Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับราชันเร้นลับ 1177 : ถามแทน

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 1177 : ถามแทน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บนดินแดนอันรกร้างที่เต็มไปด้วยหุบเหวลึก กลุ่มอามุนด์ในจุดต่างๆ เริ่มอ้าปากและสวดเป็นภาษาคนยักษ์

“ข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด”

“ตัวตนเร้นลับจากอดีตกาล”

“ประจักษ์พยานแห่งห้วงประวัติศาสตร์ชั่วนิรันดร์”

“ผู้พิทักษ์ละครและมายากลแห่งเบ็คลันด์”

“มหาเกอร์มันสแปร์โรว์…”

เสียงดังกล่าวดังกังวานซ้อนทับและพรั่งพรูเข้าไปในความว่างเปล่า คล้ายกับเชื่อมต่อกับปลายทางที่เป็นอนันต์

ผ่านไปสิบวินาที กลุ่มอามุนด์ต่างพากับขยับแว่นตาขาเดียวพลางหัวเราะเสียงต่ำ

“แก้ไขเร็วมาก…”

หากเกอร์มันสแปร์โรว์ยังคงใช้ระบบตอบรับอัตโนมัติกับนามเต็มอันทรงเกียรติดังกล่าว อามุนด์สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการระบุตำแหน่งและอาศัย ‘ข้อผิดพลาด’ เพื่อไปปรากฏตัวข้างเป้าหมาย

ท่ามกลางความมืดที่มีสายฟ้าช่วยมอบแสงสว่างเป็นครั้งคราว ไคลน์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกผ้าไหม เสื้อคลุมขนสัตว์ และกำลังถือตะเกียง รีบมุ่งหน้าผ่านทุ่งกว้างไปทางทิศเหนือ

มีคำสวดวิงวอน…อามุนด์เอ่ยนามเต็มอันทรงเกียรติของเกอร์มันสแปร์โรว์…หมายความว่าระยะห่างระหว่างเรากับอามุนด์บางคนยังไม่มากพอ…ในเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีปรสิต…คงเป็นบริเวณโดยรอบ…หนึ่งในหน่วยลาดตระเวนหรือสิ่งมีชีวิตที่เราคาดไม่ถึง? ไคลน์หันหน้ากลับไปฟังสักพักก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปด้วยความระมัดระวัง

สำหรับเรื่องนี้ ชายหนุ่มโชคดีที่ระมัดระวังตัวมากพอ ขณะอยู่บนมิติหมอก ไคลน์เปลี่ยนนามเต็มอันทรงเกียรติของตนซึ่งสามารถตอบสนองโดยอัตโนมัติจาก ‘ผู้พิทักษ์ละครและมายากลแห่งเบ็คลันด์’ เป็น ‘ผู้พิทักษ์เหล่าเด็กยากไร้แห่งเบ็คลันด์’ สิ่งนี้อ้างอิงจาก ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ที่ตนจัดตั้งขึ้น

อา…อามุนด์เป็น ‘นักถอดรหัส’ อาจถอดรหัสนามเต็มอันทรงเกียรติของเราได้จากข้อมูลเกี่ยวกับดอนดันเตส…เราไม่มีความจำเป็นต้องใช้ระบบตอบสนองอัตโนมัติ…ไคลน์ก้มมองแสงสลัวจากตะเกียงก่อนจะตัดสินใจหนักแน่น

มันเปลี่ยนให้หนอนวิญญาณทุกตัวมีหน้าที่เพียงรับฟังคำสวดวิงวอน แต่ไม่สามารถตอบสนองได้เอง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากร่างต้น

ด้วยวิธีนี้ แม้จะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงนัก เพราะนอกจากการสวดวิงวอนที่แฝงความมุ่งร้ายของอามุนด์ คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะสวดวิงวอนถึงเกอร์มันสแปร์โรว์ เพราะมันยังไม่เคยเผยแพร่นามเต็มอันทรงเกียรติออกไป

จัดการเสร็จ ไคลน์กลับมาทบทวนความน่าสะพรึงของอามุนด์และคิดวางแผนขั้นถัดไป

แผนเดิมคือการออกห่างจากเมืองเงินพิสุทธิ์และมุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพังเมืองนอร์ธทางทิศเหนือ จุดประสงค์เพื่อตรวจสอบสถานการณ์และดูว่าตนมีโอกาสได้ครอบครองวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์หรือไม่ แต่เมื่อเชื่อมโยงซากปรักหักพังดังกล่าวกับอามุนด์ ไคลน์พลันฉุกคิดถึงปัญหา

มันยืนยันได้ว่ากฎแห่งการดึงดูดของพลังพิเศษสามารถใช้ได้กับเส้นทางใกล้เคียงในลำดับสูง เมื่อพิจารณาว่าอามุนด์เตร็ดเตร่อยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้งมานานกว่าพันปี แถมยังเคยมาเยือนเมืองเงินพิสุทธิ์ แล้วเป็นไปได้หรืออีกอีกฝ่ายจะไม่ถูกดึงดูดเข้าหาซากปรักหักพังเมืองนอร์ธทางทิศเหนือ?

ในเมื่อแม้แต่เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ยังไม่กล้าย่างกราย ตัวตนลึกลับที่เร้นกายภายในเมืองนอร์ธย่อมต้องมีระดับไม่ต่ำกว่าเทวทูต ไม่มีทางที่อามุนด์จะปล่อยผ่าน…ต่อให้มันไม่กล้ากินตะกอนพลังลำดับสูงของเส้นทางใกล้เคียงโดยตรง แต่ก็ต้องมีการวางกับดักบางอย่างไว้…หรือต่อให้ในอดีตไม่เคยทำ แต่ปัจจุบันคงรีบรุดหน้าไปทำแน่…แต่ก็อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่อามุนด์จะไม่ทราบ เพราะในตอนที่เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ไปเยือนครั้งแรก ซากปรักหักพังนอร์ธยังไม่มีอันตรายร้ายแรงแอบแฝง บางทีตัวตนระดับเทวทูตอาจเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในภายหลัง…หรือทางนั้นเองก็คอยเปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลาเพื่อหลบหนีอามุนด์? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เริ่มไม่กล้าไปเยือนซากปรักหักพังนอร์ธ

ชายหนุ่มตัดสินใจหันมาพิจารณาก่อนว่า ปัจจุบันยังมีวิธีครอบครองตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ทางอื่นอีกไหม ถ้าไม่มีค่อยไตร่ตรองเกี่ยวกับการสำรวจรอบนอกของซากปรักหักพังนอร์ธเพื่อรวบรวมข้อมูล

คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ซึ่งแต่งกายในเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำและหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง ถือตะเกียงเดินไปทางซากปรักหักพังหอคอยโดยอาศัยแสงสว่างจากสายฟ้า

ระหว่างทาง ท่ามกลางความมืดมิดที่อันตราย กลุ่มสัตว์ประหลาดเรียงแถวเดินตามชายหนุ่มมาอย่างเงียบงัน

พวกมันเป็นหุ่นเชิดของไคลน์

แต่เมื่อเทียบกันแล้ว นักบุญของเส้นทางนักทำนายดูพิสดารและน่ากลัวกว่ามาก

ขณะย่างกรายผ่านไป สัตว์ประหลาดที่ดูคล้ายกับปลามีขาอ้าปากเปล่งเสียงเป็นภาษาคนยักษ์

“ข้าแต่สุริยันผู้เจิดจรัสนิจนิรันดร์”

“พระองค์คือแสงที่ไม่มีวันดับ”

“พระองค์คือร่างอวตารแห่งระเบียบ”

ทันทีที่ท่องพระนามเต็มอันทรงเกียรติครบสามวรรค สัตว์ประหลาดตนดังกล่าวก็ล้มลงและเสียชีวิต

พระนามเต็มอันทรงเกียรติของเทพมีมากกว่าสามวรรค แต่การส่วนวิงวอนจะใช้แค่เพียงสาม ยกตัวอย่างเช่น พระนามเต็มของสุริยันเจิดจรัสคือ ‘องค์สุริยันผู้เจิดจรัสนิจนิรันดร์…พระองค์คือแสงที่ไม่มีวันดับ…พระองค์คือร่างอวตารแห่งระเบียบ…เทพแห่งพันธสัญญา…ผู้พิทักษ์แห่งการค้า’ และไคลน์เลือกใช้สามวรรคแรก

จากนั้นไคลน์ทำการสวดวิงวอนถึงวายุสลาตัน เทพปัญญาความรู้ และเทพธิดารัตติกาลโดยหวังจะได้รับการตอบสนอง

แต่ผ่านไปครึ่งชั่วโมง สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ยังไม่มีการตอบสนอง

การสวดวิงวอนถึงเทพลำดับศูนย์ นั้นทำไม่ได้ในดินแดนเทพทอดทิ้ง เว้นเสียแต่เป้าหมายจะเป็นพระผู้สร้างแท้จริงหรือตัวตนลึกลับที่ถือครองสมบัติพิเศษอย่างปราสาทต้นกำเนิดและทะเลแห่งความโกลาหล?

ไม่ใช่…นักบวชในหมู่บ้านยามบ่ายยังถูกซ่อนคำพูดขณะพยายามเอ่ยพระนามเทพธิดา และขณะเตรียมเอ่ยนามราชาองค์ที่สี่ซึ่งสงสัยว่าจะเกี่ยวพันกับทวยเทพ ร่างกายของมันพลันถูกแผดเผา…อาจเป็นเพราะดินแดนเทพทอดทิ้งยังมีเศษเสี้ยวพลังเทพหลงเหลืออยู่อีกหลายชนิด ไม่ใช่แค่ ‘ปกปิด’ และ ‘เสื่อมทราม’ ส่งผลให้ชื่อจริงของเทพที่แฝงความนัยพิเศษในแง่ศาสตร์เร้นลับ สามารถกระตุ้นพลังดังกล่าวให้ตื่นตัว?

ทฤษฎีนี้อธิบายได้ว่าทำไมเมืองเงินพิสุทธิ์ถึงสามารถสอนชื่อจริงของเทพสองตนอย่าง ‘บาร์ดไฮเออร์’ และ ‘เฮราเบอร์เก้น’ ให้กับชาวเมืองโดยไม่ถูกทัณฑ์สวรรค์…การสวดวิงวอนที่นี่คงไปไม่ถึงหูทวยเทพ หรือต่อให้ถึงก็ตอบสนองไม่ได้…ขณะเดียวกันก็แปลว่าดินแดนเทพทอดทิ้งไม่มีเศษเสี้ยวพลังของเทพสงครามและเทพปัญญาความรู้หลงเหลืออยู่ ไม่อย่างนั้นคงต้องเกิดความผิดปรกติขณะเอ่ยชื่อ…

แต่ก็อาจไม่ใช่เพราะไม่มีเศษเสี้ยวพลังหลงเหลืออยู่ แต่อำนาจดังกล่าวถูกขจัดโดยสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ สองชิ้นในเมืองเงินพิสุทธิ์…

ด้วยหลักการดังกล่าว หากเราเอ่ยชื่อจริงของเทพธิดาโดยตรง อาจสามารถกระตุ้นให้พลังความมืดและการปกปิดโดยรอบแสดงผล และนั่นจะกลายเป็นอีกหนึ่งไพ่ตายให้เราใช้สำหรับหลบหนีการไล่ล่าของอามุนด์…โอกาสสำเร็จมีไม่มาก และการเอ่ยนามจริงของเทพพร่ำเพรื่อจะถือเป็นการลบหลู่พระเกียรติ มีโอกาสที่จะตายศพไม่สวยเหมือนกับนักบวชในหมู่บ้านยามบ่าย…ไคลน์วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันตามหลักเหตุและผลอย่างใจเย็น นึกอยากจะท่องชื่อจริงของเทพทุกตนที่มันทราบเพื่อทดสอบผลลัพธ์

แต่ในท้ายที่สุด ชายหนุ่มยับยั้งชั่งใจตัวเองและไม่ทดลองส่งเดช

“คงต้องขึ้นไปทำนายบนมิติหมอกเพื่อตรวจสอบว่าอันตรายที่จะตามมาอยู่ในเกณฑ์รับไหวหรือไม่…แต่การทำนายถึงเทพโดยตรงอาจไม่ได้รับคำตอบ…” ไคลน์รำพันเงียบก่อนจะจิกกัดตัวเอง “ความคิดเมื่อครู่ของเราไม่ต่างอะไรกับ เฮ้! นายไม่ได้รนหาที่ตายมาสองวันแล้วนะ ทำไมวันนี้ไม่ลองเอาจริงดูหน่อยล่ะ!”

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มเดินมาถึงซากหอคอยและนั่งลงข้างกำแพงที่พังถล่มมาครึ่งหนึ่ง เหยียดมือขวาจับอากาศและดึงนกกระเรียนกระดาษออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์พร้อมกับจุดไฟเผา

มันอยากยืนยันให้แน่ใจว่าตนสามารถติดต่อกับอสรพิษแห่งชะตา วิลอัสตินคริส ได้หรือไม่ถ้ามีสื่อกลาง เพื่อที่จะถามว่าตนสามารถตามหาตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ได้จากที่ใดบ้าง

ไคลน์ข่มใจให้หลับท่ามกลางแสงตะเกียงที่ถูกอัญเชิญมาเป็นหนที่สาม แต่กระนั้นกลับมิได้ฝันถึงสิ่งใด

นึกแล้วว่าต้องไม่ได้…หลังจากตื่นขึ้น ไคลน์ส่ายหน้าพลางส่งตัวเองเข้าไปในช่องว่างประวัติศาสตร์

จากนั้นก็ถอยหลังสี่ก้าวและเข้าสู่สายหมอกสีเทา

นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูล ชายหนุ่มกวักมือเรียกกล่องกระดาษใบเล็กมาจากกองขยะ ด้านในกล่องเต็มไปด้วยนกกระเรียนกระดาษ

ทั้งหมดถูกพับโดยเด็กทารกบางคน

ขณะเดียวกัน เดอะเวิร์ล เกอร์มันสแปร์โรว์ทำการสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเพื่อให้พระองค์ถ่ายทอดข้อเสนอของตนไปยังมิสจัสติส โดยระบุว่างานนี้มีผลต่อคะแนนผลงานสำหรับแลกสูตรโอสถจอมบงการ

แน่นอน ไคลน์เคยเปิดเผยไปแล้วว่าโอสถต้องดื่มท่ามกลางการสั่นพ้องของห้วงอารมณ์ที่เข้มข้น

กรุงเบ็คลันด์ เขตราชินี ภายในคฤหาสน์สุดหรูของเอิร์ลฮอลล์

ออเดรย์กลับมาที่ห้องนอนเพื่อประกอบพิธีกรรมรับมอบและรับนกกระเรียนกระดาษ

เธอหยิบดินสอปลายแหลมขึ้นมาเขียนบนผิวกระดาษ

“ดอนดันเตสต้องการให้คุณมาพบดิฉัน”

เมื่อเตรียมตัวเสร็จ ออเดรย์วางนกกระเรียนกระดาษไว้ใต้หมอนตามคำแนะนำของเดอะเวิร์ล จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน

เพียงไม่นาน หญิงสาวได้พบกับทุ่งกว้างสีดำอันรกร้าง และในฐานะนักท่องฝันที่มีข้อมูลล่วงหน้า เธอยังคงมีสติตื่นในความฝัน จึงมุ่งหน้าไปยังยอดแหลมสีดำใจกลางทุ่งกว้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ขณะเดินมาถึงจุดหมาย สัมผัสวิญญาณออเดรย์ถูกกระตุ้นกะทันหัน จึงแหงนหน้ามองยอดหอคอยแหลม

เธอเห็นงูยักษ์สีเงินสว่างกำลังขดตัวอยู่

งูยักษ์ตัวนี้ปราศจากเกล็ด ผิวหนังปกคลุมด้วยอักขระและลวดลายกงล้อที่เชื่อมต่อกันด้วยสัญลักษณ์หลากหลาย

มันจ้องออเดรย์ด้วยดวงตาสีแดงสดก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มต่ำและเย็นชา

“ดอนดันเตสต้องการอะไร”

นี่คือเทวทูตเส้นทางชะตากรรมที่มอบเลือดหนึ่งหยดให้มาดามเฮอร์มิท? ออเดรย์ควบคุมสติพลางจ้องตอบงูยักษ์ จากนั้นก็เล่าไปตามจริง

“เขาฝากถามว่าจะหาวัตถุดิบหลักของโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ได้จากที่ใด”

งูยักษ์สีเงินสว่างเงียบไปสักพักก่อนจะตอบ

“ลำดับสอง ของแต่ละเส้นทางจะมีจำนวนสูงสุดได้ไม่เท่ากัน หากตำแหน่งของบริวารเร้นลับถูกเติมเต็ม จะมีผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ได้ไม่เกินหก”

ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์คือชื่อโอสถลำดับสอง…มิสเตอร์เวิร์ลกำลังจะกลายเป็นเทวทูต? หรือเตรียมไว้สำหรับพวกพ้อง? ไม่ใช่…ถ้าเป็นโอสถของพวกพ้องจริง เขาสามารถให้อีกฝ่ายถามด้วยตัวเอง…ออเดรย์ประหลาดใจในตอนต้น จากนั้นก็ตั้งตารอคำตอบจากงูยักษ์ลึกลับตรงหน้า

……………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับราชันเร้นลับ 1177 : ถามแทน

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 1177 : ถามแทน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บนดินแดนอันรกร้างที่เต็มไปด้วยหุบเหวลึก กลุ่มอามุนด์ในจุดต่างๆ เริ่มอ้าปากและสวดเป็นภาษาคนยักษ์

“ข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด”

“ตัวตนเร้นลับจากอดีตกาล”

“ประจักษ์พยานแห่งห้วงประวัติศาสตร์ชั่วนิรันดร์”

“ผู้พิทักษ์ละครและมายากลแห่งเบ็คลันด์”

“มหาเกอร์มันสแปร์โรว์…”

เสียงดังกล่าวดังกังวานซ้อนทับและพรั่งพรูเข้าไปในความว่างเปล่า คล้ายกับเชื่อมต่อกับปลายทางที่เป็นอนันต์

ผ่านไปสิบวินาที กลุ่มอามุนด์ต่างพากับขยับแว่นตาขาเดียวพลางหัวเราะเสียงต่ำ

“แก้ไขเร็วมาก…”

หากเกอร์มันสแปร์โรว์ยังคงใช้ระบบตอบรับอัตโนมัติกับนามเต็มอันทรงเกียรติดังกล่าว อามุนด์สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการระบุตำแหน่งและอาศัย ‘ข้อผิดพลาด’ เพื่อไปปรากฏตัวข้างเป้าหมาย

ท่ามกลางความมืดที่มีสายฟ้าช่วยมอบแสงสว่างเป็นครั้งคราว ไคลน์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกผ้าไหม เสื้อคลุมขนสัตว์ และกำลังถือตะเกียง รีบมุ่งหน้าผ่านทุ่งกว้างไปทางทิศเหนือ

มีคำสวดวิงวอน…อามุนด์เอ่ยนามเต็มอันทรงเกียรติของเกอร์มันสแปร์โรว์…หมายความว่าระยะห่างระหว่างเรากับอามุนด์บางคนยังไม่มากพอ…ในเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีปรสิต…คงเป็นบริเวณโดยรอบ…หนึ่งในหน่วยลาดตระเวนหรือสิ่งมีชีวิตที่เราคาดไม่ถึง? ไคลน์หันหน้ากลับไปฟังสักพักก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปด้วยความระมัดระวัง

สำหรับเรื่องนี้ ชายหนุ่มโชคดีที่ระมัดระวังตัวมากพอ ขณะอยู่บนมิติหมอก ไคลน์เปลี่ยนนามเต็มอันทรงเกียรติของตนซึ่งสามารถตอบสนองโดยอัตโนมัติจาก ‘ผู้พิทักษ์ละครและมายากลแห่งเบ็คลันด์’ เป็น ‘ผู้พิทักษ์เหล่าเด็กยากไร้แห่งเบ็คลันด์’ สิ่งนี้อ้างอิงจาก ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ที่ตนจัดตั้งขึ้น

อา…อามุนด์เป็น ‘นักถอดรหัส’ อาจถอดรหัสนามเต็มอันทรงเกียรติของเราได้จากข้อมูลเกี่ยวกับดอนดันเตส…เราไม่มีความจำเป็นต้องใช้ระบบตอบสนองอัตโนมัติ…ไคลน์ก้มมองแสงสลัวจากตะเกียงก่อนจะตัดสินใจหนักแน่น

มันเปลี่ยนให้หนอนวิญญาณทุกตัวมีหน้าที่เพียงรับฟังคำสวดวิงวอน แต่ไม่สามารถตอบสนองได้เอง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากร่างต้น

ด้วยวิธีนี้ แม้จะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงนัก เพราะนอกจากการสวดวิงวอนที่แฝงความมุ่งร้ายของอามุนด์ คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะสวดวิงวอนถึงเกอร์มันสแปร์โรว์ เพราะมันยังไม่เคยเผยแพร่นามเต็มอันทรงเกียรติออกไป

จัดการเสร็จ ไคลน์กลับมาทบทวนความน่าสะพรึงของอามุนด์และคิดวางแผนขั้นถัดไป

แผนเดิมคือการออกห่างจากเมืองเงินพิสุทธิ์และมุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพังเมืองนอร์ธทางทิศเหนือ จุดประสงค์เพื่อตรวจสอบสถานการณ์และดูว่าตนมีโอกาสได้ครอบครองวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์หรือไม่ แต่เมื่อเชื่อมโยงซากปรักหักพังดังกล่าวกับอามุนด์ ไคลน์พลันฉุกคิดถึงปัญหา

มันยืนยันได้ว่ากฎแห่งการดึงดูดของพลังพิเศษสามารถใช้ได้กับเส้นทางใกล้เคียงในลำดับสูง เมื่อพิจารณาว่าอามุนด์เตร็ดเตร่อยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้งมานานกว่าพันปี แถมยังเคยมาเยือนเมืองเงินพิสุทธิ์ แล้วเป็นไปได้หรืออีกอีกฝ่ายจะไม่ถูกดึงดูดเข้าหาซากปรักหักพังเมืองนอร์ธทางทิศเหนือ?

ในเมื่อแม้แต่เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ยังไม่กล้าย่างกราย ตัวตนลึกลับที่เร้นกายภายในเมืองนอร์ธย่อมต้องมีระดับไม่ต่ำกว่าเทวทูต ไม่มีทางที่อามุนด์จะปล่อยผ่าน…ต่อให้มันไม่กล้ากินตะกอนพลังลำดับสูงของเส้นทางใกล้เคียงโดยตรง แต่ก็ต้องมีการวางกับดักบางอย่างไว้…หรือต่อให้ในอดีตไม่เคยทำ แต่ปัจจุบันคงรีบรุดหน้าไปทำแน่…แต่ก็อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่อามุนด์จะไม่ทราบ เพราะในตอนที่เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ไปเยือนครั้งแรก ซากปรักหักพังนอร์ธยังไม่มีอันตรายร้ายแรงแอบแฝง บางทีตัวตนระดับเทวทูตอาจเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในภายหลัง…หรือทางนั้นเองก็คอยเปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลาเพื่อหลบหนีอามุนด์? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เริ่มไม่กล้าไปเยือนซากปรักหักพังนอร์ธ

ชายหนุ่มตัดสินใจหันมาพิจารณาก่อนว่า ปัจจุบันยังมีวิธีครอบครองตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ทางอื่นอีกไหม ถ้าไม่มีค่อยไตร่ตรองเกี่ยวกับการสำรวจรอบนอกของซากปรักหักพังนอร์ธเพื่อรวบรวมข้อมูล

คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ซึ่งแต่งกายในเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำและหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง ถือตะเกียงเดินไปทางซากปรักหักพังหอคอยโดยอาศัยแสงสว่างจากสายฟ้า

ระหว่างทาง ท่ามกลางความมืดมิดที่อันตราย กลุ่มสัตว์ประหลาดเรียงแถวเดินตามชายหนุ่มมาอย่างเงียบงัน

พวกมันเป็นหุ่นเชิดของไคลน์

แต่เมื่อเทียบกันแล้ว นักบุญของเส้นทางนักทำนายดูพิสดารและน่ากลัวกว่ามาก

ขณะย่างกรายผ่านไป สัตว์ประหลาดที่ดูคล้ายกับปลามีขาอ้าปากเปล่งเสียงเป็นภาษาคนยักษ์

“ข้าแต่สุริยันผู้เจิดจรัสนิจนิรันดร์”

“พระองค์คือแสงที่ไม่มีวันดับ”

“พระองค์คือร่างอวตารแห่งระเบียบ”

ทันทีที่ท่องพระนามเต็มอันทรงเกียรติครบสามวรรค สัตว์ประหลาดตนดังกล่าวก็ล้มลงและเสียชีวิต

พระนามเต็มอันทรงเกียรติของเทพมีมากกว่าสามวรรค แต่การส่วนวิงวอนจะใช้แค่เพียงสาม ยกตัวอย่างเช่น พระนามเต็มของสุริยันเจิดจรัสคือ ‘องค์สุริยันผู้เจิดจรัสนิจนิรันดร์…พระองค์คือแสงที่ไม่มีวันดับ…พระองค์คือร่างอวตารแห่งระเบียบ…เทพแห่งพันธสัญญา…ผู้พิทักษ์แห่งการค้า’ และไคลน์เลือกใช้สามวรรคแรก

จากนั้นไคลน์ทำการสวดวิงวอนถึงวายุสลาตัน เทพปัญญาความรู้ และเทพธิดารัตติกาลโดยหวังจะได้รับการตอบสนอง

แต่ผ่านไปครึ่งชั่วโมง สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ยังไม่มีการตอบสนอง

การสวดวิงวอนถึงเทพลำดับศูนย์ นั้นทำไม่ได้ในดินแดนเทพทอดทิ้ง เว้นเสียแต่เป้าหมายจะเป็นพระผู้สร้างแท้จริงหรือตัวตนลึกลับที่ถือครองสมบัติพิเศษอย่างปราสาทต้นกำเนิดและทะเลแห่งความโกลาหล?

ไม่ใช่…นักบวชในหมู่บ้านยามบ่ายยังถูกซ่อนคำพูดขณะพยายามเอ่ยพระนามเทพธิดา และขณะเตรียมเอ่ยนามราชาองค์ที่สี่ซึ่งสงสัยว่าจะเกี่ยวพันกับทวยเทพ ร่างกายของมันพลันถูกแผดเผา…อาจเป็นเพราะดินแดนเทพทอดทิ้งยังมีเศษเสี้ยวพลังเทพหลงเหลืออยู่อีกหลายชนิด ไม่ใช่แค่ ‘ปกปิด’ และ ‘เสื่อมทราม’ ส่งผลให้ชื่อจริงของเทพที่แฝงความนัยพิเศษในแง่ศาสตร์เร้นลับ สามารถกระตุ้นพลังดังกล่าวให้ตื่นตัว?

ทฤษฎีนี้อธิบายได้ว่าทำไมเมืองเงินพิสุทธิ์ถึงสามารถสอนชื่อจริงของเทพสองตนอย่าง ‘บาร์ดไฮเออร์’ และ ‘เฮราเบอร์เก้น’ ให้กับชาวเมืองโดยไม่ถูกทัณฑ์สวรรค์…การสวดวิงวอนที่นี่คงไปไม่ถึงหูทวยเทพ หรือต่อให้ถึงก็ตอบสนองไม่ได้…ขณะเดียวกันก็แปลว่าดินแดนเทพทอดทิ้งไม่มีเศษเสี้ยวพลังของเทพสงครามและเทพปัญญาความรู้หลงเหลืออยู่ ไม่อย่างนั้นคงต้องเกิดความผิดปรกติขณะเอ่ยชื่อ…

แต่ก็อาจไม่ใช่เพราะไม่มีเศษเสี้ยวพลังหลงเหลืออยู่ แต่อำนาจดังกล่าวถูกขจัดโดยสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ สองชิ้นในเมืองเงินพิสุทธิ์…

ด้วยหลักการดังกล่าว หากเราเอ่ยชื่อจริงของเทพธิดาโดยตรง อาจสามารถกระตุ้นให้พลังความมืดและการปกปิดโดยรอบแสดงผล และนั่นจะกลายเป็นอีกหนึ่งไพ่ตายให้เราใช้สำหรับหลบหนีการไล่ล่าของอามุนด์…โอกาสสำเร็จมีไม่มาก และการเอ่ยนามจริงของเทพพร่ำเพรื่อจะถือเป็นการลบหลู่พระเกียรติ มีโอกาสที่จะตายศพไม่สวยเหมือนกับนักบวชในหมู่บ้านยามบ่าย…ไคลน์วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันตามหลักเหตุและผลอย่างใจเย็น นึกอยากจะท่องชื่อจริงของเทพทุกตนที่มันทราบเพื่อทดสอบผลลัพธ์

แต่ในท้ายที่สุด ชายหนุ่มยับยั้งชั่งใจตัวเองและไม่ทดลองส่งเดช

“คงต้องขึ้นไปทำนายบนมิติหมอกเพื่อตรวจสอบว่าอันตรายที่จะตามมาอยู่ในเกณฑ์รับไหวหรือไม่…แต่การทำนายถึงเทพโดยตรงอาจไม่ได้รับคำตอบ…” ไคลน์รำพันเงียบก่อนจะจิกกัดตัวเอง “ความคิดเมื่อครู่ของเราไม่ต่างอะไรกับ เฮ้! นายไม่ได้รนหาที่ตายมาสองวันแล้วนะ ทำไมวันนี้ไม่ลองเอาจริงดูหน่อยล่ะ!”

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มเดินมาถึงซากหอคอยและนั่งลงข้างกำแพงที่พังถล่มมาครึ่งหนึ่ง เหยียดมือขวาจับอากาศและดึงนกกระเรียนกระดาษออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์พร้อมกับจุดไฟเผา

มันอยากยืนยันให้แน่ใจว่าตนสามารถติดต่อกับอสรพิษแห่งชะตา วิลอัสตินคริส ได้หรือไม่ถ้ามีสื่อกลาง เพื่อที่จะถามว่าตนสามารถตามหาตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ได้จากที่ใดบ้าง

ไคลน์ข่มใจให้หลับท่ามกลางแสงตะเกียงที่ถูกอัญเชิญมาเป็นหนที่สาม แต่กระนั้นกลับมิได้ฝันถึงสิ่งใด

นึกแล้วว่าต้องไม่ได้…หลังจากตื่นขึ้น ไคลน์ส่ายหน้าพลางส่งตัวเองเข้าไปในช่องว่างประวัติศาสตร์

จากนั้นก็ถอยหลังสี่ก้าวและเข้าสู่สายหมอกสีเทา

นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูล ชายหนุ่มกวักมือเรียกกล่องกระดาษใบเล็กมาจากกองขยะ ด้านในกล่องเต็มไปด้วยนกกระเรียนกระดาษ

ทั้งหมดถูกพับโดยเด็กทารกบางคน

ขณะเดียวกัน เดอะเวิร์ล เกอร์มันสแปร์โรว์ทำการสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเพื่อให้พระองค์ถ่ายทอดข้อเสนอของตนไปยังมิสจัสติส โดยระบุว่างานนี้มีผลต่อคะแนนผลงานสำหรับแลกสูตรโอสถจอมบงการ

แน่นอน ไคลน์เคยเปิดเผยไปแล้วว่าโอสถต้องดื่มท่ามกลางการสั่นพ้องของห้วงอารมณ์ที่เข้มข้น

กรุงเบ็คลันด์ เขตราชินี ภายในคฤหาสน์สุดหรูของเอิร์ลฮอลล์

ออเดรย์กลับมาที่ห้องนอนเพื่อประกอบพิธีกรรมรับมอบและรับนกกระเรียนกระดาษ

เธอหยิบดินสอปลายแหลมขึ้นมาเขียนบนผิวกระดาษ

“ดอนดันเตสต้องการให้คุณมาพบดิฉัน”

เมื่อเตรียมตัวเสร็จ ออเดรย์วางนกกระเรียนกระดาษไว้ใต้หมอนตามคำแนะนำของเดอะเวิร์ล จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน

เพียงไม่นาน หญิงสาวได้พบกับทุ่งกว้างสีดำอันรกร้าง และในฐานะนักท่องฝันที่มีข้อมูลล่วงหน้า เธอยังคงมีสติตื่นในความฝัน จึงมุ่งหน้าไปยังยอดแหลมสีดำใจกลางทุ่งกว้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ขณะเดินมาถึงจุดหมาย สัมผัสวิญญาณออเดรย์ถูกกระตุ้นกะทันหัน จึงแหงนหน้ามองยอดหอคอยแหลม

เธอเห็นงูยักษ์สีเงินสว่างกำลังขดตัวอยู่

งูยักษ์ตัวนี้ปราศจากเกล็ด ผิวหนังปกคลุมด้วยอักขระและลวดลายกงล้อที่เชื่อมต่อกันด้วยสัญลักษณ์หลากหลาย

มันจ้องออเดรย์ด้วยดวงตาสีแดงสดก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มต่ำและเย็นชา

“ดอนดันเตสต้องการอะไร”

นี่คือเทวทูตเส้นทางชะตากรรมที่มอบเลือดหนึ่งหยดให้มาดามเฮอร์มิท? ออเดรย์ควบคุมสติพลางจ้องตอบงูยักษ์ จากนั้นก็เล่าไปตามจริง

“เขาฝากถามว่าจะหาวัตถุดิบหลักของโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ได้จากที่ใด”

งูยักษ์สีเงินสว่างเงียบไปสักพักก่อนจะตอบ

“ลำดับสอง ของแต่ละเส้นทางจะมีจำนวนสูงสุดได้ไม่เท่ากัน หากตำแหน่งของบริวารเร้นลับถูกเติมเต็ม จะมีผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ได้ไม่เกินหก”

ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์คือชื่อโอสถลำดับสอง…มิสเตอร์เวิร์ลกำลังจะกลายเป็นเทวทูต? หรือเตรียมไว้สำหรับพวกพ้อง? ไม่ใช่…ถ้าเป็นโอสถของพวกพ้องจริง เขาสามารถให้อีกฝ่ายถามด้วยตัวเอง…ออเดรย์ประหลาดใจในตอนต้น จากนั้นก็ตั้งตารอคำตอบจากงูยักษ์ลึกลับตรงหน้า

……………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+