Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับราชันเร้นลับ 634 : เมืองสีขาว

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 634 : เมืองสีขาว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มหาวิทยาลัยสโตน…

รองศาสตราจารย์มิตเชล… บันทึกสงครามสองทศวรรษ…

ออเดรย์แยกคำสำคัญออกจากบทสนทนา สายตามองตรงไปทางซูซี่กำลังวิ่งนำหน้าม้าสีน้ำตาลแดงอย่างสนุกสนาน เปล่งเสียงถามซีมินด้วยสีหน้าสนใจ

“มิสซีมิน มันคือบันทึกเกี่ยวกับอะไรคะ”

“พวกเราเองก็ไม่แน่ใจ ทราบแต่เพียงว่า เนื้อหาเกี่ยวกับสงครามสองทศวรรษ และเป็นหนึ่งในของสะสมของรองศาสตราจารย์มิตเชล โดยจุดสำคัญของหนังสือเล่มนั้น คือลายเส้นบนปกที่เรียงต่อกันเป็นรูปมังกร” ซีมินไม่ปิดบัง เล่าทุกเรื่องที่เธอฟังมาให้ออเดรย์ทราบ

หลังจากฟังจบ หญิงสาวลดความเร็วม้าลง สมองครุ่นคิดหาวิธีทำภารกิจให้ลุล่วง

เราแค่ต้องหาโอกาสนัดพบรองศาสตราจารย์มิตเชลเพื่อขอดูของสะสม จากนั้นก็เอ่ยปากขอซื้อหนังสือสักเล่ม ฟังดูไม่ใช่งานยาก…

ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจสักเท่าไร แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากเราปรารถนาสิ่งใด แทบไม่มีชายใดกล้าตอบปฏิเสธ… อึก… ออเดรย์! เธอไม่ควรพึ่งพาเรื่องแบบนี้มากเกินไป!

ประเด็นสำคัญคือความแนบเนียน เราไม่เคยรู้จักมักจี่กับรองศาสตราจารย์มิตเชลมาก่อน การพรวดเข้าไปขอนัดพบคงไม่ใช่เรื่องดีนัก และยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าหนังสือเล่มดังกล่าวสำคัญต่อเขามากแค่ไหน การดึงดันขอซื้อรังแต่จะสร้างความหวาดระแวงและน่าสงสัย…

จริงสิ หากจำไม่ผิด พี่ชายของเจนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยสโตน โดยในงานเลี้ยงครั้งสุดท้าย เขาเป็นคนช่างพูดและชอบแลกเปลี่ยนความรู้ หากลองเราชักชวนให้มางานเลี้ยงน้ำชาพร้อมกันทั้งพี่ทั้งน้อง และเกริ่นถึงความสนใจด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และของสะสม เขาต้องเอ่ยชื่อรองศาสตราจารย์มิตเชลออกมาแน่…

คนที่ถูกเรียกว่า ‘นักสะสม’ คงมีไม่มากเท่าไรในมหาวิทยาลัย…

เมื่อเตรียมการเบื้องต้นเสร็จ เราจะส่งคนเข้าไปนัดกับรองศาสตราจารย์มิตเชลเพื่อขอดูของสะสม การเยี่ยมชมครั้งแรกต้องไม่เผยความสนใจจนเกินพอดี เพียงคอยจับตามองท่าทีของอีกฝ่ายก็พอ บรรจงกล่อมให้เผยความสนใจของตัวเองออกมาทีละนิด จากนั้นค่อยเอ่ยปากขอซื้อในจังหวะเหมาะสม…

หลังจากยืนยันแผนเสร็จ ออเดรย์หันไปพยักหน้าให้ซีมินพร้อมกับเผยรอยยิ้ม

“ดิฉันจะพยายามค่ะ แต่ไม่ขอรับประกันความสำเร็จ”

เมื่อสิ้นเสียง หญิงสาวเกร็งเท้าทั้งสองข้างเพื่อตบโกลนให้แนบลำตัวม้า เหยียดตัวยืนตรงอย่างสง่างาม ปล่อยสายธนูเพื่อส่งศรพุ่งตรงไปทางสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลแดง ซึ่งกำลังถูกล้อมกรอบต้อนโดยเหล่าคนรับใช้

ท่ามกลางคลื่นทะเลสูงต่ำ โทสะสีครามโยกคลอนประหนึ่งใบไม้ที่ถูกลมพัดปลิว ลำเรือโคลงเคลงซ้ายทีขวาที แต่สมดุลของมันยอดเยี่ยมจนน่าเหลือเชื่อ ยังคงยึดเกาะผิวน้ำไว้แนบแน่นโดยไม่มีทีท่าจะพลิกคว่ำ

ณ ห้องกัปตัน

อัลเจอร์วิลสันกำลังลอยตัวข้างหน้าต่างในลักษณะฝ่าเท้าไม่ติดพื้น ตามองออกไปยังคลื่นสูงประหนึ่งขุนเขาด้านนอกเรือ สายลมล่องหนกำลังหมุนวนรอบตัวอย่างเงียบงัน

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ อัลเจอร์ร่อนลงโดยใช้ฝ่าเท้าสัมผัสกับพรมหนา

‘ข้ารับใช้วายุ’ สวมบทบาทได้ง่ายสมชื่อ… ปัญหาเดียวคืออารมณ์ที่หุนหัน เพื่อให้เข้ากับความเกรี้ยวกราดของสายลม…

อัลเจอร์ถอนหายใจ สีหน้ามิได้เผยความยินดี

ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา มันตามหาสูตรโอสถ ‘นักขับขานสมุทร’ มาครอบครองไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะจากช่องทางส่วนตัวหรือชุมนุมทาโรต์ แต่เรื่องนี้ก็ไม่เหนือความคาดหมายสักเท่าไร โอสถลำดับ 5 หมายถึงประตูบานสุดท้ายก่อนถึงครึ่งเทพ ไม่มีขายในราคาท้องตลาดแน่นอน หากไม่ควักเงินก้อนโตก็คงยากจะได้มาครอบครอง นอกเสียจากจะยอมเสี่ยงโชคกับของถูกที่มีโอกาสปลอมมากกว่าจริง

ว่ากันตามตรง ช่องทางที่ง่ายและน่าเชื่อถือที่สุดคงหนีไม่พ้นโบสถ์ แต่อัลเจอร์ผู้มีตำแหน่งทัดเทียมบิชอปของโบสถ์วายุสลาตัน กลับไม่สามารถสะสมคะแนนผลงานแลกอย่างตรงไปตรงมาได้ มันต้องการให้ลำดับของตนถูกปิดเป็นความลับ เก็บซ่อนพลังที่แท้จริงเพื่อแลกกับอิสรภาพและการไม่ถูกจับตามอง คอยสั่งสมพลังเพื่อรอโอกาสเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง จากนั้นก็สะสางในสิ่งที่ตนปรารถนามานาน

สิ่งที่ทำให้อัลเจอร์ใจเย็นลงก็คือ สองเดือนที่ผ่านมามิได้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า อย่างน้อยพัฒนาการของโอสถ ‘ข้ารับใช้วายุ’ ก็คืบหน้าเป็นอันมาก

จริงอยู่ ตอนนี้อาจยังสวมบทบาทได้ง่าย แต่หากกลายเป็น ‘นักขับขานสมุทร’ เมื่อไร เราจะใช้วิธีใดสวมบทบาท? ต้องหมั่นร้องเพลง?

อัลเจอร์ครุ่นคิดพลางหันไปทางดาดฟ้าเรือ

แม้จะถูกกำแพงห้องกั้นหลายชั้น แต่มันยังได้ยินเสียงสำมะเลเทเมาของเหล่าลูกเรือด้านนอกอย่างชัดเจน เป็นการแหกปากร้องเพลงเพื่อเอาชนะเสียงหวีดแหลมของลมพายุกระโชก

อัลเจอร์ขมวดคิ้วหน้าหงิกโดยไม่รู้ตัว

กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด

คณะละครสัตว์ซินดิส

“พี่สาวไม่ใช่นักมายากลหรอกหรือ ทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้?” เมื่อเห็นนักมายากลสวมชุดคลุมสีดำและหมวกปลายแหลมสีเดียวกัน เด็กหนุ่มคนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องแต่งตัวแบบนี้… อาจเพราะในการแสดงครั้งแรก สมองของเราถูกอากาศอันหนาวเหน็บแช่แข็งจนทำงานผิดพลาด แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวมาตลอด…

ฟอร์สเกาแก้มสีแดงระเรื่อและยิ้มตอบ

“ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว มายากลมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเวทมนตร์คาถา”

แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยอธิบายว่าทำไมเราถึงแต่งตัวแบบนี้…

จากนั้น หญิงสาวยกหนึ่งในสามแก้วคว่ำที่วางอยู่ตรงหน้า สอดลูกบอลสีขาวใบเล็กและคว่ำกลับไปตามเดิม

ฟอร์สสับเปลี่ยนตำแหน่งของถ้วยด้วยความไวมืออันน่าทึ่ง ปิดท้ายด้วยการส่งรอยยิ้มให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งตั้งคำถาม

“ลูกบอลอยู่ใต้แก้วใบไหนเอ่ย?”

“นี่มันเกมการพนันที่จักรพรรดิโรซายล์คิดค้นไม่ใช่หรือ…” เด็กหนุ่มเกริ่นอย่างสนใจ “แต่พี่สาวไม่ใช่เจ้ามือบ่อน และที่นี่คือคณะละครสัตว์ ดังนั้นพี่สาวน่าจะเล่นกลตบตา สลับลูกบอลออกไปเรียบร้อยแล้ว! แก้วทั้งหมดว่างเปล่า!”

ฟอร์สกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ปิ๊งป่อง… ผิดจ้า”

หญิงสาวหงายเปิดแก้วใบกลาง ทันใดนั้น ร่างสีขาวโพลนโผล่พรวดออกมากะทันหัน

นกพิราบ!

เมื่อนกพิราบบินออกไป ลูกบอลสีขาวใบเล็กถูกวางอยู่ใต้ถ้วยใบเดียวกัน

“สุดยอด!”

“พระเจ้าช่วย!”

“เวทมนตร์!”

ท่ามกลางเสียงฮือฮา ฟอร์สแหงนหน้ามองไปทางนาฬิกาโบสถ์ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าเจือความภาคภูมิใจ จากนั้น เธอรีบเก็บอุปกรณ์และเดินเข้าไปหาเจ้าของคณะละครสัตว์

“คุณจะลาออกจริงหรือ? ผมยินดีเพิ่มค่าแรงให้เป็นสองเท่า!” หัวหน้าคณะละครสัตว์รีบโน้มน้าวเมื่อเห็นอีกฝ่าย

คงไม่ได้กระมัง… เราค้นพบแก่นของนักตุกติกตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม จนกระทั่งย่อยโอสถอย่างสมบูรณ์เมื่อสัปดาห์ก่อน หากไม่ใช่เพราะมีสัญญาจนถึงวันนี้ ก็คงไม่ลากสังขารออกจากบ้านมาทำแน่นอน…

อันที่จริง ชีวิตการเป็นนักมายากลในคณะละครสัตว์ก็ไม่เลวนัก แต่เรายังมีเป้าหมายที่จะเป็น ‘โหราจารย์’ และอาจารย์บอกว่าจะกลับมาถึงในสัปดาห์นี้ เพื่อมอบสูตรโอสถพร้อมกับวัตถุดิบหลักหนึ่งชิ้นเป็นของขวัญ…

จะเป็นชิ้นไหนกันนะ…

เฮ่อ… เสียงเพรียกในคืนจันทร์เต็มดวงนับวันยิ่งทรงพลัง หากไม่มีมิสเตอร์ฟูล เราคงคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปนานแล้ว…

ฟอร์สครุ่นคิดพลางยกมือปิดปากหาวอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะหันไปตอบด้วยรอยยิ้ม

“อันที่จริง ดิฉันเป็นนักเขียนนิยายขายดี เรื่องถัดไปมีเนื้อหาเกี่ยวกับคณะละครสัตว์ จึงสมัครเข้ามาทำงานกับที่นี่”

“นิยายขายดี?” แววตาหัวหน้าคณะละครสัตว์พลันลุกวาว รีบเปล่งเสียงถามด้วยน้ำเสียงกังวลปนคาดหวัง “คุณจะเขียนเรื่องแย่ ๆ เกี่ยวกับพวกเราไหม…”

“ที่นี่มีอะไรแย่ด้วยหรือ ดิฉันมีความสุขมากตลอดสองเดือนที่ผ่านมา” ฟอร์สถอดหมวกสีดำปลายแหลม

หัวหน้าคณะละครสัตว์ฉีกยิ้มกว้าง

“อ…เอ่อ มิสวอลล์ รบกวนคุณช่วยเอ่ยชื่อคณะละครสัตว์ของเราในนิยายเรื่องใหม่ได้ไหม ผ…ผมยินดีจ่ายค่าโฆษณา แต่มันคงไม่มากมายอะไรนัก คุณคงทราบดีว่าผมมีหลายปากท้องให้ต้องเลี้ยงดู”

ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ… หัวหน้าคณะหลักแหลมไม่เบา โดยเฉพาะด้านการค้า…

เป็นครั้งแรกที่ฟอร์สตระหนักว่านิยายก็สามารถขายพื้นที่โฆษณาได้เช่นกัน ไม่ต่างไปจากหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ออกจะเป็นธรรมชาติและแนบเนียนกว่าด้วยซ้ำ

ท่ามกลางคลื่นทะเล เรือเดินสมุทรที่มีปืนใหญ่หลายกระบอกเรียงราย กำลังแล่นไปบนน่านน้ำปลอดภัยโดยไม่กล้าแฉลบออก

หากเป็นแถบน่านน้ำตะวันออกถัดจากเขตเกาะโอลาวี เรือที่แล่นออกจากนอกเส้นทางหลักมักสาบสูญอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่โจรสลัดห้าวหาญก็ยังไม่กล้าเสี่ยงเบี่ยงออกไปนานนัก

ผืนมหาสมุทรส่วนใหญ่ของโลกยังคงเต็มไปด้วยดินแดนที่ไม่ถูกสำรวจ เกือบทั้งหมดมีตำนานเหนือธรรมชาติซ่อนอยู่!

หลังจากทำงานอาสาสมัครนานกว่าสองเดือน ช่วยบรรลุความปรารถนาสุดท้ายของคนไข้ใกล้ตายไปสี่ราย ทำงานภารโรงเช่นการเช็ดคราบของเสีย ในที่สุดไคลน์ก็บอกลาเกาะโอลาวีและขึ้นเรือเดินสมุทรมายังหมู่เกาะการ์กัส

ย้อนกลับไปในช่วงต้นเดือนมีนาคม ไคลน์อาศัยชุมนุมทาโรต์เป็นช่องทางว่าจ้างเฮอร์มิท และใช้เมืองสีขาว ‘นาส’ เป็นจุดนัดพบ โดยหลังจากนั้น มันจะขึ้นเรือของพลเรือเอกดวงดาวไปยังสุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนีย ซึ่งขึ้นชื่อว่างดงามประหนึ่งดินแดนมายาและเต็มไปด้วยอันตรายเหนือพรรณนา เพื่อตามหานางเงือกที่ดำรงชีวิตอยู่ในธรรมชาติ

เฮอร์มิท·แคทลียาค่อนข้างสนใจการพบปะกับสมาชิกชุมนุมทาโรต์ในชีวิตจริง เพียงครุ่นคิดไม่กี่วินาทีก็ตอบตกลงคำขอร้องของเดอะเวิร์ล อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากระดับความอันตราย เธอเสนอราคาค่าจ้างที่ค่อนข้างสูง

สามพันปอนด์!

ความคิดแรกในหัวไคลน์คือโบกมือลา และหันไปขึ้นเรือของแฮงแมนแทน แต่หลังจากประเมินว่าอาจต้องร่วมทางกับลูกเรือของโบสถ์วายุสลาตันจำนวนมาก ทำให้ค่อนข้างขาดอิสระ รวมถึงกังวลเกี่ยวกับระดับอันตรายของน่านน้ำสุดเขตตะวันออก ท้ายที่สุด ไคลน์เลือกโดยสารไปกับเรือของเฮอร์มิท โดยอีกฝ่ายพร้อมเริ่มงานในช่วงต้นเมษายน และจะรอใกล้กับหมู่เกาะการ์กัสได้นานเพียงเดือนเดียว หากเลื่อนเวลาออกไปเกินกว่านั้นจะขอยกเลิกข้อตกลง

เพื่อไม่ให้เงินมัดจำหนึ่งพันปอนด์สูญเปล่า ชายหนุ่มไม่มัวรอให้โอสถย่อยสมบูรณ์ รีบเดินทางออกจากโอลาวีมายังหมู่เกาะการ์กัสทันทีในช่วงต้นเดือนเมษายน

อย่างไรก็ตาม การสวมรอยเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลสี่ครั้งตลอดสองเดือนเต็ม ช่วยให้โอสถผู้ไร้หน้าย่อยเกือบสมบูรณ์ ขอเพียงสวมบทบาทเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ต่อไปอีกสักสองสัปดาห์ โอสถคงก็ย่อยเสร็จพอดี

ด้วยเหตุผลข้างต้น ไคลน์ตัดสินใจผูกตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไว้กับเดอะเวิร์ล เมื่อออกจากโรงพยาบาลจึงแปลงโฉมกลับเป็นนักผจญภัยเสียสติทันที แต่ยังปลอมตัวปกปิดทับอีกชั้น

หลังจากจ้องคลื่นทะเลที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นเวลานาน ในที่สุด ไคลน์มองเห็นเมืองท่าที่ใช้อิฐสีขาวเป็นวัสดุหลักในการสร้างอาคารส่วนมาก

ที่นี่คือดินแดนสุดเขตอาณานิคมทางตะวันออกของจักรวรรดิฟุซัค

เมืองเอกของหมู่เกาะการ์กัส นาส!

“ได้ออกจากอาณาจักรตัวเองซะที…”

ไคลน์จ้องเรือประมงที่กำลังลำเลียงเนื้อวาฬเข้าไปจอดในท่า ลูกเรือแต่ละคนล้วนกำยำบึกบึนแฝงความป่าเถื่อนสมคำร่ำลือ

ขณะเดียวกัน มันพบเรือหลายลำในท่าที่มีธงโจรสลัดโบกสะบัด ปราศจากการปกปิดหรือความคิดที่จะอำพราง

ไม่ผิดจากที่ได้ยินมา สุดเขตตะวันออกคือแดนสวรรค์ของโจรสลัด…

ไคลน์สวมหมวกพร้อมกับถือกระเป๋าเดินทาง รอจนกระทั่งเรือเดินสมุทรจอดแน่นิ่ง จึงย่างกรายออกจากห้องพักและลงจากเรือด้วยบันได

ผ่านไปสองสามก้าว มันเห็นการปะทะกันระหว่างกลุ่มโจรสลัดและกลุ่มที่น่าจะเป็นอันธพาลท้องถิ่น

ไคลน์เดินผ่านโดยไม่ส่งเสียง และไม่หยุดหันไปมองให้เสียเวลา

ทันใดนั้น หางตาบังเอิญเหลือบเห็นผู้ที่น่าจะเป็นอันธพาลท้องถิ่นคนหนึ่ง ล้วงหยิบกระป๋องของบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ เปิดฝาและขว้างลงไปยังกลางถนน

ทำเพื่ออะ…

…ไร!

ขณะเตรียมส่ายหน้า ไคลน์บังเอิญหวนนึกถึงสินค้าชื่อดังทางทะเลชนิดหนึ่ง

ปลาหมาป่ากระป๋อง!

ปลาหมาป่ากระป๋องได้รับความนิยมอย่างมากในแถบฝ่ายฝั่งตะวันออกของฟุซัคและหมู่เกาะการ์กัส!

ขณะความคิดข้างต้นแล่นผ่าน ความเหม็นที่เหนือพรรณนาได้ทะลวงเข้ามาในประสาทรับกลิ่นอย่างท่วมท้น!

ใบหน้าชายหนุ่มเริ่มบิดเบี้ยว ฝืนอดทนต่อความกระอักกระอ่วนทางกายภาพด้วยจิตใจอันเข้มแข็งของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน รีบส่งตัวเองออกจากบริเวณดังกล่าวโดยเร็ว

โจรสลัดที่ยืนใกล้กับกระป๋องอาหารพลันหลับกลางอากาศ บางรายที่ห่างออกไปเริ่มอ้วกอย่างไม่เขินอาย ส่วนคนที่ตั้งตัวได้ทัน รีบกลั้นหายใจและแบกซากเพื่อนออกจากจุดปะทะ

ราวหนึ่งนาทีถัดมา ภายในมุมหนึ่งของตรอกเปลี่ยวอับสายตา นักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังนั่งยองและพ่นอ้วกโดยพยายามให้เสียงดังน้อยที่สุด

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด