[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 52 เรือนแสนสงบ

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 52 เรือนแสนสงบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ระหว่างเดินกลับเรือนกับสามี โจวซื่อก้มหน้าลงต่ำ ดูคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ขณะเดียวกันนั้นเฮ่อฉางฉีที่เดินขึ้นมาเคียงข้างนางกลับมีสีหน้าเสียอกเสียใจพลางคร่ำครวญ “หากน้องสะใภ้สามทราบสูตรลับการทำเนื้อกวาง ข้าสงสัยนักว่าจะอร่อยสักเพียงใด”

        ได้ยินสามีกล่าวดังนี้ โจวซื่อก็โมโหสุดขีด

        นางชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเร่งฝีเท้า ทิ้งสามีที่เดินเชื่องช้าทึ่มทื่อไว้เบื้องหลัง

        “นี่ หยวนจิ่ง หยวนจิ่ง! ช้าลงหน่อย! ตอนนี้มืดนัก ทั้งเส้นทางก็ไม่ราบเรียบ!”

        โจวซื่อเม้มปากแน่น สีหน้านางย่ำแย่มากขึ้นทุกขณะ

        ตั้งแต่สามีกลับเรือนมาเมื่อวาน ก็เอาแต่พูดถึงว่าซิ่วท้อของฉู่เหลียนได้รับความนิยมอย่างไรบ้างที่งานของติ้งหยวนโหวอย่างไม่ลดละ ทั้งยังเล่าเรื่องนั้นให้มารดาฟังครั้งหนึ่ง ก่อนจะเล่าอีกครั้งยามทานอาหารเย็นที่โถงชิ่งสี่ ยามนี้ยังตีหน้าเศร้าที่ฉู่เหลียนทำเนื้อกวางไม่เป็น

        ในฐานะภรรยา นางจะไม่โกรธได้อย่างไรเล่า?

        น้องสะใภ้ทำอาหารเก่งแล้วจะอย่างไร? ฉู่เหลียนเป็นภริยาของเฮ่อซานหลาง! มิใช่เฮ่อฉางฉี!

        โจวซื่ออึดอัดเสียจนหายใจแทบไม่ออกเมื่อต้องทนรับกับการปฏิบัติเช่นนี้ของสามี

        หากว่าฉู่เหลียนทราบเหตุผลที่พี่สะใภ้ผันเปลี่ยนไม่ชอบตนขึ้นมาละก็ นางย่อมต้องปล่อยโฮราวกับเด็กน้อยใส่เฮ่อฉางฉีผู้เป็นพี่สามีแน่

        พี่ชาย! ท่านจะขุดหลุมฝังข้าเช่นนี้หรืออย่างไร?!

        อีกอย่าง พี่สะใภ้ทราบหรือไม่ว่าท่านทึ่มทื่อเพียงใด?

        ขณะที่กุ้ยหมัวมัวช่วยฉู่เหลียนเปลี่ยนเป็นชุดนอนนั้น นางก็ส่งเงินตำลึงที่ได้จากการขายเครื่องประดับให้ผู้เป็นนาย และยังส่งของที่ฉู่เหลียนสั่งให้นางไปตระเตรียมมาอีกด้วย

        ขณะเดินกลับมาห้องหนังสือเล็ก ๆ ของตน ฉู่เหลียนก็เปิดกล่องไม้ใบเล็ก ๆ ที่กุ้ยหมัวมัวมอบให้

        ภายในเป็นทองคำแท่งเล็ก ๆ คู่กับเครื่องประดับเงินที่นางสั่งเอาไว้

        กุ้ยหมัวมัวที่เดินตามหลังมาคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “นายหญิงสาม เหตุใดจึงไม่เก็บเงินตำลึงไว้เจ้าคะ? ถึงยามนี้เราจะอยู่ในจวน ทว่าอย่างไรก็เป็นเพียงสมาชิกของบ้านสาม หากเหล่าไท่จวินจากไป คุณชายสามก็มิได้สืบทอดตำแหน่งใดของตระกูล แต่ละบ้านจำต้องแยกตัวออกจากกันเป็นแน่ อีกทั้งนายหญิงใหญ่ยังมีหน้าที่ดูแลการเงินของจวนเช่นนี้ ท่านย่อมมิได้รับเงินมาใช้จ่ายมากนัก!”

        ฉู่เหลียนหันไปมองกุ้ยหมัวมัวด้วยสายตาแปลกประหลาด ภายใต้แสงไฟจากตะเกียงที่รายล้อม ดวงตาผลชิ่งของนางเปล่งประกายคล้ายหมู่ดาว กระจ่างใสดุจสายน้ำ “หมัวมัว เจ้าคิดจะให้ข้าร่ำรวยด้วยการเก็บเงินเฉย ๆ หรือ?”

        กุ้ยหมัวมัวพูดไม่ออก นางหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพยายามโน้มน้าวต่อ “ตอนนี้ท่านเพิ่งจะได้เริ่มจัดการเรือนเองนะเจ้าคะ ใช้จ่ายเงินเยอะถึงเพียงนี้ตั้งแต่ต้นคงจะไม่ดีนัก”

        สิ่งที่นางยังมิได้กล่าวก็คือ หากฉู่เหลียนตกรางวัลแก่บ่าวไพร่โดยไร้สาเหตุต่อไป กาลข้างหน้าย่อมลำบากเป็นแน่ และหากบ่าวไพร่ได้รับรางวัลบ่อย ๆ พวกเขาย่อมต้องคาดหวังมากกว่าเดิมเมื่อมีโอกาสพิเศษ แต่หากไม่มี บ่าวไพร่เหล่านี้ย่อมต้องผิดหวัง และอาจทำให้ควบคุมได้ยากยิ่ง

        นอกจากนั้น แม้เครื่องประดับเงินสั่งทำเหล่านั้นจะราคาไม่แพง แต่ล้วนถูกออกแบบมาอย่างชั้นเลิศ! ขนาดที่เชื้อพระวงศ์ยังสามารถสวมใส่ได้ไม่น่าเกลียด จึงไม่ต้องเอ่ยถึงบ่าวไพร่ของขุนนางเหล่านี้เลย

        ยามนี้ฉู่เหลียนเดินมาถึงโต๊ะในห้องหนังสือแล้ว นางวางกล่องไม้ลงและหยิบเอาเครื่องประดับเงินด้านในออกมา ก่อนจะวางไว้บนถาดไม้สีแดงที่บุผ้าสีน้ำเงินเข้มเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง

        สีน้ำเงินเข้มของผ้าตัดกับสีเงินของเครื่องประดับพอดีทำให้ยิ่งดูเปล่งประกายนัก รวมไปถึงการออกแบบที่ดูแปลกใหม่ ย่อมสามารถเทียบเคียงกับเครื่องประดับที่ทำจากทองคำได้

        “หมัวมัวอย่ากังวลไป ไม่ใช่ว่าท่านย่าเพิ่งจะมอบร้านอาหารให้ข้าหรอกหรือ?”

        คำตอบของฉู่เหลียนดูจะนอกประเด็นไป เนื่องจากนางง่วนอยู่กับการจัดเรียงและแยกชนิดเครื่องประดับ

        กุ้ยหมัวมัวกล่าวอะไรไม่ออก ร้านอาหารหรือ? ร้านอาหารเก่า ๆ โทรม ๆ นั่นหรือ?

        ร้านมิได้ตั้งอยู่ในย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน รายการอาหารที่มีก็ล้วนแต่แสนจะธรรมดา และยังไม่สามารถทำกำไรได้ด้วยซ้ำ จะนับว่าเป็นแหล่งรายได้ได้อย่างไร? เพียงไม่ขาดทุนก็ดีแค่ไหนแล้ว!

        กุ้ยหมัวมัวสงสัยนักว่าที่เหล่าไท่จวินมอบร้านอาหารลูกผีลูกคนนี้ให้ฉู่เหลียน ก็เพื่อให้นางใช้จ่ายเงินประคับประคองดูแลร้านนี้แทนตนหรือไม่         

        “โธ่นายหญิงน้อยของบ่าว ร้านอาหารนั้นจะทำเงินได้อย่างไร? ได้โปรดอย่าฝากความหวังไว้กับร้านนั้นเลยนะเจ้าคะ!”

        ในที่สุดฉู่เหลียนก็หันไปมองกุ้ยหมัวมัว “หมัวมัว ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีต่อข้าเป็นที่สุด ทว่าเรื่องนี้ ข้าก็ย่อมรู้ว่ากำลังจะทำอะไร”

        น้ำเสียงโอนอ่อนใจดีเช่นปกติของนายหญิงน้อยเลือนหายไป และกลายเป็นน้ำเสียงทรงอำนาจเข้มงวดแทน

        กุ้ยหมัวมัวตัวแข็งทื่อ รีบหยุดในทันที

        แม้นายหญิงสามจะเปลี่ยนไป ทว่านางกลับเข้าหาได้ง่ายกว่าแต่ก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบ่าวชราผู้นี้จะสามารถข้ามเส้นความเป็นนายบ่าวและเข้ามาวุ่นวายกับการตัดสินใจของผู้เป็นนายได้ ยามนี้บ่าวชราเผลอล้ำเส้นไปเสียแล้ว เมื่อคิดได้ เหงื่อเย็น ๆ ก็ไหลท่วมร่างกุ้ยหมัวมัว

        แม้ฉู่เหลียนจะไม่ชอบการใช้พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงใส่ผู้อื่นและเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย กระทั่งบางครั้งอาจดูเหมือนทำตัวโง่งมไปบ้าง แต่นางก็ไม่เคยล้อเล่นกับเรื่องสำคัญ ทั้งยังมีความคิดเป็นของตนเอง และเกลียดนักเวลาที่คนอื่นพยายามจะเข้ามาตัดสินใจแทน

        นางรู้ดีว่าวิธีคิดของตนแตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่นี่อยู่มากนัก ดังนั้นเมื่อมาถึงยุคราชวงศ์อู่นี้จึงได้พยายามทำตัวสบาย ๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่านางจะปล่อยให้คนอื่นมายุ่มย่ามกับทางเลือกของตนเอง

        ดังเช่นเรื่องเครื่องประดับเงินในวันนี้ และการตัดสินใจเรื่องสำคัญอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต

        “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

        เห็นว่าในที่สุดกุ้ยหมัวมัวก็เข้าใจที่ผู้เป็นนายต้องการสื่อ ทำให้สีหน้าของนายหญิงอ่อนลง และแง้มเผยเป็นรอยยิ้มนุ่มนวลเช่นเดิม ท่าทีอ่อนหวานก็กลับมา

        “หมัวมัว เจ้าต้องเชื่อในตัวข้า เงินนั้นหาง่ายนัก!” ฉู่เหลียนถึงกับแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา ก่อนจะกะพริบตาใสซื่อให้กุ้ยหมัวมัว

        แม้จะยินยอมรับฟังและพยักหน้าไปอย่างว่าง่าย ทว่าในใจกุ้ยหมัวมัวกลับไม่เชื่อคำของฉู่เหลียนแม้แต่น้อย ถึงแม้นายหญิงสามจะหัวดี แต่ยามอยู่จวนอิ้ง นางก็มิได้รับรู้ถึงโลกภายนอกมากนัก แม่บุญธรรมเองก็ไม่เคยสอนเรื่องโลกภายนอกให้นางอย่างจริงจัง ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ฉู่เหลียนจะมองโลกในแง่ดีจนเกินไป และไม่ล่วงรู้ถึงด้านร้าย ๆ บนโลกใบนี้

        กุ้ยหมัวมัวถอนใจอยู่ภายใน และคงต้องยอมปล่อยให้นายหญิงสามผิดพลาดบ้างคงเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพื่อจะได้เข้าใจโลกนี้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

        พอไล่กุ้ยหมัวมัวออกจากห้องแล้ว ฉู่เหลียนก็เก็บทองแท่งลงกล่อง ยามนี้นางมีทองแท่งอยู่จำนวนหนึ่งและเงินอีกหกร้อยตำลึง แม้จะมีจำนวนมากในสายตาคนส่วนใหญ่ ทว่าก็ยังไม่พอแม้แต่น้อยสำหรับฉู่เหลียน ก่อนจะหันไปเปิดกล่องอื่น ๆ ด้านข้าง และชื่นชมรูปปั้นกิเลนทองคำขององค์หญิงเล่อเหยาที่ฉายแสงทอประกายเมื่อกระทบแสงไฟสลัวอยู่ภายในกล่อง มุมปากของนางหยักเป็นรอยยิ้ม

        “องค์หญิงเล่อเหยา ในเมื่อท่านชื่นชอบพี่เฮ่อนัก ข้าก็จะให้ท่านช่วยสมทบทุนที่เหลือก็แล้วกัน”

        ก่อนจะเข้านอน ฉู่เหลียนเปิดสมุดบัญชีร้านกุ้ยหลินที่เฮ่อเหล่าไท่จวินมอบให้มาตรวจสอบคร่าว ๆ อีกที

        ภายในสมุดบัญชีมีบันทึกรายการค่าใช้จ่ายของสามเดือนที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าร้านแทบจะไม่มีลูกค้าเข้าจนสามารถจดรายการบัญชีทั้งสามเดือนลงในสมุดบาง ๆ เล่มเดียวได้ ดังนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงว่าตัวเลขในสมุดนั้นจดมาถูกต้องหรือไม่ เพียงแค่เปิดดูผ่าน ๆ ฉู่เหลียนก็ไม่ชอบใจกับวิธีการบันทึกของทางร้านแล้ว เพราะมีหลายจุดที่ดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย

        ตัวอย่างเช่น ข้อมูลข้างล่างนี้…

        วันที่ 1 มิถุนายน ค่าใช้จ่ายในครัว 1 ตำลึง

        ‘ค่าใช้จ่ายในครัว’ หรือ?

        พวกนั้นจะซื้ออะไรกัน? เป็นวัตถุดิบสดประจำวัน หรือหมายถึงเครื่องครัว หรือเป็นเฟอร์นิเจอร์กันนะ? เพียงแต่จดมาแค่ค่าใช้จ่ายเท่านี้จึงยังไม่ชัดเจนนัก ทำให้นางคาดว่าอาจมีการยักยอกเกิดขึ้นเป็นแน่

        วันที่ 12 มิถุนายน

        เนื้อหมู 5 จิน 100 เหรียญ

        ผักกาดขาว 10 เหรียญ

        ใบชา 500 เหรียญ…

        นอกจากนั้นที่ร้านยังมีลูกค้าเพียงวันละสองถึงสามคนในช่วงครึ่งแรกของเดือนมิถุนาเท่านั้น น้อยที่สุดคือไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว ในขณะที่มากสุดก็ไม่เคยเกินห้าคนต่อวัน และในจำนวนลูกค้าเหล่านี้ก็มีเพียงผู้เดียวที่สั่งเมนูเนื้อหมู

        นั่นแปลว่าเมนูหมูในร้านกุ้ยหลินไม่ได้รับความนิยมเท่าไรนัก จึงไม่ควรซื้อเนื้อหมูมากกว่าหนึ่งจินต่อวัน ทว่าในวันนั้นพวกเขากลับซื้อมากถึงห้าเท่า ย่อมเป็นการใช้เงินของบริษัทเพื่อใช้จ่ายส่วนตัว หืม?

        เหอะๆ!

        นางอ่านบัญชีคร่าว ๆ เพียงสามหน้า ก็เจอจุดน่าสงสัยมากมาย จึงไม่จำเป็นต้องอ่านต่อ

        ดูเหมือนว่าปัญหาของภัตตาคารกุ้ยหลินจะไม่ใช่เพียงการบริหารเสียแล้ว ทว่ายังมีเรื่องพนักงานแย่ ๆ อีกด้วย ต่อให้เป็นร้านที่ยอดนิยมที่สุดในเมืองหลวง หากยอมให้พวกขี้ฉ้อเหล่านี้เข้าไปบริหารก็มีแต่ล่มจมเท่านั้น!

        วันต่อมา ฉู่เหลียนก็บอกกล่าวต่อเฮ่อเหล่าไท่จวินเพียงลำพังเรื่องที่ตนได้รับเทียบเชิญให้ไปเยือนจวนเว่ยอ๋อง ทำให้ท่านย่าผู้นี้ดีใจจนเหลือล้น พร้อมจับมือนางก่อนบอกให้ตอบตกลงไปโดยไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น

        พอกลับจากโถงชิ่งสี่ นางก็บอกจงหมัวมัวให้เรียกรวมบ่าวไพร่ในเรือนซงเถา และสั่งการให้ฉีเยี่ยนไปจัดการแทน ก่อนที่ตนจะเข้าไปฝึกคัดลายมือในห้องหนังสือต่อ

        ฉีเยี่ยนถือถาดไม้แดงไว้ในมือ และเอ่ยประกาศต่อบ่าวไพร่ที่มารวมตัวกันในห้องเรียบร้อยแล้ว “อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดของนายหญิงสามแล้ว หลายวันก่อนท่านจึงได้สั่งทำเครื่องประดับเหล่านี้ขึ้น และต้องการใช้โอกาสนี้ตกรางวัลให้กับทุกคนเพื่อเป็นการอวยพรให้ทุกคนประสบแต่ความโชคดีไปถ้วนทั่ว”

        ทุกถ้อยคำของฉีเยี่ยนล้วนเป็นฉู่เหลียนที่คิดไว้ให้ วันเกิดของฉู่เหลียนในร่างนี้จะเป็นอีกในสองวันข้างหน้า หรือก็คือวันที่ยี่สิบหกมิถุนายน ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่องค์หญิงต้วนเจี่ยเชิญนางไปจวนเว่ยอ๋อง

        การให้เหตุผลในการตกรางวัลของนางเช่นนี้ จะทำให้บ่าวไพร่เหล่านี้ไม่คาดหวังสูงเกินไป แม้กุ้ยหมัวมัวจะไม่ได้กล่าวออกมาเมื่อวาน แต่ฉู่เหลียนก็คำนึงถึงปัญหานี้เอาไว้หมดแล้ว

        นี่ก็เหมือนการที่บริษัทให้โบนัสกับพนักงานในวันหยุด เป็นการช่วยกระตุ้นให้พนักงานมีความตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ของตนมากขึ้น

        กุ้ยหมัวมัวยืนนิ่งไปชั่วครู่ เมื่อวานนางลืมเตือนนายหญิงสามไปเสียสนิทเพราะมัวแต่ตกใจที่ตนล้ำเส้นความเป็นนายบ่าว แต่เห็นได้ว่านายหญิงสามคงคิดเช่นเดียวกัน ดูได้จากที่ฉีเยี่ยนกล่าว นายหญิงเตรียมการหลีกเลี่ยงปัญหาไว้แล้วจริง ๆ ความรู้สึกผิดแล่นขึ้นในใจของกุ้ยหมัวมัวทีละน้อย

        เมื่อบ่าวไพร่ทั้งหมดได้ยินว่าวันนี้จะได้รางวัล สีหน้าต่างเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ

        ฉีเยี่ยนกระแอมไอให้ทุกคนเงียบลง

        “นายหญิงสามสั่งข้ามาดังนี้ สาวใช้ขั้นสองให้เลือกหยิบปิ่นเงินหนึ่งชิ้นและแหวนอีกสองวง สาวใช้ขั้นสามให้เลือกหยิบปิ่นเงินหนึ่งชิ้นและแหวนอีกหนึ่งวง ส่วนสาวใช้ไม่มีขั้นให้หยิบแหวนหนึ่งวง”

        จากนั้นฉีเยี่ยนก็ส่งถาดในมือให้แก่เวิ่นฉิง พร้อมสั่งให้นางนำของไปแจกจ่ายให้ทั่ว

        ทุกคนล้วนแต่ดีใจเป็นล้นพ้น และเอ่ยกล่าวพร้อม ๆ กัน “ขอบพระคุณนายหญิงสามเป็นอย่างสูงที่ตกรางวัลแก่บ่าว”

        “ต่อจากนี้ก็จงทำงานให้ดี ตราบใดที่ยังทำหน้าที่ของตนได้ดี นายหญิงย่อมตกรางวัลให้พวกเจ้าอีกแน่นอน ทว่าผู้ใดไม่ทำตามกฎจะถูกไล่ออกจากเรือนซงเถาทันที”

        ได้ยินฉีเยี่ยนกล่าวแข็งขัน ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวด้วยความเต็มใจ “เราจะตั้งใจทำงานให้ดี”

        ไป่ฉา หนึ่งในสาวใช้ระดับล่างที่ทำงานในเรือนซงเถา บิดามารดาล้วนเป็นบ่าวรับใช้ในจวนจิ่งอัน ทว่ามิได้มีลำดับขั้นใด ๆ คราแรกมารดานางรับหน้าที่คุมเตาไฟในครัว เมื่อครัวใหญ่ถูกเพลิงไหม้ มารดาก็ถูกไฟคลอกไปด้วยจึงทำให้ไม่สามารถลุกจากเตียงได้ ส่วนบิดานางเคยเป็นหนึ่งในพ่อบ้านหลักที่ดูแลเรื่องการเงินของเรือนนอก แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีคนวางแผนให้จัดการงานผิดพลาดเพื่อยักยอกเงิน บิดาจึงถูกนายหญิงใหญ่ลงโทษด้วยการทำงานตักมูลในคอกม้า และอาจด้วยความเสียใจหรือตกใจ เขาจึงกลายเป็นผีสุราที่เมาทุกวี่วันไม่ว่างเว้น พี่ชายของนางสองคนก็ทำงานอยู่ในจวนแต่มิได้มีตำแหน่งสูงนัก ขณะที่ไป่ฉาเองก็เริ่มทำงานเป็นสาวใช้ไร้ขั้นตั้งแต่อายุสิบขวบ กระทั่งเวลาผ่านไปได้สี่ปี นางก็ยังคงทำได้เพียงกวาดพื้นในจวนอยู่นั่นเอง

        อีกทั้งนางยังเคยอยากลองยั่วยวนคุณชายสามเพื่อหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ทว่านายหญิงสามก็เข้าจวนมาเสียก่อน

        และในตอนนี้เมื่อคุณชายสามละทิ้งจวนไปชายแดนเหนืออย่างกะทันหัน ไป่ฉาก็ทำได้เพียงทำงานของนางต่อไป

        ในยามนี้สุขภาพมารดาของนางกลับย่ำแย่นัก นางจึงต้องการเงินเพื่อนำไปรักษามารดา แต่ยิ่งได้เงินมาเท่าใด บิดาก็นำไปใช้ร่ำสุราเสียหมด จึงอาจกล่าวได้ว่านางกำลังตกอยู่ในจุดที่สิ้นหวังที่สุด จนกระทั่งฉู่เหลียนตกรางวัลให้

        นางกำแหวนใบซันเย่เฉ่า[1]ในมือแน่น ดวงตาอันเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดีจับจ้องที่ห้องนอนหลักของเรือน

 

———————————————————————–

        [1] ใบซันเย่เฉ่า หมายถึง ใบโคลเวอร์สามแฉก

 

                                                      ————————

                       อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                         https://www.kawebook.com/story/6816

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 52 เรือนแสนสงบ

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 52 เรือนแสนสงบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ระหว่างเดินกลับเรือนกับสามี โจวซื่อก้มหน้าลงต่ำ ดูคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ขณะเดียวกันนั้นเฮ่อฉางฉีที่เดินขึ้นมาเคียงข้างนางกลับมีสีหน้าเสียอกเสียใจพลางคร่ำครวญ “หากน้องสะใภ้สามทราบสูตรลับการทำเนื้อกวาง ข้าสงสัยนักว่าจะอร่อยสักเพียงใด”

        ได้ยินสามีกล่าวดังนี้ โจวซื่อก็โมโหสุดขีด

        นางชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเร่งฝีเท้า ทิ้งสามีที่เดินเชื่องช้าทึ่มทื่อไว้เบื้องหลัง

        “นี่ หยวนจิ่ง หยวนจิ่ง! ช้าลงหน่อย! ตอนนี้มืดนัก ทั้งเส้นทางก็ไม่ราบเรียบ!”

        โจวซื่อเม้มปากแน่น สีหน้านางย่ำแย่มากขึ้นทุกขณะ

        ตั้งแต่สามีกลับเรือนมาเมื่อวาน ก็เอาแต่พูดถึงว่าซิ่วท้อของฉู่เหลียนได้รับความนิยมอย่างไรบ้างที่งานของติ้งหยวนโหวอย่างไม่ลดละ ทั้งยังเล่าเรื่องนั้นให้มารดาฟังครั้งหนึ่ง ก่อนจะเล่าอีกครั้งยามทานอาหารเย็นที่โถงชิ่งสี่ ยามนี้ยังตีหน้าเศร้าที่ฉู่เหลียนทำเนื้อกวางไม่เป็น

        ในฐานะภรรยา นางจะไม่โกรธได้อย่างไรเล่า?

        น้องสะใภ้ทำอาหารเก่งแล้วจะอย่างไร? ฉู่เหลียนเป็นภริยาของเฮ่อซานหลาง! มิใช่เฮ่อฉางฉี!

        โจวซื่ออึดอัดเสียจนหายใจแทบไม่ออกเมื่อต้องทนรับกับการปฏิบัติเช่นนี้ของสามี

        หากว่าฉู่เหลียนทราบเหตุผลที่พี่สะใภ้ผันเปลี่ยนไม่ชอบตนขึ้นมาละก็ นางย่อมต้องปล่อยโฮราวกับเด็กน้อยใส่เฮ่อฉางฉีผู้เป็นพี่สามีแน่

        พี่ชาย! ท่านจะขุดหลุมฝังข้าเช่นนี้หรืออย่างไร?!

        อีกอย่าง พี่สะใภ้ทราบหรือไม่ว่าท่านทึ่มทื่อเพียงใด?

        ขณะที่กุ้ยหมัวมัวช่วยฉู่เหลียนเปลี่ยนเป็นชุดนอนนั้น นางก็ส่งเงินตำลึงที่ได้จากการขายเครื่องประดับให้ผู้เป็นนาย และยังส่งของที่ฉู่เหลียนสั่งให้นางไปตระเตรียมมาอีกด้วย

        ขณะเดินกลับมาห้องหนังสือเล็ก ๆ ของตน ฉู่เหลียนก็เปิดกล่องไม้ใบเล็ก ๆ ที่กุ้ยหมัวมัวมอบให้

        ภายในเป็นทองคำแท่งเล็ก ๆ คู่กับเครื่องประดับเงินที่นางสั่งเอาไว้

        กุ้ยหมัวมัวที่เดินตามหลังมาคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “นายหญิงสาม เหตุใดจึงไม่เก็บเงินตำลึงไว้เจ้าคะ? ถึงยามนี้เราจะอยู่ในจวน ทว่าอย่างไรก็เป็นเพียงสมาชิกของบ้านสาม หากเหล่าไท่จวินจากไป คุณชายสามก็มิได้สืบทอดตำแหน่งใดของตระกูล แต่ละบ้านจำต้องแยกตัวออกจากกันเป็นแน่ อีกทั้งนายหญิงใหญ่ยังมีหน้าที่ดูแลการเงินของจวนเช่นนี้ ท่านย่อมมิได้รับเงินมาใช้จ่ายมากนัก!”

        ฉู่เหลียนหันไปมองกุ้ยหมัวมัวด้วยสายตาแปลกประหลาด ภายใต้แสงไฟจากตะเกียงที่รายล้อม ดวงตาผลชิ่งของนางเปล่งประกายคล้ายหมู่ดาว กระจ่างใสดุจสายน้ำ “หมัวมัว เจ้าคิดจะให้ข้าร่ำรวยด้วยการเก็บเงินเฉย ๆ หรือ?”

        กุ้ยหมัวมัวพูดไม่ออก นางหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพยายามโน้มน้าวต่อ “ตอนนี้ท่านเพิ่งจะได้เริ่มจัดการเรือนเองนะเจ้าคะ ใช้จ่ายเงินเยอะถึงเพียงนี้ตั้งแต่ต้นคงจะไม่ดีนัก”

        สิ่งที่นางยังมิได้กล่าวก็คือ หากฉู่เหลียนตกรางวัลแก่บ่าวไพร่โดยไร้สาเหตุต่อไป กาลข้างหน้าย่อมลำบากเป็นแน่ และหากบ่าวไพร่ได้รับรางวัลบ่อย ๆ พวกเขาย่อมต้องคาดหวังมากกว่าเดิมเมื่อมีโอกาสพิเศษ แต่หากไม่มี บ่าวไพร่เหล่านี้ย่อมต้องผิดหวัง และอาจทำให้ควบคุมได้ยากยิ่ง

        นอกจากนั้น แม้เครื่องประดับเงินสั่งทำเหล่านั้นจะราคาไม่แพง แต่ล้วนถูกออกแบบมาอย่างชั้นเลิศ! ขนาดที่เชื้อพระวงศ์ยังสามารถสวมใส่ได้ไม่น่าเกลียด จึงไม่ต้องเอ่ยถึงบ่าวไพร่ของขุนนางเหล่านี้เลย

        ยามนี้ฉู่เหลียนเดินมาถึงโต๊ะในห้องหนังสือแล้ว นางวางกล่องไม้ลงและหยิบเอาเครื่องประดับเงินด้านในออกมา ก่อนจะวางไว้บนถาดไม้สีแดงที่บุผ้าสีน้ำเงินเข้มเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง

        สีน้ำเงินเข้มของผ้าตัดกับสีเงินของเครื่องประดับพอดีทำให้ยิ่งดูเปล่งประกายนัก รวมไปถึงการออกแบบที่ดูแปลกใหม่ ย่อมสามารถเทียบเคียงกับเครื่องประดับที่ทำจากทองคำได้

        “หมัวมัวอย่ากังวลไป ไม่ใช่ว่าท่านย่าเพิ่งจะมอบร้านอาหารให้ข้าหรอกหรือ?”

        คำตอบของฉู่เหลียนดูจะนอกประเด็นไป เนื่องจากนางง่วนอยู่กับการจัดเรียงและแยกชนิดเครื่องประดับ

        กุ้ยหมัวมัวกล่าวอะไรไม่ออก ร้านอาหารหรือ? ร้านอาหารเก่า ๆ โทรม ๆ นั่นหรือ?

        ร้านมิได้ตั้งอยู่ในย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน รายการอาหารที่มีก็ล้วนแต่แสนจะธรรมดา และยังไม่สามารถทำกำไรได้ด้วยซ้ำ จะนับว่าเป็นแหล่งรายได้ได้อย่างไร? เพียงไม่ขาดทุนก็ดีแค่ไหนแล้ว!

        กุ้ยหมัวมัวสงสัยนักว่าที่เหล่าไท่จวินมอบร้านอาหารลูกผีลูกคนนี้ให้ฉู่เหลียน ก็เพื่อให้นางใช้จ่ายเงินประคับประคองดูแลร้านนี้แทนตนหรือไม่         

        “โธ่นายหญิงน้อยของบ่าว ร้านอาหารนั้นจะทำเงินได้อย่างไร? ได้โปรดอย่าฝากความหวังไว้กับร้านนั้นเลยนะเจ้าคะ!”

        ในที่สุดฉู่เหลียนก็หันไปมองกุ้ยหมัวมัว “หมัวมัว ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีต่อข้าเป็นที่สุด ทว่าเรื่องนี้ ข้าก็ย่อมรู้ว่ากำลังจะทำอะไร”

        น้ำเสียงโอนอ่อนใจดีเช่นปกติของนายหญิงน้อยเลือนหายไป และกลายเป็นน้ำเสียงทรงอำนาจเข้มงวดแทน

        กุ้ยหมัวมัวตัวแข็งทื่อ รีบหยุดในทันที

        แม้นายหญิงสามจะเปลี่ยนไป ทว่านางกลับเข้าหาได้ง่ายกว่าแต่ก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบ่าวชราผู้นี้จะสามารถข้ามเส้นความเป็นนายบ่าวและเข้ามาวุ่นวายกับการตัดสินใจของผู้เป็นนายได้ ยามนี้บ่าวชราเผลอล้ำเส้นไปเสียแล้ว เมื่อคิดได้ เหงื่อเย็น ๆ ก็ไหลท่วมร่างกุ้ยหมัวมัว

        แม้ฉู่เหลียนจะไม่ชอบการใช้พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงใส่ผู้อื่นและเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย กระทั่งบางครั้งอาจดูเหมือนทำตัวโง่งมไปบ้าง แต่นางก็ไม่เคยล้อเล่นกับเรื่องสำคัญ ทั้งยังมีความคิดเป็นของตนเอง และเกลียดนักเวลาที่คนอื่นพยายามจะเข้ามาตัดสินใจแทน

        นางรู้ดีว่าวิธีคิดของตนแตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่นี่อยู่มากนัก ดังนั้นเมื่อมาถึงยุคราชวงศ์อู่นี้จึงได้พยายามทำตัวสบาย ๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่านางจะปล่อยให้คนอื่นมายุ่มย่ามกับทางเลือกของตนเอง

        ดังเช่นเรื่องเครื่องประดับเงินในวันนี้ และการตัดสินใจเรื่องสำคัญอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต

        “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

        เห็นว่าในที่สุดกุ้ยหมัวมัวก็เข้าใจที่ผู้เป็นนายต้องการสื่อ ทำให้สีหน้าของนายหญิงอ่อนลง และแง้มเผยเป็นรอยยิ้มนุ่มนวลเช่นเดิม ท่าทีอ่อนหวานก็กลับมา

        “หมัวมัว เจ้าต้องเชื่อในตัวข้า เงินนั้นหาง่ายนัก!” ฉู่เหลียนถึงกับแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา ก่อนจะกะพริบตาใสซื่อให้กุ้ยหมัวมัว

        แม้จะยินยอมรับฟังและพยักหน้าไปอย่างว่าง่าย ทว่าในใจกุ้ยหมัวมัวกลับไม่เชื่อคำของฉู่เหลียนแม้แต่น้อย ถึงแม้นายหญิงสามจะหัวดี แต่ยามอยู่จวนอิ้ง นางก็มิได้รับรู้ถึงโลกภายนอกมากนัก แม่บุญธรรมเองก็ไม่เคยสอนเรื่องโลกภายนอกให้นางอย่างจริงจัง ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ฉู่เหลียนจะมองโลกในแง่ดีจนเกินไป และไม่ล่วงรู้ถึงด้านร้าย ๆ บนโลกใบนี้

        กุ้ยหมัวมัวถอนใจอยู่ภายใน และคงต้องยอมปล่อยให้นายหญิงสามผิดพลาดบ้างคงเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพื่อจะได้เข้าใจโลกนี้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

        พอไล่กุ้ยหมัวมัวออกจากห้องแล้ว ฉู่เหลียนก็เก็บทองแท่งลงกล่อง ยามนี้นางมีทองแท่งอยู่จำนวนหนึ่งและเงินอีกหกร้อยตำลึง แม้จะมีจำนวนมากในสายตาคนส่วนใหญ่ ทว่าก็ยังไม่พอแม้แต่น้อยสำหรับฉู่เหลียน ก่อนจะหันไปเปิดกล่องอื่น ๆ ด้านข้าง และชื่นชมรูปปั้นกิเลนทองคำขององค์หญิงเล่อเหยาที่ฉายแสงทอประกายเมื่อกระทบแสงไฟสลัวอยู่ภายในกล่อง มุมปากของนางหยักเป็นรอยยิ้ม

        “องค์หญิงเล่อเหยา ในเมื่อท่านชื่นชอบพี่เฮ่อนัก ข้าก็จะให้ท่านช่วยสมทบทุนที่เหลือก็แล้วกัน”

        ก่อนจะเข้านอน ฉู่เหลียนเปิดสมุดบัญชีร้านกุ้ยหลินที่เฮ่อเหล่าไท่จวินมอบให้มาตรวจสอบคร่าว ๆ อีกที

        ภายในสมุดบัญชีมีบันทึกรายการค่าใช้จ่ายของสามเดือนที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าร้านแทบจะไม่มีลูกค้าเข้าจนสามารถจดรายการบัญชีทั้งสามเดือนลงในสมุดบาง ๆ เล่มเดียวได้ ดังนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงว่าตัวเลขในสมุดนั้นจดมาถูกต้องหรือไม่ เพียงแค่เปิดดูผ่าน ๆ ฉู่เหลียนก็ไม่ชอบใจกับวิธีการบันทึกของทางร้านแล้ว เพราะมีหลายจุดที่ดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย

        ตัวอย่างเช่น ข้อมูลข้างล่างนี้…

        วันที่ 1 มิถุนายน ค่าใช้จ่ายในครัว 1 ตำลึง

        ‘ค่าใช้จ่ายในครัว’ หรือ?

        พวกนั้นจะซื้ออะไรกัน? เป็นวัตถุดิบสดประจำวัน หรือหมายถึงเครื่องครัว หรือเป็นเฟอร์นิเจอร์กันนะ? เพียงแต่จดมาแค่ค่าใช้จ่ายเท่านี้จึงยังไม่ชัดเจนนัก ทำให้นางคาดว่าอาจมีการยักยอกเกิดขึ้นเป็นแน่

        วันที่ 12 มิถุนายน

        เนื้อหมู 5 จิน 100 เหรียญ

        ผักกาดขาว 10 เหรียญ

        ใบชา 500 เหรียญ…

        นอกจากนั้นที่ร้านยังมีลูกค้าเพียงวันละสองถึงสามคนในช่วงครึ่งแรกของเดือนมิถุนาเท่านั้น น้อยที่สุดคือไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว ในขณะที่มากสุดก็ไม่เคยเกินห้าคนต่อวัน และในจำนวนลูกค้าเหล่านี้ก็มีเพียงผู้เดียวที่สั่งเมนูเนื้อหมู

        นั่นแปลว่าเมนูหมูในร้านกุ้ยหลินไม่ได้รับความนิยมเท่าไรนัก จึงไม่ควรซื้อเนื้อหมูมากกว่าหนึ่งจินต่อวัน ทว่าในวันนั้นพวกเขากลับซื้อมากถึงห้าเท่า ย่อมเป็นการใช้เงินของบริษัทเพื่อใช้จ่ายส่วนตัว หืม?

        เหอะๆ!

        นางอ่านบัญชีคร่าว ๆ เพียงสามหน้า ก็เจอจุดน่าสงสัยมากมาย จึงไม่จำเป็นต้องอ่านต่อ

        ดูเหมือนว่าปัญหาของภัตตาคารกุ้ยหลินจะไม่ใช่เพียงการบริหารเสียแล้ว ทว่ายังมีเรื่องพนักงานแย่ ๆ อีกด้วย ต่อให้เป็นร้านที่ยอดนิยมที่สุดในเมืองหลวง หากยอมให้พวกขี้ฉ้อเหล่านี้เข้าไปบริหารก็มีแต่ล่มจมเท่านั้น!

        วันต่อมา ฉู่เหลียนก็บอกกล่าวต่อเฮ่อเหล่าไท่จวินเพียงลำพังเรื่องที่ตนได้รับเทียบเชิญให้ไปเยือนจวนเว่ยอ๋อง ทำให้ท่านย่าผู้นี้ดีใจจนเหลือล้น พร้อมจับมือนางก่อนบอกให้ตอบตกลงไปโดยไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น

        พอกลับจากโถงชิ่งสี่ นางก็บอกจงหมัวมัวให้เรียกรวมบ่าวไพร่ในเรือนซงเถา และสั่งการให้ฉีเยี่ยนไปจัดการแทน ก่อนที่ตนจะเข้าไปฝึกคัดลายมือในห้องหนังสือต่อ

        ฉีเยี่ยนถือถาดไม้แดงไว้ในมือ และเอ่ยประกาศต่อบ่าวไพร่ที่มารวมตัวกันในห้องเรียบร้อยแล้ว “อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดของนายหญิงสามแล้ว หลายวันก่อนท่านจึงได้สั่งทำเครื่องประดับเหล่านี้ขึ้น และต้องการใช้โอกาสนี้ตกรางวัลให้กับทุกคนเพื่อเป็นการอวยพรให้ทุกคนประสบแต่ความโชคดีไปถ้วนทั่ว”

        ทุกถ้อยคำของฉีเยี่ยนล้วนเป็นฉู่เหลียนที่คิดไว้ให้ วันเกิดของฉู่เหลียนในร่างนี้จะเป็นอีกในสองวันข้างหน้า หรือก็คือวันที่ยี่สิบหกมิถุนายน ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่องค์หญิงต้วนเจี่ยเชิญนางไปจวนเว่ยอ๋อง

        การให้เหตุผลในการตกรางวัลของนางเช่นนี้ จะทำให้บ่าวไพร่เหล่านี้ไม่คาดหวังสูงเกินไป แม้กุ้ยหมัวมัวจะไม่ได้กล่าวออกมาเมื่อวาน แต่ฉู่เหลียนก็คำนึงถึงปัญหานี้เอาไว้หมดแล้ว

        นี่ก็เหมือนการที่บริษัทให้โบนัสกับพนักงานในวันหยุด เป็นการช่วยกระตุ้นให้พนักงานมีความตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ของตนมากขึ้น

        กุ้ยหมัวมัวยืนนิ่งไปชั่วครู่ เมื่อวานนางลืมเตือนนายหญิงสามไปเสียสนิทเพราะมัวแต่ตกใจที่ตนล้ำเส้นความเป็นนายบ่าว แต่เห็นได้ว่านายหญิงสามคงคิดเช่นเดียวกัน ดูได้จากที่ฉีเยี่ยนกล่าว นายหญิงเตรียมการหลีกเลี่ยงปัญหาไว้แล้วจริง ๆ ความรู้สึกผิดแล่นขึ้นในใจของกุ้ยหมัวมัวทีละน้อย

        เมื่อบ่าวไพร่ทั้งหมดได้ยินว่าวันนี้จะได้รางวัล สีหน้าต่างเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ

        ฉีเยี่ยนกระแอมไอให้ทุกคนเงียบลง

        “นายหญิงสามสั่งข้ามาดังนี้ สาวใช้ขั้นสองให้เลือกหยิบปิ่นเงินหนึ่งชิ้นและแหวนอีกสองวง สาวใช้ขั้นสามให้เลือกหยิบปิ่นเงินหนึ่งชิ้นและแหวนอีกหนึ่งวง ส่วนสาวใช้ไม่มีขั้นให้หยิบแหวนหนึ่งวง”

        จากนั้นฉีเยี่ยนก็ส่งถาดในมือให้แก่เวิ่นฉิง พร้อมสั่งให้นางนำของไปแจกจ่ายให้ทั่ว

        ทุกคนล้วนแต่ดีใจเป็นล้นพ้น และเอ่ยกล่าวพร้อม ๆ กัน “ขอบพระคุณนายหญิงสามเป็นอย่างสูงที่ตกรางวัลแก่บ่าว”

        “ต่อจากนี้ก็จงทำงานให้ดี ตราบใดที่ยังทำหน้าที่ของตนได้ดี นายหญิงย่อมตกรางวัลให้พวกเจ้าอีกแน่นอน ทว่าผู้ใดไม่ทำตามกฎจะถูกไล่ออกจากเรือนซงเถาทันที”

        ได้ยินฉีเยี่ยนกล่าวแข็งขัน ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวด้วยความเต็มใจ “เราจะตั้งใจทำงานให้ดี”

        ไป่ฉา หนึ่งในสาวใช้ระดับล่างที่ทำงานในเรือนซงเถา บิดามารดาล้วนเป็นบ่าวรับใช้ในจวนจิ่งอัน ทว่ามิได้มีลำดับขั้นใด ๆ คราแรกมารดานางรับหน้าที่คุมเตาไฟในครัว เมื่อครัวใหญ่ถูกเพลิงไหม้ มารดาก็ถูกไฟคลอกไปด้วยจึงทำให้ไม่สามารถลุกจากเตียงได้ ส่วนบิดานางเคยเป็นหนึ่งในพ่อบ้านหลักที่ดูแลเรื่องการเงินของเรือนนอก แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีคนวางแผนให้จัดการงานผิดพลาดเพื่อยักยอกเงิน บิดาจึงถูกนายหญิงใหญ่ลงโทษด้วยการทำงานตักมูลในคอกม้า และอาจด้วยความเสียใจหรือตกใจ เขาจึงกลายเป็นผีสุราที่เมาทุกวี่วันไม่ว่างเว้น พี่ชายของนางสองคนก็ทำงานอยู่ในจวนแต่มิได้มีตำแหน่งสูงนัก ขณะที่ไป่ฉาเองก็เริ่มทำงานเป็นสาวใช้ไร้ขั้นตั้งแต่อายุสิบขวบ กระทั่งเวลาผ่านไปได้สี่ปี นางก็ยังคงทำได้เพียงกวาดพื้นในจวนอยู่นั่นเอง

        อีกทั้งนางยังเคยอยากลองยั่วยวนคุณชายสามเพื่อหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ทว่านายหญิงสามก็เข้าจวนมาเสียก่อน

        และในตอนนี้เมื่อคุณชายสามละทิ้งจวนไปชายแดนเหนืออย่างกะทันหัน ไป่ฉาก็ทำได้เพียงทำงานของนางต่อไป

        ในยามนี้สุขภาพมารดาของนางกลับย่ำแย่นัก นางจึงต้องการเงินเพื่อนำไปรักษามารดา แต่ยิ่งได้เงินมาเท่าใด บิดาก็นำไปใช้ร่ำสุราเสียหมด จึงอาจกล่าวได้ว่านางกำลังตกอยู่ในจุดที่สิ้นหวังที่สุด จนกระทั่งฉู่เหลียนตกรางวัลให้

        นางกำแหวนใบซันเย่เฉ่า[1]ในมือแน่น ดวงตาอันเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดีจับจ้องที่ห้องนอนหลักของเรือน

 

———————————————————————–

        [1] ใบซันเย่เฉ่า หมายถึง ใบโคลเวอร์สามแฉก

 

                                                      ————————

                       อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                         https://www.kawebook.com/story/6816

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+