[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 8 การส่งของว่าง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 8 การส่งของว่าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        เฮ่อซานหลางฝืนกลืนเนื้อกวางชิ้นสุดท้ายลงไปด้วยความกล้าหาญที่มี และรับรู้ได้ถึงความปั่นป่วนในกระเพาะอาหารที่เกิดขึ้นทันควัน ทันใดนั้นเองเขาจึงรีบเอามือปิดปากของตนอย่างรวดเร็วเพื่อกันมิให้สิ่งที่เพิ่งจะทานเข้าไปย้อนกลับออกมา เนื่องจากความทรมานจากการฝืนทนนี้ ทำให้ใบหน้าขาว ๆ ของเขาผันเปลี่ยนเป็นสีแดงน่าเกลียดน่ากลัวพร้อมสีหน้าบิดเบี้ยว

        เมื่อเห็นถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้า เขาก็รีบยกมันขึ้นดื่มในทันที โดยไม่สนว่าหญิงที่เขาชังนักอย่างฉู่เหลียนเป็นผู้รินน้ำให้

        ฉู่เหลียนมองเขาด้วยความรู้สึกตกตะลึงระคนประหลาดใจ ดวงตาของนางเบิกกว้าง

        ทางด้านเฮ่อฉางตี้ เมื่อกลืนทุกสิ่งลงไปจนหมด เขาก็หันมาจ้องฉู่เหลียนด้วยสีหน้าที่ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ราวกับบุรุษผู้พยายามประกาศชัยชนะหลังจากสูญเสียไปมากมาย แต่ท้ายที่สุด เขาก็ออกจากห้องรับแขกไปอย่างเร่งร้อน

        เมื่อเฮ่อซานหลางจากไป ฉู่เหลียนก็ชายตามองตามพร้อมทั้งทำเสียงสงสาร หมอนั่นวิ่งเร็วมากทีเดียว เขาคงต้องรีบไปหาที่ระบายออกสินะ

        ดังคาด เมื่อเฮ่อซานหลางวิ่งออกจากห้องรับแขกไป ความหล่อเหลาที่เคยมีก็หดหายไปหมด เขายืนอยู่ข้างต้นการบูร และสำรอกเอาทุกสิ่งในท้องออกจนหมด เขารู้สึกราวกับว่าในกระเพาะอาหารนั้นคงปราศจากทุกสิ่ง รวมไปถึงอาหารที่ทานไปในงานแต่งเมื่อวานด้วย

        หลังจากอาเจียนเอาเนื้อกวางออกมาหมดแล้ว เฮ่อฉางตี้ก็เงยหน้าซีดขาวพลางเช็ดคราบอาเจียนตรงมุมปากออก เขามองไปยังทิศทางที่จากมาด้วยดวงตาลุ่มลึกและสงบนิ่ง เมื่อนึกถึงสีหน้าอันเศร้าโศกของฉู่เหลียนแล้ว มันช่างเป็นความเจ็บปวดที่คุ้มค่ายิ่ง

        เมื่อตอนที่เขากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง มันเป็นวันที่จวนถึงงานแต่งพอดี จึงทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องการแต่งงานในครั้งนี้ได้ ทว่าตราบใดที่เขายังอยู่ นังแม่มดคนนั้นก็ควรตรึกตรองให้ดีว่าจะมีชีวิตผ่านไปในแต่ละวันอย่างสงบสุขได้อย่างไร!

        ในขณะเดียวกัน เจ้าตัวเป้าหมายคำสาปของเฮ่อฉางตี้นั้นกำลังนั่งจ้องอาหารที่ยังอยู่เต็มโต๊ะด้วยสายตาว่างเปล่าและเหนื่อยหน่าย

        กุ้ยหมัวมัวใช้ตะเกียบสำหรับคีบส่งอาหาร คีบเนื้อปลาให้นายหญิงสาม ดวงตาของนางแดงก่ำ “นายหญิงสามเจ้าคะ คุณชายสามไม่อยู่แล้ว ท่านทานไปเพียงนิด โปรดทานอีกสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!”

        ฉู่เหลียนส่ายหน้า “ไม่ทานแล้ว ข้าอิ่มแล้วล่ะ เก็บโต๊ะเถอะ!”

        หมิงเยี่ยนรีบเข้ามาเกลี้ยกล่อมนางอีกทาง “นายหญิงสาม ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ คุณชายสามออกไปแล้ว คงไม่กลับมาในเร็ว ๆ นี้แน่ แม้ปลานี้จะไม่อร่อยเท่าเนื้อกวาง ทว่าก็ยังเป็นสิ่งที่มิได้ทานบ่อย ๆ นะเจ้าคะ ท่านลองทานสักนิดเถอะเจ้าค่ะ”

        ฉู่เหลียนหันมองกุ้ยหมัวมัวและเหล่าสาวใช้ที่นิ่งงันไปชั่วขณะ นางจึงกระจ่างแก่ใจตนเองว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะยิ้มแล้วถอนใจ รู้สึกไร้หนทางเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของพวกนาง “พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทานเพราะกลัวสามีของตนเองหรือ? ”

        กุ้ยหมัวมัวมองนางอย่างกังวล แววตานั้นช่วยยืนยันข้อสงสัยให้ฉู่เหลียนเป็นอย่างดี

        หญิงสาวกุมขมับ ก่อนจะอธิบาย “คิดมากไปแล้ว! ข้าไม่ทานเยอะ เพราะอาหารพวกนี้ไม่ถูกปากข้าเท่านั้น!”

        แม้กุ้ยหมัวมัวจะหวังอยากให้ฉู่เหลียนทานมากกว่านี้อีกนิด ทว่าในฐานะบ่าว นางย่อมไม่สามารถบังคับสิ่งใดได้ เมื่อฉู่เหลียนยืนกรานเช่นนั้น นางจึงทำได้เพียงสั่งให้สาวใช้เก็บโต๊ะอาหารเสีย

        ตกบ่ายแก่ ๆ เฮ่อเหล่าไท่จวินก็ได้ส่งเหลียวหมัวมัว หนึ่งในสาวใช้ที่นางไว้วางใจมาพบฉู่เหลียนพร้อมกับน้ำแกงบำรุงร่างกาย และเนื่องจากเหลียวหมัวมัวยืนมองอยู่ด้านข้าง ฉู่เหลียนจึงไม่อาจปฏิเสธได้ จำต้องฝืนตัวเองดื่มมันลงไป น้ำแกงนั้นรสชาติประหลาดเหลือทน… ใส่อะไรลงไปบ้างเนี่ย? เมื่อเหลียวหมัวมัวจากไป ฉู่เหลียนก็รีบดื่มน้ำตามลงไปถึงสามแก้ว และทานส้มกิมจ้อเชื่อมอีกสองชิ้นเพื่อล้างรสชาติพิลึกที่ติดปาก

        หลังจบสิ้นการทรมาน ฉู่เหลียนก็หมดความสนใจในทุกสิ่งกระทั่งการนอนกลางวัน

        นางนึกถึงส้มกิมจ้อเชื่อมที่สั่งให้ฉีเยี่ยนทำก่อนหน้านี้ จึงให้กุ้ยหมัวมัวนำมันออกมาจัดใส่จานสวย ๆ แล้วนำไปส่งให้เฮ่อเหล่าไท่จวินและฮูหยินจิ่งอันป๋อ แม่สามีของนางด้วยตัวเอง

        เฮ่อเหล่าไท่จวินนั้นชอบนอนกลางวัน และยังคงนอนอยู่เมื่อฉู่เหลียนไปถึงที่เรือนชิ่งสี่ ดังนั้นนางจึงส่งส้มกิมจ้อเชื่อมให้เหลียวหมัวมัวนำไปจัดการต่อแทน

        เมื่อนางไปถึงเรือนของฮูหยินจิ่งอันป๋อ ฉู่เหลียนก็ใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้นก่อนจะจากมา เนื่องจากไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของแม่สามีนัก

        เมื่อมาถึงเรือนของตน นางก็ถามหาเฮ่อฉางตี้ จึงได้รู้ว่าเขายังอยู่ในห้องหนังสือที่เรือนนอก นางจึงตัดสินใจไม่รบกวนเขาและไปงีบกลางวันแทนโดยมีฉีเยี่ยนอยู่ด้านข้าง

        ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศอุ่นขึ้นและดอกไม้ก็เริ่มผลิบาน อุณหภูมิภายนอกนั้นสบายยิ่งนัก ทิศของห้องหอนี้หันหน้ารับแดดยามเช้าพอดี ทำให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างได้สะดวก ส่งผลให้นางรู้สึกอบอุ่น ฉีเยี่ยนปลดผ้าม่านสีแดงจากข้างเตียงลงและปล่อยให้ฉู่เหลียนอยู่คนเดียวบนเตียงหลังหรูหรานี้

        ฉู่เหลียนนอนเกลือกกลิ้งบนเตียงที่ทั้งนุ่มและหอมอย่างสบายอารมณ์ ใช้มือน้อยหนุนหัวและจ้องมองลวดลายอันงดงามที่วาดอยู่บนหลังคาของกระโจมเตียง

        แม้สามีของนางจะแตกต่างจาก ‘เฮ่อฉางตี้’ ในนิยายโดยสิ้นเชิง ฉู่เหลียนก็มิได้เสียใจหรือหวาดกลัวแม้แต่น้อย โดยธรรมชาติของนางเป็นคนมองโลกในแง่ดี ชอบพึ่งพาตนเอง และไม่เคยมองโลกในแง่ร้ายมาก่อนเลยในชีวิต

        ย้อนกลับไปในยุคปัจจุบัน นางเป็นเด็กกำพร้าที่ริเริ่มสร้างกิจการขึ้นด้วยตนเอง แต่นางเป็นคนไม่มีเพื่อนมากนัก และแน่นอนว่ายังไม่เคยเจออีกครึ่งหนึ่งของชีวิตด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อนางมาถึงในยุคราชวงศ์อู่โดยบังเอิญ ไม่ว่าจะอยู่ในโลกนี้หรือโลกนั้นก็ไม่ต่างกันสำหรับนาง!

        นอกจากนั้น ในโลกนี้นางยังเด็กลงตั้งสิบปี ทั้งยังได้สามีสุดหล่อมาฟรี ๆ ด้วย! แม้สามีนางจะแปลกคนไปเสียหน่อย ทว่าฉู่เหลียนก็ไม่ได้สูญเสียความมั่นใจแต่อย่างใด

        หากจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับสามีได้อย่างสงบสุข นางก็จะทำ หากไม่สามารถเข้ากันได้จริง ๆ นางก็จะใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ในฐานะสมาชิกจวนเฮ่อคนหนึ่ง แค่นี้นางสบายอยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่ไปทำอะไรโง่ ๆ ดังที่นางเอกนิยายคนนั้นทำ

        ส่วนเฮ่อฉางตี้นั้น หากเขาไม่ชอบนางจริง ๆ นางก็ทำอะไรไม่ได้

        นางทะลุมิติมาที่นี่ในวันแต่งงานพอดี ดังนั้นทุกสิ่งก็เกินจะเปลี่ยนแปลง ในยุคโบราณเช่นนี้ การยกเลิกงานแต่งโดยเฉพาะสำหรับสองตระกูลที่เป็นมิตรต่อกันนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำกันได้ง่าย ๆ เหมือนกับการเซ็นใบหย่าที่อำเภอ

        นอกจากนั้น การอยู่ที่จวนจิ่งอันก็ไม่ได้มีอันตรายใดๆ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนางในยามนี้คือต้องทำให้ชีวิตของตนดีขึ้นให้ได้ ใช่แล้ว เริ่มจากอาหารก่อนเลย!

        นางสวมชุดนอนบางเบา ยกขาขึ้นไขว่ห้างขณะนอนอยู่บนเตียง และคิดถึงแผนการที่จะทำให้มื้ออาหารของที่นี่ดีขึ้น พลางกระดิกเท้าเล็ก ๆ มันช่างสบายยิ่งนัก

        ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด จู่ ๆ นางก็รู้สึกร้อน…

        ในห้องหนังสือ เหลียวหมัวมัวก็ได้ส่งน้ำแกงบำรุงไปให้แก่เฮ่อฉางตี้เช่นกัน หลังจากที่สำรอกอาหารไปเมื่อตอนกลางวัน เฮ่อฉางตี้ก็ยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ซ้ำยังถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงสมุนไพรแปลก ๆ จึงทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

        เขาไม่มีอารมณ์จะอ่านจดหมายตรงหน้าอีก จึงลุกขึ้นและเดินออกจากห้องหนังสือไป

        ไหลเยว่ บ่าวรับใช้ส่วนตัวของเขายืนหลับยามอยู่หน้าประตู เฮ่อฉางตี้จึงเตะเข้าทีหนึ่งเพื่อระบายความหงุดหงิดใจ ไหลเยว่สะดุ้งตื่นขึ้น ก่อนปาดน้ำลายที่มุมปากและถามอย่างเร่งร้อน “คุณชาย ยามนี้ท่านจะไปไหนขอรับ”

        เฮ่อฉางตี้เหลือบมองไหลเยว่ คิดจะตอบว่ากลับเรือน แต่เมื่อคิดได้ว่าที่เรือนมีนางแพศยา ‘ฉู่เหลียน’ ผู้นั้นอยู่ เขาจึงเปลี่ยนใจมุ่งหน้าไปยังเรือนของมารดาแทน

        “ข้าจะไปพบท่านแม่”

        ไหลเยว่เกาหัวและเดินตามหลังคุณชายสามไป เขาสับสนไม่น้อย เพราะในชีวิตลูกผู้ชายคนหนึ่งมีโอกาสพิเศษอันยิ่งใหญ่อยู่สามประการ หนึ่งคือพบสหายในต่างแดน สองคือการแต่งงาน และสามคือสอบได้จอหงวน คุณชายสามเพิ่งจะแต่งงานกับนายหญิงสามผู้เลอโฉม เหตุใดจึงได้เดินไปไหนต่อไหนด้วยใบหน้ามืดมนเช่นนั้นเล่า ราวกับประชาชนทั้งเมืองติดเงินเขาสามร้อยตำลึงเงิน แล้วไม่มีใครยอมจ่ายหนี้อย่างไรอย่างนั้น

        เมื่อเฮ่อฉางตี้มาถึงเรือนของมารดา ในขณะนั้นฮูหยินจิ่งอันป๋อกำลังเดินไปมาอยู่ในห้องโดยมีสาวใช้ช่วยพยุง

        คงมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นเป็นแน่ เขาได้ยินเสียงหัวเราะใสราวกับกระดิ่งของเมี่ยวเจิน สาวใช้ส่วนตัวของมารดาลอยมาจากห้องพัก

        เมื่อเฮ่อซานหลางเดินเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินฮูหยินจิ่งอันป๋อกำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่กับบ่าวรับใช้ที่รายล้อม

        “ฮูหยิน ส้มกิมจ้อเชื่อมที่นายหญิงสามส่งมาอร่อยเหลือเกินเจ้าค่ะ!” เป็นเสียงเมี่ยวเจิน

        “จริงเจ้าค่ะ บ่าวชราผู้นี้ก็คิดเช่นกัน หากจะวิจารณ์ ก็ต้องบอกว่าส้มกิมจ้อเชื่อมพวกนี้ดูงดงามสดใสยิ่ง ทั้งยังเลิศรสอีกด้วย ไม่แพ้ขนมอบที่แม่ครัวโจทำเลย!”

        “โอ ไม่นึกว่าเจ้าจะประเมินของว่างนี้สูงค่าถึงเพียงนั้น ให้ข้าลองบ้างสักชิ้นเถอะ” ฮูหยินจิ่งอันป๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

        จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของสาวใช้

        สีหน้าของเฮ่อฉางตี้เปลี่ยนไปกะทันหัน เขารีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องมารดา เมื่อเห็นจานใส่ส้มกิมจ้อเชื่อมที่เมี่ยวเจินกำลังจะส่งให้มารดา เขาก็โถมเข้าปัดมันทิ้งทันที

        จานใบเล็กแตกกระจาย เกิดเป็นเสียงแหลมบาดหูเมื่อตกกระทบพื้น ส้มกิมจ้อเชื่อมสีใสตกกระเด็นไปทั่วห้อง

        ทุกคนในห้องล้วนตกตะลึงกับการกระทำอันฉุกละหุกของเฮ่อฉางตี้ ทำเอาบรรยากาศในห้องเงียบลงทันใด

        เป็นฮูหยินจิ่งอันป๋อที่รวบรวมสติและมีปฏิกิริยาเป็นคนแรก นางมองลูกชายคนเล็กของตน หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยและกล่าว “ซานหลาง เจ้าทำอะไร ภรรยาเจ้าเป็นผู้ส่งของว่างเหล่านี้มาให้แม่เมื่อบ่ายนี้เป็นของขวัญ”

        เฮ่อฉางตี้ระลึกได้ในที่สุดว่าการกระทำของตนออกจะรุนแรงเกินไป ทว่าเมื่อคิดถึงแผนร้ายที่ ‘ฉู่เหลียน’ เคยใช้เมื่อชาติที่แล้ว จึงคิดว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดไปแม้แต่น้อย

        “ท่านแม่ ท่านยังไม่สบายอยู่ก็ควรระมัดระวังเรื่องของกินให้มาก เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพร่างกาย”

        ไม่มีใครรู้จักบุรุษผู้นี้ดีไปกว่ามารดาของเขาเอง ฮูหยินจิ่งอันป๋อคล้ายว่าจะจับบางสิ่งจากดวงตาที่สั่นไหวของเฮ่อฉางตี้ได้ นางจึงให้บ่าวรับใช้ออกไปจากห้อง ก่อนถามบุตรชายตน “แม่ได้ยินจากเหลียวหมัวมัวว่าเจ้าไม่ใคร่จะพอใจภรรยานัก เป็นความจริงหรือไม่? บอกแม่ได้หรือไม่ เหตุใดเจ้าจึงไม่ชอบนาง เมื่อบ่ายนี้ที่นางมาพบแม่ นางก็ดูเป็นเด็กดีนัก”

        เฮ่อฉางตี้ออกจะแปลกใจและคิดเย้ยหยันอยู่ในใจ ใครจะคิดเล่าว่านางแพศยาฉู่เหลียนนั่นจะใช้ลูกไม้นี้ยามที่เขาไม่อยู่ใกล้ นางทำกระทั่งประจบเอาใจมารดาของเขาเชียวหรือ

        “ ท่านแม่อย่าได้คิดมากนัก ไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้าเพียงเป็นห่วงสุขภาพของท่าน”

        เมื่อเฮ่อฉางตี้ไม่ยอมพูดความจริง ฮูหยินจิ่งอันป๋อจึงทำได้เพียงทอดถอนใจ “ซานหลาง แม่เป็นห่วงเจ้าที่สุด หากเจ้าไม่อาจครองคู่อย่างมีความสุขได้ แม่จะสบายใจได้อย่างไร”

        สีหน้าของเฮ่อซานหลางยิ่งมืดครึ้มลงเมื่อเขาจากเรือนฮูหยินจิ่งอันป๋อมา เขาได้ยินแล้วว่าฉู่เหลียนลงมือกระทำสิ่งใดไปบ้างเมื่อยามบ่าย นางลงมือกระทำบางสิ่งเมื่อเขาไม่อยู่ เขาจึงเดินกลับไปยังเรือนของตนอย่างขุ่นเคือง

        ไหลเยว่เกาหัวอยู่เบื้องหลังนายของตน พลางคิดว่าตนคงไม่อาจมีวันเข้าใจความขุ่นเคืองเหล่านี้ของคุณชายสามได้เป็นแน่

        ฉู่เหลียนงีบหลับไปได้ครึ่งชั่วโมง ก่อนจะตื่นขึ้นมาอย่างไม่สบายตัวยิ่ง ทั่วร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและหายใจแทบไม่ออก นางจึงสั่งให้จิ่งเยี่ยนและหมิงเยี่ยนเตรียมน้ำอุ่นให้นางอาบ

 

        ฉู่เหลียนค่อย ๆ หย่อนกายลงในอ่างน้ำอุ่นอันหอมกรุ่น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหมิงเยี่ยนร้องเตือนจากด้านนอก “คุณชายสาม คุณชายสามเจ้าคะ ตอนนี้นายหญิงสามยังไม่สะดวกพบท่าน โปรดรอสักครู่ก่อนจะเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ! ”

 

                                                           ————————

                          อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                               https://www.kawebook.com/story/6816

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 8 การส่งของว่าง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 8 การส่งของว่าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        เฮ่อซานหลางฝืนกลืนเนื้อกวางชิ้นสุดท้ายลงไปด้วยความกล้าหาญที่มี และรับรู้ได้ถึงความปั่นป่วนในกระเพาะอาหารที่เกิดขึ้นทันควัน ทันใดนั้นเองเขาจึงรีบเอามือปิดปากของตนอย่างรวดเร็วเพื่อกันมิให้สิ่งที่เพิ่งจะทานเข้าไปย้อนกลับออกมา เนื่องจากความทรมานจากการฝืนทนนี้ ทำให้ใบหน้าขาว ๆ ของเขาผันเปลี่ยนเป็นสีแดงน่าเกลียดน่ากลัวพร้อมสีหน้าบิดเบี้ยว

        เมื่อเห็นถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้า เขาก็รีบยกมันขึ้นดื่มในทันที โดยไม่สนว่าหญิงที่เขาชังนักอย่างฉู่เหลียนเป็นผู้รินน้ำให้

        ฉู่เหลียนมองเขาด้วยความรู้สึกตกตะลึงระคนประหลาดใจ ดวงตาของนางเบิกกว้าง

        ทางด้านเฮ่อฉางตี้ เมื่อกลืนทุกสิ่งลงไปจนหมด เขาก็หันมาจ้องฉู่เหลียนด้วยสีหน้าที่ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ราวกับบุรุษผู้พยายามประกาศชัยชนะหลังจากสูญเสียไปมากมาย แต่ท้ายที่สุด เขาก็ออกจากห้องรับแขกไปอย่างเร่งร้อน

        เมื่อเฮ่อซานหลางจากไป ฉู่เหลียนก็ชายตามองตามพร้อมทั้งทำเสียงสงสาร หมอนั่นวิ่งเร็วมากทีเดียว เขาคงต้องรีบไปหาที่ระบายออกสินะ

        ดังคาด เมื่อเฮ่อซานหลางวิ่งออกจากห้องรับแขกไป ความหล่อเหลาที่เคยมีก็หดหายไปหมด เขายืนอยู่ข้างต้นการบูร และสำรอกเอาทุกสิ่งในท้องออกจนหมด เขารู้สึกราวกับว่าในกระเพาะอาหารนั้นคงปราศจากทุกสิ่ง รวมไปถึงอาหารที่ทานไปในงานแต่งเมื่อวานด้วย

        หลังจากอาเจียนเอาเนื้อกวางออกมาหมดแล้ว เฮ่อฉางตี้ก็เงยหน้าซีดขาวพลางเช็ดคราบอาเจียนตรงมุมปากออก เขามองไปยังทิศทางที่จากมาด้วยดวงตาลุ่มลึกและสงบนิ่ง เมื่อนึกถึงสีหน้าอันเศร้าโศกของฉู่เหลียนแล้ว มันช่างเป็นความเจ็บปวดที่คุ้มค่ายิ่ง

        เมื่อตอนที่เขากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง มันเป็นวันที่จวนถึงงานแต่งพอดี จึงทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องการแต่งงานในครั้งนี้ได้ ทว่าตราบใดที่เขายังอยู่ นังแม่มดคนนั้นก็ควรตรึกตรองให้ดีว่าจะมีชีวิตผ่านไปในแต่ละวันอย่างสงบสุขได้อย่างไร!

        ในขณะเดียวกัน เจ้าตัวเป้าหมายคำสาปของเฮ่อฉางตี้นั้นกำลังนั่งจ้องอาหารที่ยังอยู่เต็มโต๊ะด้วยสายตาว่างเปล่าและเหนื่อยหน่าย

        กุ้ยหมัวมัวใช้ตะเกียบสำหรับคีบส่งอาหาร คีบเนื้อปลาให้นายหญิงสาม ดวงตาของนางแดงก่ำ “นายหญิงสามเจ้าคะ คุณชายสามไม่อยู่แล้ว ท่านทานไปเพียงนิด โปรดทานอีกสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!”

        ฉู่เหลียนส่ายหน้า “ไม่ทานแล้ว ข้าอิ่มแล้วล่ะ เก็บโต๊ะเถอะ!”

        หมิงเยี่ยนรีบเข้ามาเกลี้ยกล่อมนางอีกทาง “นายหญิงสาม ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ คุณชายสามออกไปแล้ว คงไม่กลับมาในเร็ว ๆ นี้แน่ แม้ปลานี้จะไม่อร่อยเท่าเนื้อกวาง ทว่าก็ยังเป็นสิ่งที่มิได้ทานบ่อย ๆ นะเจ้าคะ ท่านลองทานสักนิดเถอะเจ้าค่ะ”

        ฉู่เหลียนหันมองกุ้ยหมัวมัวและเหล่าสาวใช้ที่นิ่งงันไปชั่วขณะ นางจึงกระจ่างแก่ใจตนเองว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะยิ้มแล้วถอนใจ รู้สึกไร้หนทางเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของพวกนาง “พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทานเพราะกลัวสามีของตนเองหรือ? ”

        กุ้ยหมัวมัวมองนางอย่างกังวล แววตานั้นช่วยยืนยันข้อสงสัยให้ฉู่เหลียนเป็นอย่างดี

        หญิงสาวกุมขมับ ก่อนจะอธิบาย “คิดมากไปแล้ว! ข้าไม่ทานเยอะ เพราะอาหารพวกนี้ไม่ถูกปากข้าเท่านั้น!”

        แม้กุ้ยหมัวมัวจะหวังอยากให้ฉู่เหลียนทานมากกว่านี้อีกนิด ทว่าในฐานะบ่าว นางย่อมไม่สามารถบังคับสิ่งใดได้ เมื่อฉู่เหลียนยืนกรานเช่นนั้น นางจึงทำได้เพียงสั่งให้สาวใช้เก็บโต๊ะอาหารเสีย

        ตกบ่ายแก่ ๆ เฮ่อเหล่าไท่จวินก็ได้ส่งเหลียวหมัวมัว หนึ่งในสาวใช้ที่นางไว้วางใจมาพบฉู่เหลียนพร้อมกับน้ำแกงบำรุงร่างกาย และเนื่องจากเหลียวหมัวมัวยืนมองอยู่ด้านข้าง ฉู่เหลียนจึงไม่อาจปฏิเสธได้ จำต้องฝืนตัวเองดื่มมันลงไป น้ำแกงนั้นรสชาติประหลาดเหลือทน… ใส่อะไรลงไปบ้างเนี่ย? เมื่อเหลียวหมัวมัวจากไป ฉู่เหลียนก็รีบดื่มน้ำตามลงไปถึงสามแก้ว และทานส้มกิมจ้อเชื่อมอีกสองชิ้นเพื่อล้างรสชาติพิลึกที่ติดปาก

        หลังจบสิ้นการทรมาน ฉู่เหลียนก็หมดความสนใจในทุกสิ่งกระทั่งการนอนกลางวัน

        นางนึกถึงส้มกิมจ้อเชื่อมที่สั่งให้ฉีเยี่ยนทำก่อนหน้านี้ จึงให้กุ้ยหมัวมัวนำมันออกมาจัดใส่จานสวย ๆ แล้วนำไปส่งให้เฮ่อเหล่าไท่จวินและฮูหยินจิ่งอันป๋อ แม่สามีของนางด้วยตัวเอง

        เฮ่อเหล่าไท่จวินนั้นชอบนอนกลางวัน และยังคงนอนอยู่เมื่อฉู่เหลียนไปถึงที่เรือนชิ่งสี่ ดังนั้นนางจึงส่งส้มกิมจ้อเชื่อมให้เหลียวหมัวมัวนำไปจัดการต่อแทน

        เมื่อนางไปถึงเรือนของฮูหยินจิ่งอันป๋อ ฉู่เหลียนก็ใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้นก่อนจะจากมา เนื่องจากไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของแม่สามีนัก

        เมื่อมาถึงเรือนของตน นางก็ถามหาเฮ่อฉางตี้ จึงได้รู้ว่าเขายังอยู่ในห้องหนังสือที่เรือนนอก นางจึงตัดสินใจไม่รบกวนเขาและไปงีบกลางวันแทนโดยมีฉีเยี่ยนอยู่ด้านข้าง

        ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศอุ่นขึ้นและดอกไม้ก็เริ่มผลิบาน อุณหภูมิภายนอกนั้นสบายยิ่งนัก ทิศของห้องหอนี้หันหน้ารับแดดยามเช้าพอดี ทำให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างได้สะดวก ส่งผลให้นางรู้สึกอบอุ่น ฉีเยี่ยนปลดผ้าม่านสีแดงจากข้างเตียงลงและปล่อยให้ฉู่เหลียนอยู่คนเดียวบนเตียงหลังหรูหรานี้

        ฉู่เหลียนนอนเกลือกกลิ้งบนเตียงที่ทั้งนุ่มและหอมอย่างสบายอารมณ์ ใช้มือน้อยหนุนหัวและจ้องมองลวดลายอันงดงามที่วาดอยู่บนหลังคาของกระโจมเตียง

        แม้สามีของนางจะแตกต่างจาก ‘เฮ่อฉางตี้’ ในนิยายโดยสิ้นเชิง ฉู่เหลียนก็มิได้เสียใจหรือหวาดกลัวแม้แต่น้อย โดยธรรมชาติของนางเป็นคนมองโลกในแง่ดี ชอบพึ่งพาตนเอง และไม่เคยมองโลกในแง่ร้ายมาก่อนเลยในชีวิต

        ย้อนกลับไปในยุคปัจจุบัน นางเป็นเด็กกำพร้าที่ริเริ่มสร้างกิจการขึ้นด้วยตนเอง แต่นางเป็นคนไม่มีเพื่อนมากนัก และแน่นอนว่ายังไม่เคยเจออีกครึ่งหนึ่งของชีวิตด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อนางมาถึงในยุคราชวงศ์อู่โดยบังเอิญ ไม่ว่าจะอยู่ในโลกนี้หรือโลกนั้นก็ไม่ต่างกันสำหรับนาง!

        นอกจากนั้น ในโลกนี้นางยังเด็กลงตั้งสิบปี ทั้งยังได้สามีสุดหล่อมาฟรี ๆ ด้วย! แม้สามีนางจะแปลกคนไปเสียหน่อย ทว่าฉู่เหลียนก็ไม่ได้สูญเสียความมั่นใจแต่อย่างใด

        หากจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับสามีได้อย่างสงบสุข นางก็จะทำ หากไม่สามารถเข้ากันได้จริง ๆ นางก็จะใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ในฐานะสมาชิกจวนเฮ่อคนหนึ่ง แค่นี้นางสบายอยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่ไปทำอะไรโง่ ๆ ดังที่นางเอกนิยายคนนั้นทำ

        ส่วนเฮ่อฉางตี้นั้น หากเขาไม่ชอบนางจริง ๆ นางก็ทำอะไรไม่ได้

        นางทะลุมิติมาที่นี่ในวันแต่งงานพอดี ดังนั้นทุกสิ่งก็เกินจะเปลี่ยนแปลง ในยุคโบราณเช่นนี้ การยกเลิกงานแต่งโดยเฉพาะสำหรับสองตระกูลที่เป็นมิตรต่อกันนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำกันได้ง่าย ๆ เหมือนกับการเซ็นใบหย่าที่อำเภอ

        นอกจากนั้น การอยู่ที่จวนจิ่งอันก็ไม่ได้มีอันตรายใดๆ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนางในยามนี้คือต้องทำให้ชีวิตของตนดีขึ้นให้ได้ ใช่แล้ว เริ่มจากอาหารก่อนเลย!

        นางสวมชุดนอนบางเบา ยกขาขึ้นไขว่ห้างขณะนอนอยู่บนเตียง และคิดถึงแผนการที่จะทำให้มื้ออาหารของที่นี่ดีขึ้น พลางกระดิกเท้าเล็ก ๆ มันช่างสบายยิ่งนัก

        ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด จู่ ๆ นางก็รู้สึกร้อน…

        ในห้องหนังสือ เหลียวหมัวมัวก็ได้ส่งน้ำแกงบำรุงไปให้แก่เฮ่อฉางตี้เช่นกัน หลังจากที่สำรอกอาหารไปเมื่อตอนกลางวัน เฮ่อฉางตี้ก็ยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ซ้ำยังถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงสมุนไพรแปลก ๆ จึงทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

        เขาไม่มีอารมณ์จะอ่านจดหมายตรงหน้าอีก จึงลุกขึ้นและเดินออกจากห้องหนังสือไป

        ไหลเยว่ บ่าวรับใช้ส่วนตัวของเขายืนหลับยามอยู่หน้าประตู เฮ่อฉางตี้จึงเตะเข้าทีหนึ่งเพื่อระบายความหงุดหงิดใจ ไหลเยว่สะดุ้งตื่นขึ้น ก่อนปาดน้ำลายที่มุมปากและถามอย่างเร่งร้อน “คุณชาย ยามนี้ท่านจะไปไหนขอรับ”

        เฮ่อฉางตี้เหลือบมองไหลเยว่ คิดจะตอบว่ากลับเรือน แต่เมื่อคิดได้ว่าที่เรือนมีนางแพศยา ‘ฉู่เหลียน’ ผู้นั้นอยู่ เขาจึงเปลี่ยนใจมุ่งหน้าไปยังเรือนของมารดาแทน

        “ข้าจะไปพบท่านแม่”

        ไหลเยว่เกาหัวและเดินตามหลังคุณชายสามไป เขาสับสนไม่น้อย เพราะในชีวิตลูกผู้ชายคนหนึ่งมีโอกาสพิเศษอันยิ่งใหญ่อยู่สามประการ หนึ่งคือพบสหายในต่างแดน สองคือการแต่งงาน และสามคือสอบได้จอหงวน คุณชายสามเพิ่งจะแต่งงานกับนายหญิงสามผู้เลอโฉม เหตุใดจึงได้เดินไปไหนต่อไหนด้วยใบหน้ามืดมนเช่นนั้นเล่า ราวกับประชาชนทั้งเมืองติดเงินเขาสามร้อยตำลึงเงิน แล้วไม่มีใครยอมจ่ายหนี้อย่างไรอย่างนั้น

        เมื่อเฮ่อฉางตี้มาถึงเรือนของมารดา ในขณะนั้นฮูหยินจิ่งอันป๋อกำลังเดินไปมาอยู่ในห้องโดยมีสาวใช้ช่วยพยุง

        คงมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นเป็นแน่ เขาได้ยินเสียงหัวเราะใสราวกับกระดิ่งของเมี่ยวเจิน สาวใช้ส่วนตัวของมารดาลอยมาจากห้องพัก

        เมื่อเฮ่อซานหลางเดินเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินฮูหยินจิ่งอันป๋อกำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่กับบ่าวรับใช้ที่รายล้อม

        “ฮูหยิน ส้มกิมจ้อเชื่อมที่นายหญิงสามส่งมาอร่อยเหลือเกินเจ้าค่ะ!” เป็นเสียงเมี่ยวเจิน

        “จริงเจ้าค่ะ บ่าวชราผู้นี้ก็คิดเช่นกัน หากจะวิจารณ์ ก็ต้องบอกว่าส้มกิมจ้อเชื่อมพวกนี้ดูงดงามสดใสยิ่ง ทั้งยังเลิศรสอีกด้วย ไม่แพ้ขนมอบที่แม่ครัวโจทำเลย!”

        “โอ ไม่นึกว่าเจ้าจะประเมินของว่างนี้สูงค่าถึงเพียงนั้น ให้ข้าลองบ้างสักชิ้นเถอะ” ฮูหยินจิ่งอันป๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

        จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของสาวใช้

        สีหน้าของเฮ่อฉางตี้เปลี่ยนไปกะทันหัน เขารีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องมารดา เมื่อเห็นจานใส่ส้มกิมจ้อเชื่อมที่เมี่ยวเจินกำลังจะส่งให้มารดา เขาก็โถมเข้าปัดมันทิ้งทันที

        จานใบเล็กแตกกระจาย เกิดเป็นเสียงแหลมบาดหูเมื่อตกกระทบพื้น ส้มกิมจ้อเชื่อมสีใสตกกระเด็นไปทั่วห้อง

        ทุกคนในห้องล้วนตกตะลึงกับการกระทำอันฉุกละหุกของเฮ่อฉางตี้ ทำเอาบรรยากาศในห้องเงียบลงทันใด

        เป็นฮูหยินจิ่งอันป๋อที่รวบรวมสติและมีปฏิกิริยาเป็นคนแรก นางมองลูกชายคนเล็กของตน หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยและกล่าว “ซานหลาง เจ้าทำอะไร ภรรยาเจ้าเป็นผู้ส่งของว่างเหล่านี้มาให้แม่เมื่อบ่ายนี้เป็นของขวัญ”

        เฮ่อฉางตี้ระลึกได้ในที่สุดว่าการกระทำของตนออกจะรุนแรงเกินไป ทว่าเมื่อคิดถึงแผนร้ายที่ ‘ฉู่เหลียน’ เคยใช้เมื่อชาติที่แล้ว จึงคิดว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดไปแม้แต่น้อย

        “ท่านแม่ ท่านยังไม่สบายอยู่ก็ควรระมัดระวังเรื่องของกินให้มาก เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพร่างกาย”

        ไม่มีใครรู้จักบุรุษผู้นี้ดีไปกว่ามารดาของเขาเอง ฮูหยินจิ่งอันป๋อคล้ายว่าจะจับบางสิ่งจากดวงตาที่สั่นไหวของเฮ่อฉางตี้ได้ นางจึงให้บ่าวรับใช้ออกไปจากห้อง ก่อนถามบุตรชายตน “แม่ได้ยินจากเหลียวหมัวมัวว่าเจ้าไม่ใคร่จะพอใจภรรยานัก เป็นความจริงหรือไม่? บอกแม่ได้หรือไม่ เหตุใดเจ้าจึงไม่ชอบนาง เมื่อบ่ายนี้ที่นางมาพบแม่ นางก็ดูเป็นเด็กดีนัก”

        เฮ่อฉางตี้ออกจะแปลกใจและคิดเย้ยหยันอยู่ในใจ ใครจะคิดเล่าว่านางแพศยาฉู่เหลียนนั่นจะใช้ลูกไม้นี้ยามที่เขาไม่อยู่ใกล้ นางทำกระทั่งประจบเอาใจมารดาของเขาเชียวหรือ

        “ ท่านแม่อย่าได้คิดมากนัก ไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้าเพียงเป็นห่วงสุขภาพของท่าน”

        เมื่อเฮ่อฉางตี้ไม่ยอมพูดความจริง ฮูหยินจิ่งอันป๋อจึงทำได้เพียงทอดถอนใจ “ซานหลาง แม่เป็นห่วงเจ้าที่สุด หากเจ้าไม่อาจครองคู่อย่างมีความสุขได้ แม่จะสบายใจได้อย่างไร”

        สีหน้าของเฮ่อซานหลางยิ่งมืดครึ้มลงเมื่อเขาจากเรือนฮูหยินจิ่งอันป๋อมา เขาได้ยินแล้วว่าฉู่เหลียนลงมือกระทำสิ่งใดไปบ้างเมื่อยามบ่าย นางลงมือกระทำบางสิ่งเมื่อเขาไม่อยู่ เขาจึงเดินกลับไปยังเรือนของตนอย่างขุ่นเคือง

        ไหลเยว่เกาหัวอยู่เบื้องหลังนายของตน พลางคิดว่าตนคงไม่อาจมีวันเข้าใจความขุ่นเคืองเหล่านี้ของคุณชายสามได้เป็นแน่

        ฉู่เหลียนงีบหลับไปได้ครึ่งชั่วโมง ก่อนจะตื่นขึ้นมาอย่างไม่สบายตัวยิ่ง ทั่วร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและหายใจแทบไม่ออก นางจึงสั่งให้จิ่งเยี่ยนและหมิงเยี่ยนเตรียมน้ำอุ่นให้นางอาบ

 

        ฉู่เหลียนค่อย ๆ หย่อนกายลงในอ่างน้ำอุ่นอันหอมกรุ่น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหมิงเยี่ยนร้องเตือนจากด้านนอก “คุณชายสาม คุณชายสามเจ้าคะ ตอนนี้นายหญิงสามยังไม่สะดวกพบท่าน โปรดรอสักครู่ก่อนจะเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ! ”

 

                                                           ————————

                          อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                               https://www.kawebook.com/story/6816

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+