[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 74 ปลอมตัวเยี่ยมเยือนภัตตาคารกุ้ยหลิน (1)

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 74 ปลอมตัวเยี่ยมเยือนภัตตาคารกุ้ยหลิน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ฉู่เหลียนตั้งใจมาเยี่ยมเยือนร้านแบบไม่เผยตัวในวันนี้ นางจึงแต่งตัวด้วยชุดที่ดูเรียบง่าย ไม่สะดุดตา กระทั่งรถม้าที่ใช้ก็ยังไม่มีตราสัญลักษณ์ของจวนจิ่งอันแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อรวมกลุ่มคนทั้งหมดที่ติดตามมาด้วยกันแล้ว คนส่วนมากยังนึกว่านางเป็นเพียงภรรยาของเจ้าหน้าที่ระดับล่างเท่านั้น

        ภัตตาคารกุ้ยหลินตั้งอยู่ลึกเข้าไปในตลาดเก่าตะวันตก ตั้งแต่ที่สำนักการคมนาคมทำการแบ่งเขต พื้นที่ทั้งบริเวณตลาดตะวันตกนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนอันเล่อ

        ถนนอันเล่อเป็นเขตที่อยู่อาศัยของประชาชน ร้านค้าส่วนใหญ่แถบนี้ถูกซื้อและเปลี่ยนเป็นบ้านเล็ก ๆ ของคนทั่วไป จึงไม่ต้องเอ่ยถึงร้านอาหารสักร้าน ยามนี้ภัตตาคารกุ้ยหลินเป็นเพียงกิจการเดียวที่ยังเหลืออยู่

        แม้ชาวบ้านในเขตถนนอันเล่อมิใช่คนยากจน ทว่าจำนวนครอบครัวที่สามารถจ่ายเงินทานอาหารในร้านได้ก็มีไม่มาก ในยุคสมัยเช่นนี้ การทานอาหารที่ร้านอาหารเทียบเท่ากับการทำอาหารทานเองที่บ้านได้หลายมื้อ

        ตั้งแต่เริ่มกิจการร้านอาหารนี้ ภัตตาคารกุ้ยหลินก็ไม่ได้มีลูกค้ามากนัก อาหารที่มีก็มิได้พิเศษอะไร ซึ่งแทบจะสู้อาหารข้างทางมิได้ กิจการจึงจัดว่าย่ำแย่

        หากมิใช่ว่าร้านนี้มีความหมายพิเศษต่อเฮ่อเหล่าไท่จวินก็คงถูกปิดทำการไปหลายสิบปีแล้ว เพราะกิจการจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร หากมีแต่ขาดทุนเช่นนี้

        รถม้าของฉู่เหลียนวิ่งอยู่บริเวณหน้าตรอกแห่งหนึ่งบนถนนอันเล่อ ยามนี้ใกล้เที่ยงแล้ว จึงเริ่มมีควันลอยออกมาจากปล่องไฟตามบ้านเรือน ทั้งยังมีเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน มีผู้คนหาบของเดินไปมาขวักไขว่ ทั่วทั้งใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทว่ากลับยังคงยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา

        ฉู่เหลียนยกม่านขึ้นเล็กน้อย และมองดูว่าการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาในราชวงศ์อู่นี้เป็นอย่างไร ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาล้วนแต่มีชีวิตชีวา ร่าเริงเสียจนฉู่เหลียนไม่อาจละสายตา 

        เวิ่นฉิงที่เห็นฉู่เหลียนเลิกม่านมองดูทิวทัศน์ภายนอกเช่นนั้น นางกลับตีความไปว่าฉู่เหลียนคงหมดความอดทนกับการเดินทางแสนยาวไกลนี้แล้ว จึงเอ่ยขึ้น “นายหญิงสามเจ้าคะ อีกเพียงสองตรอกก็ถึงภัตตาคารกุ้ยหลินแล้วเจ้าค่ะ”

        เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานเคยอาศัยอยู่ในจวนร่วมกับจงหมัวมัว ทว่าบ้านเดิมของพวกนางอยู่ติดกับถนนอันเล่อ จึงคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้ที่สุด ทั้งยังเคยผ่านภัตตาคารกุ้ยหลินแห่งนั้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าร้านมาก่อน

        ฉู่เหลียนปล่อยม่านลง หันมาจิบน้ำผสมน้ำผึ้งในถ้วยชาเบื้องหน้า นางเอียงคอไปทางหนึ่ง เอ่ยปาก “อีกประเดี๋ยวเมื่อถึงร้านกุ้ยหลินแล้ว พวกเจ้าห้ามเปิดเผยตัวตนข้า เข้าใจหรือไม่? ”

        แม้เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานจะสงสัยเหตุผลของนายหญิงสาม แต่พวกนางก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยถามต่อ ทำเพียงพยักหน้าตอบรับพร้อมกัน

        ดังคาด ไม่นานนักรถม้าก็ถึงหน้าภัตตาคารกุ้ยหลิน

        ภัตตาคารกุ้ยหลินตั้งอยู่หัวมุมถนน เมื่อครั้งที่พื้นที่นี้ยังเป็นตลาดใต้อยู่ นับว่าเป็นทำเลทอง ทว่าเมื่อกลายเป็นเขตพักอาศัยแล้ว ร้านค้าโดยรอบก็ทยอยปิดตัวลง จนท้ายที่สุดเหลือเพียงภัตตาคารกุ้ยหลินเพียงแห่งเดียวที่ยังคงเปิดทำการ

        ถนนอันเล่อแห่งนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว คนส่วนมากที่เดินผ่านเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไปซึ่งทำอาหารทานเองที่บ้าน

        ฉู่เหลียนลงจากรถม้าโดยมีเวิ่นฉิงช่วยประคอง

        นางเงยหน้าขึ้นมองภัตตาคารกุ้ยหลิน

        อาจด้วยลักษณะของอาคารตลาดใต้ในอดีต ภัตตาคารกุ้ยหลินจึงมีทางเข้าที่ไม่ใหญ่นัก และมีเพียงชั้นเดียว

        ป้ายไม้จันทน์เหนือประตูถูกเขียนด้วยหมึกดำ ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’  ลายมือนั้นดูทั้งหนักแน่นและมีเสน่ห์ ทว่าป้ายร้านนั้นทั้งเก่าทั้งปลวกขึ้น ซ้ำยังเริ่มหลุดร่อน ทำให้ภัตตาคารดูเสื่อมโทรมยิ่งนัก

        แน่นอนแล้วว่าร้านอาหารแห่งนี้ไม่ค่อยได้รับการดูแลรักษา

        สายตาฉู่เหลียนค่อย ๆ มองจากป้ายร้านเข้าไปในตัวร้าน

        ยามนี้ใกล้เที่ยงแล้ว ทว่าทางเข้าร้านกลับไร้ผู้คน ไร้ชีวิต มีเพียงนกกระจอกตัวน้อยไม่กี่ตัว ที่เบื้องหลังโต๊ะกั้นนั้นมีเด็กหนุ่มสวมชุดผ้าเนื้อหยาบอายุราว ๆ ไม่เกินสิบห้าสิบหกปีกำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ เขากรนเสียงดัง ซ้ำยังทำน้ำลายหกไปทั่วโต๊ะกั้น

        เห็นภัตตาคารอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ฉู่เหลียนย่นคิ้วเข้าหากัน ส่วนเวิ่นฉิงนั้นโกรธเสียจนไม่อาจปิดซ่อนสีหน้าเลวร้ายไว้ได้

        ฉู่เหลียนก้าวเข้าร้านและย่างกรายเข้าใกล้เด็กหนุ่มที่หลับอยู่ผู้นั้น เขายังคงไม่ตื่น และดูท่าว่าจะหลับสนิทเสียด้วย 

        เวิ่นฉิงก้าวเข้าไปผลักเขา เด็กหนุ่มเซไปตามแรงผลักเสียจนท้ายที่สุดก็ตื่นจากฝันอย่างกะทันหัน

        “มันผู้ใด! ใครผลักข้า! ”

        เด็กหนุ่มถูกปลุกจากการงีบหลับอันแสนสบาย เขาเงยหน้าขึ้นส่งสายตากราดเกรี้ยวใส่คนรอบกาย

        เมื่อเห็นฮูหยินน้อยผู้หนึ่งกับสาวใช้สองนาง สีหน้าเขาดูอับอายไปชั่วครู่ ทว่าเมื่อมองดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่าพวกนางมิได้แต่งกายดีนัก ความหาญกล้ากลับคืนมาอีกครั้ง

        เด็กหนุ่มลุกขึ้นมองเวิ่นฉิงด้วยหางตา ทำทีปัดฝุ่นที่มองไม่เห็นออกจากเสื้อ

        “เจ้าทำอะไร! ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังนอนอยู่! ”

        เวิ่นฉิงนิ่วหน้า เท้าสะเอวโต้กลับ “ข้าทำอะไรงั้นหรือ?! ที่นี่มิใช่ร้านอาหารหรอกหรือ?! พวกเรามาเพื่อทานอาหาร มิเช่นนั้นจะให้เรามาทำอะไรได้อีก? ”

        เด็กหนุ่มทำหน้าบึ้ง แยกเขี้ยว ใช้หางตามองฉู่เหลียนและสาวใช้กล่าวตอบ “ขอโทษด้วย วันนี้ร้านเราไม่เปิดทำการ ผู้ดูแลร้านไม่อยู่ ไปหาทานที่อื่นเถอะ! ”

        หา? ไม่เปิดหรือ?

        เวิ่นฉิงทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นอาหารที่มาจากในครัวหลังร้าน ทั้งยังเหลียวมองดูประตูร้านที่เปิดกว้าง ร้านอาหารจะปิดได้อย่างไร?

        ฉู่เหลียนที่ยืนอยู่อีกทางหนึ่งยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาสดใสจ้องมองเสี่ยวเอ้อร์ ก่อนจะสังเกตเห็นโถงใหญ่เบื้องหลังเขา

        เวิ่นฉิงลอบมองสีหน้าฉู่เหลียน เห็นนายหญิงมิได้มีคำสั่งใด จึงเอ่ยถามต่อไป

        “ที่นี่ทำกิจการอย่างไรกัน? ประตูร้านก็เปิดกว้างอยู่แต่เจ้ากลับไล่ลูกค้าให้ไปหาทานที่อื่นเยี่ยงนั้นหรือ? หากไม่อยากทำการค้าแล้วจะเปิดประตูร้านไว้ทำไม? ปิดทั้งประตู ปิดทั้งร้านไปเลย! ”

        เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินคำเวิ่นฉิงก็ยิ่งโมโห เขาเป็นญาติของผู้ดูแลร้านแห่งนี้ ด้วยสายสัมพันธ์นั้น จึงทำให้เขาต้องมาทำงานในร้านกุ้ยหลิน และเขาก็ไม่เคยต้องทนรับอารมณ์เด็กสาวมาก่อนดังเช่นในยามนี้ อารมณ์กรุ่นร้อนจึงก่อตัวขึ้นรวดเร็ว

        “เจ้าเป็นใครกล้ามาวิจารณ์วิธีทำกิจการของพวกเรา ไป ไปหาดูเสียว่าใครเป็นเจ้าของกิจการแห่งนี้ จะได้รู้เสียบ้างว่าใช่เรื่องที่เจ้าควรแส่หรือไม่! ไสหัวไป! ”

        เสี่ยวเอ้อร์ไม่เพียงปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างไม่เคารพ ซ้ำร้ายยังวางโตใส่ ฉู่เหลียนเดินสำรวจเข้าไปยังโถงหลักโดยไม่เสียเวลาพูดคุยด้วย มุมปากข้างหนึ่งของนางยกขึ้น

        เสียงในห้องโถงใหญ่ดึงดูดความสนใจของใครบางคนที่อยู่ด้านในร้าน

        ไม่นานนัก เสียงของสตรีวัยกลางคนก็ดังลอดมาจากหลังร้าน “ใกล้ถึงเวลาทานข้าวแล้ว อาไค่ เจ้าคุยกับใครอยู่? ”

        ฉู่เหลียนได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งผลักผ้าม่านเดินมาจากด้านหลัง เป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดลายดอกไม้สีคราม

        สตรีวัยกลางคนผู้นี้มีใบหน้ายาวออกท้วม ดวงตานางเล็กเสียจนยามนางยิ้มตากลายเป็นเส้นขีดเดียว

        เมื่อนางมาถึงโถงหลักจึงได้เห็นฉู่เหลียนและสาวใช้ยืนอยู่ สตรีวัยกลางคนทำหน้าแปลกใจ นางก้าวมาข้างหน้า ยกยิ้มเป็นมิตร “ไม่ทราบว่าแม่นางมีธุระอะไรกับพวกเราหรือเจ้าคะ? ”

        เวิ่นฉิงโกรธจนอยากหัวเราะ ร้านอาหารแห่งนี้นี่ ทำไมทุกคนล้วนแต่ถามลูกค้าว่ามาที่นี่เพื่ออะไร สตรีผู้นี้ต้องการเล่นตลกอะไรอีกหรือไม่?

        ฉู่เหลียนคร้านจะเอ่ยปาก นางมองเวิ่นฉิงที่มีความสามารถพิเศษในการเข้าใจคำสั่งผ่านทางสายตาของนางได้ เวิ่นฉิงเมื่อรับคำสั่งมา นางก็หันไป เดินไปสองก้าวและหยุดอยู่ตรงทางเข้า ก่อนจะชี้นิ้วไปยังป้ายเหนือศีรษะ

        “มิใช่ว่าตัวอักษรเหล่านี้คือคำว่า ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’ หรอกหรือ? พวกเจ้ามีคำว่า ‘ภัตตาคาร’ ตัวโต ๆ อยู่บนป้ายเหนือประตูนี่ นายหญิงของพวกข้าจึงได้แวะมาที่นี่เพื่อทานอาหาร หรือจะบอกว่าพวกข้าทำเช่นนั้นในร้านอาหารแห่งนี้มิได้? ”

        สตรีวัยกลางรู้สึกอับอายยิ่งนัก นางนึกอยากปฏิเสธแขกเหล่านี้ เนื่องด้วยวันนี้มิได้ซื้อของจากตลาดใต้มามากมายเท่าใด จัดเตรียมของแค่เพียงพอให้คนในร้านทานเท่านั้น ทว่าบ่าวรับใช้ชายที่ดูหนักแน่นเหล่านั้นกลับดึงดูดความสนใจของนาง พวกเขาก้มหัวเคารพฉู่เหลียนด้วยความนอบน้อมขณะเอ่ยรายงานบางสิ่ง คำพูดของนางจึงติดอยู่ในลำคอ

        นางยกยิ้มอีกครั้ง เอ่ยอย่างสุภาพ “ข้าต้องขออภัยด้วย ร้านเรามิค่อยได้ต้อนรับลูกค้ามากนัก อาไค่เพิ่งเริ่มทำงานไม่นาน จึงไม่คุ้นเคยกฎเกณฑ์ใด ให้อภัยเขาเถิดนะเจ้าคะ เรียนเชิญฮูหยินข้างในเจ้าค่ะ”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 74 ปลอมตัวเยี่ยมเยือนภัตตาคารกุ้ยหลิน (1)

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 74 ปลอมตัวเยี่ยมเยือนภัตตาคารกุ้ยหลิน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ฉู่เหลียนตั้งใจมาเยี่ยมเยือนร้านแบบไม่เผยตัวในวันนี้ นางจึงแต่งตัวด้วยชุดที่ดูเรียบง่าย ไม่สะดุดตา กระทั่งรถม้าที่ใช้ก็ยังไม่มีตราสัญลักษณ์ของจวนจิ่งอันแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อรวมกลุ่มคนทั้งหมดที่ติดตามมาด้วยกันแล้ว คนส่วนมากยังนึกว่านางเป็นเพียงภรรยาของเจ้าหน้าที่ระดับล่างเท่านั้น

        ภัตตาคารกุ้ยหลินตั้งอยู่ลึกเข้าไปในตลาดเก่าตะวันตก ตั้งแต่ที่สำนักการคมนาคมทำการแบ่งเขต พื้นที่ทั้งบริเวณตลาดตะวันตกนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนอันเล่อ

        ถนนอันเล่อเป็นเขตที่อยู่อาศัยของประชาชน ร้านค้าส่วนใหญ่แถบนี้ถูกซื้อและเปลี่ยนเป็นบ้านเล็ก ๆ ของคนทั่วไป จึงไม่ต้องเอ่ยถึงร้านอาหารสักร้าน ยามนี้ภัตตาคารกุ้ยหลินเป็นเพียงกิจการเดียวที่ยังเหลืออยู่

        แม้ชาวบ้านในเขตถนนอันเล่อมิใช่คนยากจน ทว่าจำนวนครอบครัวที่สามารถจ่ายเงินทานอาหารในร้านได้ก็มีไม่มาก ในยุคสมัยเช่นนี้ การทานอาหารที่ร้านอาหารเทียบเท่ากับการทำอาหารทานเองที่บ้านได้หลายมื้อ

        ตั้งแต่เริ่มกิจการร้านอาหารนี้ ภัตตาคารกุ้ยหลินก็ไม่ได้มีลูกค้ามากนัก อาหารที่มีก็มิได้พิเศษอะไร ซึ่งแทบจะสู้อาหารข้างทางมิได้ กิจการจึงจัดว่าย่ำแย่

        หากมิใช่ว่าร้านนี้มีความหมายพิเศษต่อเฮ่อเหล่าไท่จวินก็คงถูกปิดทำการไปหลายสิบปีแล้ว เพราะกิจการจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร หากมีแต่ขาดทุนเช่นนี้

        รถม้าของฉู่เหลียนวิ่งอยู่บริเวณหน้าตรอกแห่งหนึ่งบนถนนอันเล่อ ยามนี้ใกล้เที่ยงแล้ว จึงเริ่มมีควันลอยออกมาจากปล่องไฟตามบ้านเรือน ทั้งยังมีเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน มีผู้คนหาบของเดินไปมาขวักไขว่ ทั่วทั้งใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทว่ากลับยังคงยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา

        ฉู่เหลียนยกม่านขึ้นเล็กน้อย และมองดูว่าการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาในราชวงศ์อู่นี้เป็นอย่างไร ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาล้วนแต่มีชีวิตชีวา ร่าเริงเสียจนฉู่เหลียนไม่อาจละสายตา 

        เวิ่นฉิงที่เห็นฉู่เหลียนเลิกม่านมองดูทิวทัศน์ภายนอกเช่นนั้น นางกลับตีความไปว่าฉู่เหลียนคงหมดความอดทนกับการเดินทางแสนยาวไกลนี้แล้ว จึงเอ่ยขึ้น “นายหญิงสามเจ้าคะ อีกเพียงสองตรอกก็ถึงภัตตาคารกุ้ยหลินแล้วเจ้าค่ะ”

        เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานเคยอาศัยอยู่ในจวนร่วมกับจงหมัวมัว ทว่าบ้านเดิมของพวกนางอยู่ติดกับถนนอันเล่อ จึงคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้ที่สุด ทั้งยังเคยผ่านภัตตาคารกุ้ยหลินแห่งนั้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าร้านมาก่อน

        ฉู่เหลียนปล่อยม่านลง หันมาจิบน้ำผสมน้ำผึ้งในถ้วยชาเบื้องหน้า นางเอียงคอไปทางหนึ่ง เอ่ยปาก “อีกประเดี๋ยวเมื่อถึงร้านกุ้ยหลินแล้ว พวกเจ้าห้ามเปิดเผยตัวตนข้า เข้าใจหรือไม่? ”

        แม้เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานจะสงสัยเหตุผลของนายหญิงสาม แต่พวกนางก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยถามต่อ ทำเพียงพยักหน้าตอบรับพร้อมกัน

        ดังคาด ไม่นานนักรถม้าก็ถึงหน้าภัตตาคารกุ้ยหลิน

        ภัตตาคารกุ้ยหลินตั้งอยู่หัวมุมถนน เมื่อครั้งที่พื้นที่นี้ยังเป็นตลาดใต้อยู่ นับว่าเป็นทำเลทอง ทว่าเมื่อกลายเป็นเขตพักอาศัยแล้ว ร้านค้าโดยรอบก็ทยอยปิดตัวลง จนท้ายที่สุดเหลือเพียงภัตตาคารกุ้ยหลินเพียงแห่งเดียวที่ยังคงเปิดทำการ

        ถนนอันเล่อแห่งนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว คนส่วนมากที่เดินผ่านเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไปซึ่งทำอาหารทานเองที่บ้าน

        ฉู่เหลียนลงจากรถม้าโดยมีเวิ่นฉิงช่วยประคอง

        นางเงยหน้าขึ้นมองภัตตาคารกุ้ยหลิน

        อาจด้วยลักษณะของอาคารตลาดใต้ในอดีต ภัตตาคารกุ้ยหลินจึงมีทางเข้าที่ไม่ใหญ่นัก และมีเพียงชั้นเดียว

        ป้ายไม้จันทน์เหนือประตูถูกเขียนด้วยหมึกดำ ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’  ลายมือนั้นดูทั้งหนักแน่นและมีเสน่ห์ ทว่าป้ายร้านนั้นทั้งเก่าทั้งปลวกขึ้น ซ้ำยังเริ่มหลุดร่อน ทำให้ภัตตาคารดูเสื่อมโทรมยิ่งนัก

        แน่นอนแล้วว่าร้านอาหารแห่งนี้ไม่ค่อยได้รับการดูแลรักษา

        สายตาฉู่เหลียนค่อย ๆ มองจากป้ายร้านเข้าไปในตัวร้าน

        ยามนี้ใกล้เที่ยงแล้ว ทว่าทางเข้าร้านกลับไร้ผู้คน ไร้ชีวิต มีเพียงนกกระจอกตัวน้อยไม่กี่ตัว ที่เบื้องหลังโต๊ะกั้นนั้นมีเด็กหนุ่มสวมชุดผ้าเนื้อหยาบอายุราว ๆ ไม่เกินสิบห้าสิบหกปีกำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ เขากรนเสียงดัง ซ้ำยังทำน้ำลายหกไปทั่วโต๊ะกั้น

        เห็นภัตตาคารอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ฉู่เหลียนย่นคิ้วเข้าหากัน ส่วนเวิ่นฉิงนั้นโกรธเสียจนไม่อาจปิดซ่อนสีหน้าเลวร้ายไว้ได้

        ฉู่เหลียนก้าวเข้าร้านและย่างกรายเข้าใกล้เด็กหนุ่มที่หลับอยู่ผู้นั้น เขายังคงไม่ตื่น และดูท่าว่าจะหลับสนิทเสียด้วย 

        เวิ่นฉิงก้าวเข้าไปผลักเขา เด็กหนุ่มเซไปตามแรงผลักเสียจนท้ายที่สุดก็ตื่นจากฝันอย่างกะทันหัน

        “มันผู้ใด! ใครผลักข้า! ”

        เด็กหนุ่มถูกปลุกจากการงีบหลับอันแสนสบาย เขาเงยหน้าขึ้นส่งสายตากราดเกรี้ยวใส่คนรอบกาย

        เมื่อเห็นฮูหยินน้อยผู้หนึ่งกับสาวใช้สองนาง สีหน้าเขาดูอับอายไปชั่วครู่ ทว่าเมื่อมองดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่าพวกนางมิได้แต่งกายดีนัก ความหาญกล้ากลับคืนมาอีกครั้ง

        เด็กหนุ่มลุกขึ้นมองเวิ่นฉิงด้วยหางตา ทำทีปัดฝุ่นที่มองไม่เห็นออกจากเสื้อ

        “เจ้าทำอะไร! ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังนอนอยู่! ”

        เวิ่นฉิงนิ่วหน้า เท้าสะเอวโต้กลับ “ข้าทำอะไรงั้นหรือ?! ที่นี่มิใช่ร้านอาหารหรอกหรือ?! พวกเรามาเพื่อทานอาหาร มิเช่นนั้นจะให้เรามาทำอะไรได้อีก? ”

        เด็กหนุ่มทำหน้าบึ้ง แยกเขี้ยว ใช้หางตามองฉู่เหลียนและสาวใช้กล่าวตอบ “ขอโทษด้วย วันนี้ร้านเราไม่เปิดทำการ ผู้ดูแลร้านไม่อยู่ ไปหาทานที่อื่นเถอะ! ”

        หา? ไม่เปิดหรือ?

        เวิ่นฉิงทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นอาหารที่มาจากในครัวหลังร้าน ทั้งยังเหลียวมองดูประตูร้านที่เปิดกว้าง ร้านอาหารจะปิดได้อย่างไร?

        ฉู่เหลียนที่ยืนอยู่อีกทางหนึ่งยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาสดใสจ้องมองเสี่ยวเอ้อร์ ก่อนจะสังเกตเห็นโถงใหญ่เบื้องหลังเขา

        เวิ่นฉิงลอบมองสีหน้าฉู่เหลียน เห็นนายหญิงมิได้มีคำสั่งใด จึงเอ่ยถามต่อไป

        “ที่นี่ทำกิจการอย่างไรกัน? ประตูร้านก็เปิดกว้างอยู่แต่เจ้ากลับไล่ลูกค้าให้ไปหาทานที่อื่นเยี่ยงนั้นหรือ? หากไม่อยากทำการค้าแล้วจะเปิดประตูร้านไว้ทำไม? ปิดทั้งประตู ปิดทั้งร้านไปเลย! ”

        เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินคำเวิ่นฉิงก็ยิ่งโมโห เขาเป็นญาติของผู้ดูแลร้านแห่งนี้ ด้วยสายสัมพันธ์นั้น จึงทำให้เขาต้องมาทำงานในร้านกุ้ยหลิน และเขาก็ไม่เคยต้องทนรับอารมณ์เด็กสาวมาก่อนดังเช่นในยามนี้ อารมณ์กรุ่นร้อนจึงก่อตัวขึ้นรวดเร็ว

        “เจ้าเป็นใครกล้ามาวิจารณ์วิธีทำกิจการของพวกเรา ไป ไปหาดูเสียว่าใครเป็นเจ้าของกิจการแห่งนี้ จะได้รู้เสียบ้างว่าใช่เรื่องที่เจ้าควรแส่หรือไม่! ไสหัวไป! ”

        เสี่ยวเอ้อร์ไม่เพียงปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างไม่เคารพ ซ้ำร้ายยังวางโตใส่ ฉู่เหลียนเดินสำรวจเข้าไปยังโถงหลักโดยไม่เสียเวลาพูดคุยด้วย มุมปากข้างหนึ่งของนางยกขึ้น

        เสียงในห้องโถงใหญ่ดึงดูดความสนใจของใครบางคนที่อยู่ด้านในร้าน

        ไม่นานนัก เสียงของสตรีวัยกลางคนก็ดังลอดมาจากหลังร้าน “ใกล้ถึงเวลาทานข้าวแล้ว อาไค่ เจ้าคุยกับใครอยู่? ”

        ฉู่เหลียนได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งผลักผ้าม่านเดินมาจากด้านหลัง เป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดลายดอกไม้สีคราม

        สตรีวัยกลางคนผู้นี้มีใบหน้ายาวออกท้วม ดวงตานางเล็กเสียจนยามนางยิ้มตากลายเป็นเส้นขีดเดียว

        เมื่อนางมาถึงโถงหลักจึงได้เห็นฉู่เหลียนและสาวใช้ยืนอยู่ สตรีวัยกลางคนทำหน้าแปลกใจ นางก้าวมาข้างหน้า ยกยิ้มเป็นมิตร “ไม่ทราบว่าแม่นางมีธุระอะไรกับพวกเราหรือเจ้าคะ? ”

        เวิ่นฉิงโกรธจนอยากหัวเราะ ร้านอาหารแห่งนี้นี่ ทำไมทุกคนล้วนแต่ถามลูกค้าว่ามาที่นี่เพื่ออะไร สตรีผู้นี้ต้องการเล่นตลกอะไรอีกหรือไม่?

        ฉู่เหลียนคร้านจะเอ่ยปาก นางมองเวิ่นฉิงที่มีความสามารถพิเศษในการเข้าใจคำสั่งผ่านทางสายตาของนางได้ เวิ่นฉิงเมื่อรับคำสั่งมา นางก็หันไป เดินไปสองก้าวและหยุดอยู่ตรงทางเข้า ก่อนจะชี้นิ้วไปยังป้ายเหนือศีรษะ

        “มิใช่ว่าตัวอักษรเหล่านี้คือคำว่า ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’ หรอกหรือ? พวกเจ้ามีคำว่า ‘ภัตตาคาร’ ตัวโต ๆ อยู่บนป้ายเหนือประตูนี่ นายหญิงของพวกข้าจึงได้แวะมาที่นี่เพื่อทานอาหาร หรือจะบอกว่าพวกข้าทำเช่นนั้นในร้านอาหารแห่งนี้มิได้? ”

        สตรีวัยกลางรู้สึกอับอายยิ่งนัก นางนึกอยากปฏิเสธแขกเหล่านี้ เนื่องด้วยวันนี้มิได้ซื้อของจากตลาดใต้มามากมายเท่าใด จัดเตรียมของแค่เพียงพอให้คนในร้านทานเท่านั้น ทว่าบ่าวรับใช้ชายที่ดูหนักแน่นเหล่านั้นกลับดึงดูดความสนใจของนาง พวกเขาก้มหัวเคารพฉู่เหลียนด้วยความนอบน้อมขณะเอ่ยรายงานบางสิ่ง คำพูดของนางจึงติดอยู่ในลำคอ

        นางยกยิ้มอีกครั้ง เอ่ยอย่างสุภาพ “ข้าต้องขออภัยด้วย ร้านเรามิค่อยได้ต้อนรับลูกค้ามากนัก อาไค่เพิ่งเริ่มทำงานไม่นาน จึงไม่คุ้นเคยกฎเกณฑ์ใด ให้อภัยเขาเถิดนะเจ้าคะ เรียนเชิญฮูหยินข้างในเจ้าค่ะ”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 74 ปลอมตัวเยี่ยมเยือนภัตตาคารกุ้ยหลิน (1)

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 74 ปลอมตัวเยี่ยมเยือนภัตตาคารกุ้ยหลิน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ฉู่เหลียนตั้งใจมาเยี่ยมเยือนร้านแบบไม่เผยตัวในวันนี้ นางจึงแต่งตัวด้วยชุดที่ดูเรียบง่าย ไม่สะดุดตา กระทั่งรถม้าที่ใช้ก็ยังไม่มีตราสัญลักษณ์ของจวนจิ่งอันแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อรวมกลุ่มคนทั้งหมดที่ติดตามมาด้วยกันแล้ว คนส่วนมากยังนึกว่านางเป็นเพียงภรรยาของเจ้าหน้าที่ระดับล่างเท่านั้น

        ภัตตาคารกุ้ยหลินตั้งอยู่ลึกเข้าไปในตลาดเก่าตะวันตก ตั้งแต่ที่สำนักการคมนาคมทำการแบ่งเขต พื้นที่ทั้งบริเวณตลาดตะวันตกนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนอันเล่อ

        ถนนอันเล่อเป็นเขตที่อยู่อาศัยของประชาชน ร้านค้าส่วนใหญ่แถบนี้ถูกซื้อและเปลี่ยนเป็นบ้านเล็ก ๆ ของคนทั่วไป จึงไม่ต้องเอ่ยถึงร้านอาหารสักร้าน ยามนี้ภัตตาคารกุ้ยหลินเป็นเพียงกิจการเดียวที่ยังเหลืออยู่

        แม้ชาวบ้านในเขตถนนอันเล่อมิใช่คนยากจน ทว่าจำนวนครอบครัวที่สามารถจ่ายเงินทานอาหารในร้านได้ก็มีไม่มาก ในยุคสมัยเช่นนี้ การทานอาหารที่ร้านอาหารเทียบเท่ากับการทำอาหารทานเองที่บ้านได้หลายมื้อ

        ตั้งแต่เริ่มกิจการร้านอาหารนี้ ภัตตาคารกุ้ยหลินก็ไม่ได้มีลูกค้ามากนัก อาหารที่มีก็มิได้พิเศษอะไร ซึ่งแทบจะสู้อาหารข้างทางมิได้ กิจการจึงจัดว่าย่ำแย่

        หากมิใช่ว่าร้านนี้มีความหมายพิเศษต่อเฮ่อเหล่าไท่จวินก็คงถูกปิดทำการไปหลายสิบปีแล้ว เพราะกิจการจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร หากมีแต่ขาดทุนเช่นนี้

        รถม้าของฉู่เหลียนวิ่งอยู่บริเวณหน้าตรอกแห่งหนึ่งบนถนนอันเล่อ ยามนี้ใกล้เที่ยงแล้ว จึงเริ่มมีควันลอยออกมาจากปล่องไฟตามบ้านเรือน ทั้งยังมีเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน มีผู้คนหาบของเดินไปมาขวักไขว่ ทั่วทั้งใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทว่ากลับยังคงยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา

        ฉู่เหลียนยกม่านขึ้นเล็กน้อย และมองดูว่าการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาในราชวงศ์อู่นี้เป็นอย่างไร ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาล้วนแต่มีชีวิตชีวา ร่าเริงเสียจนฉู่เหลียนไม่อาจละสายตา 

        เวิ่นฉิงที่เห็นฉู่เหลียนเลิกม่านมองดูทิวทัศน์ภายนอกเช่นนั้น นางกลับตีความไปว่าฉู่เหลียนคงหมดความอดทนกับการเดินทางแสนยาวไกลนี้แล้ว จึงเอ่ยขึ้น “นายหญิงสามเจ้าคะ อีกเพียงสองตรอกก็ถึงภัตตาคารกุ้ยหลินแล้วเจ้าค่ะ”

        เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานเคยอาศัยอยู่ในจวนร่วมกับจงหมัวมัว ทว่าบ้านเดิมของพวกนางอยู่ติดกับถนนอันเล่อ จึงคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้ที่สุด ทั้งยังเคยผ่านภัตตาคารกุ้ยหลินแห่งนั้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าร้านมาก่อน

        ฉู่เหลียนปล่อยม่านลง หันมาจิบน้ำผสมน้ำผึ้งในถ้วยชาเบื้องหน้า นางเอียงคอไปทางหนึ่ง เอ่ยปาก “อีกประเดี๋ยวเมื่อถึงร้านกุ้ยหลินแล้ว พวกเจ้าห้ามเปิดเผยตัวตนข้า เข้าใจหรือไม่? ”

        แม้เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานจะสงสัยเหตุผลของนายหญิงสาม แต่พวกนางก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยถามต่อ ทำเพียงพยักหน้าตอบรับพร้อมกัน

        ดังคาด ไม่นานนักรถม้าก็ถึงหน้าภัตตาคารกุ้ยหลิน

        ภัตตาคารกุ้ยหลินตั้งอยู่หัวมุมถนน เมื่อครั้งที่พื้นที่นี้ยังเป็นตลาดใต้อยู่ นับว่าเป็นทำเลทอง ทว่าเมื่อกลายเป็นเขตพักอาศัยแล้ว ร้านค้าโดยรอบก็ทยอยปิดตัวลง จนท้ายที่สุดเหลือเพียงภัตตาคารกุ้ยหลินเพียงแห่งเดียวที่ยังคงเปิดทำการ

        ถนนอันเล่อแห่งนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว คนส่วนมากที่เดินผ่านเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไปซึ่งทำอาหารทานเองที่บ้าน

        ฉู่เหลียนลงจากรถม้าโดยมีเวิ่นฉิงช่วยประคอง

        นางเงยหน้าขึ้นมองภัตตาคารกุ้ยหลิน

        อาจด้วยลักษณะของอาคารตลาดใต้ในอดีต ภัตตาคารกุ้ยหลินจึงมีทางเข้าที่ไม่ใหญ่นัก และมีเพียงชั้นเดียว

        ป้ายไม้จันทน์เหนือประตูถูกเขียนด้วยหมึกดำ ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’  ลายมือนั้นดูทั้งหนักแน่นและมีเสน่ห์ ทว่าป้ายร้านนั้นทั้งเก่าทั้งปลวกขึ้น ซ้ำยังเริ่มหลุดร่อน ทำให้ภัตตาคารดูเสื่อมโทรมยิ่งนัก

        แน่นอนแล้วว่าร้านอาหารแห่งนี้ไม่ค่อยได้รับการดูแลรักษา

        สายตาฉู่เหลียนค่อย ๆ มองจากป้ายร้านเข้าไปในตัวร้าน

        ยามนี้ใกล้เที่ยงแล้ว ทว่าทางเข้าร้านกลับไร้ผู้คน ไร้ชีวิต มีเพียงนกกระจอกตัวน้อยไม่กี่ตัว ที่เบื้องหลังโต๊ะกั้นนั้นมีเด็กหนุ่มสวมชุดผ้าเนื้อหยาบอายุราว ๆ ไม่เกินสิบห้าสิบหกปีกำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ เขากรนเสียงดัง ซ้ำยังทำน้ำลายหกไปทั่วโต๊ะกั้น

        เห็นภัตตาคารอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ฉู่เหลียนย่นคิ้วเข้าหากัน ส่วนเวิ่นฉิงนั้นโกรธเสียจนไม่อาจปิดซ่อนสีหน้าเลวร้ายไว้ได้

        ฉู่เหลียนก้าวเข้าร้านและย่างกรายเข้าใกล้เด็กหนุ่มที่หลับอยู่ผู้นั้น เขายังคงไม่ตื่น และดูท่าว่าจะหลับสนิทเสียด้วย 

        เวิ่นฉิงก้าวเข้าไปผลักเขา เด็กหนุ่มเซไปตามแรงผลักเสียจนท้ายที่สุดก็ตื่นจากฝันอย่างกะทันหัน

        “มันผู้ใด! ใครผลักข้า! ”

        เด็กหนุ่มถูกปลุกจากการงีบหลับอันแสนสบาย เขาเงยหน้าขึ้นส่งสายตากราดเกรี้ยวใส่คนรอบกาย

        เมื่อเห็นฮูหยินน้อยผู้หนึ่งกับสาวใช้สองนาง สีหน้าเขาดูอับอายไปชั่วครู่ ทว่าเมื่อมองดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่าพวกนางมิได้แต่งกายดีนัก ความหาญกล้ากลับคืนมาอีกครั้ง

        เด็กหนุ่มลุกขึ้นมองเวิ่นฉิงด้วยหางตา ทำทีปัดฝุ่นที่มองไม่เห็นออกจากเสื้อ

        “เจ้าทำอะไร! ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังนอนอยู่! ”

        เวิ่นฉิงนิ่วหน้า เท้าสะเอวโต้กลับ “ข้าทำอะไรงั้นหรือ?! ที่นี่มิใช่ร้านอาหารหรอกหรือ?! พวกเรามาเพื่อทานอาหาร มิเช่นนั้นจะให้เรามาทำอะไรได้อีก? ”

        เด็กหนุ่มทำหน้าบึ้ง แยกเขี้ยว ใช้หางตามองฉู่เหลียนและสาวใช้กล่าวตอบ “ขอโทษด้วย วันนี้ร้านเราไม่เปิดทำการ ผู้ดูแลร้านไม่อยู่ ไปหาทานที่อื่นเถอะ! ”

        หา? ไม่เปิดหรือ?

        เวิ่นฉิงทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นอาหารที่มาจากในครัวหลังร้าน ทั้งยังเหลียวมองดูประตูร้านที่เปิดกว้าง ร้านอาหารจะปิดได้อย่างไร?

        ฉู่เหลียนที่ยืนอยู่อีกทางหนึ่งยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาสดใสจ้องมองเสี่ยวเอ้อร์ ก่อนจะสังเกตเห็นโถงใหญ่เบื้องหลังเขา

        เวิ่นฉิงลอบมองสีหน้าฉู่เหลียน เห็นนายหญิงมิได้มีคำสั่งใด จึงเอ่ยถามต่อไป

        “ที่นี่ทำกิจการอย่างไรกัน? ประตูร้านก็เปิดกว้างอยู่แต่เจ้ากลับไล่ลูกค้าให้ไปหาทานที่อื่นเยี่ยงนั้นหรือ? หากไม่อยากทำการค้าแล้วจะเปิดประตูร้านไว้ทำไม? ปิดทั้งประตู ปิดทั้งร้านไปเลย! ”

        เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินคำเวิ่นฉิงก็ยิ่งโมโห เขาเป็นญาติของผู้ดูแลร้านแห่งนี้ ด้วยสายสัมพันธ์นั้น จึงทำให้เขาต้องมาทำงานในร้านกุ้ยหลิน และเขาก็ไม่เคยต้องทนรับอารมณ์เด็กสาวมาก่อนดังเช่นในยามนี้ อารมณ์กรุ่นร้อนจึงก่อตัวขึ้นรวดเร็ว

        “เจ้าเป็นใครกล้ามาวิจารณ์วิธีทำกิจการของพวกเรา ไป ไปหาดูเสียว่าใครเป็นเจ้าของกิจการแห่งนี้ จะได้รู้เสียบ้างว่าใช่เรื่องที่เจ้าควรแส่หรือไม่! ไสหัวไป! ”

        เสี่ยวเอ้อร์ไม่เพียงปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างไม่เคารพ ซ้ำร้ายยังวางโตใส่ ฉู่เหลียนเดินสำรวจเข้าไปยังโถงหลักโดยไม่เสียเวลาพูดคุยด้วย มุมปากข้างหนึ่งของนางยกขึ้น

        เสียงในห้องโถงใหญ่ดึงดูดความสนใจของใครบางคนที่อยู่ด้านในร้าน

        ไม่นานนัก เสียงของสตรีวัยกลางคนก็ดังลอดมาจากหลังร้าน “ใกล้ถึงเวลาทานข้าวแล้ว อาไค่ เจ้าคุยกับใครอยู่? ”

        ฉู่เหลียนได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งผลักผ้าม่านเดินมาจากด้านหลัง เป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดลายดอกไม้สีคราม

        สตรีวัยกลางคนผู้นี้มีใบหน้ายาวออกท้วม ดวงตานางเล็กเสียจนยามนางยิ้มตากลายเป็นเส้นขีดเดียว

        เมื่อนางมาถึงโถงหลักจึงได้เห็นฉู่เหลียนและสาวใช้ยืนอยู่ สตรีวัยกลางคนทำหน้าแปลกใจ นางก้าวมาข้างหน้า ยกยิ้มเป็นมิตร “ไม่ทราบว่าแม่นางมีธุระอะไรกับพวกเราหรือเจ้าคะ? ”

        เวิ่นฉิงโกรธจนอยากหัวเราะ ร้านอาหารแห่งนี้นี่ ทำไมทุกคนล้วนแต่ถามลูกค้าว่ามาที่นี่เพื่ออะไร สตรีผู้นี้ต้องการเล่นตลกอะไรอีกหรือไม่?

        ฉู่เหลียนคร้านจะเอ่ยปาก นางมองเวิ่นฉิงที่มีความสามารถพิเศษในการเข้าใจคำสั่งผ่านทางสายตาของนางได้ เวิ่นฉิงเมื่อรับคำสั่งมา นางก็หันไป เดินไปสองก้าวและหยุดอยู่ตรงทางเข้า ก่อนจะชี้นิ้วไปยังป้ายเหนือศีรษะ

        “มิใช่ว่าตัวอักษรเหล่านี้คือคำว่า ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’ หรอกหรือ? พวกเจ้ามีคำว่า ‘ภัตตาคาร’ ตัวโต ๆ อยู่บนป้ายเหนือประตูนี่ นายหญิงของพวกข้าจึงได้แวะมาที่นี่เพื่อทานอาหาร หรือจะบอกว่าพวกข้าทำเช่นนั้นในร้านอาหารแห่งนี้มิได้? ”

        สตรีวัยกลางรู้สึกอับอายยิ่งนัก นางนึกอยากปฏิเสธแขกเหล่านี้ เนื่องด้วยวันนี้มิได้ซื้อของจากตลาดใต้มามากมายเท่าใด จัดเตรียมของแค่เพียงพอให้คนในร้านทานเท่านั้น ทว่าบ่าวรับใช้ชายที่ดูหนักแน่นเหล่านั้นกลับดึงดูดความสนใจของนาง พวกเขาก้มหัวเคารพฉู่เหลียนด้วยความนอบน้อมขณะเอ่ยรายงานบางสิ่ง คำพูดของนางจึงติดอยู่ในลำคอ

        นางยกยิ้มอีกครั้ง เอ่ยอย่างสุภาพ “ข้าต้องขออภัยด้วย ร้านเรามิค่อยได้ต้อนรับลูกค้ามากนัก อาไค่เพิ่งเริ่มทำงานไม่นาน จึงไม่คุ้นเคยกฎเกณฑ์ใด ให้อภัยเขาเถิดนะเจ้าคะ เรียนเชิญฮูหยินข้างในเจ้าค่ะ”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 74 ปลอมตัวเยี่ยมเยือนภัตตาคารกุ้ยหลิน (1)

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 74 ปลอมตัวเยี่ยมเยือนภัตตาคารกุ้ยหลิน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ฉู่เหลียนตั้งใจมาเยี่ยมเยือนร้านแบบไม่เผยตัวในวันนี้ นางจึงแต่งตัวด้วยชุดที่ดูเรียบง่าย ไม่สะดุดตา กระทั่งรถม้าที่ใช้ก็ยังไม่มีตราสัญลักษณ์ของจวนจิ่งอันแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อรวมกลุ่มคนทั้งหมดที่ติดตามมาด้วยกันแล้ว คนส่วนมากยังนึกว่านางเป็นเพียงภรรยาของเจ้าหน้าที่ระดับล่างเท่านั้น

        ภัตตาคารกุ้ยหลินตั้งอยู่ลึกเข้าไปในตลาดเก่าตะวันตก ตั้งแต่ที่สำนักการคมนาคมทำการแบ่งเขต พื้นที่ทั้งบริเวณตลาดตะวันตกนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนอันเล่อ

        ถนนอันเล่อเป็นเขตที่อยู่อาศัยของประชาชน ร้านค้าส่วนใหญ่แถบนี้ถูกซื้อและเปลี่ยนเป็นบ้านเล็ก ๆ ของคนทั่วไป จึงไม่ต้องเอ่ยถึงร้านอาหารสักร้าน ยามนี้ภัตตาคารกุ้ยหลินเป็นเพียงกิจการเดียวที่ยังเหลืออยู่

        แม้ชาวบ้านในเขตถนนอันเล่อมิใช่คนยากจน ทว่าจำนวนครอบครัวที่สามารถจ่ายเงินทานอาหารในร้านได้ก็มีไม่มาก ในยุคสมัยเช่นนี้ การทานอาหารที่ร้านอาหารเทียบเท่ากับการทำอาหารทานเองที่บ้านได้หลายมื้อ

        ตั้งแต่เริ่มกิจการร้านอาหารนี้ ภัตตาคารกุ้ยหลินก็ไม่ได้มีลูกค้ามากนัก อาหารที่มีก็มิได้พิเศษอะไร ซึ่งแทบจะสู้อาหารข้างทางมิได้ กิจการจึงจัดว่าย่ำแย่

        หากมิใช่ว่าร้านนี้มีความหมายพิเศษต่อเฮ่อเหล่าไท่จวินก็คงถูกปิดทำการไปหลายสิบปีแล้ว เพราะกิจการจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร หากมีแต่ขาดทุนเช่นนี้

        รถม้าของฉู่เหลียนวิ่งอยู่บริเวณหน้าตรอกแห่งหนึ่งบนถนนอันเล่อ ยามนี้ใกล้เที่ยงแล้ว จึงเริ่มมีควันลอยออกมาจากปล่องไฟตามบ้านเรือน ทั้งยังมีเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน มีผู้คนหาบของเดินไปมาขวักไขว่ ทั่วทั้งใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทว่ากลับยังคงยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา

        ฉู่เหลียนยกม่านขึ้นเล็กน้อย และมองดูว่าการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาในราชวงศ์อู่นี้เป็นอย่างไร ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาล้วนแต่มีชีวิตชีวา ร่าเริงเสียจนฉู่เหลียนไม่อาจละสายตา 

        เวิ่นฉิงที่เห็นฉู่เหลียนเลิกม่านมองดูทิวทัศน์ภายนอกเช่นนั้น นางกลับตีความไปว่าฉู่เหลียนคงหมดความอดทนกับการเดินทางแสนยาวไกลนี้แล้ว จึงเอ่ยขึ้น “นายหญิงสามเจ้าคะ อีกเพียงสองตรอกก็ถึงภัตตาคารกุ้ยหลินแล้วเจ้าค่ะ”

        เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานเคยอาศัยอยู่ในจวนร่วมกับจงหมัวมัว ทว่าบ้านเดิมของพวกนางอยู่ติดกับถนนอันเล่อ จึงคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้ที่สุด ทั้งยังเคยผ่านภัตตาคารกุ้ยหลินแห่งนั้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าร้านมาก่อน

        ฉู่เหลียนปล่อยม่านลง หันมาจิบน้ำผสมน้ำผึ้งในถ้วยชาเบื้องหน้า นางเอียงคอไปทางหนึ่ง เอ่ยปาก “อีกประเดี๋ยวเมื่อถึงร้านกุ้ยหลินแล้ว พวกเจ้าห้ามเปิดเผยตัวตนข้า เข้าใจหรือไม่? ”

        แม้เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานจะสงสัยเหตุผลของนายหญิงสาม แต่พวกนางก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยถามต่อ ทำเพียงพยักหน้าตอบรับพร้อมกัน

        ดังคาด ไม่นานนักรถม้าก็ถึงหน้าภัตตาคารกุ้ยหลิน

        ภัตตาคารกุ้ยหลินตั้งอยู่หัวมุมถนน เมื่อครั้งที่พื้นที่นี้ยังเป็นตลาดใต้อยู่ นับว่าเป็นทำเลทอง ทว่าเมื่อกลายเป็นเขตพักอาศัยแล้ว ร้านค้าโดยรอบก็ทยอยปิดตัวลง จนท้ายที่สุดเหลือเพียงภัตตาคารกุ้ยหลินเพียงแห่งเดียวที่ยังคงเปิดทำการ

        ถนนอันเล่อแห่งนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว คนส่วนมากที่เดินผ่านเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไปซึ่งทำอาหารทานเองที่บ้าน

        ฉู่เหลียนลงจากรถม้าโดยมีเวิ่นฉิงช่วยประคอง

        นางเงยหน้าขึ้นมองภัตตาคารกุ้ยหลิน

        อาจด้วยลักษณะของอาคารตลาดใต้ในอดีต ภัตตาคารกุ้ยหลินจึงมีทางเข้าที่ไม่ใหญ่นัก และมีเพียงชั้นเดียว

        ป้ายไม้จันทน์เหนือประตูถูกเขียนด้วยหมึกดำ ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’  ลายมือนั้นดูทั้งหนักแน่นและมีเสน่ห์ ทว่าป้ายร้านนั้นทั้งเก่าทั้งปลวกขึ้น ซ้ำยังเริ่มหลุดร่อน ทำให้ภัตตาคารดูเสื่อมโทรมยิ่งนัก

        แน่นอนแล้วว่าร้านอาหารแห่งนี้ไม่ค่อยได้รับการดูแลรักษา

        สายตาฉู่เหลียนค่อย ๆ มองจากป้ายร้านเข้าไปในตัวร้าน

        ยามนี้ใกล้เที่ยงแล้ว ทว่าทางเข้าร้านกลับไร้ผู้คน ไร้ชีวิต มีเพียงนกกระจอกตัวน้อยไม่กี่ตัว ที่เบื้องหลังโต๊ะกั้นนั้นมีเด็กหนุ่มสวมชุดผ้าเนื้อหยาบอายุราว ๆ ไม่เกินสิบห้าสิบหกปีกำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ เขากรนเสียงดัง ซ้ำยังทำน้ำลายหกไปทั่วโต๊ะกั้น

        เห็นภัตตาคารอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ฉู่เหลียนย่นคิ้วเข้าหากัน ส่วนเวิ่นฉิงนั้นโกรธเสียจนไม่อาจปิดซ่อนสีหน้าเลวร้ายไว้ได้

        ฉู่เหลียนก้าวเข้าร้านและย่างกรายเข้าใกล้เด็กหนุ่มที่หลับอยู่ผู้นั้น เขายังคงไม่ตื่น และดูท่าว่าจะหลับสนิทเสียด้วย 

        เวิ่นฉิงก้าวเข้าไปผลักเขา เด็กหนุ่มเซไปตามแรงผลักเสียจนท้ายที่สุดก็ตื่นจากฝันอย่างกะทันหัน

        “มันผู้ใด! ใครผลักข้า! ”

        เด็กหนุ่มถูกปลุกจากการงีบหลับอันแสนสบาย เขาเงยหน้าขึ้นส่งสายตากราดเกรี้ยวใส่คนรอบกาย

        เมื่อเห็นฮูหยินน้อยผู้หนึ่งกับสาวใช้สองนาง สีหน้าเขาดูอับอายไปชั่วครู่ ทว่าเมื่อมองดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่าพวกนางมิได้แต่งกายดีนัก ความหาญกล้ากลับคืนมาอีกครั้ง

        เด็กหนุ่มลุกขึ้นมองเวิ่นฉิงด้วยหางตา ทำทีปัดฝุ่นที่มองไม่เห็นออกจากเสื้อ

        “เจ้าทำอะไร! ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังนอนอยู่! ”

        เวิ่นฉิงนิ่วหน้า เท้าสะเอวโต้กลับ “ข้าทำอะไรงั้นหรือ?! ที่นี่มิใช่ร้านอาหารหรอกหรือ?! พวกเรามาเพื่อทานอาหาร มิเช่นนั้นจะให้เรามาทำอะไรได้อีก? ”

        เด็กหนุ่มทำหน้าบึ้ง แยกเขี้ยว ใช้หางตามองฉู่เหลียนและสาวใช้กล่าวตอบ “ขอโทษด้วย วันนี้ร้านเราไม่เปิดทำการ ผู้ดูแลร้านไม่อยู่ ไปหาทานที่อื่นเถอะ! ”

        หา? ไม่เปิดหรือ?

        เวิ่นฉิงทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นอาหารที่มาจากในครัวหลังร้าน ทั้งยังเหลียวมองดูประตูร้านที่เปิดกว้าง ร้านอาหารจะปิดได้อย่างไร?

        ฉู่เหลียนที่ยืนอยู่อีกทางหนึ่งยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาสดใสจ้องมองเสี่ยวเอ้อร์ ก่อนจะสังเกตเห็นโถงใหญ่เบื้องหลังเขา

        เวิ่นฉิงลอบมองสีหน้าฉู่เหลียน เห็นนายหญิงมิได้มีคำสั่งใด จึงเอ่ยถามต่อไป

        “ที่นี่ทำกิจการอย่างไรกัน? ประตูร้านก็เปิดกว้างอยู่แต่เจ้ากลับไล่ลูกค้าให้ไปหาทานที่อื่นเยี่ยงนั้นหรือ? หากไม่อยากทำการค้าแล้วจะเปิดประตูร้านไว้ทำไม? ปิดทั้งประตู ปิดทั้งร้านไปเลย! ”

        เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินคำเวิ่นฉิงก็ยิ่งโมโห เขาเป็นญาติของผู้ดูแลร้านแห่งนี้ ด้วยสายสัมพันธ์นั้น จึงทำให้เขาต้องมาทำงานในร้านกุ้ยหลิน และเขาก็ไม่เคยต้องทนรับอารมณ์เด็กสาวมาก่อนดังเช่นในยามนี้ อารมณ์กรุ่นร้อนจึงก่อตัวขึ้นรวดเร็ว

        “เจ้าเป็นใครกล้ามาวิจารณ์วิธีทำกิจการของพวกเรา ไป ไปหาดูเสียว่าใครเป็นเจ้าของกิจการแห่งนี้ จะได้รู้เสียบ้างว่าใช่เรื่องที่เจ้าควรแส่หรือไม่! ไสหัวไป! ”

        เสี่ยวเอ้อร์ไม่เพียงปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างไม่เคารพ ซ้ำร้ายยังวางโตใส่ ฉู่เหลียนเดินสำรวจเข้าไปยังโถงหลักโดยไม่เสียเวลาพูดคุยด้วย มุมปากข้างหนึ่งของนางยกขึ้น

        เสียงในห้องโถงใหญ่ดึงดูดความสนใจของใครบางคนที่อยู่ด้านในร้าน

        ไม่นานนัก เสียงของสตรีวัยกลางคนก็ดังลอดมาจากหลังร้าน “ใกล้ถึงเวลาทานข้าวแล้ว อาไค่ เจ้าคุยกับใครอยู่? ”

        ฉู่เหลียนได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งผลักผ้าม่านเดินมาจากด้านหลัง เป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดลายดอกไม้สีคราม

        สตรีวัยกลางคนผู้นี้มีใบหน้ายาวออกท้วม ดวงตานางเล็กเสียจนยามนางยิ้มตากลายเป็นเส้นขีดเดียว

        เมื่อนางมาถึงโถงหลักจึงได้เห็นฉู่เหลียนและสาวใช้ยืนอยู่ สตรีวัยกลางคนทำหน้าแปลกใจ นางก้าวมาข้างหน้า ยกยิ้มเป็นมิตร “ไม่ทราบว่าแม่นางมีธุระอะไรกับพวกเราหรือเจ้าคะ? ”

        เวิ่นฉิงโกรธจนอยากหัวเราะ ร้านอาหารแห่งนี้นี่ ทำไมทุกคนล้วนแต่ถามลูกค้าว่ามาที่นี่เพื่ออะไร สตรีผู้นี้ต้องการเล่นตลกอะไรอีกหรือไม่?

        ฉู่เหลียนคร้านจะเอ่ยปาก นางมองเวิ่นฉิงที่มีความสามารถพิเศษในการเข้าใจคำสั่งผ่านทางสายตาของนางได้ เวิ่นฉิงเมื่อรับคำสั่งมา นางก็หันไป เดินไปสองก้าวและหยุดอยู่ตรงทางเข้า ก่อนจะชี้นิ้วไปยังป้ายเหนือศีรษะ

        “มิใช่ว่าตัวอักษรเหล่านี้คือคำว่า ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’ หรอกหรือ? พวกเจ้ามีคำว่า ‘ภัตตาคาร’ ตัวโต ๆ อยู่บนป้ายเหนือประตูนี่ นายหญิงของพวกข้าจึงได้แวะมาที่นี่เพื่อทานอาหาร หรือจะบอกว่าพวกข้าทำเช่นนั้นในร้านอาหารแห่งนี้มิได้? ”

        สตรีวัยกลางรู้สึกอับอายยิ่งนัก นางนึกอยากปฏิเสธแขกเหล่านี้ เนื่องด้วยวันนี้มิได้ซื้อของจากตลาดใต้มามากมายเท่าใด จัดเตรียมของแค่เพียงพอให้คนในร้านทานเท่านั้น ทว่าบ่าวรับใช้ชายที่ดูหนักแน่นเหล่านั้นกลับดึงดูดความสนใจของนาง พวกเขาก้มหัวเคารพฉู่เหลียนด้วยความนอบน้อมขณะเอ่ยรายงานบางสิ่ง คำพูดของนางจึงติดอยู่ในลำคอ

        นางยกยิ้มอีกครั้ง เอ่ยอย่างสุภาพ “ข้าต้องขออภัยด้วย ร้านเรามิค่อยได้ต้อนรับลูกค้ามากนัก อาไค่เพิ่งเริ่มทำงานไม่นาน จึงไม่คุ้นเคยกฎเกณฑ์ใด ให้อภัยเขาเถิดนะเจ้าคะ เรียนเชิญฮูหยินข้างในเจ้าค่ะ”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+