Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับราชันเร้นลับ 1225 : ปลอบประโลม

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 1225 : ปลอบประโลม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไคลน์รู้สึกเห็นใจเมื่อได้ยินคำพูดแสนหดหู่เจอสับสนของมิสจัสติส เพราะมันเองก็เคยคิดแบบเดียวกัน

มันเรียบเรียงคำพูดก่อนจะกล่าวตามเนื้อหาของหนังสือปลุกใจที่เคยอ่าน

“ความตายของบิดาผู้หนึ่งอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กสำหรับอาณาจักรโลเอ็น แต่นั่นคือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของครอบครัวและเด็กคนหนึ่งไปตลอดกาล…ในทำนองเดียวกัน หากก้าวไปไม่ถึงระดับเทวทูต มนุษย์อายุขัยสั้นทุกคนล้วนมีจุดจบไม่ต่างกัน – ตายและถูกฝัง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาไร้ความหมายหรือเปล่าประโยชน์”

จัสติสออเดรย์ผงกศีรษะรับเมื่อได้ยิน ตามด้วยการกล่าวตัดพ้ออีกครั้ง

“ดิฉันเข้าใจความหมาย แต่ความลับที่คุณเพิ่งถ่ายทอดนั้นยิ่งใหญ่จนกระทบกระเทือนจิตใจดิฉันอย่างหนัก ยากที่จะควบคุมอารมณ์ไว้ได้…ทั้งที่เป็นนักจิตบำบัด แต่ดิฉันกลับต้องการใครสักคนมาช่วยปลอบใจเหมือนกัน…”

ไคลน์ยิ้ม

“นั่นเป็นเรื่องปรกติ…มีหลายครั้งที่คนเรามองไม่เห็นปัญหาของตัวเองแม้จะชี้ข้อบกพร่องของคนอื่นได้อย่างแม่นยำ…คุณเคยเล่าให้ผมฟังว่า คุณกับซูซี่ต้องคอยปลอบประโลมกันและกันอย่างต่อเนื่อง”

เนื่องจากดอนดันเตสเคยพบกับซูซี่แล้ว ออเดรย์จึงไม่ปิดบังข้อมูลในการสนทนาหลังจากนั้น

หญิงสาวพยักหน้า

“ค่ะ นั่นสินะ…ฉันคิดออกแล้ว…หลังจากนี้แค่ทำเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลังก็พอ”

จิตใจของหญิงสาวดีขึ้นตามลำดับ

ไคลน์จึงกล่าว

“ไม่ใช่แค่การทำไปเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลัง แต่ความสำเร็จเล็กๆ ของเราอาจเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ช่วยยับยั้งวันสิ้นโลกสำเร็จ…ผลงานของเราอาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับภาพรวม แต่ทะเลทรายกว้างใหญ่ก็ยังประกอบกันจากทรายเม็ดเล็ก มหาสมุทรกว้างใหญ่เกิดจากการรวมตัวของหยดน้ำ ตราบใดที่ทุกคนคอยส่งต่อความร้อนและแบ่งปันแสงสว่างให้กันและกัน ความหวังก็ยังมีให้เห็นเสมอ”

“ส่งต่อความร้อนและแบ่งปันแสงสว่าง…” ออเดรย์พึมพำคำเกอร์มันสแปร์โรว์แผ่วเบา

“ผมไม่ได้คิดเองหรอกนะ” ไคลน์ยิ้มพลางเสริม

ออเดรย์ยกมุมปากพร้อมกับยิ้มตอบ

“คำพูดจักรพรรดิโรซายล์หรือ?”

ไม่แน่ใจว่าหมอนั่นพูดเอาไว้หรือยัง…เรายังไล่อ่านคำคมของโรซายล์ไม่ครบทุกอัน อ่านแล้วอดกำหมัดไม่ได้ทุกที…นั่นคือสาเหตุที่ยังอ่านไม่จบจนถึงตอนนี้…ไคลน์เปลี่ยนเรื่องโดยไม่ยืนยันหรือปฏิเสธ

“เริ่มสะกดจิตผมได้ ทำให้ผมลืมเรื่องที่เกี่ยวกับอวกาศ และเรียกความทรงจำกลับคืนมาเมื่อได้ยินคำกระตุ้น”

“อีกสักพักได้ไหมคะ ดิฉันมีเรื่องอยากขอคำแนะนำ” ออเดรย์ขอร้องอย่างตรงไปตรงมา เธออาศัยโอกาสนี้เล่าถึงสิ่งที่ตนกระทำในระยะหลังและความหนักใจที่ต้องเผชิญ “…มิสเตอร์เวิร์ล คุณมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง? ดิฉันต้องใช้วิธีใดถึงจะบรรเทาความหิวโหยของชาวเบ็คลันด์ไปจนกระทั่งสงครามสิ้นสุด?”

สำหรับการหยุดสงครามเพื่อขจัดความหิวโหย ต่อให้เธออยากทำมากเพียงใดก็คงจนปัญญา

และออเดรย์ก็ตระหนักดีว่ามิสเตอร์เวิร์ลไม่มีกำลังที่จะทำเช่นกัน หรือต่อให้เดอะฟูลแทรกแซงด้วยตัวเอง อย่างมากก็คงทำได้แค่พลิกผันกระแสสงคราม มิใช่การยุติความทุกข์ยากของผู้คน ต้องไม่ลืมว่าสงครามโลกในคราวนี้มีศึกระหว่างเทพอยู่เบื้องหลัง

ไคลน์กล่าวเยือกเย็นหลังจากลังเลสักพัก

“แม้ว่าหลักการของเส้นทางผู้ชมคือการซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังให้มากที่สุด และแม้ว่าผมจะให้ความสำคัญกับคำว่า ‘รอบคอบ’ และ ‘ไม่ประมาท’ ในทุกการกระทำของตัวเองเสมอ รวมถึงการไม่นำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย…”

ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น จัสติสออเดรย์แอบรำพันในใจตามความเคยชิน

จากข่าวลือมากมายในทะเล จากคำบรรยายของฟอร์สและคนอื่น จากศึกระหว่างครึ่งเทพที่ดิฉันเคยประจักษ์ด้วยตาตัวเอง มิสเตอร์เวิร์ล…ดิฉันไม่เห็น ‘ความรอบคอบ’ และ ‘ไม่ประมาท’ ในตัวคุณเลยค่ะ…มีเพียง ‘ความเกรี้ยวกราด’ และ ‘การทำลายล้าง’ เท่านั้น…อา…นั่นสินะ การจะมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ได้ ลำพังความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ…ไอรีนโนเวล

เมื่อเห็นว่าดวงตามิสจัสติสกำลังส่องประกายด้วยความตั้งใจฟัง ไคลน์กล่าวต่อทันที

“แต่ในโลกใบนี้ บางสิ่งก็ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา…บางครั้งผมก็ต้องลงมือทำในเรื่องที่ ‘อาจต้องตาย’”

ออเดรย์หยุดรำพันในใจ เธอเปิดปากพูดหลังจากเงียบงันอยู่สักพัก

“ดิฉันเข้าใจที่คุณจะสื่อ…ความปลอดภัยหรือผลลัพธ์ บางครั้งก็เลือกได้เพียงหนึ่ง”

ไคลน์พยักหน้ารับ จากนั้นก็พูดเพื่อให้มิสจัสติสตระหนักถึงความโหดร้ายของโลกให้มากขึ้น เธอจะได้ไม่ทำในสิ่งที่เป็นอุดมคติมากเกินไป

“วิธีการที่คุณเพิ่งนำเสนอมีโอกาสสำเร็จสูงและความเสี่ยงต่ำที่สุดแล้ว หากจะถามว่าใครสามารถช่วยบรรเทาความหิวโหยให้ชาวเบ็คลันด์ได้บ้าง คำตอบย่อมหนีไม่พ้นขุนนาง โบสถ์ พ่อค้า และราชวงศ์”

“แล้วการขโมยอาหารจากค่ายฟุซัค อินทิส และเฟเนพ็อตไม่ดีหรือคะ” ออเดรย์ถามด้วยความสงสัย

ไคลน์ตอบเยือกเย็น

“ไม่…ตอนนี้ทั้งสามกองทัพตั้งค่ายอยู่ในดินแดนของโลเอ็น ต่อให้คุณเล็ดลอดสายตาครึ่งเทพเข้าไปขโมยอาหารในค่ายสำเร็จ แต่พวกมันก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อย่างมากก็แค่ออกไปปล้นอาหารจากชาวเมืองในละแวกใกล้เคียงเพื่อบรรเทาความหิว วิธีนี้จะไม่สำเร็จในระยะสั้น และเราก็อดทนรอให้สำเร็จในระยะยาวไม่ได้เช่นกัน”

หากทำเช่นนั้น ออเดรย์จะกลายเป็นตัวการที่ทำให้ชายเมืองแถบชายแดนหิวตาย

นี่คือความแตกต่างระหว่างสงครามทั่วไปกับสงครามที่มีเทพอยู่เบื้องหลัง

“นั่นสินะ…ถึงจะเลือกวิธีนั้น แต่ดิฉันคงทำไม่สำเร็จ…กระเป๋าสัมภาระของนักท่องเที่ยวมีความจุจำกัด เช่นเดียวกับพลังเทเลพอร์ตที่บันทึกไว้ในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่” ออเดรย์เริ่มวิเคราะห์และปัดตกแนวคิดตัวเอง ตามด้วยถาม “แล้วถ้าดิฉันแอบรวบรวมอาหารจากขุนนาง พ่อค้า และราชวงศ์สำเร็จ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสามโบสถ์หลักค้นพบร่องรอย? พวกเขาจะตอบสนองเช่นไร?”

ไคลน์ตอบด้วยเสียงเดิม

“ทำเป็นมองไม่เห็น”

“…” ออเดรย์เชื่อคำพูดอีกฝ่าย แต่รู้สึกว่ายังขาดเหตุผลที่มีน้ำหนัก

ไคลน์กล่าวต่อ

“สาวกคือหลักยึดเหนี่ยวของทวยเทพ หนึ่งสาวกหมายถึงหนึ่งจุด หรือกล่าวได้ว่าไม่มีข้อแตกต่างระหว่างคนจนกับคนรวยในเรื่องนี้ ระบุให้ชัดเจนก็คือ ไม่มีหลักยึดเหนี่ยวใดสูงส่งกว่ากัน…ในสถานการณ์ปรกติ ขุนนางและพ่อค้าสามารถใช้สถานะทางสังคม อำนาจ ทรัพย์สิน และอิทธิพลของตนในการเผยแผ่และทำนุบำรุงศาสนา พวกเขาจึงดูเหมือนสำคัญกว่า… แต่ในยามศึกสงคราม คุณคิดว่าหนึ่งล้านหลักยึดเหนี่ยวหรือหนึ่งพันมีค่ามากกว่ากัน? ก็แค่คณิตศาสตร์ง่ายๆ”

เมื่อได้ฟังความจริงอันโหดร้ายโดยไม่มีม่านแห่งความโรแมนติกคอยบดบัง ออเดรย์อึ้งจนพูดไม่ออกไปพักใหญ่

ได้เห็นท่าทีอีกฝ่าย ไคลน์กล่าวต่อ

“จากมุมมองดังกล่าว สิ่งที่คุณกำลังจะทำอาจส่งผลประโยชน์เป็นวงกว้าง…คุณกำลังจะช่วยรักษาหลักยึดเหนี่ยวจำนวนมากให้กับเทพธิดารัตติกาลและเทพวายุสลาตัน การกระทำในคราวนี้อาจกลายเป็นบันไดให้พวกท่านเพิ่มพูนความแข็งแกร่งจนสามารถต้านทานวันสิ้นโลก”

ออเดรย์เม้มริมฝีปากแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งคลายออก จากนั้นก็ยิ้ม

“ฉันไม่เคยภูมิใจกับสถานะขุนนางมากเท่าวันนี้มาก่อน”

“ขุนนางคือตัวตนของคุณ มิใช่สถานะ” ไคลน์ช่วยเสริมให้สมบูรณ์

ออเดรย์ถอนหายใจยาวหลังจากความปั่นป่วนเริ่มบรรเทาลง แต่ก็ยังมิได้ตัดสินใจแน่นหนัก

หญิงสาวกล่าวอย่างเป็นกันเอง

“ความสัมพันธ์ของชุมนุมทาโรต์กับศาสนจักร…เอ่อ…โบสถ์รัตติกาล…ดูเหมือนจะเป็นมิตรกันมาก…มิสเตอร์ฟูลเป็นพันธมิตรกับเทพธิดารัตติกาลหรือคะ?”

ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน…ทางนี้ต้องการเป็นพันธมิตรกับเทพธิดาใจแทบขาด แต่อีกฝ่ายอาจไม่สนใจก็ได้…ไคลน์กล่าวเสียงขรึมหลังจากรำพันติดตลกสองสามคำ

“ผมขอตอบว่า…ในตอนนี้ก็ใช่”

มันจงใจเน้นย้ำคำว่าปัจจุบันเพื่อมิให้หน้าแตกในอนาคต

ขณะเดียวกันก็รำพันคำตอบที่แท้จริงภายในใจ

ถ้าพูดให้ถูกก็คือ…เทพธิดาเป็นผู้ปลุกปั้นเทวทูตให้กับชุมนุมทาโรต์…เธอเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่…

จัสติสออเดรย์พยักหน้าเชื่องช้าพร้อมกับวาดรอยยิ้ม

“ดิฉันได้แต่สงสัยว่า คุณกำลังรำพันสิ่งใดในใจขณะตอบว่า ‘ในตอนนี้ก็ใช่’…มันต้องน่าสนใจมากแน่ เหมือนกับตอนที่พวกเราสำรวจเลฟซิด”

คุณหนู…จิตแพทย์ไม่ควรพูดจาติดตลกกับคนไข้ตัวเองแบบนี้…หรือเป็นเพราะพวกเราได้คุยกันบ่อยครั้งตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา คุณจึงกล้าเผยธาตุแท้เวลาอยู่ต่อหน้าผม? ได้โปรดให้เกียรตินักผจญภัยเสียสติและเย็นชาตรงหน้าด้วย…เฮ่อ…คงต้องยอมรับว่าพลังในการคงสภาพจิตใจของเส้นทางผู้ชมช่างน่าอิจฉา…ทั้งหมดเป็นความผิดเลียวนาร์ดคนเดียว! ไคลน์ผงะเล็กน้อยก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มาเริ่มกันเถอะ”

ออเดรย์เริ่มรวบรวมสมาธิและตั้งใจสะกดจิตอีกฝ่าย

จัดการทุกสิ่งเสร็จ ไคลน์จับตามองมิสจัสติสผ่านดาวแดงสักพักและยืนยันจนมั่นใจว่าเธอไม่ถูก ‘วันวาน’ สร้างการเชื่อมต่อหลังจากกลับถึงโลกแห่งความจริง

แน่นอนว่ามันลืมเรื่องเกี่ยวกับ ‘วันวาน’ และ ‘เทพภายนอก’ ไปเกือบหมดแล้ว ความทรงจำที่เหลืออยู่แค่พอจะยืนยันว่าไม่มีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับมิสจัสติส

ฟู่ว…ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย จากนั้นก็โยนกระดาษที่สามารถปลุกความทรงจำเข้ากองขยะพร้อมกับเตือนตัวเองให้อ่านหลังจากกลายเป็นเทวทูต

กรุงเบ็คลันด์ ภายในหอพักย่านสะพาน

เอ็มลินจ้องหน้ามาริคที่ปรากฏกายฝั่งตรงข้าม จากนั้น รายแรกถอดหมวกคำนับอย่างสุภาพ

“คราวนี้มีอะไร” มาริคบนโซฟาประสานสองมือพลางเอนตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย

เอ็มลินดึงเก้าอี้นั่ง ตามด้วยยิ้มและถาม

“คุณยังอยากจัดการกับสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายฝักใฝ่แรงปรารถนาอยู่ไหม?”

“มีความคืบหน้าใหม่หรือ” มาริคถามเสียงเรียบ

เอ็มลินตอบอย่างใจเย็นเนื่องจากคิดเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว

“ผมไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์…แต่หลังจากสงครามปะทุขึ้น ทั่วทั้งไบลัมตะวันตกและตะวันออกของทวีปใต้ล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นที่ราบสูงดวงดาว หุบเขาเพิร์ธ หรือทุ่งกว้างฮาเก็นติ ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบจำนวนมากปรากฏตัวในสนามรบ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะระบุพิกัด”

มาริคจ้องเอ็มลินเจ้าของดวงตาสีแดงและริมฝีปากบางเฉียบ

“ดยุคหรือมาร์ควิสผีดูดเลือดตนใดคือตัวแทนของฝั่งคุณ?”

“ผมเป็นตัวแทนไม่ได้หรือ?” เอ็มลินเชิดคางพลางยิ้ม

มาริคส่ายหน้าเคร่งขรึม

“คุณยังเป็นแค่ลำดับห้า…คุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์”

มันพูดตรงไปตรงมาเสียจนเอ็มลินตอบสนองไม่ถูก

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับราชันเร้นลับ 1225 : ปลอบประโลม

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 1225 : ปลอบประโลม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไคลน์รู้สึกเห็นใจเมื่อได้ยินคำพูดแสนหดหู่เจอสับสนของมิสจัสติส เพราะมันเองก็เคยคิดแบบเดียวกัน

มันเรียบเรียงคำพูดก่อนจะกล่าวตามเนื้อหาของหนังสือปลุกใจที่เคยอ่าน

“ความตายของบิดาผู้หนึ่งอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กสำหรับอาณาจักรโลเอ็น แต่นั่นคือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของครอบครัวและเด็กคนหนึ่งไปตลอดกาล…ในทำนองเดียวกัน หากก้าวไปไม่ถึงระดับเทวทูต มนุษย์อายุขัยสั้นทุกคนล้วนมีจุดจบไม่ต่างกัน – ตายและถูกฝัง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาไร้ความหมายหรือเปล่าประโยชน์”

จัสติสออเดรย์ผงกศีรษะรับเมื่อได้ยิน ตามด้วยการกล่าวตัดพ้ออีกครั้ง

“ดิฉันเข้าใจความหมาย แต่ความลับที่คุณเพิ่งถ่ายทอดนั้นยิ่งใหญ่จนกระทบกระเทือนจิตใจดิฉันอย่างหนัก ยากที่จะควบคุมอารมณ์ไว้ได้…ทั้งที่เป็นนักจิตบำบัด แต่ดิฉันกลับต้องการใครสักคนมาช่วยปลอบใจเหมือนกัน…”

ไคลน์ยิ้ม

“นั่นเป็นเรื่องปรกติ…มีหลายครั้งที่คนเรามองไม่เห็นปัญหาของตัวเองแม้จะชี้ข้อบกพร่องของคนอื่นได้อย่างแม่นยำ…คุณเคยเล่าให้ผมฟังว่า คุณกับซูซี่ต้องคอยปลอบประโลมกันและกันอย่างต่อเนื่อง”

เนื่องจากดอนดันเตสเคยพบกับซูซี่แล้ว ออเดรย์จึงไม่ปิดบังข้อมูลในการสนทนาหลังจากนั้น

หญิงสาวพยักหน้า

“ค่ะ นั่นสินะ…ฉันคิดออกแล้ว…หลังจากนี้แค่ทำเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลังก็พอ”

จิตใจของหญิงสาวดีขึ้นตามลำดับ

ไคลน์จึงกล่าว

“ไม่ใช่แค่การทำไปเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลัง แต่ความสำเร็จเล็กๆ ของเราอาจเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ช่วยยับยั้งวันสิ้นโลกสำเร็จ…ผลงานของเราอาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับภาพรวม แต่ทะเลทรายกว้างใหญ่ก็ยังประกอบกันจากทรายเม็ดเล็ก มหาสมุทรกว้างใหญ่เกิดจากการรวมตัวของหยดน้ำ ตราบใดที่ทุกคนคอยส่งต่อความร้อนและแบ่งปันแสงสว่างให้กันและกัน ความหวังก็ยังมีให้เห็นเสมอ”

“ส่งต่อความร้อนและแบ่งปันแสงสว่าง…” ออเดรย์พึมพำคำเกอร์มันสแปร์โรว์แผ่วเบา

“ผมไม่ได้คิดเองหรอกนะ” ไคลน์ยิ้มพลางเสริม

ออเดรย์ยกมุมปากพร้อมกับยิ้มตอบ

“คำพูดจักรพรรดิโรซายล์หรือ?”

ไม่แน่ใจว่าหมอนั่นพูดเอาไว้หรือยัง…เรายังไล่อ่านคำคมของโรซายล์ไม่ครบทุกอัน อ่านแล้วอดกำหมัดไม่ได้ทุกที…นั่นคือสาเหตุที่ยังอ่านไม่จบจนถึงตอนนี้…ไคลน์เปลี่ยนเรื่องโดยไม่ยืนยันหรือปฏิเสธ

“เริ่มสะกดจิตผมได้ ทำให้ผมลืมเรื่องที่เกี่ยวกับอวกาศ และเรียกความทรงจำกลับคืนมาเมื่อได้ยินคำกระตุ้น”

“อีกสักพักได้ไหมคะ ดิฉันมีเรื่องอยากขอคำแนะนำ” ออเดรย์ขอร้องอย่างตรงไปตรงมา เธออาศัยโอกาสนี้เล่าถึงสิ่งที่ตนกระทำในระยะหลังและความหนักใจที่ต้องเผชิญ “…มิสเตอร์เวิร์ล คุณมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง? ดิฉันต้องใช้วิธีใดถึงจะบรรเทาความหิวโหยของชาวเบ็คลันด์ไปจนกระทั่งสงครามสิ้นสุด?”

สำหรับการหยุดสงครามเพื่อขจัดความหิวโหย ต่อให้เธออยากทำมากเพียงใดก็คงจนปัญญา

และออเดรย์ก็ตระหนักดีว่ามิสเตอร์เวิร์ลไม่มีกำลังที่จะทำเช่นกัน หรือต่อให้เดอะฟูลแทรกแซงด้วยตัวเอง อย่างมากก็คงทำได้แค่พลิกผันกระแสสงคราม มิใช่การยุติความทุกข์ยากของผู้คน ต้องไม่ลืมว่าสงครามโลกในคราวนี้มีศึกระหว่างเทพอยู่เบื้องหลัง

ไคลน์กล่าวเยือกเย็นหลังจากลังเลสักพัก

“แม้ว่าหลักการของเส้นทางผู้ชมคือการซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังให้มากที่สุด และแม้ว่าผมจะให้ความสำคัญกับคำว่า ‘รอบคอบ’ และ ‘ไม่ประมาท’ ในทุกการกระทำของตัวเองเสมอ รวมถึงการไม่นำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย…”

ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น จัสติสออเดรย์แอบรำพันในใจตามความเคยชิน

จากข่าวลือมากมายในทะเล จากคำบรรยายของฟอร์สและคนอื่น จากศึกระหว่างครึ่งเทพที่ดิฉันเคยประจักษ์ด้วยตาตัวเอง มิสเตอร์เวิร์ล…ดิฉันไม่เห็น ‘ความรอบคอบ’ และ ‘ไม่ประมาท’ ในตัวคุณเลยค่ะ…มีเพียง ‘ความเกรี้ยวกราด’ และ ‘การทำลายล้าง’ เท่านั้น…อา…นั่นสินะ การจะมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ได้ ลำพังความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ…ไอรีนโนเวล

เมื่อเห็นว่าดวงตามิสจัสติสกำลังส่องประกายด้วยความตั้งใจฟัง ไคลน์กล่าวต่อทันที

“แต่ในโลกใบนี้ บางสิ่งก็ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา…บางครั้งผมก็ต้องลงมือทำในเรื่องที่ ‘อาจต้องตาย’”

ออเดรย์หยุดรำพันในใจ เธอเปิดปากพูดหลังจากเงียบงันอยู่สักพัก

“ดิฉันเข้าใจที่คุณจะสื่อ…ความปลอดภัยหรือผลลัพธ์ บางครั้งก็เลือกได้เพียงหนึ่ง”

ไคลน์พยักหน้ารับ จากนั้นก็พูดเพื่อให้มิสจัสติสตระหนักถึงความโหดร้ายของโลกให้มากขึ้น เธอจะได้ไม่ทำในสิ่งที่เป็นอุดมคติมากเกินไป

“วิธีการที่คุณเพิ่งนำเสนอมีโอกาสสำเร็จสูงและความเสี่ยงต่ำที่สุดแล้ว หากจะถามว่าใครสามารถช่วยบรรเทาความหิวโหยให้ชาวเบ็คลันด์ได้บ้าง คำตอบย่อมหนีไม่พ้นขุนนาง โบสถ์ พ่อค้า และราชวงศ์”

“แล้วการขโมยอาหารจากค่ายฟุซัค อินทิส และเฟเนพ็อตไม่ดีหรือคะ” ออเดรย์ถามด้วยความสงสัย

ไคลน์ตอบเยือกเย็น

“ไม่…ตอนนี้ทั้งสามกองทัพตั้งค่ายอยู่ในดินแดนของโลเอ็น ต่อให้คุณเล็ดลอดสายตาครึ่งเทพเข้าไปขโมยอาหารในค่ายสำเร็จ แต่พวกมันก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อย่างมากก็แค่ออกไปปล้นอาหารจากชาวเมืองในละแวกใกล้เคียงเพื่อบรรเทาความหิว วิธีนี้จะไม่สำเร็จในระยะสั้น และเราก็อดทนรอให้สำเร็จในระยะยาวไม่ได้เช่นกัน”

หากทำเช่นนั้น ออเดรย์จะกลายเป็นตัวการที่ทำให้ชายเมืองแถบชายแดนหิวตาย

นี่คือความแตกต่างระหว่างสงครามทั่วไปกับสงครามที่มีเทพอยู่เบื้องหลัง

“นั่นสินะ…ถึงจะเลือกวิธีนั้น แต่ดิฉันคงทำไม่สำเร็จ…กระเป๋าสัมภาระของนักท่องเที่ยวมีความจุจำกัด เช่นเดียวกับพลังเทเลพอร์ตที่บันทึกไว้ในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่” ออเดรย์เริ่มวิเคราะห์และปัดตกแนวคิดตัวเอง ตามด้วยถาม “แล้วถ้าดิฉันแอบรวบรวมอาหารจากขุนนาง พ่อค้า และราชวงศ์สำเร็จ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสามโบสถ์หลักค้นพบร่องรอย? พวกเขาจะตอบสนองเช่นไร?”

ไคลน์ตอบด้วยเสียงเดิม

“ทำเป็นมองไม่เห็น”

“…” ออเดรย์เชื่อคำพูดอีกฝ่าย แต่รู้สึกว่ายังขาดเหตุผลที่มีน้ำหนัก

ไคลน์กล่าวต่อ

“สาวกคือหลักยึดเหนี่ยวของทวยเทพ หนึ่งสาวกหมายถึงหนึ่งจุด หรือกล่าวได้ว่าไม่มีข้อแตกต่างระหว่างคนจนกับคนรวยในเรื่องนี้ ระบุให้ชัดเจนก็คือ ไม่มีหลักยึดเหนี่ยวใดสูงส่งกว่ากัน…ในสถานการณ์ปรกติ ขุนนางและพ่อค้าสามารถใช้สถานะทางสังคม อำนาจ ทรัพย์สิน และอิทธิพลของตนในการเผยแผ่และทำนุบำรุงศาสนา พวกเขาจึงดูเหมือนสำคัญกว่า… แต่ในยามศึกสงคราม คุณคิดว่าหนึ่งล้านหลักยึดเหนี่ยวหรือหนึ่งพันมีค่ามากกว่ากัน? ก็แค่คณิตศาสตร์ง่ายๆ”

เมื่อได้ฟังความจริงอันโหดร้ายโดยไม่มีม่านแห่งความโรแมนติกคอยบดบัง ออเดรย์อึ้งจนพูดไม่ออกไปพักใหญ่

ได้เห็นท่าทีอีกฝ่าย ไคลน์กล่าวต่อ

“จากมุมมองดังกล่าว สิ่งที่คุณกำลังจะทำอาจส่งผลประโยชน์เป็นวงกว้าง…คุณกำลังจะช่วยรักษาหลักยึดเหนี่ยวจำนวนมากให้กับเทพธิดารัตติกาลและเทพวายุสลาตัน การกระทำในคราวนี้อาจกลายเป็นบันไดให้พวกท่านเพิ่มพูนความแข็งแกร่งจนสามารถต้านทานวันสิ้นโลก”

ออเดรย์เม้มริมฝีปากแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งคลายออก จากนั้นก็ยิ้ม

“ฉันไม่เคยภูมิใจกับสถานะขุนนางมากเท่าวันนี้มาก่อน”

“ขุนนางคือตัวตนของคุณ มิใช่สถานะ” ไคลน์ช่วยเสริมให้สมบูรณ์

ออเดรย์ถอนหายใจยาวหลังจากความปั่นป่วนเริ่มบรรเทาลง แต่ก็ยังมิได้ตัดสินใจแน่นหนัก

หญิงสาวกล่าวอย่างเป็นกันเอง

“ความสัมพันธ์ของชุมนุมทาโรต์กับศาสนจักร…เอ่อ…โบสถ์รัตติกาล…ดูเหมือนจะเป็นมิตรกันมาก…มิสเตอร์ฟูลเป็นพันธมิตรกับเทพธิดารัตติกาลหรือคะ?”

ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน…ทางนี้ต้องการเป็นพันธมิตรกับเทพธิดาใจแทบขาด แต่อีกฝ่ายอาจไม่สนใจก็ได้…ไคลน์กล่าวเสียงขรึมหลังจากรำพันติดตลกสองสามคำ

“ผมขอตอบว่า…ในตอนนี้ก็ใช่”

มันจงใจเน้นย้ำคำว่าปัจจุบันเพื่อมิให้หน้าแตกในอนาคต

ขณะเดียวกันก็รำพันคำตอบที่แท้จริงภายในใจ

ถ้าพูดให้ถูกก็คือ…เทพธิดาเป็นผู้ปลุกปั้นเทวทูตให้กับชุมนุมทาโรต์…เธอเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่…

จัสติสออเดรย์พยักหน้าเชื่องช้าพร้อมกับวาดรอยยิ้ม

“ดิฉันได้แต่สงสัยว่า คุณกำลังรำพันสิ่งใดในใจขณะตอบว่า ‘ในตอนนี้ก็ใช่’…มันต้องน่าสนใจมากแน่ เหมือนกับตอนที่พวกเราสำรวจเลฟซิด”

คุณหนู…จิตแพทย์ไม่ควรพูดจาติดตลกกับคนไข้ตัวเองแบบนี้…หรือเป็นเพราะพวกเราได้คุยกันบ่อยครั้งตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา คุณจึงกล้าเผยธาตุแท้เวลาอยู่ต่อหน้าผม? ได้โปรดให้เกียรตินักผจญภัยเสียสติและเย็นชาตรงหน้าด้วย…เฮ่อ…คงต้องยอมรับว่าพลังในการคงสภาพจิตใจของเส้นทางผู้ชมช่างน่าอิจฉา…ทั้งหมดเป็นความผิดเลียวนาร์ดคนเดียว! ไคลน์ผงะเล็กน้อยก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มาเริ่มกันเถอะ”

ออเดรย์เริ่มรวบรวมสมาธิและตั้งใจสะกดจิตอีกฝ่าย

จัดการทุกสิ่งเสร็จ ไคลน์จับตามองมิสจัสติสผ่านดาวแดงสักพักและยืนยันจนมั่นใจว่าเธอไม่ถูก ‘วันวาน’ สร้างการเชื่อมต่อหลังจากกลับถึงโลกแห่งความจริง

แน่นอนว่ามันลืมเรื่องเกี่ยวกับ ‘วันวาน’ และ ‘เทพภายนอก’ ไปเกือบหมดแล้ว ความทรงจำที่เหลืออยู่แค่พอจะยืนยันว่าไม่มีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับมิสจัสติส

ฟู่ว…ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย จากนั้นก็โยนกระดาษที่สามารถปลุกความทรงจำเข้ากองขยะพร้อมกับเตือนตัวเองให้อ่านหลังจากกลายเป็นเทวทูต

กรุงเบ็คลันด์ ภายในหอพักย่านสะพาน

เอ็มลินจ้องหน้ามาริคที่ปรากฏกายฝั่งตรงข้าม จากนั้น รายแรกถอดหมวกคำนับอย่างสุภาพ

“คราวนี้มีอะไร” มาริคบนโซฟาประสานสองมือพลางเอนตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย

เอ็มลินดึงเก้าอี้นั่ง ตามด้วยยิ้มและถาม

“คุณยังอยากจัดการกับสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายฝักใฝ่แรงปรารถนาอยู่ไหม?”

“มีความคืบหน้าใหม่หรือ” มาริคถามเสียงเรียบ

เอ็มลินตอบอย่างใจเย็นเนื่องจากคิดเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว

“ผมไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์…แต่หลังจากสงครามปะทุขึ้น ทั่วทั้งไบลัมตะวันตกและตะวันออกของทวีปใต้ล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นที่ราบสูงดวงดาว หุบเขาเพิร์ธ หรือทุ่งกว้างฮาเก็นติ ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบจำนวนมากปรากฏตัวในสนามรบ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะระบุพิกัด”

มาริคจ้องเอ็มลินเจ้าของดวงตาสีแดงและริมฝีปากบางเฉียบ

“ดยุคหรือมาร์ควิสผีดูดเลือดตนใดคือตัวแทนของฝั่งคุณ?”

“ผมเป็นตัวแทนไม่ได้หรือ?” เอ็มลินเชิดคางพลางยิ้ม

มาริคส่ายหน้าเคร่งขรึม

“คุณยังเป็นแค่ลำดับห้า…คุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์”

มันพูดตรงไปตรงมาเสียจนเอ็มลินตอบสนองไม่ถูก

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+