Carefree Path of Dreams 34: ตําหนักสี่ทะเล

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 34: ตําหนักสี่ทะเล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

Chapter 34: ตําหนักสี่ทะเล

 

“หยุดก่อน นี่คือการตรวจค้นตามปกติ!”

 

ประตูตะวันตก มณฑลชิงเหอ

 

ผู้ฝึกยุทธ์จํานวนมากในชุดคลุมของสํานักกุยหลิงคอยตรวจสอบคนที่จะผ่านประตูเข้าไป และพวกมันให้ความสนใจกับเกวียนขนาดใหญ่เป็นพิเศษ การติดสินบนล้วนไม่ได้ผลและพวกมันก็ทําให้บริเวณรอบๆ วุ่นวายไปหมด

 

วัวค่อยๆ ลากเกวียนผ่านไป และเมื่อโจวเหวินอู่เห็นสถานการณ์ตรงหน้า เขาก็รู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เขาคิดว่าเขาคงไม่สามารถหลีกหนีจากการตรวจตราเข้มงวดเช่นนี้ได้และคงจะต้องมีการลงไม้ลงมือเพื่อเอาตัวรอดกันเป็นแน่

 

โชคดีสําหรับเขา เขาพบว่าซ่งจงไม่อยู่แถวนี้และผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

 

เพราะเกรงในชื่อเสียงของสํานักกุยหลิง ผู้คนที่ต้องการเข้าเมืองจึงไม่กล้าไม่เชื่อฟัง ผู้หญิงหลายคนถูกดึงออกจากเกวียนอย่าง น่าอับอาย พวกผู้คุ้มกันก็มือไม้ปั่นป่วน

 

แม้ว่าการตรวจตราจะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ แถวก็ยังคงขยับเรื่อยๆ และไม่นานก็มาถึงคราวของฟางหยวน

 

“ในเกวียนนั้นลูกสาวหรือภรรยาของเจ้า? ให้นางออกมาให้ข้าตรวจดู!”

 

สมาชิกสํานักที่ดูจาบจ้วงผู้หนึ่งเดินตรงมาเตรียมจะเปิดม่านออก

 

“คิคิ

 

ฟางหยวนมองเข้าไปในเกวียน ราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องตลก

 

“เจ้าหัวเราะอันใด?”

 

เขารู้สึกได้ว่าคนของสํานักผู้นั้นพร้อมจะลงไม้ลงมือแล้ว

 

“เจ้าเป็นคนของซ่งจงหรือ? ไม่รู้จักความตายสินะ โง่!”

 

ฟางหยวนส่ายหน้า กางนิ้วมือขวาและด้วยความเร็วราวสายฟ้า เขาก็จู่โจม

 

“โครม! ครึ่ก!”

 

เสียงแตกต่างกันสองเสียงตามด้วยสมาชิกสํานักผู้นั้นกุมแขนขวาของตัวเอง ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นบนหน้า เขาล้มลงบนพื้น

 

“เคล็ดกรงเล็บอินทรี?”

 

คนของสํานักกุยหลิงหลายคนที่บริเวณนั้นมองหน้ากัน และภายใต้คําสั่งของชายหนุ่มชุดสีเขียว พวกมันก็พุ่งตรงเข้าไป “พร้อมกัน!”

 

“ทิ้ง!”

 

ฟางหยวนหายใจเข้าลึก ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมดํา เขาไม่ได้วิ่งหนีแต่ก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งเพื่อตอบโต้กลับ

 

หลังจากหลบกระบี่แล้ว เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บเลยเมื่อหมัดและเท้ากระทบโดนตัว รวมทั้งอาวุธไร้คมทั้งหลายด้วย อย่างมากก็แค่รู้สึกคันนิดหน่อย

 

ตรงกันข้าม กรงเล็บของเขายื่นออกไปเมื่อใด ก็มีคนของสํานักหล่นลงพื้น ครวญครางอย่างเจ็บปวด

 

สถานการณ์ตอนนี้ที่หน้าประตูวุ่นวายกว่าเดิมและกองกําลังเสริมก็มาถึงในที่สุด

 

“โจวเหวินอู่ ถึงคราวเจ้าออกโรงแล้ว!”

 

ฟางหยวนตะโกน หมุนตัว มุ่งหน้าเข้าเมืองก่อนจะหายตัวไป

 

“ข้าเป็นลูกชายของโจวตง ผู้ดูแลแห่งสํานักกุยหลิง!”

 

โจวเหวินอู่ออกมายืนและยกป้ายเหล็กอันหนึ่งขึ้นมา “ด้วยป้ายสํานักนี่เป็นหลักฐาน ข้ามาที่นี่เพื่อร้องเรียนผู้อาวุโสซ่ง สังหารครอบครัวข้าทั้งตระกูล 73 ชีวิต! หวังว่าสํานักจะมอบความยุติธรรมให้แก่ข้า!”

 

คําหลังๆ ของเขาดังขึ้นจนสามารถได้ยินทั่วกัน สมาชิกสํานักสีหน้าเปลี่ยนเมื่อได้ยินเขาพูด

 

แม้ว่าซ่งจงจะมีอํานาจ แต่เขาก็ไม่สามารถทําตามความต้องการได้ในเขตมณฑลชิงเหอ และตอนนี้โจวเหวินอู่ก็ได้แสดงตัวตนออกมาแล้ว สํานักย่อมต้องทําอะไรสักอย่าง

 

“เป็นโจวเหวินอู่จริง ๆ!”

 

ไม่นานนัก กลุ่มคนของสํานักนาโดยชายชราคนหนึ่งก็มาถึงประตูเมืองอย่างเร่งรีบ เขามองโจวเหวินอู่ก่อนจะเอ่ยปากปลอบโยน “ไม่ต้องเป็นห่วง สํานักกุยหลิงจะไม่ปล่อยฆาตกรให้ลอยนวล!”

 

เขาเหลือบมองคนของซ่งจงที่ล้มกลิ้งอยู่บนพื้น โบกมือ “จับพวกมันไว้”

 

ลูกศิษย์มากมายพุ่งเข้าไปใช้เชือกเส้นหนามัดพวกมันเอาไว้

 

“ท่านลุงชเว ข้าหวังว่าท่านจะให้ความยุติธรรมแก่ข้า!”

 

โจวเหวินอู่ปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่าน ขณะที่น้ําตาเอ่อคลอขึ้นมา

 

แต่ความจริงแล้วก็คือ เขาแค่รู้สึกถึงความอาฆาตแค้น ลึกลงไปในใจเท่านั้น

 

สํานักย่อมต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองชิงเย่ ผู้อาวุโสทั้งหมดปล่อยให้คนของซ่งจงก่อหายนะขึ้น แต่ไม่มีใครลงมือทําอะไรก็เพื่อกดดันเจ้าสํานัก

 

แต่เจ้าสํานักก็ยังคงรักษาความเงียบงันเอาไว้ตลอดเรื่องวุ่นวายนี้

 

ราวกับจะปล่อยให้ทั้งสํานักขย้ํานางลงไป!

 

“อ้อ แล้วผู้กล้าที่นําเข้ามาเล่า?”

 

ผู้อาวุโสชเวแตะชีพจรของโจวเหวินอู่ก่อนจะถามอย่างสงสัย

 

“พี่ฟาง? ข้าคิดว่าเขาคงจากไปแล้ว”

 

โจวเหวินอู่รู้ว่าฟางหยวนไม่ต้องการถูกม้วนเข้ามาในเรื่องคราวนี้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่อง “ท่านเจ้าสํานักอยู่ที่ไหน? ข้าต้องการพบท่านเดี๋ยวนี้”

 

“นั่นแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้น ให้ข้าพาเจ้าไปที่ตําหนักผู้อาวุโสของผู้อาวุโสฮั่น! เขารอเจ้าอยู่นานแล้ว!”

 

ผู้อาวุโสชเวจับแขนโจวเหวินอู่ และด้วยความแข็งแกร่งระดับนั้น โจวเหวินอู่ไม่มีทางหนีรอดได้ต่อให้ไม่บาดเจ็บก็ตามที

 

“ขอรับ!”

 

โจวเหวินอู่ยินยอม แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก

 

 

ภายในหมู่คนมุง ฟางหยวนคอยดูสถานการณ์และหายตัวไปในฝูงชน

 

“อันที่จริง ความขัดแย้งภายในสํานักกุยหลิงเองก็กําลังถึงจุดแตกหักแล้ว และโจวเหวินอู่ก็คงถูกผู้อาวุโสพวกนั้นใช้ประโยชน์!”

 

เขาไม่ได้อยากให้เรื่องจบลงแบบนี้ ดังนั้นจึงจัดการสร้างความวุ่นวายขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจและถือโอกาสหลบออกมา

 

แม้แต่โจวเหวินอู่ที่เป็นคนในสํานักยังได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นแล้วคนนอกเช่นเขาจะได้รับการปฏิบัติเช่นไร?

 

“อย่างไรซะ ทั้งหมดนี่ก็เป็นความผิดของซงจง และถ้ามันถูกจัดการโดยตรง ก็ลดปัญหาที่จะเกิดกับข้าไปเยอะ…”

 

ที่มุมมืดๆมุมหนึ่ง ฟางหยวนเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก ก่อนจะออกมาเดินบนถนนอย่างไม่เกรงกลัว

 

ความวุ่นวายที่หน้าประตูนั้นเกิดขึ้นแค่ไม่นาน และภายในเมือง มีคนรู้เรื่องนี้ไม่มากและการค้าขายยังดําเนินไปตามปกติ

 

เทียบกับเมืองชิงเย่แล้ว ที่นี่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงเยอะกว่า แม้แต่ผู้หญิงที่นี่ยังพกมีดสั้น นั่นดึงดูดความสนใจของฟางหยวนได้มาก

 

แน่นอนว่ายังมีคุณหนูบอบบางที่ไม่เคยแม้แต่จะออกจากบ้าน แต่ถ้าผู้หญิงทุกคนฝึกวิชายุทธ์ ก็มีคนเพียงหยิบมือที่มีความสามารถมากพอที่จะฝึกได้อยู่ดี

 

ตัวอย่างเด่นๆ เลยก็คือผู้ฝึกยุทธ์ระดับอู่จงจากสํานักกุยหลิง ผู้หญิงที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งมณฑลชิงเหอ

 

“การมาที่มณฑลนี่หลักแล้วก็คือมาส่งระเบิดเวลาอย่างโจวเหวินอู่ และก็หาพืชวิญญาณกลับไป รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย…”

 

น้อยครั้งนักที่ฟางหยวนจะออกจากหุบเขาสันโดษ และตอนนี้ก็มาถึงมณฑลนี้ เขาย่อมไม่อยากกลับไปมือเปล่า

 

เขายังอยากรู้ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับซงจง

 

“หาพืชวิญญาณว่ายากแล้ว ความลับเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์คงยากกว่า แต่ก็น่าจะมีสักคนที่รู้เรื่องนี้”

 

เขากวาดตามองรอบตัว และเห็นตึกหลังใหญ่กับถนนการค้า มีผู้คนมากมายแถวนั้น การค้าดูเป็นไปได้ดี

 

“ตําหนักสี่ทะเล?”

 

ฟางหยวนพึมพํากับตัวเองก่อนจะก้าวเข้าประตู

 

“คุณชายน้อย ท่านกําลังมองหาสิ่งใดรี?”

 

ทันทีที่ก้าวเข้าไป ลูกจ้างในร้านก็เข้ามาหาฟางหยวนพร้อม รอยยิ้ม และไม่มีท่าที่ดูถูกฟางหยวนจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่

 

“ข้าไม่ใช่คนที่นี่ พวกเจ้าที่นี่ขายอะไรรึ?”

 

ฟางหยวนสังเกตในร้านและรู้สึกสงสัย

 

“คุณชายช่างมีรสนิยมดียิ่งนัก! ที่นี่คือตําหนักสี่ทะเล พวกเราเป็นร้านค้าใหญ่ที่สุดในมณฑลชิงเหอ! มีตั้งแต่เสบียงไปจนถึงตํารายุทธ์และอาวุธ ไม่มีอะไรที่เราไม่มีขาย และไม่มีอะไรที่เราจะไม่รับซื้อ!”

 

ลูกจ้างในร้านตอบเขาด้วยท่าทางภูมิใจ

 

“โอ้?!”

 

ฟางหยวนเลิกคิ้ว เข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้โกหก ตําหนักสี่ทะเลดูคล้ายกับจะมีทางการเป็นผู้สนับสนุน หรืออาจจะเป็นของสํานักกุยหลิงเองเลยก็ได้

 

นอกจากคนของสํานักกุยหลิงแล้วเองแล้ว จะมีใครกล้าพูดวางโตขนาดนี้อีกกัน?

 

“เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าขายทุกอย่าง?”

 

“คุณชาย ท่านต้องล้อเล่นแล้ว บนโลกมีทรัพย์สมบัติล้ําค่าตั้งมากมาย ถ้าท่านถามถึงสมบัติในตํานาน เช่นนั้นพวกเราย่อมไม่มี แต่ภายในมณฑลชิงเหอ ถ้าเราไม่มี ก็ไม่มีที่อื่นมีเช่นกัน!”

 

ลูกจ้างยิ้มขณะเอ่ยแย้ง

 

“ก็จริง…”

 

ฟางหยวนฟังก่อนจะรู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าต้องการซื้อพืชวิญญาณสักหน่อย เจ้ามีขายไหม?”

 

“พืชวิญญาณ?”

 

ลูกจ้างกระแอมไอ “ของเช่นนั้นราคาไม่ถูกนะขอรับ!”

 

“อื้ม?”

 

ฟางหยวนประหลาดใจ “เจ้ามีขายจริงๆ รึ?”

 

ภายในสํานักกุยหลิงก็เหมือนจะมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผืนเล็กๆ อยู่ ใช้เป็นที่เพาะปลูกพืชวิญญาณ ดังนั้นถ้าจะมีพืชวิญญาณขายที่นี่บ้าง ก็ไม่น่าประหลาดใจ

 

อย่างไรเสีย ผู้ดูแลหลินก็เคยมอบข้าวหยกแดงให้เขา ดังนั้นตําหนักสี่ทะเลนี้ย่อมไม่ทําให้เขาผิดหวัง

 

“นายท่านต้องการซื้อพืชวิญญาณจริงๆ รึ?”

 

ความสงสัยปรากฏขึ้นเต็มใบหน้าของลูกจ้างผู้นั้น

 

“ไม่ต้องห่วง เจ้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถจ่ายไหวใช่ไหม?”

 

ฟางหยวนมองเขายิ้ม ก่อนจะดึงตั๋วเงินจํานวนหนึ่งออกมา “ พาข้าไปดู!”

 

สําหรับการเดินทางครั้งนี้ ฟางหยวนนของมีค่าทั้งหมดที่เขามีเก็บไว้ในหุบเขามาด้วยทั้งหมดเพื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน แล้วการซื้อพืชวิญญาณหรือข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คงต้องใช้เงินจํานวนมากเช่นกัน

 

“ขอรับ!” ดวงตาของลูกจ้างเปล่งประกายระยิบ “คุณชาย เชิญทางนี้”

 

ภายในตําหนักสี่ทะเลแบ่งเป็นส่วนต่างๆ หลายส่วน หลังจากผ่านม่านกั้นเข้ามาแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงจากด้านนอกอีกเลย

 

“ห้องที่ 13!”

 

ลูกจ้างนาฟางหยวนมาถึงห้องใหญ่ห้องหนึ่ง โค้งคํานับแล้วเดินออกไป

 

ไม่นานนัก ก็มีเด็กสาวสองคนปรากฏตัวขึ้น เชื้อเชิญให้ฟางหยวนลงนั่ง เตรียมน้ําชาและผลไม้ให้

 

“การบริการระดับนี้นี่นับเป็นบรรทัดฐานใหม่ได้เลยหรือไม่นะ?”

 

ฟางหยวนพบว่านี่ออกจะน่าขํา ณ ตอนนี้เอง ที่เขาเห็นชายชราผู้หนึ่งเดินเข้าห้องมา ดูแล้วน่าจะเป็นผู้ดูแล เขาทักทายฟางหยวนก่อนจะถาม “ข้าคือเหล่าเฉียน ผู้ดูแลของตําหนักสี่ทะเล ท่านมองหาพืชวิญญาณงั้นหรือ?”

 

“ถูกต้อง ท่านมีพืชชนิดไหนบ้างเล่า? เรื่องราคาคุยกันได้!”

 

ฟางหยวนโบกมือไปมาดูภูมิฐาน

 

แต่อันที่จริง เขาค่อนข้างกระวนกระวายและไม่แน่ใจว่าเขาพกของมีค่ามามากพอที่จะแลกเปลี่ยนกับพืชวิญญาณหรือไม่

 

“พืชวิญญาณ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ของหายาก และที่ตําหนักเราก็ขายสินค้านี้ไปเป็นจํานวนมาก แต่มีน้อยคนที่จะสามารถเพาะปลูกมันได้ และครอบครัวเศรษฐีมากมายกลายเป็นยาจกเพราะการนี้ คุณชาย ท่านต้องคิดให้รอบคอบนะ!”

 

เหล่าเฉียนให้คําแนะนํา “อย่างไรก็ตาม มีเพียงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้นที่จะสามารถเพาะปลูกพืชวิญญาณได้ในบริมาณมาก และทั้งมณฑลชิงเหอ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียวนั้นอยู่ในความครอบครองของสํานักกุยหลิง ดังนั้นผู้อื่นนั้น…”

 

เขาส่ายหน้า สีหน้าบอกทุกอย่างออกมาหมด

 

“แต่ถ้าคนผู้หนึ่งยอมเสียเวลาและเงินทอง และใช้ความพยายามทั้งหมดในการดูแลมัน ก็มีโอกาสเล็กน้อยที่จะสามารถปลูกพืชวิญญาณแตกหน่อออกผลได้ ไม่อย่างนั้น พืชวิญญาณหายากจะเติบโตขึ้นในป่าเขาได้อย่างไร?”

 

ฟางหยวน ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการดูแลพืช และยังมีประสบการณ์การปลูกพืชวิญญาณด้วยตัวเอง และด้วยประสบการณ์นั้น เขาสามารถตอบออกมาได้โดยไม่ลังเล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Carefree Path of Dreams 34: ตําหนักสี่ทะเล

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 34: ตําหนักสี่ทะเล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

Chapter 34: ตําหนักสี่ทะเล

 

“หยุดก่อน นี่คือการตรวจค้นตามปกติ!”

 

ประตูตะวันตก มณฑลชิงเหอ

 

ผู้ฝึกยุทธ์จํานวนมากในชุดคลุมของสํานักกุยหลิงคอยตรวจสอบคนที่จะผ่านประตูเข้าไป และพวกมันให้ความสนใจกับเกวียนขนาดใหญ่เป็นพิเศษ การติดสินบนล้วนไม่ได้ผลและพวกมันก็ทําให้บริเวณรอบๆ วุ่นวายไปหมด

 

วัวค่อยๆ ลากเกวียนผ่านไป และเมื่อโจวเหวินอู่เห็นสถานการณ์ตรงหน้า เขาก็รู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เขาคิดว่าเขาคงไม่สามารถหลีกหนีจากการตรวจตราเข้มงวดเช่นนี้ได้และคงจะต้องมีการลงไม้ลงมือเพื่อเอาตัวรอดกันเป็นแน่

 

โชคดีสําหรับเขา เขาพบว่าซ่งจงไม่อยู่แถวนี้และผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

 

เพราะเกรงในชื่อเสียงของสํานักกุยหลิง ผู้คนที่ต้องการเข้าเมืองจึงไม่กล้าไม่เชื่อฟัง ผู้หญิงหลายคนถูกดึงออกจากเกวียนอย่าง น่าอับอาย พวกผู้คุ้มกันก็มือไม้ปั่นป่วน

 

แม้ว่าการตรวจตราจะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ แถวก็ยังคงขยับเรื่อยๆ และไม่นานก็มาถึงคราวของฟางหยวน

 

“ในเกวียนนั้นลูกสาวหรือภรรยาของเจ้า? ให้นางออกมาให้ข้าตรวจดู!”

 

สมาชิกสํานักที่ดูจาบจ้วงผู้หนึ่งเดินตรงมาเตรียมจะเปิดม่านออก

 

“คิคิ

 

ฟางหยวนมองเข้าไปในเกวียน ราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องตลก

 

“เจ้าหัวเราะอันใด?”

 

เขารู้สึกได้ว่าคนของสํานักผู้นั้นพร้อมจะลงไม้ลงมือแล้ว

 

“เจ้าเป็นคนของซ่งจงหรือ? ไม่รู้จักความตายสินะ โง่!”

 

ฟางหยวนส่ายหน้า กางนิ้วมือขวาและด้วยความเร็วราวสายฟ้า เขาก็จู่โจม

 

“โครม! ครึ่ก!”

 

เสียงแตกต่างกันสองเสียงตามด้วยสมาชิกสํานักผู้นั้นกุมแขนขวาของตัวเอง ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นบนหน้า เขาล้มลงบนพื้น

 

“เคล็ดกรงเล็บอินทรี?”

 

คนของสํานักกุยหลิงหลายคนที่บริเวณนั้นมองหน้ากัน และภายใต้คําสั่งของชายหนุ่มชุดสีเขียว พวกมันก็พุ่งตรงเข้าไป “พร้อมกัน!”

 

“ทิ้ง!”

 

ฟางหยวนหายใจเข้าลึก ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมดํา เขาไม่ได้วิ่งหนีแต่ก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งเพื่อตอบโต้กลับ

 

หลังจากหลบกระบี่แล้ว เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บเลยเมื่อหมัดและเท้ากระทบโดนตัว รวมทั้งอาวุธไร้คมทั้งหลายด้วย อย่างมากก็แค่รู้สึกคันนิดหน่อย

 

ตรงกันข้าม กรงเล็บของเขายื่นออกไปเมื่อใด ก็มีคนของสํานักหล่นลงพื้น ครวญครางอย่างเจ็บปวด

 

สถานการณ์ตอนนี้ที่หน้าประตูวุ่นวายกว่าเดิมและกองกําลังเสริมก็มาถึงในที่สุด

 

“โจวเหวินอู่ ถึงคราวเจ้าออกโรงแล้ว!”

 

ฟางหยวนตะโกน หมุนตัว มุ่งหน้าเข้าเมืองก่อนจะหายตัวไป

 

“ข้าเป็นลูกชายของโจวตง ผู้ดูแลแห่งสํานักกุยหลิง!”

 

โจวเหวินอู่ออกมายืนและยกป้ายเหล็กอันหนึ่งขึ้นมา “ด้วยป้ายสํานักนี่เป็นหลักฐาน ข้ามาที่นี่เพื่อร้องเรียนผู้อาวุโสซ่ง สังหารครอบครัวข้าทั้งตระกูล 73 ชีวิต! หวังว่าสํานักจะมอบความยุติธรรมให้แก่ข้า!”

 

คําหลังๆ ของเขาดังขึ้นจนสามารถได้ยินทั่วกัน สมาชิกสํานักสีหน้าเปลี่ยนเมื่อได้ยินเขาพูด

 

แม้ว่าซ่งจงจะมีอํานาจ แต่เขาก็ไม่สามารถทําตามความต้องการได้ในเขตมณฑลชิงเหอ และตอนนี้โจวเหวินอู่ก็ได้แสดงตัวตนออกมาแล้ว สํานักย่อมต้องทําอะไรสักอย่าง

 

“เป็นโจวเหวินอู่จริง ๆ!”

 

ไม่นานนัก กลุ่มคนของสํานักนาโดยชายชราคนหนึ่งก็มาถึงประตูเมืองอย่างเร่งรีบ เขามองโจวเหวินอู่ก่อนจะเอ่ยปากปลอบโยน “ไม่ต้องเป็นห่วง สํานักกุยหลิงจะไม่ปล่อยฆาตกรให้ลอยนวล!”

 

เขาเหลือบมองคนของซ่งจงที่ล้มกลิ้งอยู่บนพื้น โบกมือ “จับพวกมันไว้”

 

ลูกศิษย์มากมายพุ่งเข้าไปใช้เชือกเส้นหนามัดพวกมันเอาไว้

 

“ท่านลุงชเว ข้าหวังว่าท่านจะให้ความยุติธรรมแก่ข้า!”

 

โจวเหวินอู่ปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่าน ขณะที่น้ําตาเอ่อคลอขึ้นมา

 

แต่ความจริงแล้วก็คือ เขาแค่รู้สึกถึงความอาฆาตแค้น ลึกลงไปในใจเท่านั้น

 

สํานักย่อมต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองชิงเย่ ผู้อาวุโสทั้งหมดปล่อยให้คนของซ่งจงก่อหายนะขึ้น แต่ไม่มีใครลงมือทําอะไรก็เพื่อกดดันเจ้าสํานัก

 

แต่เจ้าสํานักก็ยังคงรักษาความเงียบงันเอาไว้ตลอดเรื่องวุ่นวายนี้

 

ราวกับจะปล่อยให้ทั้งสํานักขย้ํานางลงไป!

 

“อ้อ แล้วผู้กล้าที่นําเข้ามาเล่า?”

 

ผู้อาวุโสชเวแตะชีพจรของโจวเหวินอู่ก่อนจะถามอย่างสงสัย

 

“พี่ฟาง? ข้าคิดว่าเขาคงจากไปแล้ว”

 

โจวเหวินอู่รู้ว่าฟางหยวนไม่ต้องการถูกม้วนเข้ามาในเรื่องคราวนี้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่อง “ท่านเจ้าสํานักอยู่ที่ไหน? ข้าต้องการพบท่านเดี๋ยวนี้”

 

“นั่นแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้น ให้ข้าพาเจ้าไปที่ตําหนักผู้อาวุโสของผู้อาวุโสฮั่น! เขารอเจ้าอยู่นานแล้ว!”

 

ผู้อาวุโสชเวจับแขนโจวเหวินอู่ และด้วยความแข็งแกร่งระดับนั้น โจวเหวินอู่ไม่มีทางหนีรอดได้ต่อให้ไม่บาดเจ็บก็ตามที

 

“ขอรับ!”

 

โจวเหวินอู่ยินยอม แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก

 

 

ภายในหมู่คนมุง ฟางหยวนคอยดูสถานการณ์และหายตัวไปในฝูงชน

 

“อันที่จริง ความขัดแย้งภายในสํานักกุยหลิงเองก็กําลังถึงจุดแตกหักแล้ว และโจวเหวินอู่ก็คงถูกผู้อาวุโสพวกนั้นใช้ประโยชน์!”

 

เขาไม่ได้อยากให้เรื่องจบลงแบบนี้ ดังนั้นจึงจัดการสร้างความวุ่นวายขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจและถือโอกาสหลบออกมา

 

แม้แต่โจวเหวินอู่ที่เป็นคนในสํานักยังได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นแล้วคนนอกเช่นเขาจะได้รับการปฏิบัติเช่นไร?

 

“อย่างไรซะ ทั้งหมดนี่ก็เป็นความผิดของซงจง และถ้ามันถูกจัดการโดยตรง ก็ลดปัญหาที่จะเกิดกับข้าไปเยอะ…”

 

ที่มุมมืดๆมุมหนึ่ง ฟางหยวนเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก ก่อนจะออกมาเดินบนถนนอย่างไม่เกรงกลัว

 

ความวุ่นวายที่หน้าประตูนั้นเกิดขึ้นแค่ไม่นาน และภายในเมือง มีคนรู้เรื่องนี้ไม่มากและการค้าขายยังดําเนินไปตามปกติ

 

เทียบกับเมืองชิงเย่แล้ว ที่นี่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงเยอะกว่า แม้แต่ผู้หญิงที่นี่ยังพกมีดสั้น นั่นดึงดูดความสนใจของฟางหยวนได้มาก

 

แน่นอนว่ายังมีคุณหนูบอบบางที่ไม่เคยแม้แต่จะออกจากบ้าน แต่ถ้าผู้หญิงทุกคนฝึกวิชายุทธ์ ก็มีคนเพียงหยิบมือที่มีความสามารถมากพอที่จะฝึกได้อยู่ดี

 

ตัวอย่างเด่นๆ เลยก็คือผู้ฝึกยุทธ์ระดับอู่จงจากสํานักกุยหลิง ผู้หญิงที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งมณฑลชิงเหอ

 

“การมาที่มณฑลนี่หลักแล้วก็คือมาส่งระเบิดเวลาอย่างโจวเหวินอู่ และก็หาพืชวิญญาณกลับไป รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย…”

 

น้อยครั้งนักที่ฟางหยวนจะออกจากหุบเขาสันโดษ และตอนนี้ก็มาถึงมณฑลนี้ เขาย่อมไม่อยากกลับไปมือเปล่า

 

เขายังอยากรู้ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับซงจง

 

“หาพืชวิญญาณว่ายากแล้ว ความลับเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์คงยากกว่า แต่ก็น่าจะมีสักคนที่รู้เรื่องนี้”

 

เขากวาดตามองรอบตัว และเห็นตึกหลังใหญ่กับถนนการค้า มีผู้คนมากมายแถวนั้น การค้าดูเป็นไปได้ดี

 

“ตําหนักสี่ทะเล?”

 

ฟางหยวนพึมพํากับตัวเองก่อนจะก้าวเข้าประตู

 

“คุณชายน้อย ท่านกําลังมองหาสิ่งใดรี?”

 

ทันทีที่ก้าวเข้าไป ลูกจ้างในร้านก็เข้ามาหาฟางหยวนพร้อม รอยยิ้ม และไม่มีท่าที่ดูถูกฟางหยวนจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่

 

“ข้าไม่ใช่คนที่นี่ พวกเจ้าที่นี่ขายอะไรรึ?”

 

ฟางหยวนสังเกตในร้านและรู้สึกสงสัย

 

“คุณชายช่างมีรสนิยมดียิ่งนัก! ที่นี่คือตําหนักสี่ทะเล พวกเราเป็นร้านค้าใหญ่ที่สุดในมณฑลชิงเหอ! มีตั้งแต่เสบียงไปจนถึงตํารายุทธ์และอาวุธ ไม่มีอะไรที่เราไม่มีขาย และไม่มีอะไรที่เราจะไม่รับซื้อ!”

 

ลูกจ้างในร้านตอบเขาด้วยท่าทางภูมิใจ

 

“โอ้?!”

 

ฟางหยวนเลิกคิ้ว เข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้โกหก ตําหนักสี่ทะเลดูคล้ายกับจะมีทางการเป็นผู้สนับสนุน หรืออาจจะเป็นของสํานักกุยหลิงเองเลยก็ได้

 

นอกจากคนของสํานักกุยหลิงแล้วเองแล้ว จะมีใครกล้าพูดวางโตขนาดนี้อีกกัน?

 

“เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าขายทุกอย่าง?”

 

“คุณชาย ท่านต้องล้อเล่นแล้ว บนโลกมีทรัพย์สมบัติล้ําค่าตั้งมากมาย ถ้าท่านถามถึงสมบัติในตํานาน เช่นนั้นพวกเราย่อมไม่มี แต่ภายในมณฑลชิงเหอ ถ้าเราไม่มี ก็ไม่มีที่อื่นมีเช่นกัน!”

 

ลูกจ้างยิ้มขณะเอ่ยแย้ง

 

“ก็จริง…”

 

ฟางหยวนฟังก่อนจะรู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าต้องการซื้อพืชวิญญาณสักหน่อย เจ้ามีขายไหม?”

 

“พืชวิญญาณ?”

 

ลูกจ้างกระแอมไอ “ของเช่นนั้นราคาไม่ถูกนะขอรับ!”

 

“อื้ม?”

 

ฟางหยวนประหลาดใจ “เจ้ามีขายจริงๆ รึ?”

 

ภายในสํานักกุยหลิงก็เหมือนจะมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผืนเล็กๆ อยู่ ใช้เป็นที่เพาะปลูกพืชวิญญาณ ดังนั้นถ้าจะมีพืชวิญญาณขายที่นี่บ้าง ก็ไม่น่าประหลาดใจ

 

อย่างไรเสีย ผู้ดูแลหลินก็เคยมอบข้าวหยกแดงให้เขา ดังนั้นตําหนักสี่ทะเลนี้ย่อมไม่ทําให้เขาผิดหวัง

 

“นายท่านต้องการซื้อพืชวิญญาณจริงๆ รึ?”

 

ความสงสัยปรากฏขึ้นเต็มใบหน้าของลูกจ้างผู้นั้น

 

“ไม่ต้องห่วง เจ้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถจ่ายไหวใช่ไหม?”

 

ฟางหยวนมองเขายิ้ม ก่อนจะดึงตั๋วเงินจํานวนหนึ่งออกมา “ พาข้าไปดู!”

 

สําหรับการเดินทางครั้งนี้ ฟางหยวนนของมีค่าทั้งหมดที่เขามีเก็บไว้ในหุบเขามาด้วยทั้งหมดเพื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน แล้วการซื้อพืชวิญญาณหรือข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คงต้องใช้เงินจํานวนมากเช่นกัน

 

“ขอรับ!” ดวงตาของลูกจ้างเปล่งประกายระยิบ “คุณชาย เชิญทางนี้”

 

ภายในตําหนักสี่ทะเลแบ่งเป็นส่วนต่างๆ หลายส่วน หลังจากผ่านม่านกั้นเข้ามาแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงจากด้านนอกอีกเลย

 

“ห้องที่ 13!”

 

ลูกจ้างนาฟางหยวนมาถึงห้องใหญ่ห้องหนึ่ง โค้งคํานับแล้วเดินออกไป

 

ไม่นานนัก ก็มีเด็กสาวสองคนปรากฏตัวขึ้น เชื้อเชิญให้ฟางหยวนลงนั่ง เตรียมน้ําชาและผลไม้ให้

 

“การบริการระดับนี้นี่นับเป็นบรรทัดฐานใหม่ได้เลยหรือไม่นะ?”

 

ฟางหยวนพบว่านี่ออกจะน่าขํา ณ ตอนนี้เอง ที่เขาเห็นชายชราผู้หนึ่งเดินเข้าห้องมา ดูแล้วน่าจะเป็นผู้ดูแล เขาทักทายฟางหยวนก่อนจะถาม “ข้าคือเหล่าเฉียน ผู้ดูแลของตําหนักสี่ทะเล ท่านมองหาพืชวิญญาณงั้นหรือ?”

 

“ถูกต้อง ท่านมีพืชชนิดไหนบ้างเล่า? เรื่องราคาคุยกันได้!”

 

ฟางหยวนโบกมือไปมาดูภูมิฐาน

 

แต่อันที่จริง เขาค่อนข้างกระวนกระวายและไม่แน่ใจว่าเขาพกของมีค่ามามากพอที่จะแลกเปลี่ยนกับพืชวิญญาณหรือไม่

 

“พืชวิญญาณ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ของหายาก และที่ตําหนักเราก็ขายสินค้านี้ไปเป็นจํานวนมาก แต่มีน้อยคนที่จะสามารถเพาะปลูกมันได้ และครอบครัวเศรษฐีมากมายกลายเป็นยาจกเพราะการนี้ คุณชาย ท่านต้องคิดให้รอบคอบนะ!”

 

เหล่าเฉียนให้คําแนะนํา “อย่างไรก็ตาม มีเพียงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้นที่จะสามารถเพาะปลูกพืชวิญญาณได้ในบริมาณมาก และทั้งมณฑลชิงเหอ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียวนั้นอยู่ในความครอบครองของสํานักกุยหลิง ดังนั้นผู้อื่นนั้น…”

 

เขาส่ายหน้า สีหน้าบอกทุกอย่างออกมาหมด

 

“แต่ถ้าคนผู้หนึ่งยอมเสียเวลาและเงินทอง และใช้ความพยายามทั้งหมดในการดูแลมัน ก็มีโอกาสเล็กน้อยที่จะสามารถปลูกพืชวิญญาณแตกหน่อออกผลได้ ไม่อย่างนั้น พืชวิญญาณหายากจะเติบโตขึ้นในป่าเขาได้อย่างไร?”

 

ฟางหยวน ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการดูแลพืช และยังมีประสบการณ์การปลูกพืชวิญญาณด้วยตัวเอง และด้วยประสบการณ์นั้น เขาสามารถตอบออกมาได้โดยไม่ลังเล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+