Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับราชันเร้นลับ 1159 : ยืนยัน

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 1159 : ยืนยัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ประทานพรไม่ได้…เดอร์ริคสับสนเล็กน้อยกับคำตอบ ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก

ย้อนกลับไปสมัยอยู่ในค่ายหมู่บ้านยามบ่าย ในตอนที่ยื่นสูตรโอสถอัศวินสีเงินให้เจ้าเมืองโคลินอีเลียด อีกฝ่ายออกปากชมเชยเดอร์ริคว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ นั่นส่งผลให้เด็กหนุ่มเข้าใจว่าขีดจำกัดของเมืองเงินพิสุทธิ์จะไม่ใช่แค่ลำดับสี่ อีกต่อไป และคำพูดของเจ้าเมืองก็ไม่เคยสื่อว่า ปัจจุบันยังขาดการประทานพรจากภายนอก

ส่งผลให้เดอร์ริคเชื่อมาตลอดว่า เจ้าเมืองสามารถใช้สมบัติปิดผนึกระดับเทพทั้งสองชิ้นในการประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นอัศวินสีเงิน จึงเป็นเรื่องปรกติที่จะแสดงท่าทีประหลาดใจ

ในตอนนั้นท่านเจ้าเมืองยังไม่ทราบว่าสมบัติปิดผนึกทั้งสองมิอาจประทานพร…เพิ่งมารู้ตัวหลังจากกลับถึงเมือง? เดอร์ริคคาดเดาบางสิ่งตามความเคยชิน จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าว

“ครับ…ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านเจ้าเมืองได้รับพรจากเทพ”

นักล่าปีศาจโคลินถอนหายใจแผ่ว ชี้ไปทางประตูห้องและกล่าว

“ห้องฝั่งตรงข้ามไม่มีใครอยู่”

เดอร์ริคหันหลังกลับ เดินผ่านกรอบประตูข้ามทางเดินไปยังห้องที่เปิดแง้ม

จากนั้นก็นั่งลงและสวดวิงวอนเสียงแผ่ว

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย”

“ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา”

“ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”

ภายในปราสาทต้นกำเนิดที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางสายหมอกสีเทา ดวงดาวสีแดงเข้มตัวแทนเดอะซันยุบพองเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง รอบดวงดาวมีวงกลมที่คอยเปล่งเสียงสวดวิงวอน

ห่างออกไปไม่ไกลดาวแดงที่เป็นตัวแทน ‘เมจิกเชี่ยน’ เองก็อยู่ในสภาพคล้ายคลึงเนื่องจากเดอะฟูลยังมิได้ตอบสนอง ระลอกคลื่นและแรงกระเพื่อมที่แผ่ออกมาจากดาวทั้งสองดวง ซ้อนทับกันจนกลายเป็นแสงสีเข้ม

ท่ามกลางสายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะ ไคลน์ซึ่งถือตะเกียงหนังสัตว์เดินท่ามกลางหุบเขาและลำธาร ได้ยินเสียงวิงวอนมายาดังขึ้นข้างใบหู

แต่ในคราวนี้ชายหนุ่มพบว่าตนได้ยินเสียงค่อนข้างคมชัด ไม่เพียงจะแยกแยะได้ว่าคำวิงวอนมาจากหญิงหนึ่งชายหนึ่ง แต่ยังเข้าใจเนื้อหาบางส่วนได้อย่างชัดเจน ฝ่ายหญิงกล่าวถึงเดอะเวิร์ลและกรุงเบ็คลันด์ ฝ่ายชายพูดเป็นภาษาคนยักษ์ เนื้อหาเกี่ยวกับพิธีกรรม

พิธีกรรม…คนยักษ์…จากเดอะซันน้อยสินะ…หืม…เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ต้องการพรจากเดอะฟูล? แต่ตอนนี้เดอะฟูลกำลังต้องการพรจากใครสักคน…ฝ่ายหญิงอาจเป็นมิสเมจิกเชี่ยน แต่ก็อาจเป็นมิสจัสติสได้เช่นกัน…มุมปากไคลน์กระตุกด้วยความกระอักกระอ่วน สายตาชำเลืองไปทางบุรุษสวมหมวกปลายแหลมด้านข้าง

“ขอเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดเพื่อตอบสนองคำวิงวอนได้ไหม”

“คิดว่ายังไงล่ะ?” อามุนด์ผงะเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยสีหน้าขบขัน

“ในเมื่ออยากเล่นเกม แล้วทำไมไม่ทำให้มันตื่นเต้นสักหน่อยล่ะ?” อันที่จริงไคลน์มิได้คาดหวังมากนัก เพราะหากอามุนด์ปล่อยให้ตนเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดจริง ความยากลำบากที่กำลังเผชิญอยู่จะจบลงทันที ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้อามุนด์ปล่อยเป็นอิสระ

เหตุผลที่มันเกริ่นขึ้นมาก็เพื่อชักนำไปยังบทสนทนาถัดไป

อามุนด์จับกรอบแว่นผลักแก้วพลางยิ้ม

“ในฐานะเทพแห่งการกลั่นแกล้ง ข้ามีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยที่สามจวบจนปัจจุบัน เจ้าคงเข้าใจความหมายใช่ไหม…จะถามอะไรล่ะ?”

…สามารถวิเคราะห์ความคิดและสภาพจิตใจของเราอย่างแม่นยำ…ไคลน์ถอนหายใจเงียบและถาม

“ในตอนนั้นทำไมคุณถึงยึดครองร่างทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์? แถมยังอดทนอยู่ในคุกใต้ดินมานานหลายสิบปี”

อามุนด์พยักหน้า ตอบด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าจะได้พบข้อมูลสำคัญภายในเมืองเงินพิสุทธิ์…และตอนนี้คำทำนายก็เป็นจริงแล้ว ใช่ไหมล่ะมิสเตอร์ฟูล?”

…ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อรอเรากับชุมนุมทาโรต์? ดูเหมือนว่าราชาเทวทูตเส้นทางนักจารกรรม สามารถมองเห็นการแทรกแซงในเชิงชะตากรรมจากฝีมือปราสาทต้นกำเนิดได้ในระดับหนึ่ง…ไคลน์คาดไม่ถึงกับคำตอบ จึงดำเนินบทสนทนาต่อไปไม่ถูก

ผ่านไปราวสิบวินาที ชายหนุ่มถอนหายใจ

“เป็นคนที่อดทนมาก”

ราชาเทวทูตที่ชอบกลั่นแกล้งและเล่นสนุก กลับยอมถูกขังอยู่ในคุกที่น่าเบื่อนานหลายสิบปี

“ไม่เกี่ยวกับความอดทน…ระยะเวลาที่ข้ารอคอยมิได้นานแต่อย่างใด” อามุนด์ตอบหน้านิ่ง

…เรายังติดนิสัยชอบนำบรรทัดฐานของมนุษย์ไปเปรียบกับเทพ…สำหรับอามุนด์ที่เกิดมาเป็นสัตว์ในตำนาน ระยะเวลาสิบปีคงน้อยนิดจนแทบไม่รู้สึก อายุจริงของชายคนนี้อาจมากกว่าสามพันปีด้วยซ้ำ…ไคลน์ปรับความเข้าใจใหม่จากนั้นก็เปลี่ยนคำถาม

“เมืองเงินพิสุทธิ์เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่ยังศรัทธาในบิดาของคุณ…การทำแบบนั้นกับทีมสำรวจ ไม่คิดว่าเล่นแรงไปหน่อยหรือ”

คำถามดังกล่าวอาจฟังดูไม่สำคัญ แต่ไคลน์เชื่อว่าคำตอบของอีกฝ่ายจะช่วยให้ตนเข้าใจแนวคิดและสามัญสำนึกของอามุนด์มากขึ้น ในอนาคตอาจนำมาใช้ประโยชน์ได้

อามุนด์เอียงคอ ชำเลืองด้วยหางตาข้างที่สวมแว่น กล่าวพลางยิ้มเจือจาง

“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาศรัทธาในบิดา…ป่านนี้คงกลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว…หึหึ…จากการสังเกตของข้า พวกเขาซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่ไว้ด้านใน ส่วนจะเป็นสิ่งใดนั้นเนื่องจากมีสายตาจากเจ้าและแฮงแมนคอยเฝ้ามอง ข้าจึงไม่มีโอกาสตรวจสอบยืนยัน”

…การเป็นสัตว์ในตำนานตั้งแต่เกิดคงทำให้อามุนด์ไม่เห็นคุณค่าของชีวิต…คงเหมือนกับการบี้มดสักตัวสองตัว…ภายในเมืองเงินพิสุทธิ์เก็บซ่อนความลับที่แม้แต่อามุนด์ก็ยังมองเป็นเรื่องใหญ่…เป็นความลับแบบไหนกัน? ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อ

“เทวทูตมืด ซาสเรีย ถูกสร้างขึ้นจากซี่โครงของบิดาคุณจริงหรือ”

นี่คือสิ่งที่ไคลน์อยากถามมานาน แต่ไม่สบโอกาสสักที

รอยยิ้มอามุนด์จางไปหลายส่วน มันมองตรงเข้าไปในความมืดเบื้องหน้าก่อนจะตอบ

“ใช่…พระบิดาแยกตะกอนพลังของตัวเองบางส่วนออกมาพร้อมกับบุคลิกภาพด้านลบบางอย่าง จากนั้นก็ใช้ซี่โครงเป็นสื่อกลางเพื่อสร้างเทวทูตมืด ซาสเรีย…หากไม่แล้ว จะมีเหตุผลใดให้สหายผู้จองหองอย่างเมดีซียอมเชื่อฟังคำสั่งของหัตถ์ซ้ายแห่งเทพรองประมุขแห่งสวรรค์? หากปราศจากการทรยศจากซาสเรีย รวมถึงการมีส่วนร่วมและอิทธิพลบางอย่าง ลำพังรัตติกาล ธรณี เทพสงคราม และราชาเทวทูตตนอื่น คงไม่มีปัญญาทำให้พระบิดาร่วงหล่นได้”

อย่างนี้นี่เอง…เทวทูตมืด ซาสเรีย คือกุญแจสำคัญของแผนการทั้งหมด…เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพธิดาถึงต้องล่อลวงอีกฝ่ายตั้งแต่ต้น…ใครจะไปคิดว่าเทวทูตมืดจะทรยศตัวเอง? เมื่อข้อสันนิษฐานของไคลน์เกี่ยวกับศึกแห่งทวยเทพได้รับการยืนยัน โอสถปราชญ์โบราณเริ่มย่อยไปอีกระดับ

มันลังเลสักพักก่อนจะถามเชิงคาดเดา

“ไม่ใช่ว่าบิดาของคุณมองเห็นอนาคตเช่นนี้อยู่แล้วหรือ? จึงสร้างเทวทูตมืด ซาสเรีย เพื่อเป็นกุญแจสำคัญในการคืนชีพ”

อามุนด์หัวเราะในลำคอ

“เจ้าถามมากมายเช่นนี้เพื่อย่อยโอสถปราชญ์โบราณใช่ไหม”

“…” ไคลน์แสร้งทำเป็นเหงื่อแตก จากนั้นก็เรียบเรียงคำพูดและกล่าวออกไป

“ผมแค่สงสัย…คุณกำลังค้นหาหรือไล่ตามสิ่งใดในดินแดนเทพทอดทิ้ง? ที่นี่ไม่มีตะกอนพลังลำดับหนึ่ง ของเส้นทางนักจารกรรม ไม่มีปราสาทต้นกำเนิด…หรือว่ากำลังพยายามคืนชีพให้บิดา?”

อามุนด์มองตรงไปข้างหน้าโดยยังรักษารอยยิ้ม

“ใช่และไม่ใช่…พี่ชายขี้ระแวงของข้าใกล้จะชุบชีวิตพระบิดาสำเร็จแล้ว คงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าอีก”

อาดัมต้องการชุบชีวิตให้เทพสุริยันบรรพกาล? เราคิดว่าทั้งหมดที่เขาทำไป เพียงเพื่อเลื่อนเป็นลำดับศูนย์ เสียอีก…ไคลน์เอ่ยนามของผู้นำสภานักสิทธิ์สนธยาออกมาตรง ๆ โดยไม่เกรงกลัว

มันยังคาดหวังให้อีกฝ่ายโผล่ออกมาสาวหมัดใส่น้องชายตัวเอง

แต่แน่นอนการ ‘สาวหมัดใส่’ ฟังดูไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของเทวทูตเส้นทางผู้ชมสักเท่าไร

“ไม่ต้องเอ่ยนามเขา…เขาจะไม่แทรกแซงเรื่องของข้า และข้าก็จะไม่แทรกแซงเรื่องของเขา…การที่ข้าไม่เรียกว่าอาดัม เพราะคิดว่าชื่อเล่น ‘พี่ชายจอมหวาดระแวง’ ฟังดูเหมาะสมกว่า…ต้องยอมรับว่าเมดีซีมีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อเล่น…และต่อให้ข้าเอ่ยชื่อของเขา แต่ถ้าไม่ต้องการให้เขาได้ยิน เขาก็จะไม่ได้ยิน” อามุนด์ที่สวมหมวกปลายแหลม เปิดโปงความคิดไคลน์อย่างทะลุปรุโปร่ง

ถัดมาไคลน์ไม่ถามซักไซ้เกี่ยวกับเทวทูตมืดอีก เพราะอามุนด์คงไม่ตอบอะไร

ผ่านไปสักพักหนึ่งคนหนึ่งเทวทูตเดินออกจากหุบเขาและลำธาร ด้านหน้าเป็นเมืองที่เงียบสงัด

อาคารกว่าครึ่งของเมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง ส่วนที่ยังหลงเหลือ โดยมากมีลักษณะเป็นยอดปลายแหลม ประหนึ่งหอคอยที่ทอดยาวขึ้นไปยังสรวงสวรรค์

บนผิวอาคารเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีแดงเข้ม รวมถึงผลของมันที่กินได้ไหมก็มิอาจทราบ

หลังจากเข้าไปด้านใน ไคลน์พบว่าหน้าบ้านทุกหลังมีโลงศพวางอยู่ ด้านในเป็นกระดูกหรือซากศพเน่าเปื่อย

จุดร่วมกันของทุกศพคือการกลายพันธุ์ที่รุนแรง บางศพมีสี่ขา บางศพมีรอยแยกตรงหว่างคิ้ว บางศพไม่มีหนัง เผยให้เห็นเลือดเนื้อด้านในโดยตรง และบางศพมีแขนโอบล้อมลำคอคล้ายหาง

“ที่นี่เคยนับถือฟีนิกซ์ ในภายหลังหันมานับถือพระบิดา แต่ยังคงหลงเหลือธรรมเนียมเกี่ยวกับความตายไว้บางส่วน” อามุนด์ที่สวมแว่นเดินเข้าไปอย่างไร้จุดหมาย จากนั้นก็เล่าต่อ “หลังจากมหาภัยพิบัติ พวกเขาถูกทิ้งให้อยู่ท่ามกลางความมืด แต่เนื่องจากไม่มีพืชที่กินได้ แหล่งอาหารเดียวจึงเป็นซากศพสัตว์ประหลาด และนั่นส่งผลให้ร่างกายเกิดการกลายพันธุ์ จิตใจเริ่มบิดเบี้ยว จนกระทั่งเมืองถูกทำลายไป”

มหาภัยพิบัติซึ่งเกิดจากการที่เทพธิดาลอบสังหารพระผู้สร้าง กลายเป็นต้นกำเนิดของการล่มสลายทางอารยธรรมครั้งใหญ่…ก่อนหน้านี้มีทั้งเอลฟ์ คนยักษ์ ฟีนิกซ์ และอีกหลายสายพันธุ์บนดินแดนแห่งนี้ แต่ในภายหลังกลับสูญสิ้นไปเกือบหมด เหลือเพียงร่องรอยเจือจาง…ไคลน์จินตนาการถึงเมืองที่เจริญรุ่งเรืองก่อนจะถูกกลืนกิน จากนั้นก็ถอนหายใจกับตัวเอง

สมแล้วที่หนังสือประวัติศาสตร์และศาสตร์เร้นลับ เรียกขานช่วงเวลาดังกล่าวว่า ‘มหาภัยพิบัติ’ แห่งประวัติศาสตร์

ชายหนุ่มเว้นวรรคสักพักก่อนจะพูด

“ทำไมพวกเราถึงเข้ามาในเมืองแทนที่จะอ้อม?”

อามุนด์ตอบพลางยิ้ม

“ในยุคสมัยที่สอง ต้นตระกูลฟีนิกซ์ไม่เพียงจะถือครองเส้นทางมรณา แต่ยังถือครองอำนาจบางส่วนในเส้นทางผู้ฝึกหัด ของตกแต่งบางชิ้นของที่นี่จึงกลายเป็นช่องโหว่ช่วยให้ข้าสามารถย่นระยะทางลง”

สีหน้าไคลน์พลันดำมืด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับราชันเร้นลับ 1159 : ยืนยัน

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 1159 : ยืนยัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ประทานพรไม่ได้…เดอร์ริคสับสนเล็กน้อยกับคำตอบ ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก

ย้อนกลับไปสมัยอยู่ในค่ายหมู่บ้านยามบ่าย ในตอนที่ยื่นสูตรโอสถอัศวินสีเงินให้เจ้าเมืองโคลินอีเลียด อีกฝ่ายออกปากชมเชยเดอร์ริคว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ นั่นส่งผลให้เด็กหนุ่มเข้าใจว่าขีดจำกัดของเมืองเงินพิสุทธิ์จะไม่ใช่แค่ลำดับสี่ อีกต่อไป และคำพูดของเจ้าเมืองก็ไม่เคยสื่อว่า ปัจจุบันยังขาดการประทานพรจากภายนอก

ส่งผลให้เดอร์ริคเชื่อมาตลอดว่า เจ้าเมืองสามารถใช้สมบัติปิดผนึกระดับเทพทั้งสองชิ้นในการประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นอัศวินสีเงิน จึงเป็นเรื่องปรกติที่จะแสดงท่าทีประหลาดใจ

ในตอนนั้นท่านเจ้าเมืองยังไม่ทราบว่าสมบัติปิดผนึกทั้งสองมิอาจประทานพร…เพิ่งมารู้ตัวหลังจากกลับถึงเมือง? เดอร์ริคคาดเดาบางสิ่งตามความเคยชิน จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าว

“ครับ…ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านเจ้าเมืองได้รับพรจากเทพ”

นักล่าปีศาจโคลินถอนหายใจแผ่ว ชี้ไปทางประตูห้องและกล่าว

“ห้องฝั่งตรงข้ามไม่มีใครอยู่”

เดอร์ริคหันหลังกลับ เดินผ่านกรอบประตูข้ามทางเดินไปยังห้องที่เปิดแง้ม

จากนั้นก็นั่งลงและสวดวิงวอนเสียงแผ่ว

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย”

“ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา”

“ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”

ภายในปราสาทต้นกำเนิดที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางสายหมอกสีเทา ดวงดาวสีแดงเข้มตัวแทนเดอะซันยุบพองเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง รอบดวงดาวมีวงกลมที่คอยเปล่งเสียงสวดวิงวอน

ห่างออกไปไม่ไกลดาวแดงที่เป็นตัวแทน ‘เมจิกเชี่ยน’ เองก็อยู่ในสภาพคล้ายคลึงเนื่องจากเดอะฟูลยังมิได้ตอบสนอง ระลอกคลื่นและแรงกระเพื่อมที่แผ่ออกมาจากดาวทั้งสองดวง ซ้อนทับกันจนกลายเป็นแสงสีเข้ม

ท่ามกลางสายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะ ไคลน์ซึ่งถือตะเกียงหนังสัตว์เดินท่ามกลางหุบเขาและลำธาร ได้ยินเสียงวิงวอนมายาดังขึ้นข้างใบหู

แต่ในคราวนี้ชายหนุ่มพบว่าตนได้ยินเสียงค่อนข้างคมชัด ไม่เพียงจะแยกแยะได้ว่าคำวิงวอนมาจากหญิงหนึ่งชายหนึ่ง แต่ยังเข้าใจเนื้อหาบางส่วนได้อย่างชัดเจน ฝ่ายหญิงกล่าวถึงเดอะเวิร์ลและกรุงเบ็คลันด์ ฝ่ายชายพูดเป็นภาษาคนยักษ์ เนื้อหาเกี่ยวกับพิธีกรรม

พิธีกรรม…คนยักษ์…จากเดอะซันน้อยสินะ…หืม…เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ต้องการพรจากเดอะฟูล? แต่ตอนนี้เดอะฟูลกำลังต้องการพรจากใครสักคน…ฝ่ายหญิงอาจเป็นมิสเมจิกเชี่ยน แต่ก็อาจเป็นมิสจัสติสได้เช่นกัน…มุมปากไคลน์กระตุกด้วยความกระอักกระอ่วน สายตาชำเลืองไปทางบุรุษสวมหมวกปลายแหลมด้านข้าง

“ขอเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดเพื่อตอบสนองคำวิงวอนได้ไหม”

“คิดว่ายังไงล่ะ?” อามุนด์ผงะเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยสีหน้าขบขัน

“ในเมื่ออยากเล่นเกม แล้วทำไมไม่ทำให้มันตื่นเต้นสักหน่อยล่ะ?” อันที่จริงไคลน์มิได้คาดหวังมากนัก เพราะหากอามุนด์ปล่อยให้ตนเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดจริง ความยากลำบากที่กำลังเผชิญอยู่จะจบลงทันที ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้อามุนด์ปล่อยเป็นอิสระ

เหตุผลที่มันเกริ่นขึ้นมาก็เพื่อชักนำไปยังบทสนทนาถัดไป

อามุนด์จับกรอบแว่นผลักแก้วพลางยิ้ม

“ในฐานะเทพแห่งการกลั่นแกล้ง ข้ามีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยที่สามจวบจนปัจจุบัน เจ้าคงเข้าใจความหมายใช่ไหม…จะถามอะไรล่ะ?”

…สามารถวิเคราะห์ความคิดและสภาพจิตใจของเราอย่างแม่นยำ…ไคลน์ถอนหายใจเงียบและถาม

“ในตอนนั้นทำไมคุณถึงยึดครองร่างทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์? แถมยังอดทนอยู่ในคุกใต้ดินมานานหลายสิบปี”

อามุนด์พยักหน้า ตอบด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าจะได้พบข้อมูลสำคัญภายในเมืองเงินพิสุทธิ์…และตอนนี้คำทำนายก็เป็นจริงแล้ว ใช่ไหมล่ะมิสเตอร์ฟูล?”

…ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อรอเรากับชุมนุมทาโรต์? ดูเหมือนว่าราชาเทวทูตเส้นทางนักจารกรรม สามารถมองเห็นการแทรกแซงในเชิงชะตากรรมจากฝีมือปราสาทต้นกำเนิดได้ในระดับหนึ่ง…ไคลน์คาดไม่ถึงกับคำตอบ จึงดำเนินบทสนทนาต่อไปไม่ถูก

ผ่านไปราวสิบวินาที ชายหนุ่มถอนหายใจ

“เป็นคนที่อดทนมาก”

ราชาเทวทูตที่ชอบกลั่นแกล้งและเล่นสนุก กลับยอมถูกขังอยู่ในคุกที่น่าเบื่อนานหลายสิบปี

“ไม่เกี่ยวกับความอดทน…ระยะเวลาที่ข้ารอคอยมิได้นานแต่อย่างใด” อามุนด์ตอบหน้านิ่ง

…เรายังติดนิสัยชอบนำบรรทัดฐานของมนุษย์ไปเปรียบกับเทพ…สำหรับอามุนด์ที่เกิดมาเป็นสัตว์ในตำนาน ระยะเวลาสิบปีคงน้อยนิดจนแทบไม่รู้สึก อายุจริงของชายคนนี้อาจมากกว่าสามพันปีด้วยซ้ำ…ไคลน์ปรับความเข้าใจใหม่จากนั้นก็เปลี่ยนคำถาม

“เมืองเงินพิสุทธิ์เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่ยังศรัทธาในบิดาของคุณ…การทำแบบนั้นกับทีมสำรวจ ไม่คิดว่าเล่นแรงไปหน่อยหรือ”

คำถามดังกล่าวอาจฟังดูไม่สำคัญ แต่ไคลน์เชื่อว่าคำตอบของอีกฝ่ายจะช่วยให้ตนเข้าใจแนวคิดและสามัญสำนึกของอามุนด์มากขึ้น ในอนาคตอาจนำมาใช้ประโยชน์ได้

อามุนด์เอียงคอ ชำเลืองด้วยหางตาข้างที่สวมแว่น กล่าวพลางยิ้มเจือจาง

“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาศรัทธาในบิดา…ป่านนี้คงกลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว…หึหึ…จากการสังเกตของข้า พวกเขาซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่ไว้ด้านใน ส่วนจะเป็นสิ่งใดนั้นเนื่องจากมีสายตาจากเจ้าและแฮงแมนคอยเฝ้ามอง ข้าจึงไม่มีโอกาสตรวจสอบยืนยัน”

…การเป็นสัตว์ในตำนานตั้งแต่เกิดคงทำให้อามุนด์ไม่เห็นคุณค่าของชีวิต…คงเหมือนกับการบี้มดสักตัวสองตัว…ภายในเมืองเงินพิสุทธิ์เก็บซ่อนความลับที่แม้แต่อามุนด์ก็ยังมองเป็นเรื่องใหญ่…เป็นความลับแบบไหนกัน? ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อ

“เทวทูตมืด ซาสเรีย ถูกสร้างขึ้นจากซี่โครงของบิดาคุณจริงหรือ”

นี่คือสิ่งที่ไคลน์อยากถามมานาน แต่ไม่สบโอกาสสักที

รอยยิ้มอามุนด์จางไปหลายส่วน มันมองตรงเข้าไปในความมืดเบื้องหน้าก่อนจะตอบ

“ใช่…พระบิดาแยกตะกอนพลังของตัวเองบางส่วนออกมาพร้อมกับบุคลิกภาพด้านลบบางอย่าง จากนั้นก็ใช้ซี่โครงเป็นสื่อกลางเพื่อสร้างเทวทูตมืด ซาสเรีย…หากไม่แล้ว จะมีเหตุผลใดให้สหายผู้จองหองอย่างเมดีซียอมเชื่อฟังคำสั่งของหัตถ์ซ้ายแห่งเทพรองประมุขแห่งสวรรค์? หากปราศจากการทรยศจากซาสเรีย รวมถึงการมีส่วนร่วมและอิทธิพลบางอย่าง ลำพังรัตติกาล ธรณี เทพสงคราม และราชาเทวทูตตนอื่น คงไม่มีปัญญาทำให้พระบิดาร่วงหล่นได้”

อย่างนี้นี่เอง…เทวทูตมืด ซาสเรีย คือกุญแจสำคัญของแผนการทั้งหมด…เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพธิดาถึงต้องล่อลวงอีกฝ่ายตั้งแต่ต้น…ใครจะไปคิดว่าเทวทูตมืดจะทรยศตัวเอง? เมื่อข้อสันนิษฐานของไคลน์เกี่ยวกับศึกแห่งทวยเทพได้รับการยืนยัน โอสถปราชญ์โบราณเริ่มย่อยไปอีกระดับ

มันลังเลสักพักก่อนจะถามเชิงคาดเดา

“ไม่ใช่ว่าบิดาของคุณมองเห็นอนาคตเช่นนี้อยู่แล้วหรือ? จึงสร้างเทวทูตมืด ซาสเรีย เพื่อเป็นกุญแจสำคัญในการคืนชีพ”

อามุนด์หัวเราะในลำคอ

“เจ้าถามมากมายเช่นนี้เพื่อย่อยโอสถปราชญ์โบราณใช่ไหม”

“…” ไคลน์แสร้งทำเป็นเหงื่อแตก จากนั้นก็เรียบเรียงคำพูดและกล่าวออกไป

“ผมแค่สงสัย…คุณกำลังค้นหาหรือไล่ตามสิ่งใดในดินแดนเทพทอดทิ้ง? ที่นี่ไม่มีตะกอนพลังลำดับหนึ่ง ของเส้นทางนักจารกรรม ไม่มีปราสาทต้นกำเนิด…หรือว่ากำลังพยายามคืนชีพให้บิดา?”

อามุนด์มองตรงไปข้างหน้าโดยยังรักษารอยยิ้ม

“ใช่และไม่ใช่…พี่ชายขี้ระแวงของข้าใกล้จะชุบชีวิตพระบิดาสำเร็จแล้ว คงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าอีก”

อาดัมต้องการชุบชีวิตให้เทพสุริยันบรรพกาล? เราคิดว่าทั้งหมดที่เขาทำไป เพียงเพื่อเลื่อนเป็นลำดับศูนย์ เสียอีก…ไคลน์เอ่ยนามของผู้นำสภานักสิทธิ์สนธยาออกมาตรง ๆ โดยไม่เกรงกลัว

มันยังคาดหวังให้อีกฝ่ายโผล่ออกมาสาวหมัดใส่น้องชายตัวเอง

แต่แน่นอนการ ‘สาวหมัดใส่’ ฟังดูไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของเทวทูตเส้นทางผู้ชมสักเท่าไร

“ไม่ต้องเอ่ยนามเขา…เขาจะไม่แทรกแซงเรื่องของข้า และข้าก็จะไม่แทรกแซงเรื่องของเขา…การที่ข้าไม่เรียกว่าอาดัม เพราะคิดว่าชื่อเล่น ‘พี่ชายจอมหวาดระแวง’ ฟังดูเหมาะสมกว่า…ต้องยอมรับว่าเมดีซีมีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อเล่น…และต่อให้ข้าเอ่ยชื่อของเขา แต่ถ้าไม่ต้องการให้เขาได้ยิน เขาก็จะไม่ได้ยิน” อามุนด์ที่สวมหมวกปลายแหลม เปิดโปงความคิดไคลน์อย่างทะลุปรุโปร่ง

ถัดมาไคลน์ไม่ถามซักไซ้เกี่ยวกับเทวทูตมืดอีก เพราะอามุนด์คงไม่ตอบอะไร

ผ่านไปสักพักหนึ่งคนหนึ่งเทวทูตเดินออกจากหุบเขาและลำธาร ด้านหน้าเป็นเมืองที่เงียบสงัด

อาคารกว่าครึ่งของเมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง ส่วนที่ยังหลงเหลือ โดยมากมีลักษณะเป็นยอดปลายแหลม ประหนึ่งหอคอยที่ทอดยาวขึ้นไปยังสรวงสวรรค์

บนผิวอาคารเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีแดงเข้ม รวมถึงผลของมันที่กินได้ไหมก็มิอาจทราบ

หลังจากเข้าไปด้านใน ไคลน์พบว่าหน้าบ้านทุกหลังมีโลงศพวางอยู่ ด้านในเป็นกระดูกหรือซากศพเน่าเปื่อย

จุดร่วมกันของทุกศพคือการกลายพันธุ์ที่รุนแรง บางศพมีสี่ขา บางศพมีรอยแยกตรงหว่างคิ้ว บางศพไม่มีหนัง เผยให้เห็นเลือดเนื้อด้านในโดยตรง และบางศพมีแขนโอบล้อมลำคอคล้ายหาง

“ที่นี่เคยนับถือฟีนิกซ์ ในภายหลังหันมานับถือพระบิดา แต่ยังคงหลงเหลือธรรมเนียมเกี่ยวกับความตายไว้บางส่วน” อามุนด์ที่สวมแว่นเดินเข้าไปอย่างไร้จุดหมาย จากนั้นก็เล่าต่อ “หลังจากมหาภัยพิบัติ พวกเขาถูกทิ้งให้อยู่ท่ามกลางความมืด แต่เนื่องจากไม่มีพืชที่กินได้ แหล่งอาหารเดียวจึงเป็นซากศพสัตว์ประหลาด และนั่นส่งผลให้ร่างกายเกิดการกลายพันธุ์ จิตใจเริ่มบิดเบี้ยว จนกระทั่งเมืองถูกทำลายไป”

มหาภัยพิบัติซึ่งเกิดจากการที่เทพธิดาลอบสังหารพระผู้สร้าง กลายเป็นต้นกำเนิดของการล่มสลายทางอารยธรรมครั้งใหญ่…ก่อนหน้านี้มีทั้งเอลฟ์ คนยักษ์ ฟีนิกซ์ และอีกหลายสายพันธุ์บนดินแดนแห่งนี้ แต่ในภายหลังกลับสูญสิ้นไปเกือบหมด เหลือเพียงร่องรอยเจือจาง…ไคลน์จินตนาการถึงเมืองที่เจริญรุ่งเรืองก่อนจะถูกกลืนกิน จากนั้นก็ถอนหายใจกับตัวเอง

สมแล้วที่หนังสือประวัติศาสตร์และศาสตร์เร้นลับ เรียกขานช่วงเวลาดังกล่าวว่า ‘มหาภัยพิบัติ’ แห่งประวัติศาสตร์

ชายหนุ่มเว้นวรรคสักพักก่อนจะพูด

“ทำไมพวกเราถึงเข้ามาในเมืองแทนที่จะอ้อม?”

อามุนด์ตอบพลางยิ้ม

“ในยุคสมัยที่สอง ต้นตระกูลฟีนิกซ์ไม่เพียงจะถือครองเส้นทางมรณา แต่ยังถือครองอำนาจบางส่วนในเส้นทางผู้ฝึกหัด ของตกแต่งบางชิ้นของที่นี่จึงกลายเป็นช่องโหว่ช่วยให้ข้าสามารถย่นระยะทางลง”

สีหน้าไคลน์พลันดำมืด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+