Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับราชันเร้นลับ 1211 : เหนือจินตนาการ

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 1211 : เหนือจินตนาการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะรถม้าแล่นไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน ออเดรย์มองออกไปนอกหน้าต่าง

ผู้คนผ่านไปผ่านมาริมถนนต่างหันมาจ้องม้าที่กำลังลากห้องโดยสาร ดวงตาพวกมันเผยประกายความบ้าบิ่น ส่วนคนที่โชคดีได้รับแจกอาหารต่างเร่งฝีเท้าวิ่งกลับไปยังบ้านของตน

ตำรวจในเครื่องแบบตารางหมากรุกขาวดำคอยเดินตรวจตราบนถนน พวกมันเหน็บลูกโม่ไว้ข้างเอวและถือกระบองไว้ในมือ หมายยับยั้งทุกคนที่พยายามกระทำความผิด

“เมื่อไม่กี่วันก่อน ถนนเส้นนี้น่ากลัวมากจนพวกเราไม่กล้าออกมาตามลำพัง…” สาวใช้ส่วนตัว แอนนี่ กระซิบกระซาบ

ออเดรย์พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร

ผ่านไปสักพัก รถม้าแล่นมาถึงถนนเฟลป์และจอดที่จัตุรัสหน้าวิหารนักบุญแซมมวล

ไม่มีใครมองเห็นฝูงพิราบขาวที่มักรวมตัวในบริเวณใกล้เคียง

กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น รวมถึงกองทุนที่จัดตั้งในภายหลังอย่าง ‘กองทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้แห่งโลเอ็น’ และ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการรักษาพยาบาลแห่งโลเอ็น’ ล้วนย้ายสำนักงานจากอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์มายังห้องเล็กๆ ภายในวิหาร นั่นเพราะอาคารหลังดังกล่าวที่มีลักษณะเป็นบ้านเพิ่งถูกโจมตีทางอากาศจนพังถล่ม

เจ้าหน้าที่ของทั้งสามกองทุนต่างตกอยู่ในอาการขวัญผวา หากไม่ใช่เพราะพวกตนเดินทางออกจากอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ปัจจุบันคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

หลังจากก้าวลงจากรถม้าและผ่านประตูหลัก ออเดรย์เห็นสตรีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าค่อนข้างผอมเพรียว เดินเข้ามาใกล้

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด เธอชิงกล่าว

“เมลิสซ่า… ยังมีอาหารสำหรับแจกเหลือไหม”

เมลิสซ่าส่ายหน้าเคร่งขรึม

“แม้แต่ทหารผ่านศึกที่พวกเราคอยดูแลก็ยังมีอาหารไม่พอแจก…”

ดวงตาสีเขียวของออเดรย์พลันหม่นหมอง แต่ก็มิได้แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพียงพยักหน้าเล็กน้อย

“ฉันจะช่วยคิดหาวิธี”

“จากเมืองเงินพิสุทธิ์… และจากด้านนอกดินแดนต้องสาป…”

คำตอบของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังกังวานในโสตประสาทของหน่วยล่าเมืองจันทราอย่างอดาล ซิน และรุส ถ้อยคำดังกล่าวทำให้พวกมันตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน ตอบสนองไม่ถูกไปสักพักใหญ่

ขณะอดาลซึ่งเริ่มได้สติกลับมาเตรียมกล่าวบางสิ่ง ซินผู้เกิดมาไม่มีจมูกพลันพรั่งพรูคำถามด้วยความตื่นเต้น

“เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่ที่ใด? หน้าตาเป็นเช่นไร? ห่างจากที่นี่ไกลแค่ไหน? …และด้านนอกดินแดนต้องคำสาปมีคนปรกติอาศัยอยู่มากแค่ไหน”

ไคลน์ชำเลืองหญิงสาวพลางตอบอย่างไร้อารมณ์

“เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ พวกเขาค้นพบหญ้าที่กินได้ซึ่งมีชื่อว่าหญ้าผิวดำ อาหารชนิดดังกล่าวทำให้พวกเขายังรักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้และสำรวจความมืดเพื่อค้นหาทางออกอย่างมีประสิทธิภาพ… เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาเพิ่งค้นพบเห็ดบางชนิด เห็ดดังกล่าวสามารถใช้ศพของสัตว์ประหลาดในการเจริญเติบโตเป็นอาหารที่ปราศจากมลพิษและความบ้าคลั่ง… เมืองเงินพิสุทธิ์ในปัจจุบันขยับออกห่างจากความบ้าคลั่งไปอีกหนึ่งก้าว ทายาทรุ่นใหม่จะไม่คลุ้มคลั่งง่ายนักต่อให้มีอายุมาก…”

คำพูดดังกล่าวทำให้อดาล ซิน และรุสกับถึงผงะ พวกมันตระหนักว่าตนกำลังเผชิญความยากลำบากโดยไม่จำเป็น

ชีวิตในเมืองเงินพิสุทธิ์ตามที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์อธิบาย คือฉากอันงดงามที่สุดเท่าที่พวกมันจะจินตนาการออก งดงามจนไม่น่าจะเป็นความจริง

“…ทารกแรกเกิดของพวกเขา… มีภาวะพิการบ้างไหม?” ซินถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ไคลน์ส่ายหน้า

“แทบไม่มี”

“พ่อแม่ของพวกเขาต้องเตร็ดเตร่ท่ามกลางความมืดในยามที่สภาพร่างกาย… ไม่สิ ในยามที่อายุมากหรือไม่?” อดาลถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

ไคลน์ผู้แต่งกายด้วยเสื้อนอกสีดำ หมวกทรงสูง ถือตะเกียง มอบคำตอบ

“ไม่… เพราะพวกเขาต้องแบกรับคำสาปในการเข่นฆ่าสายเลือดตัวเอง หากมิได้ถูกปลิดชีพด้วยฝีมือของญาติพี่น้องในสายเลือด พวกเขาจะกลายเป็นวิญญาณมารหรือไม่ก็สัตว์ประหลาดดุร้าย”

ในที่สุดสมาชิกหน่วยล่าของเมืองจันทราก็เริ่มสัมผัสถึงความจริง หัวใจพวกมันรู้สึกคล้ายกับทะเลสาบที่ค่อยๆ อุ่นขึ้นโดยมีฟองอากาศทยอยผุด

ฟองอากาศเหล่านั้นทั้งเปราะบาง ว่างเปล่า และถูกทำลายได้ง่ายดาย ทว่า แม้ด้านในจะไม่มีสิ่งใด แต่พวกมันยังคงสะท้อนแสงแห่งความหวัง

รุสผู้มีดวงตาชิดกัน อดไม่ได้ที่จะย้ำคำถามของซิน

“ด้านนอกดินแดนต้องสาบมีคนปรกติอาศัยอยู่มากแค่ไหน?”

ไคลน์จ้องพวกมันด้วยสีหน้าค่อนข้างซับซ้อน

“เกือบทั้งหมดเป็นคนปรกติ… ไม่มีใครต้องคอยพะวงว่าจะถูกสัตว์ประหลาดทำร้าย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกความมืดรายล้อม ไม่ต้องเสียสติในยามแก่เฒ่า ไม่ต้องเผชิญกับคำสาปทุกชนิด ทุกวันจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดและได้กินอาหารปรกติ ทุกคืนจะมีดวงจันทร์สีแดงลอยสูง…”

แต่ปัจจุบัน สิ่งเหล่านั้นกำลังจะถูกทำลาย… ไคลน์รำพันในใจ

คราวนี้ทั้งอดาล ซิน และรุสต่างปิดปากเงียบ เพราะแม้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะอธิบายอย่างเรียบง่าย แต่พวกมันกลับจินตนาการไม่ออก… เป็นความรู้สึกคล้ายกับได้อ่านหนังสือโบราณ พวกมันเข้าใจเนื้อหาและคำบรรยาย แต่ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้บางส่วน

พวกมันไม่เข้าใจว่าแสงแดดคืออะไรและดวงจันทร์สีแดงหมายถึงสิ่งใด

นอกจากนั้น ทั้งการได้ยินอาหารธรรมดาจนเป็นปรกติ การเป็นอิสระจากคำสาป การไม่ต้องกังวลสัตว์ประหลาดในความมืด และการไม่เสียสติในยามที่แก่ชรา สิ่งเหล่านี้คือความฝันที่ทุกคนถวิลหาอย่างแท้จริง

มีสถานที่แบบนั้นอยู่บนโลกด้วย? หรือจะหมายถึงสวรรค์ที่เขียนไว้ในหนังสือ? …ดินแดนของพวกเราถูกสาปจริงๆ? เป็นอีกครั้งที่สมาชิกหน่วยล่าเอาแต่ปิดปากเงียบ

หนึ่งในพวกมันอ้าปากเล็กน้อย แต่ก็มิได้ถามสิ่งใดออกมา บางคนอยากพาเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับไปยังเมืองจันทราเพื่อแจ้งกับมหานักบวชและชาวเมือง แต่ติดที่กลัวจะนำพาอันตรายเข้าไปสู่ทุกคน

ระหว่างสนทนา ไม่มีใครลดการป้องกันแม้แต่คนเดียว

ไคลน์ไม่ประหลาดใจกับท่าทีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันเชื่อว่านี่คือทัศนคติที่สำคัญหากต้องการมีชีวิตรอดในดินแดนเทพทอดทิ้ง

ในสภาพถือตะเกียง ชายหนุ่มก้าวไปทางซ้ายโดยหวังเดินอ้อมกลุ่มคนซึ่งแต่งกายด้วยหนังสัตว์หรือวัสดุพิสดารเพื่อเดินต่อไปยังทิศตะวันออก

สำหรับเรื่องราวของอีกฝ่ายและคำถามที่ว่า ตนควรยื่นมือช่วยเหลือหรือไม่ ไว้รอให้สืบสวนอย่างละเอียดก่อนค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย นั่นเพราะสัมผัสวิญญาณของไคลน์กำลังแจ้งเตือนว่า ปลายทางของตนอยู่ไม่ห่างออกไป เดินเท้าอีกสักสองสามชั่วโมงก็คงถึงทวีปตะวันตกในตำนาน

ทันทีที่ไคลน์ก้าวขา อดาลและคนที่เหลือต่างงอตัวเพื่อตั้งท่ารับการโจมตี อย่างไรก็ตาม พวกมันพบว่าชายที่ชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้เดินเข้ามาใกล้ตน ท่าทีคล้ายกับคนที่ต้องการตรงไปข้างหน้ามากกว่า

เมื่อเห็นชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดประหลาดสีดำ หมวกประหลาดสีเดียวกัน เดินถือตะเกียงประหลาดเดินจากไปพร้อมกับแสงไฟสีเหลืองที่ค่อยๆ จางลง ใบหน้าอดาลซึ่งปกคลุมด้วยตุ่มเนื้อพลันซับซ้อน มันตัดสินใจตะโกนเสียงดัง

“คุณเป็นใครกันแน่?”

ไคลน์ไม่หันกลับมามอง ยังคงถือตะเกียงเดินตรงเข้าไปในความมืดก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

“ผู้เผยแผ่ศาสนา… ผู้ถ่ายทอดพระวจนะของพระองค์”

อดาล ซิน รุส และคนที่เหลือต่างจ้องหน้ากันด้วยความฉงน

พวกมันลังเลอยู่นาน จนกระทั่งเปลวไฟสีเหลืองจางใกล้เลือนหาย ทุกคนตัดสินใจเดินตามหลังชายหนุ่มลึกลับไป

ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือทิ้งระยะห่าง ทำเพียงเดินถืออาหารที่ล่ามาได้ตามหลังอย่างเงียบเชียบประหนึ่งกำลังสะกดรอย ส่วนทางด้านไคลน์ ชายหนุ่มยังคงเดินด้วยความเร็วปรกติโดยไม่พยายามสลัดให้หลุดหรือหยุดรอ

ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนตัวท่ามกลางความมืดภายใต้สายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง รุสและสมาชิกหน่วยล่าอีกหนึ่งคนแยกตัวออกจากทีมพร้อมกับอาหารที่ล่ามาได้และตะเกียงหนังสัตว์ หายตัวไปในความมืดมิดไร้ก้นบึ้งอย่างเงียบงัน

จากวินาทีเป็นนาที จนกระทั่งไคลน์หยุดนิ่งอยู่กับที่

อาศัยความช่วยเหลือจากแสงสายฟ้า มันมองเห็นกลุ่มหมอกสีเทาเข้มข้นที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร

กลุ่มหมอกเชื่อมจากพื้นดินยาวไปถึงท้องฟ้าราวกับด้านบนไม่มีจุดสิ้นสุด

ขณะเดียวกันก็แผ่ขยายออกด้านข้างในลักษณะไร้ขอบเขต

ไคลน์ตั้งใจจดจ้องเป็นเวลานาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด จนกระทั่งสายฟ้าเส้นที่สองเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ ชายหนุ่มถอนสายตากลับ

ด้านหลังหรือด้านในกลุ่มหมอก… คือทวีปตะวันตกที่หายไป? ขณะครุ่นคิดด้วยหัวใจหนักอึ้ง ไคลน์อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจ

มันถือตะเกียงเดินต่อไปข้างหน้าจนกระทั่งแสงสว่างสาดลงบนสายหมอก

โดยไม่ต้องลองทดสอบ อาศัยสัมผัสวิญญาณของนักทำนาย ไคลน์ทราบได้ทันทีว่าตนไม่มีทาง ‘ผ่าน’ บาเรียล่องหนตรงหน้าไม่ว่าจะใช้วิธีใด

มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะเหยียดแขนออกไปคว้าความมืดตรงหน้าหนแล้วหนเล่า

ผ่านไปสี่ห้าครั้ง ไคลน์ดึงไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีออกมา

นี่คือไม้เท้าดวงดาว สมบัติปิดผนึกทรงพลังนามว่า 0-62 ที่ถูกนำมาแลกเปลี่ยนกับกล่องวันวาน!

แต่แน่นอน สิ่งที่ไคลน์ทำคือการอัญเชิญภาพฉายของไม้เท้าดวงดาวออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์

ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ไคลน์เผลอจินตนาการฉากใดในใจ ก็ยังมีเวลาเพียงพอให้สลายไม้เท้าทิ้งเพื่อยับยั้งผลการทำงาน

สำหรับปราชญ์โบราณ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการใช้งานสมบัติปิดผนึก แต่ข้อเสียคือการอัญเชิญแต่ละครั้งจะใช้งานได้ไม่เกินสามนาที แถมประสิทธิภาพยังด้อยกว่าต้นตำรับเล็กน้อย ในทางกลับกัน การให้หุ่นเชิดถือไม้เท้าดวงดาวแทนยังไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไร เพราะหุ่นเชิดทุกตัวต้องการ ‘การควบคุม’ จากเจ้าของ และการควบคุมมักมาพร้อม ‘จินตนาการ’ จึงมีโอกาสสูงที่ฉากหนึ่งจะถูกสร้างขึ้นในใจ

แต่แน่นอน หากเป็นการต่อสู้ที่เตรียมตัวล่วงหน้า ไคลน์จะไม่ใช่วิธีอัญเชิญภาพฉายของสมบัติปิดผนึกเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้เสีย ‘โควตา’ แสนมีค่าของภาพฉายไปถึงในหนึ่งในสาม ไม่เพียงเท่านั้น แม้เจ้าของคนปัจจุบันของไม้เท้าดวงดาวจะเป็นไคลน์ แต่ส่วนใหญ่ยังเก็บรักษาไว้ในสภาพปิดผนึก แถมระดับของวัตถุยังค่อนข้างสูง ส่งผลให้ไคลน์มิอาจอัญเชิญให้สำเร็จในครั้งเดียว ต้องเสียเวลาไม่ต่ำกว่าสามถึงหกรอบ ไม่เหมาะแก่การดึงออกมาใช้ขณะต่อสู้จริง

และด้วยเหตุผลข้างต้น เมื่อเป็นการต่อสู้ที่วางแผนล่วงหน้า ไคลน์จะสะกดจิตตัวเองเพื่อให้ไม่จินตนาการฉากใด ช่วยให้สามารถใช้ไม้เท้าดวงดาวได้พร้อมกับการอัญเชิญภาพฉายคนสำคัญอย่างมิสผู้ส่งสาร มิสเตอร์อะซิก มาดามอาเรียนน่า วิล·อัสติน หรือเทวทูตที่คุ้นเคยตนอื่น

ในท่าถือไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีหลายเม็ด ไคลน์จินตนาการภาพบานประตูค่อยๆ เปิดออก

เมื่ออัญมณีบนหัวไม้เท้าส่องแสงจาง ประตูมายาบานหนึ่งถูกวาดขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอกสีเทาหนาแน่น

ประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า แต่ด้านในก็ยังเป็นกลุ่มหมอกสีเทา

พลังเปิดประตูใช้การไม่ได้… แม้จะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดความคาดหมาย แต่ไคลน์ก็ผิดหวังเล็กๆ

มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะเปลี่ยนวิธีการ

ทว่า ขณะกำลังครุ่นคิด ไม้เท้าดวงดาวพลันถูกกระตุ้นด้วยภาพในจินตนาการ

…………………………………….

ขณะรถม้าแล่นไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน ออเดรย์มองออกไปนอกหน้าต่าง

ผู้คนผ่านไปผ่านมาริมถนนต่างหันมาจ้องม้าที่กำลังลากห้องโดยสาร ดวงตาพวกมันเผยประกายความบ้าบิ่น ส่วนคนที่โชคดีได้รับแจกอาหารต่างเร่งฝีเท้าวิ่งกลับไปยังบ้านของตน

ตำรวจในเครื่องแบบตารางหมากรุกขาวดำคอยเดินตรวจตราบนถนน พวกมันเหน็บลูกโม่ไว้ข้างเอวและถือกระบองไว้ในมือ หมายยับยั้งทุกคนที่พยายามกระทำความผิด

“เมื่อไม่กี่วันก่อน ถนนเส้นนี้น่ากลัวมากจนพวกเราไม่กล้าออกมาตามลำพัง…” สาวใช้ส่วนตัว แอนนี่ กระซิบกระซาบ

ออเดรย์พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร

ผ่านไปสักพัก รถม้าแล่นมาถึงถนนเฟลป์และจอดที่จัตุรัสหน้าวิหารนักบุญแซมมวล

ไม่มีใครมองเห็นฝูงพิราบขาวที่มักรวมตัวในบริเวณใกล้เคียง

กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น รวมถึงกองทุนที่จัดตั้งในภายหลังอย่าง ‘กองทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้แห่งโลเอ็น’ และ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการรักษาพยาบาลแห่งโลเอ็น’ ล้วนย้ายสำนักงานจากอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์มายังห้องเล็กๆ ภายในวิหาร นั่นเพราะอาคารหลังดังกล่าวที่มีลักษณะเป็นบ้านเพิ่งถูกโจมตีทางอากาศจนพังถล่ม

เจ้าหน้าที่ของทั้งสามกองทุนต่างตกอยู่ในอาการขวัญผวา หากไม่ใช่เพราะพวกตนเดินทางออกจากอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ปัจจุบันคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

หลังจากก้าวลงจากรถม้าและผ่านประตูหลัก ออเดรย์เห็นสตรีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าค่อนข้างผอมเพรียว เดินเข้ามาใกล้

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด เธอชิงกล่าว

“เมลิสซ่า… ยังมีอาหารสำหรับแจกเหลือไหม”

เมลิสซ่าส่ายหน้าเคร่งขรึม

“แม้แต่ทหารผ่านศึกที่พวกเราคอยดูแลก็ยังมีอาหารไม่พอแจก…”

ดวงตาสีเขียวของออเดรย์พลันหม่นหมอง แต่ก็มิได้แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพียงพยักหน้าเล็กน้อย

“ฉันจะช่วยคิดหาวิธี”

“จากเมืองเงินพิสุทธิ์… และจากด้านนอกดินแดนต้องสาป…”

คำตอบของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังกังวานในโสตประสาทของหน่วยล่าเมืองจันทราอย่างอดาล ซิน และรุส ถ้อยคำดังกล่าวทำให้พวกมันตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน ตอบสนองไม่ถูกไปสักพักใหญ่

ขณะอดาลซึ่งเริ่มได้สติกลับมาเตรียมกล่าวบางสิ่ง ซินผู้เกิดมาไม่มีจมูกพลันพรั่งพรูคำถามด้วยความตื่นเต้น

“เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่ที่ใด? หน้าตาเป็นเช่นไร? ห่างจากที่นี่ไกลแค่ไหน? …และด้านนอกดินแดนต้องคำสาปมีคนปรกติอาศัยอยู่มากแค่ไหน”

ไคลน์ชำเลืองหญิงสาวพลางตอบอย่างไร้อารมณ์

“เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ พวกเขาค้นพบหญ้าที่กินได้ซึ่งมีชื่อว่าหญ้าผิวดำ อาหารชนิดดังกล่าวทำให้พวกเขายังรักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้และสำรวจความมืดเพื่อค้นหาทางออกอย่างมีประสิทธิภาพ… เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาเพิ่งค้นพบเห็ดบางชนิด เห็ดดังกล่าวสามารถใช้ศพของสัตว์ประหลาดในการเจริญเติบโตเป็นอาหารที่ปราศจากมลพิษและความบ้าคลั่ง… เมืองเงินพิสุทธิ์ในปัจจุบันขยับออกห่างจากความบ้าคลั่งไปอีกหนึ่งก้าว ทายาทรุ่นใหม่จะไม่คลุ้มคลั่งง่ายนักต่อให้มีอายุมาก…”

คำพูดดังกล่าวทำให้อดาล ซิน และรุสกับถึงผงะ พวกมันตระหนักว่าตนกำลังเผชิญความยากลำบากโดยไม่จำเป็น

ชีวิตในเมืองเงินพิสุทธิ์ตามที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์อธิบาย คือฉากอันงดงามที่สุดเท่าที่พวกมันจะจินตนาการออก งดงามจนไม่น่าจะเป็นความจริง

“…ทารกแรกเกิดของพวกเขา… มีภาวะพิการบ้างไหม?” ซินถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ไคลน์ส่ายหน้า

“แทบไม่มี”

“พ่อแม่ของพวกเขาต้องเตร็ดเตร่ท่ามกลางความมืดในยามที่สภาพร่างกาย… ไม่สิ ในยามที่อายุมากหรือไม่?” อดาลถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

ไคลน์ผู้แต่งกายด้วยเสื้อนอกสีดำ หมวกทรงสูง ถือตะเกียง มอบคำตอบ

“ไม่… เพราะพวกเขาต้องแบกรับคำสาปในการเข่นฆ่าสายเลือดตัวเอง หากมิได้ถูกปลิดชีพด้วยฝีมือของญาติพี่น้องในสายเลือด พวกเขาจะกลายเป็นวิญญาณมารหรือไม่ก็สัตว์ประหลาดดุร้าย”

ในที่สุดสมาชิกหน่วยล่าของเมืองจันทราก็เริ่มสัมผัสถึงความจริง หัวใจพวกมันรู้สึกคล้ายกับทะเลสาบที่ค่อยๆ อุ่นขึ้นโดยมีฟองอากาศทยอยผุด

ฟองอากาศเหล่านั้นทั้งเปราะบาง ว่างเปล่า และถูกทำลายได้ง่ายดาย ทว่า แม้ด้านในจะไม่มีสิ่งใด แต่พวกมันยังคงสะท้อนแสงแห่งความหวัง

รุสผู้มีดวงตาชิดกัน อดไม่ได้ที่จะย้ำคำถามของซิน

“ด้านนอกดินแดนต้องสาบมีคนปรกติอาศัยอยู่มากแค่ไหน?”

ไคลน์จ้องพวกมันด้วยสีหน้าค่อนข้างซับซ้อน

“เกือบทั้งหมดเป็นคนปรกติ… ไม่มีใครต้องคอยพะวงว่าจะถูกสัตว์ประหลาดทำร้าย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกความมืดรายล้อม ไม่ต้องเสียสติในยามแก่เฒ่า ไม่ต้องเผชิญกับคำสาปทุกชนิด ทุกวันจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดและได้กินอาหารปรกติ ทุกคืนจะมีดวงจันทร์สีแดงลอยสูง…”

แต่ปัจจุบัน สิ่งเหล่านั้นกำลังจะถูกทำลาย… ไคลน์รำพันในใจ

คราวนี้ทั้งอดาล ซิน และรุสต่างปิดปากเงียบ เพราะแม้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะอธิบายอย่างเรียบง่าย แต่พวกมันกลับจินตนาการไม่ออก… เป็นความรู้สึกคล้ายกับได้อ่านหนังสือโบราณ พวกมันเข้าใจเนื้อหาและคำบรรยาย แต่ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้บางส่วน

พวกมันไม่เข้าใจว่าแสงแดดคืออะไรและดวงจันทร์สีแดงหมายถึงสิ่งใด

นอกจากนั้น ทั้งการได้ยินอาหารธรรมดาจนเป็นปรกติ การเป็นอิสระจากคำสาป การไม่ต้องกังวลสัตว์ประหลาดในความมืด และการไม่เสียสติในยามที่แก่ชรา สิ่งเหล่านี้คือความฝันที่ทุกคนถวิลหาอย่างแท้จริง

มีสถานที่แบบนั้นอยู่บนโลกด้วย? หรือจะหมายถึงสวรรค์ที่เขียนไว้ในหนังสือ? …ดินแดนของพวกเราถูกสาปจริงๆ? เป็นอีกครั้งที่สมาชิกหน่วยล่าเอาแต่ปิดปากเงียบ

หนึ่งในพวกมันอ้าปากเล็กน้อย แต่ก็มิได้ถามสิ่งใดออกมา บางคนอยากพาเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับไปยังเมืองจันทราเพื่อแจ้งกับมหานักบวชและชาวเมือง แต่ติดที่กลัวจะนำพาอันตรายเข้าไปสู่ทุกคน

ระหว่างสนทนา ไม่มีใครลดการป้องกันแม้แต่คนเดียว

ไคลน์ไม่ประหลาดใจกับท่าทีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันเชื่อว่านี่คือทัศนคติที่สำคัญหากต้องการมีชีวิตรอดในดินแดนเทพทอดทิ้ง

ในสภาพถือตะเกียง ชายหนุ่มก้าวไปทางซ้ายโดยหวังเดินอ้อมกลุ่มคนซึ่งแต่งกายด้วยหนังสัตว์หรือวัสดุพิสดารเพื่อเดินต่อไปยังทิศตะวันออก

สำหรับเรื่องราวของอีกฝ่ายและคำถามที่ว่า ตนควรยื่นมือช่วยเหลือหรือไม่ ไว้รอให้สืบสวนอย่างละเอียดก่อนค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย นั่นเพราะสัมผัสวิญญาณของไคลน์กำลังแจ้งเตือนว่า ปลายทางของตนอยู่ไม่ห่างออกไป เดินเท้าอีกสักสองสามชั่วโมงก็คงถึงทวีปตะวันตกในตำนาน

ทันทีที่ไคลน์ก้าวขา อดาลและคนที่เหลือต่างงอตัวเพื่อตั้งท่ารับการโจมตี อย่างไรก็ตาม พวกมันพบว่าชายที่ชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้เดินเข้ามาใกล้ตน ท่าทีคล้ายกับคนที่ต้องการตรงไปข้างหน้ามากกว่า

เมื่อเห็นชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดประหลาดสีดำ หมวกประหลาดสีเดียวกัน เดินถือตะเกียงประหลาดเดินจากไปพร้อมกับแสงไฟสีเหลืองที่ค่อยๆ จางลง ใบหน้าอดาลซึ่งปกคลุมด้วยตุ่มเนื้อพลันซับซ้อน มันตัดสินใจตะโกนเสียงดัง

“คุณเป็นใครกันแน่?”

ไคลน์ไม่หันกลับมามอง ยังคงถือตะเกียงเดินตรงเข้าไปในความมืดก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

“ผู้เผยแผ่ศาสนา… ผู้ถ่ายทอดพระวจนะของพระองค์”

อดาล ซิน รุส และคนที่เหลือต่างจ้องหน้ากันด้วยความฉงน

พวกมันลังเลอยู่นาน จนกระทั่งเปลวไฟสีเหลืองจางใกล้เลือนหาย ทุกคนตัดสินใจเดินตามหลังชายหนุ่มลึกลับไป

ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือทิ้งระยะห่าง ทำเพียงเดินถืออาหารที่ล่ามาได้ตามหลังอย่างเงียบเชียบประหนึ่งกำลังสะกดรอย ส่วนทางด้านไคลน์ ชายหนุ่มยังคงเดินด้วยความเร็วปรกติโดยไม่พยายามสลัดให้หลุดหรือหยุดรอ

ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนตัวท่ามกลางความมืดภายใต้สายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง รุสและสมาชิกหน่วยล่าอีกหนึ่งคนแยกตัวออกจากทีมพร้อมกับอาหารที่ล่ามาได้และตะเกียงหนังสัตว์ หายตัวไปในความมืดมิดไร้ก้นบึ้งอย่างเงียบงัน

จากวินาทีเป็นนาที จนกระทั่งไคลน์หยุดนิ่งอยู่กับที่

อาศัยความช่วยเหลือจากแสงสายฟ้า มันมองเห็นกลุ่มหมอกสีเทาเข้มข้นที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร

กลุ่มหมอกเชื่อมจากพื้นดินยาวไปถึงท้องฟ้าราวกับด้านบนไม่มีจุดสิ้นสุด

ขณะเดียวกันก็แผ่ขยายออกด้านข้างในลักษณะไร้ขอบเขต

ไคลน์ตั้งใจจดจ้องเป็นเวลานาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด จนกระทั่งสายฟ้าเส้นที่สองเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ ชายหนุ่มถอนสายตากลับ

ด้านหลังหรือด้านในกลุ่มหมอก… คือทวีปตะวันตกที่หายไป? ขณะครุ่นคิดด้วยหัวใจหนักอึ้ง ไคลน์อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจ

มันถือตะเกียงเดินต่อไปข้างหน้าจนกระทั่งแสงสว่างสาดลงบนสายหมอก

โดยไม่ต้องลองทดสอบ อาศัยสัมผัสวิญญาณของนักทำนาย ไคลน์ทราบได้ทันทีว่าตนไม่มีทาง ‘ผ่าน’ บาเรียล่องหนตรงหน้าไม่ว่าจะใช้วิธีใด

มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะเหยียดแขนออกไปคว้าความมืดตรงหน้าหนแล้วหนเล่า

ผ่านไปสี่ห้าครั้ง ไคลน์ดึงไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีออกมา

นี่คือไม้เท้าดวงดาว สมบัติปิดผนึกทรงพลังนามว่า 0-62 ที่ถูกนำมาแลกเปลี่ยนกับกล่องวันวาน!

แต่แน่นอน สิ่งที่ไคลน์ทำคือการอัญเชิญภาพฉายของไม้เท้าดวงดาวออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์

ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ไคลน์เผลอจินตนาการฉากใดในใจ ก็ยังมีเวลาเพียงพอให้สลายไม้เท้าทิ้งเพื่อยับยั้งผลการทำงาน

สำหรับปราชญ์โบราณ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการใช้งานสมบัติปิดผนึก แต่ข้อเสียคือการอัญเชิญแต่ละครั้งจะใช้งานได้ไม่เกินสามนาที แถมประสิทธิภาพยังด้อยกว่าต้นตำรับเล็กน้อย ในทางกลับกัน การให้หุ่นเชิดถือไม้เท้าดวงดาวแทนยังไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไร เพราะหุ่นเชิดทุกตัวต้องการ ‘การควบคุม’ จากเจ้าของ และการควบคุมมักมาพร้อม ‘จินตนาการ’ จึงมีโอกาสสูงที่ฉากหนึ่งจะถูกสร้างขึ้นในใจ

แต่แน่นอน หากเป็นการต่อสู้ที่เตรียมตัวล่วงหน้า ไคลน์จะไม่ใช่วิธีอัญเชิญภาพฉายของสมบัติปิดผนึกเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้เสีย ‘โควตา’ แสนมีค่าของภาพฉายไปถึงในหนึ่งในสาม ไม่เพียงเท่านั้น แม้เจ้าของคนปัจจุบันของไม้เท้าดวงดาวจะเป็นไคลน์ แต่ส่วนใหญ่ยังเก็บรักษาไว้ในสภาพปิดผนึก แถมระดับของวัตถุยังค่อนข้างสูง ส่งผลให้ไคลน์มิอาจอัญเชิญให้สำเร็จในครั้งเดียว ต้องเสียเวลาไม่ต่ำกว่าสามถึงหกรอบ ไม่เหมาะแก่การดึงออกมาใช้ขณะต่อสู้จริง

และด้วยเหตุผลข้างต้น เมื่อเป็นการต่อสู้ที่วางแผนล่วงหน้า ไคลน์จะสะกดจิตตัวเองเพื่อให้ไม่จินตนาการฉากใด ช่วยให้สามารถใช้ไม้เท้าดวงดาวได้พร้อมกับการอัญเชิญภาพฉายคนสำคัญอย่างมิสผู้ส่งสาร มิสเตอร์อะซิก มาดามอาเรียนน่า วิล·อัสติน หรือเทวทูตที่คุ้นเคยตนอื่น

ในท่าถือไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีหลายเม็ด ไคลน์จินตนาการภาพบานประตูค่อยๆ เปิดออก

เมื่ออัญมณีบนหัวไม้เท้าส่องแสงจาง ประตูมายาบานหนึ่งถูกวาดขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอกสีเทาหนาแน่น

ประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า แต่ด้านในก็ยังเป็นกลุ่มหมอกสีเทา

พลังเปิดประตูใช้การไม่ได้… แม้จะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดความคาดหมาย แต่ไคลน์ก็ผิดหวังเล็กๆ

มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะเปลี่ยนวิธีการ

ทว่า ขณะกำลังครุ่นคิด ไม้เท้าดวงดาวพลันถูกกระตุ้นด้วยภาพในจินตนาการ

…………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับราชันเร้นลับ 1211 : เหนือจินตนาการ

Now you are reading Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ Chapter ราชันเร้นลับ 1211 : เหนือจินตนาการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะรถม้าแล่นไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน ออเดรย์มองออกไปนอกหน้าต่าง

ผู้คนผ่านไปผ่านมาริมถนนต่างหันมาจ้องม้าที่กำลังลากห้องโดยสาร ดวงตาพวกมันเผยประกายความบ้าบิ่น ส่วนคนที่โชคดีได้รับแจกอาหารต่างเร่งฝีเท้าวิ่งกลับไปยังบ้านของตน

ตำรวจในเครื่องแบบตารางหมากรุกขาวดำคอยเดินตรวจตราบนถนน พวกมันเหน็บลูกโม่ไว้ข้างเอวและถือกระบองไว้ในมือ หมายยับยั้งทุกคนที่พยายามกระทำความผิด

“เมื่อไม่กี่วันก่อน ถนนเส้นนี้น่ากลัวมากจนพวกเราไม่กล้าออกมาตามลำพัง…” สาวใช้ส่วนตัว แอนนี่ กระซิบกระซาบ

ออเดรย์พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร

ผ่านไปสักพัก รถม้าแล่นมาถึงถนนเฟลป์และจอดที่จัตุรัสหน้าวิหารนักบุญแซมมวล

ไม่มีใครมองเห็นฝูงพิราบขาวที่มักรวมตัวในบริเวณใกล้เคียง

กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น รวมถึงกองทุนที่จัดตั้งในภายหลังอย่าง ‘กองทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้แห่งโลเอ็น’ และ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการรักษาพยาบาลแห่งโลเอ็น’ ล้วนย้ายสำนักงานจากอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์มายังห้องเล็กๆ ภายในวิหาร นั่นเพราะอาคารหลังดังกล่าวที่มีลักษณะเป็นบ้านเพิ่งถูกโจมตีทางอากาศจนพังถล่ม

เจ้าหน้าที่ของทั้งสามกองทุนต่างตกอยู่ในอาการขวัญผวา หากไม่ใช่เพราะพวกตนเดินทางออกจากอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ปัจจุบันคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

หลังจากก้าวลงจากรถม้าและผ่านประตูหลัก ออเดรย์เห็นสตรีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าค่อนข้างผอมเพรียว เดินเข้ามาใกล้

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด เธอชิงกล่าว

“เมลิสซ่า… ยังมีอาหารสำหรับแจกเหลือไหม”

เมลิสซ่าส่ายหน้าเคร่งขรึม

“แม้แต่ทหารผ่านศึกที่พวกเราคอยดูแลก็ยังมีอาหารไม่พอแจก…”

ดวงตาสีเขียวของออเดรย์พลันหม่นหมอง แต่ก็มิได้แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพียงพยักหน้าเล็กน้อย

“ฉันจะช่วยคิดหาวิธี”

“จากเมืองเงินพิสุทธิ์… และจากด้านนอกดินแดนต้องสาป…”

คำตอบของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังกังวานในโสตประสาทของหน่วยล่าเมืองจันทราอย่างอดาล ซิน และรุส ถ้อยคำดังกล่าวทำให้พวกมันตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน ตอบสนองไม่ถูกไปสักพักใหญ่

ขณะอดาลซึ่งเริ่มได้สติกลับมาเตรียมกล่าวบางสิ่ง ซินผู้เกิดมาไม่มีจมูกพลันพรั่งพรูคำถามด้วยความตื่นเต้น

“เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่ที่ใด? หน้าตาเป็นเช่นไร? ห่างจากที่นี่ไกลแค่ไหน? …และด้านนอกดินแดนต้องคำสาปมีคนปรกติอาศัยอยู่มากแค่ไหน”

ไคลน์ชำเลืองหญิงสาวพลางตอบอย่างไร้อารมณ์

“เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ พวกเขาค้นพบหญ้าที่กินได้ซึ่งมีชื่อว่าหญ้าผิวดำ อาหารชนิดดังกล่าวทำให้พวกเขายังรักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้และสำรวจความมืดเพื่อค้นหาทางออกอย่างมีประสิทธิภาพ… เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาเพิ่งค้นพบเห็ดบางชนิด เห็ดดังกล่าวสามารถใช้ศพของสัตว์ประหลาดในการเจริญเติบโตเป็นอาหารที่ปราศจากมลพิษและความบ้าคลั่ง… เมืองเงินพิสุทธิ์ในปัจจุบันขยับออกห่างจากความบ้าคลั่งไปอีกหนึ่งก้าว ทายาทรุ่นใหม่จะไม่คลุ้มคลั่งง่ายนักต่อให้มีอายุมาก…”

คำพูดดังกล่าวทำให้อดาล ซิน และรุสกับถึงผงะ พวกมันตระหนักว่าตนกำลังเผชิญความยากลำบากโดยไม่จำเป็น

ชีวิตในเมืองเงินพิสุทธิ์ตามที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์อธิบาย คือฉากอันงดงามที่สุดเท่าที่พวกมันจะจินตนาการออก งดงามจนไม่น่าจะเป็นความจริง

“…ทารกแรกเกิดของพวกเขา… มีภาวะพิการบ้างไหม?” ซินถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ไคลน์ส่ายหน้า

“แทบไม่มี”

“พ่อแม่ของพวกเขาต้องเตร็ดเตร่ท่ามกลางความมืดในยามที่สภาพร่างกาย… ไม่สิ ในยามที่อายุมากหรือไม่?” อดาลถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

ไคลน์ผู้แต่งกายด้วยเสื้อนอกสีดำ หมวกทรงสูง ถือตะเกียง มอบคำตอบ

“ไม่… เพราะพวกเขาต้องแบกรับคำสาปในการเข่นฆ่าสายเลือดตัวเอง หากมิได้ถูกปลิดชีพด้วยฝีมือของญาติพี่น้องในสายเลือด พวกเขาจะกลายเป็นวิญญาณมารหรือไม่ก็สัตว์ประหลาดดุร้าย”

ในที่สุดสมาชิกหน่วยล่าของเมืองจันทราก็เริ่มสัมผัสถึงความจริง หัวใจพวกมันรู้สึกคล้ายกับทะเลสาบที่ค่อยๆ อุ่นขึ้นโดยมีฟองอากาศทยอยผุด

ฟองอากาศเหล่านั้นทั้งเปราะบาง ว่างเปล่า และถูกทำลายได้ง่ายดาย ทว่า แม้ด้านในจะไม่มีสิ่งใด แต่พวกมันยังคงสะท้อนแสงแห่งความหวัง

รุสผู้มีดวงตาชิดกัน อดไม่ได้ที่จะย้ำคำถามของซิน

“ด้านนอกดินแดนต้องสาบมีคนปรกติอาศัยอยู่มากแค่ไหน?”

ไคลน์จ้องพวกมันด้วยสีหน้าค่อนข้างซับซ้อน

“เกือบทั้งหมดเป็นคนปรกติ… ไม่มีใครต้องคอยพะวงว่าจะถูกสัตว์ประหลาดทำร้าย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกความมืดรายล้อม ไม่ต้องเสียสติในยามแก่เฒ่า ไม่ต้องเผชิญกับคำสาปทุกชนิด ทุกวันจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดและได้กินอาหารปรกติ ทุกคืนจะมีดวงจันทร์สีแดงลอยสูง…”

แต่ปัจจุบัน สิ่งเหล่านั้นกำลังจะถูกทำลาย… ไคลน์รำพันในใจ

คราวนี้ทั้งอดาล ซิน และรุสต่างปิดปากเงียบ เพราะแม้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะอธิบายอย่างเรียบง่าย แต่พวกมันกลับจินตนาการไม่ออก… เป็นความรู้สึกคล้ายกับได้อ่านหนังสือโบราณ พวกมันเข้าใจเนื้อหาและคำบรรยาย แต่ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้บางส่วน

พวกมันไม่เข้าใจว่าแสงแดดคืออะไรและดวงจันทร์สีแดงหมายถึงสิ่งใด

นอกจากนั้น ทั้งการได้ยินอาหารธรรมดาจนเป็นปรกติ การเป็นอิสระจากคำสาป การไม่ต้องกังวลสัตว์ประหลาดในความมืด และการไม่เสียสติในยามที่แก่ชรา สิ่งเหล่านี้คือความฝันที่ทุกคนถวิลหาอย่างแท้จริง

มีสถานที่แบบนั้นอยู่บนโลกด้วย? หรือจะหมายถึงสวรรค์ที่เขียนไว้ในหนังสือ? …ดินแดนของพวกเราถูกสาปจริงๆ? เป็นอีกครั้งที่สมาชิกหน่วยล่าเอาแต่ปิดปากเงียบ

หนึ่งในพวกมันอ้าปากเล็กน้อย แต่ก็มิได้ถามสิ่งใดออกมา บางคนอยากพาเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับไปยังเมืองจันทราเพื่อแจ้งกับมหานักบวชและชาวเมือง แต่ติดที่กลัวจะนำพาอันตรายเข้าไปสู่ทุกคน

ระหว่างสนทนา ไม่มีใครลดการป้องกันแม้แต่คนเดียว

ไคลน์ไม่ประหลาดใจกับท่าทีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันเชื่อว่านี่คือทัศนคติที่สำคัญหากต้องการมีชีวิตรอดในดินแดนเทพทอดทิ้ง

ในสภาพถือตะเกียง ชายหนุ่มก้าวไปทางซ้ายโดยหวังเดินอ้อมกลุ่มคนซึ่งแต่งกายด้วยหนังสัตว์หรือวัสดุพิสดารเพื่อเดินต่อไปยังทิศตะวันออก

สำหรับเรื่องราวของอีกฝ่ายและคำถามที่ว่า ตนควรยื่นมือช่วยเหลือหรือไม่ ไว้รอให้สืบสวนอย่างละเอียดก่อนค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย นั่นเพราะสัมผัสวิญญาณของไคลน์กำลังแจ้งเตือนว่า ปลายทางของตนอยู่ไม่ห่างออกไป เดินเท้าอีกสักสองสามชั่วโมงก็คงถึงทวีปตะวันตกในตำนาน

ทันทีที่ไคลน์ก้าวขา อดาลและคนที่เหลือต่างงอตัวเพื่อตั้งท่ารับการโจมตี อย่างไรก็ตาม พวกมันพบว่าชายที่ชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้เดินเข้ามาใกล้ตน ท่าทีคล้ายกับคนที่ต้องการตรงไปข้างหน้ามากกว่า

เมื่อเห็นชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดประหลาดสีดำ หมวกประหลาดสีเดียวกัน เดินถือตะเกียงประหลาดเดินจากไปพร้อมกับแสงไฟสีเหลืองที่ค่อยๆ จางลง ใบหน้าอดาลซึ่งปกคลุมด้วยตุ่มเนื้อพลันซับซ้อน มันตัดสินใจตะโกนเสียงดัง

“คุณเป็นใครกันแน่?”

ไคลน์ไม่หันกลับมามอง ยังคงถือตะเกียงเดินตรงเข้าไปในความมืดก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

“ผู้เผยแผ่ศาสนา… ผู้ถ่ายทอดพระวจนะของพระองค์”

อดาล ซิน รุส และคนที่เหลือต่างจ้องหน้ากันด้วยความฉงน

พวกมันลังเลอยู่นาน จนกระทั่งเปลวไฟสีเหลืองจางใกล้เลือนหาย ทุกคนตัดสินใจเดินตามหลังชายหนุ่มลึกลับไป

ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือทิ้งระยะห่าง ทำเพียงเดินถืออาหารที่ล่ามาได้ตามหลังอย่างเงียบเชียบประหนึ่งกำลังสะกดรอย ส่วนทางด้านไคลน์ ชายหนุ่มยังคงเดินด้วยความเร็วปรกติโดยไม่พยายามสลัดให้หลุดหรือหยุดรอ

ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนตัวท่ามกลางความมืดภายใต้สายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง รุสและสมาชิกหน่วยล่าอีกหนึ่งคนแยกตัวออกจากทีมพร้อมกับอาหารที่ล่ามาได้และตะเกียงหนังสัตว์ หายตัวไปในความมืดมิดไร้ก้นบึ้งอย่างเงียบงัน

จากวินาทีเป็นนาที จนกระทั่งไคลน์หยุดนิ่งอยู่กับที่

อาศัยความช่วยเหลือจากแสงสายฟ้า มันมองเห็นกลุ่มหมอกสีเทาเข้มข้นที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร

กลุ่มหมอกเชื่อมจากพื้นดินยาวไปถึงท้องฟ้าราวกับด้านบนไม่มีจุดสิ้นสุด

ขณะเดียวกันก็แผ่ขยายออกด้านข้างในลักษณะไร้ขอบเขต

ไคลน์ตั้งใจจดจ้องเป็นเวลานาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด จนกระทั่งสายฟ้าเส้นที่สองเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ ชายหนุ่มถอนสายตากลับ

ด้านหลังหรือด้านในกลุ่มหมอก… คือทวีปตะวันตกที่หายไป? ขณะครุ่นคิดด้วยหัวใจหนักอึ้ง ไคลน์อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจ

มันถือตะเกียงเดินต่อไปข้างหน้าจนกระทั่งแสงสว่างสาดลงบนสายหมอก

โดยไม่ต้องลองทดสอบ อาศัยสัมผัสวิญญาณของนักทำนาย ไคลน์ทราบได้ทันทีว่าตนไม่มีทาง ‘ผ่าน’ บาเรียล่องหนตรงหน้าไม่ว่าจะใช้วิธีใด

มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะเหยียดแขนออกไปคว้าความมืดตรงหน้าหนแล้วหนเล่า

ผ่านไปสี่ห้าครั้ง ไคลน์ดึงไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีออกมา

นี่คือไม้เท้าดวงดาว สมบัติปิดผนึกทรงพลังนามว่า 0-62 ที่ถูกนำมาแลกเปลี่ยนกับกล่องวันวาน!

แต่แน่นอน สิ่งที่ไคลน์ทำคือการอัญเชิญภาพฉายของไม้เท้าดวงดาวออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์

ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ไคลน์เผลอจินตนาการฉากใดในใจ ก็ยังมีเวลาเพียงพอให้สลายไม้เท้าทิ้งเพื่อยับยั้งผลการทำงาน

สำหรับปราชญ์โบราณ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการใช้งานสมบัติปิดผนึก แต่ข้อเสียคือการอัญเชิญแต่ละครั้งจะใช้งานได้ไม่เกินสามนาที แถมประสิทธิภาพยังด้อยกว่าต้นตำรับเล็กน้อย ในทางกลับกัน การให้หุ่นเชิดถือไม้เท้าดวงดาวแทนยังไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไร เพราะหุ่นเชิดทุกตัวต้องการ ‘การควบคุม’ จากเจ้าของ และการควบคุมมักมาพร้อม ‘จินตนาการ’ จึงมีโอกาสสูงที่ฉากหนึ่งจะถูกสร้างขึ้นในใจ

แต่แน่นอน หากเป็นการต่อสู้ที่เตรียมตัวล่วงหน้า ไคลน์จะไม่ใช่วิธีอัญเชิญภาพฉายของสมบัติปิดผนึกเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้เสีย ‘โควตา’ แสนมีค่าของภาพฉายไปถึงในหนึ่งในสาม ไม่เพียงเท่านั้น แม้เจ้าของคนปัจจุบันของไม้เท้าดวงดาวจะเป็นไคลน์ แต่ส่วนใหญ่ยังเก็บรักษาไว้ในสภาพปิดผนึก แถมระดับของวัตถุยังค่อนข้างสูง ส่งผลให้ไคลน์มิอาจอัญเชิญให้สำเร็จในครั้งเดียว ต้องเสียเวลาไม่ต่ำกว่าสามถึงหกรอบ ไม่เหมาะแก่การดึงออกมาใช้ขณะต่อสู้จริง

และด้วยเหตุผลข้างต้น เมื่อเป็นการต่อสู้ที่วางแผนล่วงหน้า ไคลน์จะสะกดจิตตัวเองเพื่อให้ไม่จินตนาการฉากใด ช่วยให้สามารถใช้ไม้เท้าดวงดาวได้พร้อมกับการอัญเชิญภาพฉายคนสำคัญอย่างมิสผู้ส่งสาร มิสเตอร์อะซิก มาดามอาเรียนน่า วิล·อัสติน หรือเทวทูตที่คุ้นเคยตนอื่น

ในท่าถือไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีหลายเม็ด ไคลน์จินตนาการภาพบานประตูค่อยๆ เปิดออก

เมื่ออัญมณีบนหัวไม้เท้าส่องแสงจาง ประตูมายาบานหนึ่งถูกวาดขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอกสีเทาหนาแน่น

ประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า แต่ด้านในก็ยังเป็นกลุ่มหมอกสีเทา

พลังเปิดประตูใช้การไม่ได้… แม้จะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดความคาดหมาย แต่ไคลน์ก็ผิดหวังเล็กๆ

มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะเปลี่ยนวิธีการ

ทว่า ขณะกำลังครุ่นคิด ไม้เท้าดวงดาวพลันถูกกระตุ้นด้วยภาพในจินตนาการ

…………………………………….

ขณะรถม้าแล่นไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน ออเดรย์มองออกไปนอกหน้าต่าง

ผู้คนผ่านไปผ่านมาริมถนนต่างหันมาจ้องม้าที่กำลังลากห้องโดยสาร ดวงตาพวกมันเผยประกายความบ้าบิ่น ส่วนคนที่โชคดีได้รับแจกอาหารต่างเร่งฝีเท้าวิ่งกลับไปยังบ้านของตน

ตำรวจในเครื่องแบบตารางหมากรุกขาวดำคอยเดินตรวจตราบนถนน พวกมันเหน็บลูกโม่ไว้ข้างเอวและถือกระบองไว้ในมือ หมายยับยั้งทุกคนที่พยายามกระทำความผิด

“เมื่อไม่กี่วันก่อน ถนนเส้นนี้น่ากลัวมากจนพวกเราไม่กล้าออกมาตามลำพัง…” สาวใช้ส่วนตัว แอนนี่ กระซิบกระซาบ

ออเดรย์พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร

ผ่านไปสักพัก รถม้าแล่นมาถึงถนนเฟลป์และจอดที่จัตุรัสหน้าวิหารนักบุญแซมมวล

ไม่มีใครมองเห็นฝูงพิราบขาวที่มักรวมตัวในบริเวณใกล้เคียง

กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น รวมถึงกองทุนที่จัดตั้งในภายหลังอย่าง ‘กองทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้แห่งโลเอ็น’ และ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการรักษาพยาบาลแห่งโลเอ็น’ ล้วนย้ายสำนักงานจากอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์มายังห้องเล็กๆ ภายในวิหาร นั่นเพราะอาคารหลังดังกล่าวที่มีลักษณะเป็นบ้านเพิ่งถูกโจมตีทางอากาศจนพังถล่ม

เจ้าหน้าที่ของทั้งสามกองทุนต่างตกอยู่ในอาการขวัญผวา หากไม่ใช่เพราะพวกตนเดินทางออกจากอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ปัจจุบันคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

หลังจากก้าวลงจากรถม้าและผ่านประตูหลัก ออเดรย์เห็นสตรีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าค่อนข้างผอมเพรียว เดินเข้ามาใกล้

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด เธอชิงกล่าว

“เมลิสซ่า… ยังมีอาหารสำหรับแจกเหลือไหม”

เมลิสซ่าส่ายหน้าเคร่งขรึม

“แม้แต่ทหารผ่านศึกที่พวกเราคอยดูแลก็ยังมีอาหารไม่พอแจก…”

ดวงตาสีเขียวของออเดรย์พลันหม่นหมอง แต่ก็มิได้แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพียงพยักหน้าเล็กน้อย

“ฉันจะช่วยคิดหาวิธี”

“จากเมืองเงินพิสุทธิ์… และจากด้านนอกดินแดนต้องสาป…”

คำตอบของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังกังวานในโสตประสาทของหน่วยล่าเมืองจันทราอย่างอดาล ซิน และรุส ถ้อยคำดังกล่าวทำให้พวกมันตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน ตอบสนองไม่ถูกไปสักพักใหญ่

ขณะอดาลซึ่งเริ่มได้สติกลับมาเตรียมกล่าวบางสิ่ง ซินผู้เกิดมาไม่มีจมูกพลันพรั่งพรูคำถามด้วยความตื่นเต้น

“เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่ที่ใด? หน้าตาเป็นเช่นไร? ห่างจากที่นี่ไกลแค่ไหน? …และด้านนอกดินแดนต้องคำสาปมีคนปรกติอาศัยอยู่มากแค่ไหน”

ไคลน์ชำเลืองหญิงสาวพลางตอบอย่างไร้อารมณ์

“เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ พวกเขาค้นพบหญ้าที่กินได้ซึ่งมีชื่อว่าหญ้าผิวดำ อาหารชนิดดังกล่าวทำให้พวกเขายังรักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้และสำรวจความมืดเพื่อค้นหาทางออกอย่างมีประสิทธิภาพ… เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาเพิ่งค้นพบเห็ดบางชนิด เห็ดดังกล่าวสามารถใช้ศพของสัตว์ประหลาดในการเจริญเติบโตเป็นอาหารที่ปราศจากมลพิษและความบ้าคลั่ง… เมืองเงินพิสุทธิ์ในปัจจุบันขยับออกห่างจากความบ้าคลั่งไปอีกหนึ่งก้าว ทายาทรุ่นใหม่จะไม่คลุ้มคลั่งง่ายนักต่อให้มีอายุมาก…”

คำพูดดังกล่าวทำให้อดาล ซิน และรุสกับถึงผงะ พวกมันตระหนักว่าตนกำลังเผชิญความยากลำบากโดยไม่จำเป็น

ชีวิตในเมืองเงินพิสุทธิ์ตามที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์อธิบาย คือฉากอันงดงามที่สุดเท่าที่พวกมันจะจินตนาการออก งดงามจนไม่น่าจะเป็นความจริง

“…ทารกแรกเกิดของพวกเขา… มีภาวะพิการบ้างไหม?” ซินถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ไคลน์ส่ายหน้า

“แทบไม่มี”

“พ่อแม่ของพวกเขาต้องเตร็ดเตร่ท่ามกลางความมืดในยามที่สภาพร่างกาย… ไม่สิ ในยามที่อายุมากหรือไม่?” อดาลถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

ไคลน์ผู้แต่งกายด้วยเสื้อนอกสีดำ หมวกทรงสูง ถือตะเกียง มอบคำตอบ

“ไม่… เพราะพวกเขาต้องแบกรับคำสาปในการเข่นฆ่าสายเลือดตัวเอง หากมิได้ถูกปลิดชีพด้วยฝีมือของญาติพี่น้องในสายเลือด พวกเขาจะกลายเป็นวิญญาณมารหรือไม่ก็สัตว์ประหลาดดุร้าย”

ในที่สุดสมาชิกหน่วยล่าของเมืองจันทราก็เริ่มสัมผัสถึงความจริง หัวใจพวกมันรู้สึกคล้ายกับทะเลสาบที่ค่อยๆ อุ่นขึ้นโดยมีฟองอากาศทยอยผุด

ฟองอากาศเหล่านั้นทั้งเปราะบาง ว่างเปล่า และถูกทำลายได้ง่ายดาย ทว่า แม้ด้านในจะไม่มีสิ่งใด แต่พวกมันยังคงสะท้อนแสงแห่งความหวัง

รุสผู้มีดวงตาชิดกัน อดไม่ได้ที่จะย้ำคำถามของซิน

“ด้านนอกดินแดนต้องสาบมีคนปรกติอาศัยอยู่มากแค่ไหน?”

ไคลน์จ้องพวกมันด้วยสีหน้าค่อนข้างซับซ้อน

“เกือบทั้งหมดเป็นคนปรกติ… ไม่มีใครต้องคอยพะวงว่าจะถูกสัตว์ประหลาดทำร้าย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกความมืดรายล้อม ไม่ต้องเสียสติในยามแก่เฒ่า ไม่ต้องเผชิญกับคำสาปทุกชนิด ทุกวันจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดและได้กินอาหารปรกติ ทุกคืนจะมีดวงจันทร์สีแดงลอยสูง…”

แต่ปัจจุบัน สิ่งเหล่านั้นกำลังจะถูกทำลาย… ไคลน์รำพันในใจ

คราวนี้ทั้งอดาล ซิน และรุสต่างปิดปากเงียบ เพราะแม้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะอธิบายอย่างเรียบง่าย แต่พวกมันกลับจินตนาการไม่ออก… เป็นความรู้สึกคล้ายกับได้อ่านหนังสือโบราณ พวกมันเข้าใจเนื้อหาและคำบรรยาย แต่ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้บางส่วน

พวกมันไม่เข้าใจว่าแสงแดดคืออะไรและดวงจันทร์สีแดงหมายถึงสิ่งใด

นอกจากนั้น ทั้งการได้ยินอาหารธรรมดาจนเป็นปรกติ การเป็นอิสระจากคำสาป การไม่ต้องกังวลสัตว์ประหลาดในความมืด และการไม่เสียสติในยามที่แก่ชรา สิ่งเหล่านี้คือความฝันที่ทุกคนถวิลหาอย่างแท้จริง

มีสถานที่แบบนั้นอยู่บนโลกด้วย? หรือจะหมายถึงสวรรค์ที่เขียนไว้ในหนังสือ? …ดินแดนของพวกเราถูกสาปจริงๆ? เป็นอีกครั้งที่สมาชิกหน่วยล่าเอาแต่ปิดปากเงียบ

หนึ่งในพวกมันอ้าปากเล็กน้อย แต่ก็มิได้ถามสิ่งใดออกมา บางคนอยากพาเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับไปยังเมืองจันทราเพื่อแจ้งกับมหานักบวชและชาวเมือง แต่ติดที่กลัวจะนำพาอันตรายเข้าไปสู่ทุกคน

ระหว่างสนทนา ไม่มีใครลดการป้องกันแม้แต่คนเดียว

ไคลน์ไม่ประหลาดใจกับท่าทีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันเชื่อว่านี่คือทัศนคติที่สำคัญหากต้องการมีชีวิตรอดในดินแดนเทพทอดทิ้ง

ในสภาพถือตะเกียง ชายหนุ่มก้าวไปทางซ้ายโดยหวังเดินอ้อมกลุ่มคนซึ่งแต่งกายด้วยหนังสัตว์หรือวัสดุพิสดารเพื่อเดินต่อไปยังทิศตะวันออก

สำหรับเรื่องราวของอีกฝ่ายและคำถามที่ว่า ตนควรยื่นมือช่วยเหลือหรือไม่ ไว้รอให้สืบสวนอย่างละเอียดก่อนค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย นั่นเพราะสัมผัสวิญญาณของไคลน์กำลังแจ้งเตือนว่า ปลายทางของตนอยู่ไม่ห่างออกไป เดินเท้าอีกสักสองสามชั่วโมงก็คงถึงทวีปตะวันตกในตำนาน

ทันทีที่ไคลน์ก้าวขา อดาลและคนที่เหลือต่างงอตัวเพื่อตั้งท่ารับการโจมตี อย่างไรก็ตาม พวกมันพบว่าชายที่ชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้เดินเข้ามาใกล้ตน ท่าทีคล้ายกับคนที่ต้องการตรงไปข้างหน้ามากกว่า

เมื่อเห็นชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดประหลาดสีดำ หมวกประหลาดสีเดียวกัน เดินถือตะเกียงประหลาดเดินจากไปพร้อมกับแสงไฟสีเหลืองที่ค่อยๆ จางลง ใบหน้าอดาลซึ่งปกคลุมด้วยตุ่มเนื้อพลันซับซ้อน มันตัดสินใจตะโกนเสียงดัง

“คุณเป็นใครกันแน่?”

ไคลน์ไม่หันกลับมามอง ยังคงถือตะเกียงเดินตรงเข้าไปในความมืดก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

“ผู้เผยแผ่ศาสนา… ผู้ถ่ายทอดพระวจนะของพระองค์”

อดาล ซิน รุส และคนที่เหลือต่างจ้องหน้ากันด้วยความฉงน

พวกมันลังเลอยู่นาน จนกระทั่งเปลวไฟสีเหลืองจางใกล้เลือนหาย ทุกคนตัดสินใจเดินตามหลังชายหนุ่มลึกลับไป

ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือทิ้งระยะห่าง ทำเพียงเดินถืออาหารที่ล่ามาได้ตามหลังอย่างเงียบเชียบประหนึ่งกำลังสะกดรอย ส่วนทางด้านไคลน์ ชายหนุ่มยังคงเดินด้วยความเร็วปรกติโดยไม่พยายามสลัดให้หลุดหรือหยุดรอ

ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนตัวท่ามกลางความมืดภายใต้สายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง รุสและสมาชิกหน่วยล่าอีกหนึ่งคนแยกตัวออกจากทีมพร้อมกับอาหารที่ล่ามาได้และตะเกียงหนังสัตว์ หายตัวไปในความมืดมิดไร้ก้นบึ้งอย่างเงียบงัน

จากวินาทีเป็นนาที จนกระทั่งไคลน์หยุดนิ่งอยู่กับที่

อาศัยความช่วยเหลือจากแสงสายฟ้า มันมองเห็นกลุ่มหมอกสีเทาเข้มข้นที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร

กลุ่มหมอกเชื่อมจากพื้นดินยาวไปถึงท้องฟ้าราวกับด้านบนไม่มีจุดสิ้นสุด

ขณะเดียวกันก็แผ่ขยายออกด้านข้างในลักษณะไร้ขอบเขต

ไคลน์ตั้งใจจดจ้องเป็นเวลานาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด จนกระทั่งสายฟ้าเส้นที่สองเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ ชายหนุ่มถอนสายตากลับ

ด้านหลังหรือด้านในกลุ่มหมอก… คือทวีปตะวันตกที่หายไป? ขณะครุ่นคิดด้วยหัวใจหนักอึ้ง ไคลน์อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจ

มันถือตะเกียงเดินต่อไปข้างหน้าจนกระทั่งแสงสว่างสาดลงบนสายหมอก

โดยไม่ต้องลองทดสอบ อาศัยสัมผัสวิญญาณของนักทำนาย ไคลน์ทราบได้ทันทีว่าตนไม่มีทาง ‘ผ่าน’ บาเรียล่องหนตรงหน้าไม่ว่าจะใช้วิธีใด

มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะเหยียดแขนออกไปคว้าความมืดตรงหน้าหนแล้วหนเล่า

ผ่านไปสี่ห้าครั้ง ไคลน์ดึงไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีออกมา

นี่คือไม้เท้าดวงดาว สมบัติปิดผนึกทรงพลังนามว่า 0-62 ที่ถูกนำมาแลกเปลี่ยนกับกล่องวันวาน!

แต่แน่นอน สิ่งที่ไคลน์ทำคือการอัญเชิญภาพฉายของไม้เท้าดวงดาวออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์

ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ไคลน์เผลอจินตนาการฉากใดในใจ ก็ยังมีเวลาเพียงพอให้สลายไม้เท้าทิ้งเพื่อยับยั้งผลการทำงาน

สำหรับปราชญ์โบราณ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการใช้งานสมบัติปิดผนึก แต่ข้อเสียคือการอัญเชิญแต่ละครั้งจะใช้งานได้ไม่เกินสามนาที แถมประสิทธิภาพยังด้อยกว่าต้นตำรับเล็กน้อย ในทางกลับกัน การให้หุ่นเชิดถือไม้เท้าดวงดาวแทนยังไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไร เพราะหุ่นเชิดทุกตัวต้องการ ‘การควบคุม’ จากเจ้าของ และการควบคุมมักมาพร้อม ‘จินตนาการ’ จึงมีโอกาสสูงที่ฉากหนึ่งจะถูกสร้างขึ้นในใจ

แต่แน่นอน หากเป็นการต่อสู้ที่เตรียมตัวล่วงหน้า ไคลน์จะไม่ใช่วิธีอัญเชิญภาพฉายของสมบัติปิดผนึกเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้เสีย ‘โควตา’ แสนมีค่าของภาพฉายไปถึงในหนึ่งในสาม ไม่เพียงเท่านั้น แม้เจ้าของคนปัจจุบันของไม้เท้าดวงดาวจะเป็นไคลน์ แต่ส่วนใหญ่ยังเก็บรักษาไว้ในสภาพปิดผนึก แถมระดับของวัตถุยังค่อนข้างสูง ส่งผลให้ไคลน์มิอาจอัญเชิญให้สำเร็จในครั้งเดียว ต้องเสียเวลาไม่ต่ำกว่าสามถึงหกรอบ ไม่เหมาะแก่การดึงออกมาใช้ขณะต่อสู้จริง

และด้วยเหตุผลข้างต้น เมื่อเป็นการต่อสู้ที่วางแผนล่วงหน้า ไคลน์จะสะกดจิตตัวเองเพื่อให้ไม่จินตนาการฉากใด ช่วยให้สามารถใช้ไม้เท้าดวงดาวได้พร้อมกับการอัญเชิญภาพฉายคนสำคัญอย่างมิสผู้ส่งสาร มิสเตอร์อะซิก มาดามอาเรียนน่า วิล·อัสติน หรือเทวทูตที่คุ้นเคยตนอื่น

ในท่าถือไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีหลายเม็ด ไคลน์จินตนาการภาพบานประตูค่อยๆ เปิดออก

เมื่ออัญมณีบนหัวไม้เท้าส่องแสงจาง ประตูมายาบานหนึ่งถูกวาดขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอกสีเทาหนาแน่น

ประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า แต่ด้านในก็ยังเป็นกลุ่มหมอกสีเทา

พลังเปิดประตูใช้การไม่ได้… แม้จะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดความคาดหมาย แต่ไคลน์ก็ผิดหวังเล็กๆ

มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะเปลี่ยนวิธีการ

ทว่า ขณะกำลังครุ่นคิด ไม้เท้าดวงดาวพลันถูกกระตุ้นด้วยภาพในจินตนาการ

…………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+