทั่งตำรวจ

 

ไม่เว้นกระทั่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

 

หลังจากผ่านพ้นไปหลายวินาที

 

เหมือนตำรวจหนุ่มจะเริ่มฟื้นคืนสติกลับมา

 

ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

 

“คะ คือ”

 

“คะ?”

 

“…” เสน่ห์ของหล่อนมากล้นเกินไป

 

เพียงแค่ตอบกลับปรกติธรรมดา

 

ก็ทำให้ตำรวจหนุ่มเลือกบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงสายตาไม่กล้าจ้องมอง

 

เขากล้ายืนยันเต็มปากเต็มคำในช่วงชีวิตของเขาตลอดหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาพบเห็นอิสตรีผู้ครอบครองความงามหวานหยดย้อยกระทั่งดาราแถวหน้ายังด้อยค่า

 

ทั้งยังด้อยกว่ามาก มากจนไม่อาจสรรหาคำกล่าวมาบรรยายเปรียบเทียบ

 

…‘สวยมาก’

 

“…”

 

“มะ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

 

“ไม่เป็นไรค่ะ”

 

“ทั้งหมดต้องขอบคุณคุณตำรวจที่เข้ามาเห็นพอดี”

 

“ช่วยได้มากเลยค่ะ” 

 

เมญ่าก้มขอบคุณตามมารยาท

 

ขอบคุณตำรวจหนุ่มที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

 

ทำเอาตำรวจหนุ่มเกิดอาการประหม่าไปชั่วขณะ

 

“คะ ครับ” 

 

หน้านี่เรียกได้ว่าแดงก่ำไปจนถึงต้นคอ

 

เอาเข้าจริงแม้ตำรวจหนุ่มจะไม่โผล่หน้าออกมาหรือทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์เบื้องหน้า เหล่าผู้คนที่กำลังจับจ้องมองอยู่ก็ล้วนเข้าใจดีว่าสุดท้ายปลายทางผลลัพธ์ของมันจะออกมาเป็นแบบไหน

 

การเข้ามาของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในห้วงจังหวะเวลานี้ มันก็แค่ทำให้เรื่องราวที่ง่ายดายอยู่แล้วมันง่ายดายยิ่งกว่าเดิมมากขึ้นเท่านั้น หรือก็คือจะมีหรือไม่มีก็ได้

 

ดวงตาตำรวจหนุ่มกะพริบตามองกวาดไปทั่วบริเวณ

 

พยายามมองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

“…” ก่อนร้องถามกลับไป

 

“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

“ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ?”

 

ตำรวจหนุ่มเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ

 

แม้ตอนแรกเขาจะพอคาดเดาได้ไม่มากก็น้อยว่าปัญหาพวกนี้มันมีต้นสายปลายทางมาจากไหน แต่พอได้มาเห็นในระยะประชิดเขาถึงได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

ด้วยความงดงามปานเทพธิดาของเมญ่ากระทั่งตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยังเผลอเหม่อลอยนิ่งแข็งค้างไปหลายต่อหลายวินาทียิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มชายหนุ่มสันดานเสียทั้งสาม

 

หลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมดตำรวจหนุ่มลอบพยักหน้าให้กับตัวเอง

 

…‘นารีเป็นเหตุสินะ’

 

“…”

 

“เรื่องไม่เป็นเรื่อง”

 

“เดี๋ยวผมจัดการให้” 

 

“ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่อีก”

 

“ติดต่อหาผม”

 

“ผมจะมาหาคุณทันที” 

 

กล่าวจบเจ้าตัวก็ยื่นเศษกระดาษให้

 

เป็นเศษกระดาษที่แนบเบอร์โทรศัพท์ของเขาเอาไว้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจตนาแท้จริงของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบเป็นมายังไงเป็นมาแบบไหน

 

แต่เมญ่าไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม นอกเสียจากรอยยิ้มงดงามงามสง่าเป็นเอกลักษณ์ก่อนเก็บเศษกระดาษเข้ากระเป๋าทำเหมือนทุกสิ่งอย่างเป็นเพียงเรื่องปรกติธรรมดา

 

แน่นอนว่าหล่อนไม่ลืมกล่าวขอบคุณตามมารยาทกลับไป

 

“ขอบคุณค่ะ”

 

“…” 

 

ตำรวจหนุ่มที่เห็นท่าทีเมินเฉยของหล่อน

 

ก็เริ่มเกิดห้วงอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งแปลกประหลาดผุดเข้ามาในหัวสมอง ส่วนเป็นห้วงอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนคงมีเพียงแค่เจ้าตัวคนเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้ตระหนักรู้

 

แววตาที่เคยแปรเปลี่ยนไปในตอนแรกหวนคืนกลับมารวดเร็ว

 

รวดเร็วจนไม่เปิดเผยร่องรอยผิดปรกติให้เห็น

 

“…” ก่อนตำรวจยิ้มกล่าวตอบ

 

กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเป็นที่สุด

 

“ไม่เป็นไรครับ”

 

“เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” 

 

“…”

 

“ว่าแต่คุณมาคนเดียวหรือมากับคนอื่น?”

 

“มาคนเดียวค่ะ”

 

“มาคนเดียวมันอันตรายนะครับ”

 

“ยิ่งเป็นช่วงเวลาแบบนี้ด้วย”

 

“ยิ่งไม่สมควรออกไปไหนมาไหนคนเดียว”

 

กล่าวมาถึงจุดนี้สีหน้าตำรวจหนุ่มพลันจริงจังมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

 

ก่อนพยายามกล่าวบอกย้ำเตือนให้หญิงสางเบื้องหน้าระมัดระวังตัวให้มาก ยังดีที่ครั้งนี้หล่อนพานพบเจอเพียงกุ้งน้อยหอยน้อยเป็นแค่เด็กน้อยปรกติธรรมดา

 

ยังไม่ใช่รุ่นใหญ่เจ้าพ่อพื้นที่ไม่งั้นเรื่องราวมันคงไม่จบง่ายดายเหมือนที่เป็น

 

“…” ตำรวจหนุ่มลอบถอนหายใจ

 

“ครั้งนี้ถือว่าคุณโชคดีที่เจอเด็กน้อยพวกนั้นเข้า”

 

“เกิดไปเจอพวกแก๊งปล้นธนาคารแทน”

 

“เรื่องราวมันอาจไม่จบที่อีกฝ่ายวิ่งหนีหาย”

 

“…”

 

“ดิฉันจะระวังให้มากค่ะ”

 

เมญ่าพยักหน้าตอบกลับไม่มีออกอาการให้เห็น

 

มองจากภายนอกสถานการณ์เหมือนจะดีเหมือนบรรยากาศจะเป็นใจให้เขาเดินหน้าสนทนาต่อ แต่ความเป็นจริงมันโหดร้ายกว่านั้นหล่อนเพียงกล่าวตามมารยาทขั้นพื้นฐาน

 

ไม่มีห้วงความรู้สึกอื่นใดเข้ามาแทรกแซง กระทั่งสีหน้าแววตาก็ยังไม่แปรเปลี่ยน มันเลยทำให้อีกฝ่ายที่คิดเข้าหาพยายามต่อความยาวสาวความยืดเริ่มรู้สึกอึดอัด

 

อึดอัดกับการกระทำของตน 

 

อึดอัดกับความเห็นแก่ตัวเกินควรของตน

 

สุดท้ายปลายทางก็จำต้องยอมถอย

 

“…” ยอมปล่อยให้หล่อนจากไป

 

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว”

 

“งั้นผมขอตัวกลับไปทำงานต่อนะครับ”

 

“ขอบคุณที่ทำงานหนักค่ะ” 

 

“…” 

 

ตำรวจหนุ่มหันมามองเมญ่าส่งท้าย

 

คล้ายต้องการสลักหญิงผู้สาวงดงามปานเทพธิดาเอาไว้บนหัวสมอง สลักลึกถึงห้วงจิตใจ ทั้งยังเฝ้าปรารถนาอย่างแรงกล้าขอให้เขาได้พานพบเจอหน้าหล่อนอีกครั้ง

 

เมื่อตำรวจหนุ่มก้าวเท้าพ้นออกจากพื้นที่เกิดเหตุ รวมถึงเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนคลี่คลายเป็นที่เรียบร้อยเหล่าผู้เฝ้าจับจ้องมองทั้งหลายก็เริ่มแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง

 

รวมถึงตัวของชายหนุ่มสวมแว่นด้วย

 

…‘จบสักที’

 

“…” 

 

พอเห็นเรื่องราวทั้งหมดจบสิ้น

 

ทราเวียร์ก็โยนหินในมือทิ้ง

 

สิ่งที่ควรกระทำก็กระทำไปหมดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเหตุผลอื่นใดให้อยู่ต่อการหยุดยืนอยู่ต่อมีแต่จะเปลืองเวลาเปล่าประโยชน์ทั้งยังสุ่มเสี่ยงโดนหล่อนพบเจอตัวอีกต่างหาก

 

เมื่อคิดได้ตัดสินใจเสร็จสิ้นเขาก็เลือกหันหลังก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าต่อ

 

…‘เราเองก็ไปบ้างดีกว่า’

 

“…” 

 

แผ่นหลังของชายหนุ่มสวมแว่นเริ่มเพิ่มระยะห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ 

 

ก่อนจะหายลับไปจากสายตา

 

แน่นอนว่าฉากภาพทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของใครบางคนตลอดเวลา ทั้งพฤติกรรมปรกติธรรมดาหาค่าไม่ได้รวมถึงพฤติกรรมยอดเยี่ยมยากจะจดจ้องมอง

 

ทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในแววตาสีฟ้าคู่งามทั้งสิ้น

 

“…” หล่อนเพียงเผยรอยยิ้มเบาบางสง่าส่งท้าย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+