ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม 331 กำไรจากทางใต้

Now you are reading ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม Chapter 331 กำไรจากทางใต้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 331 กำไรจากทางใต้

ในตอนที่โจวเฉวี่ยนพาโจวอู่นีกับโจวหยางเดินทางมาถึง หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ได้เตรียมสต๊อกสินค้าเสื้อผ้าฤดูร้อนสำหรับร้านเสื้อผ้าไว้ได้มากพอแล้ว

ส่วนร้านเกี๊ยวก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล ทั้งแป้งทั้งเนื้อหมูและส่วนผสมของไส้ต่าง ๆ มีร้านที่สั่งซื้อกันเป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าของหมดโจวเฉวี่ยนก็สามารถแจ้งให้ร้านมาส่งของให้ได้

ดังนั้นในวันนี้หลินชิงเหอจึงประกาศว่า “พรุ่งนี้ม้ากับป๊าของลูกจะออกเดินทางไปท่องเที่ยว บางทีครั้งนี้อาจจะได้ของดี ๆ บางอย่างกลับมาให้พวกลูก ๆ ด้วย ดูแลร้านให้ดีล่ะ”

“อาสะใภ้สี่จะไปที่ไหนหรือคะ?” โจวอู่นีถามด้วยความอยากรู้

“ไปเที่ยวทางตอนใต้น่ะจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ

“ม้าครับ ให้ผมไปด้วยไม่ได้เหรอครับ? ตอนนี้ผมโตแล้วม้าไม่ต้องมาคอยพะวงเป็นห่วงผมแล้ว ถ้าผมได้ไปด้วยจะดีมากเลยนะครับ” โจวกุยหลายพูด

แม้ว่าเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้จะอายุแค่ 13 เท่านั้น แต่เขาสูงถึง 170 เซนติเมตรแถมยังเป็นลิงที่ฉลาดมาก เป็นความจริงที่ว่าเขาคงจะกล้าเดินทางไปทางใต้แล้วถ้าเขามีเงิน

แต่หลินชิงเหอไม่อนุญาต “อยู่ที่นี่นั่นละ รอจนลูกโตเท่ากับพี่ใหญ่ของลูกก่อน ถึงตอนนั้นม้าจะไม่ห้ามเลยไม่ว่าลูกอยากจะไปที่ไหนก็ตาม”

เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กจอมซนไม่เต็มใจจะทำตาม เธอเริ่มถอนใจ “หลังจากที่ต้องเลี้ยงดูลูกมาอย่างยากลำบาก ในที่สุดม้าก็สามารถสั่งให้ลูกช่วยทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้สักที ม้าแค่อยากจะออกไปเห็นโลกภายนอกกับป๊าบ้าง หลังจากที่ต้องทำงานเหนื่อยมาครึ่งชีวิต พอตอนนี้เราได้มีชีวิตที่ดีลูกก็ไม่ยอมอีก จิตใจของแม่ที่แก่เฒ่าของลูก…”

“ก็ได้ครับ ไปเถอะครับ ม้าไปเถอะ ผมหวังเพียงแค่ให้ป๊ากับม้าได้เจอแต่สิ่งที่ดีที่สุด” โจวกุยหลายรีบพูดขึ้นทันที

“งั้นตกลงตามนี้ พวกลูกคอยเฝ้าร้านให้ดี” หลินชิงเหอกล่าวจบก็พาโจวชิงไป๋เดินออกไป

“อาสี่กับอาสะใภ้สี่ออกไปที่ไหนกันหรือคะ?” โจวอู่นีถาม

“ในเวลาตอนนี้พวกเขาต้องไปดูหนังกันแน่” โจวกุยหลายตอบ

หู่จือ โจวเอ้อร์นีและสวี่เชิ่งเหม่ยอยู่ที่นี่มานานแล้วจึงเริ่มเคยชินกับเรื่องนี้ ในขณะที่โจวหยางและโจวอู่นีรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

“สามีภรรยาคู่นี้ใช้ชีวิตอิสระอย่างนี้ละ เดี๋ยวก็ชินไปเอง” โจวกุยหลายบอกพร้อมกับตบบ่าโจวหยาง

แม้ว่าจะมีโจวอู่นีและโจวหยางเข้ามาอยู่ด้วยอีก 2 คน แต่สถานที่ก็กว้างเพียงพอ

โจวอู่นีไปนอนกับโจวเอ้อร์นีและสวี่เชิ่งเหม่ย ส่วนโจวหยางสามารถปูที่นอนบนพื้นที่บ้านได้ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

โจวเฉวี่ยนและโจวกุยหลายไปนอนในห้องของคุณพ่อคุณแม่ของพวกเขา และให้หู่จือกับโจวหยางไปนอนในห้องของพวกเขา ซึ่งมีพื้นที่อยู่อย่างเหลือเฟือ

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ออกเดินทางไปทางใต้ในวันรุ่งขึ้น ปล่อยให้พวกเด็กชายหญิงวัยกำลังโตกลุ่มนี้อยู่ที่บ้านโดยไม่รู้สึกหนักใจใด ๆ

เรื่องบัญชีก็ให้โจวเฉวี่ยนนักศึกษาอนาคตไกลของมหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นคนรับผิดชอบ ถึงอย่างไรก็อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยปักกิ่งและตัวเขาเองก็คุ้นเคยกับมหาวิทยาลัยปักกิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดเรียนเร็วก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมีเฒ่าหวังที่คอยช่วยดูแลพวกเขาอยู่ด้วย

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มุ่งหน้าลงใต้ ระหว่างทางหลินชิงเหอสอนให้โจวชิงไป๋พูดภาษากวางตุ้ง

โจวชิงไป๋พยายามเรียนอย่างหนักแต่ก็ยังไม่สามารถจะพูดได้ เขาไม่มีพรสวรรค์ทางด้านภาษาเอาเสียเลย แม้จะเรียนไปตลอดทางแต่จะพูดสักสองสามประโยคยังไม่ได้เลย

หลินชิงเหอกล่าวว่า “นี่คุณจงใจทำหรือเปล่าคะ? หรืออยากให้ฉันเป็นคนพาคุณไปทุกที่?”

โจวชิงไป๋หัวเราะ เขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นแต่เขาไม่สามารถเข้าใจได้จริง ๆ

“จริงนะ ถ้าไม่มีภรรยาอย่างฉันคอยดูแลคุณ ผู้ชายตัวโตอย่างคุณจะทำยังไง?” หลินชิงเหอกล่าวขึ้นอย่างรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง

“อืม ผมอยู่โดยไม่มีภรรยาไม่ได้หรอกครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้าตอบรับอย่างจริงจัง

หลินชิงเหอรู้สึกพอใจมาก ดังนั้นเธอจึงเอามะเขือเทศออกมาให้เขากิน ส่วนเธอก็กินของตัวเองไปด้วยระหว่างอ่านหนังสือ โจวชิงไป๋อ่านหนังสือพิมพ์ไปตลอดระยะทางที่เหลือ

โจวชิงไป๋ได้รับข้อมูลมากมายจากหนังสือพิมพ์ หลาย ๆ แห่งมีครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 10,000 หยวนผุดขึ้นมามากมายราวกับหน่อไม้แตกหน่อหลังฝนตก

ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ครัวเรือนที่มีรายได้ถึง 10,000 หยวนเปรียบเหมือนเป็นป้ายประกาศตัวอักษรปิดทองที่แสดงให้เห็นถึงเกียรติยศและความรุ่งเรืองของครอบครัว

ในช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว โจวชิงไป๋ได้เคยพยายามอย่างหนักเพื่อเงิน 10,000 หยวน แต่หลังจากที่ในปีที่แล้วที่เขาได้กลายมาเป็นพ่อค้าคนกลางหากำไรจากการซื้อมาขายไป กล่าวได้ว่าครัวเรือนของเขาถือว่าเป็นครัวเรือนที่มีรายได้หลายหมื่นหยวน

หลังจากนั้นความมุ่งมั่นของเขาก็เริ่มลดน้อยลง

เมื่อยังไม่นับรวมกับรายได้ที่พวกเขาหามาได้จากการเป็นพ่อค้าคนกลาง ลำพังร้านเสื้อผ้าของภรรยาเขาที่เพิ่งเปิดในปีนี้ก็มีรายได้เกือบถึง 10,000 หยวนแล้ว ตัวเลขที่ยังขาดอยู่ก็มีรายได้จากร้านเกี๊ยวของเขาเข้ามาเสริม ดังนั้นรายได้รวมของพวกเขาจึงถึงอย่างแน่นอน

ในครึ่งปีหลังกำไรจากทั้งสองร้านยังสามารถทำเงินเพิ่มได้อีก 10,000 หยวน

ความคิดของโจวชิงไป๋เป็นอะไรที่เรียบง่าย ภรรยาของเขาบอกว่าในอนาคตที่ดินแต่ละผืนในเมืองหลวงจะมีค่าราวกับเป็นทองคำ มีห้องมากมายที่มีราคาถึง 100,000 หรือ 200,000 หยวน

นี่นับว่าเป็นราคาที่พุ่งทะยานขึ้นสูงมากจนดูเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อเกินไปสำหรับเขา

ในเมื่อราคาบ้านจะแพงมากในอนาคต เช่นนั้นพวกเขาควรจะซื้อมันเพิ่มหรือไม่? เพราะพวกเขาก็มีลูกชายถึง 3 คน ในอนาคตแต่ละคนมีบ้านกันคนละหลัง ต่อจากนั้นก็ทำตามที่ภรรยาของเขาบอก คือให้ปล่อยเช่าที่อยู่อาศัยสัก 2-3 ที่และร้านค้าอีก 2-3 แห่งเพื่อเก็บค่าเช่า และถ้าพวกเขาขาดเงินก็ขายไปสักหนึ่งแห่งแล้วนำเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่าย

นี่ก็เป็นแนวคิดของเขาเช่นเดียวกัน

เขาไม่ได้คิดจะทำงานในร้านเกี๊ยวไปตลอดชีวิต ต่อไปวันข้างหน้าเขาจะยกร้านให้กับลูกชายทั้งสามของเขา เมื่อลูกชายทั้งสามแต่งงานและเริ่มมีอาชีพการงานของตัวเองแล้ว ด้วยนิสัยของเขาแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะขอเงินจากลูกชาย

ดังนั้นเขาจึงต้องฟังคำพูดของภรรยา พวกเขาจะต้องเตรียมเงินบำนาญไว้สำหรับตนเองด้วย

เมื่อไปถึงทางใต้ สองสามีภรรยาก็เริ่มทำงาน

พวกเขาซื้อทีวี นาฬิกา พัดลม วิทยุและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นสินค้าเหล่านี้ก็ถูกส่งมอบไปให้ผู้อื่นต่อ

เมื่อทำเงินได้มหาศาลแล้ว พวกเขาก็มาซื้อจักรเย็บผ้าตราเยี่ยน ไปเป็นจำนวนหนึ่ง

ในบ้านเกิดของพวกเขา จักรเย็บผ้าตราเยี่ยน ราคา 150 หยวน แต่ในเมืองทางใต้จักรเย็บผ้าแบบเดียวกันนี้มีราคาแค่ 115 หยวนเท่านั้น และเนื่องจากหลินชิงเหอต้องการซื้อเป็นจำนวนมากถึง 10 คัน ดังนั้นหลินชิงเหอจึงสามารถต่อรองราคาลงไปได้อีกและซื้อมาในราคาคันละ 110 หยวน

ตอนแรกผู้ค้าไม่ได้ตั้งใจจะลดราคาให้ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกประทับใจกับคำพูดของหลิงชิงเหอ

โจวชิงไป๋ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอถึงกับมองภรรยาของเขาราวกับว่ากำลังมองนางฟ้าแสนสวยอยู่

เมื่อหาสถานที่ปลอดคนได้แล้วพวกเขาก็จัดการเก็บจักรเย็บผ้า 10 คันเข้าไปในมิติ หลังจากนั้นหลินชิงเหอก็พาโจวชิงไป๋เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของพวกเขา ซึ่งตอนนี้เพิ่งจะกลางเดือนสิงหาคมเท่านั้น

แต่การกลับไปถึงเร็วก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด

“เก็บทีวีกับพัดลมไว้ให้คุณพ่อกับคุณแม่ใช้อย่างละเครื่องนะคะ สำหรับคนอื่น ๆ ยังไม่จำเป็น อีกอย่างเรายังไม่ควรจะช่วยเหลือเสี่ยวเหมยมากจนเกินไปนัก” หลินชิงเหอบอก

ตอนที่ให้ความช่วยเหลือไปก็จะเกิดความซาบซึ้งใจ แต่ตอนที่จะต้องชดใช้คืนมันจะกลับกลายเป็นความเกลียดชังแทน แม้ว่าเธอเป็นเพื่อนกับโจวเสี่ยวเหมยมาหลายปีแต่ความสัมพันธ์ที่มีควรจะเป็นเช่นนี้ คนเราคบกันต้องรู้จักมีขอบเขตไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นขนาดไหน เพราะนั่นจะช่วยรักษาความสัมพันธ์ที่มีระหว่างกันให้ยาวนานยิ่งขึ้น

“ตกลงครับ” โจวชิงไป๋ตอบกลับ

ทีวีและพัดลมเป็นการแสดงความกตัญญูต่อคุณพ่อคุณแม่ของเขา สำหรับน้องเขยและน้องสาวให้พวกเขาหาเงินมาซื้อด้วยตัวเอง

พวกเขาได้ช่วยเหลือในการหาที่อยู่และร้านค้าเพื่อกรุยทางไว้ให้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างอื่นให้อีก

ทั้งคู่รีบขึ้นรถไฟไปยังบ้านเกิด

พวกเขาต่างก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากในวันนี้ ดังนั้นทั้งคู่จึงหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

บนรถไฟตู้นี้ไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอีก หลินชิงเหอจึงเริ่มนับเงินที่หามาได้ในครั้งนี้ รายได้ที่ได้มาถือว่าไม่มากมายนักแต่ถึงกระนั้นหลังจากที่ซื้อจักรเย็บผ้าแล้ว พวกเขาก็ยังได้กำไรอยู่อีกเกือบ 20,000 หยวนเลยทีเดียว

…………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ถ้าแม่ทุนหนากว่านี้นี่เปิดห้างสรรพสินค้าได้คงทำไปแล้วสินะคะ หอมกลิ่นความรวยจากแม่จังเลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด