[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 86 พบเหตุพระราชวัง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 86 พบเหตุพระราชวัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        เมื่อเหล่าสาวใช้ได้ยินว่านายหญิงสามคิดของว่างชนิดใหม่อีกแล้ว พวกนางต่างก็ตื่นเต้น และเร่งเตรียมการด้วยรอยยิ้มกว้างเต็มหน้า เก็บของในครัวสร้างพื้นที่และเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมอบขนม

        การทำขนมไหว้พระจันทร์ไม่ยากเกินไป ตราบใดที่มีวัตถุดิบที่ถูกต้องก็สามารถทำได้ และง่ายดายยิ่งกว่าจิงปาเจี้ยนมาก แต่เนื่องจากระยะเวลาเตรียมตัวค่อนข้างสั้น วัตถุดิบมีจำกัด ไส้ขนมไหว้พระจันทร์ของฉู่เหลียนจึงมีเพียงไข่แดง หมูรมควัน ถั่วบด เมล็ดสน และพุทราบดเท่านั้น

        นางสั่งฉีเยี่ยนให้ไปรับแม่พิมพ์สำหรับขนมไหว้พระจันทร์ที่สั่งทำไว้ออกมา จากนั้นก็ห่อไส้ใส่แป้งขนมไหว้พระจันทร์ สร้างลวดลายงดงามบนแป้งนุ่ม สุดท้ายจึงนำขนมไหว้พระจันทร์เข้าเตาอบก็เป็นอันเสร็จสิ้น

        การขึ้นทรงขนมไหว้พระจันทร์แบบกวางตั้งนั้นทำได้ง่ายมาก เมื่ออบเสร็จแล้ว เปลือกนอกของขนมจะทั้งกรอบทั้งนุ่ม และมีรูปทรงน่ารักประณีต

        เนื่องจากสิ่งนี้ไม่เคยมีอยู่หรือถูกจัดในของว่างตามธรรมเนียมของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงในราชวงศ์อู่ ฉู่เหลียนจึงไม่ได้ทำขนมไหว้พระจันทร์ออกมาเยอะนัก เกรงว่าจะแย่งความสนใจจากขนมตั้นเกา อีกทั้งนางก็มิได้ส่งขนมไหว้พระจันทร์ไปให้เรือนอื่นเช่นกัน เพียงแต่จัดเตรียมให้เพียงพอกับคนในเรือนตนเพื่อตอบสนองต่อความพึงพอใจของตัวนางเองเท่านั้น

        ฉู่เหลียนทำขนมไหว้พระจันทร์แต่ละชิ้นออกมามีขนาดเทียบเท่ากับลิ้นจี่ลูกหนึ่ง ที่สำคัญคือสามารถทานได้หมดภายในคำหรือสองคำ นับว่าสะดวกมากทีเดียว

        เมื่อทำขนมไหว้พระจันทร์เสร็จ ฉู่เหลียนก็ผลัดเปลี่ยนเป็นชุดท่านหญิงตราตั้งขั้นห้าโดยมีจิ่งเยี่ยนแต่งตัวให้ พร้อมติดประดับเครื่องประดับที่เข้าชุดกัน เมื่อเสร็จแล้ว เหลียวหมัวมัวก็เข้ามาเชิญนางไปยังเรือนนอก

        ก่อนออกไป ฉีเยี่ยนมองขนมไหว้พระจันทร์ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วถาม “นายหญิงสาม ท่านต้องการนำขนมไหว้พระจันทร์ไปทานระหว่างทางด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”

        เหลียวหมัวมัวเพิ่งบอกฉู่เหลียนว่างานเลี้ยงวันนี้จะจัดยาวไปจนถึงกลางคืน คงจะต้องกลับจวนดึกเป็นแน่ นางจึงควรนำสิ่งของที่อาจจำเป็นต้องใช้ติดตัวไปด้วย เนื่องจากพระราชวังไม่เหมือนที่อื่น ๆ มีกฎเกณฑ์มากมายและไม่สะดวกสบายอย่างที่คิด เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว ฉู่เหลียนก็พยักหน้า “เอามาหลายชิ้นหน่อย และเตรียมเสื้อผ้าไปเผื่อไว้ด้วย”

        ฉีเยี่ยนเอาขนมไหว้พระจันทร์ทั้งจานใส่กล่อง และนำเอากระเป๋าปักสีม่วงอมชมพูปักลายบงกชออกมา แล้วจึงรีบหยิบขนมไหว้พระจันทร์สามชิ้นใส่มือฉู่เหลียน

        ฉู่เหลียนเห็นการกระทำของฉีเยี่ยน นางก็แทบจะระเบิดหัวเราะออกมา “ทำไมกัน? เกรงว่านายหญิงของเจ้าจะหิวตายหรือ? ”

        ฉีเยี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย นิสัยแปลก ๆ ของฉีเยี่ยนต้องโทษฉู่เหลียนทั้งนั้น เหตุที่นางมักชอบนำขนมติดตัวไปไหนต่อไหนทุกคราวที่ออกนอกจวนก็เป็นเพราะฉู่เหลียนที่สั่งสาวใช้ให้เตรียมถึงของว่างนี้ไว้ตั้งแต่ต้น

        ฉู่เหลียนนำกระเป๋าออกมา เติมเนื้อตากแห้งลงไป กุ้ยหมัวมัวอดมองไม่ได้ คิดในใจว่าสมควรเตือน จึงเอ่ยปาก “นายหญิงสามเจ้าคะ จวนสายแล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกแล้วเจ้าค่ะ”

        เมื่อพวกนางเดินไปถึงเรือนนอกก็เห็นพ่อบ้านตระเตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฮ่อเหล่าไท่จวินเองก็นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ พร้อมสาวใช้มู่เซียงและจ้าวหมัวมัว โดยมีโจวซื่อนั่งอยู่ข้าง ๆ

        โจวซื่อไม่ได้เปลี่ยนไปใส่ชุดพิธีการแต่อย่างใด งานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงถูกจัดขึ้นในช่วงบ่ายแก่ ๆ  นางจึงต้องรอเวลาจนกว่าจะได้เข้าวัง ส่วนเฮ่อเหล่าไท่จวินนั้นเร่งพาฉู่เหลียนเข้าวังตั้งแต่ช่วงบ่ายต้น เนื่องด้วยเกรงว่าฉู่เหลียนอาจจะก่อเรื่องขึ้นเมื่อยามกล่าวขอบคุณฮ่องเต้ซึ่งนี่เป็นการเข้าวังครั้งแรกอย่างเป็นทางการของนาง อีกประการหนึ่ง เฮ่อเหล่าไท่จวินอยากหาโอกาสสนทนากับไทเฮาผู้เป็นสหายเก่า เพื่อที่จะได้แนะนำหลานสะใภ้สามให้ไทเฮาได้รู้จักและทำความคุ้นเคย

        เมื่อโจวซื่อเห็นฉู่เหลียนเข้ามาพร้อมสาวใช้ นางอดมิได้ให้มองน้องสะใภ้สามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ฉู่เหลียนในตอนนี้กำลังสวมใส่ชุดพิธีการ แม้จะเป็นเพียงท่านหญิงตราตั้งขั้นห้า ทว่าการแต่งกายก็ดูแตกต่างกับชุดฮูหยินของขุนนางทั่วไปแล้ว

        ……

        ชุดพิธีการของฮูหยินขุนนางตั้งแต่ขั้นหนึ่งไปจนถึงขั้นสุดท้ายล้วนแต่เป็นสีเข้ม โดยรูปแบบต่าง ๆ นั้นถูกสืบทอดมาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน  กระทั่งสตรีที่ยังอ่อนวัยเมื่อแต่งกายเช่นนี้ก็ทำให้ดูแก่ขึ้นได้เช่นกัน

        ทว่าชุดพิธีการของสตรีผู้เป็นบุคคลในราชวงศ์ ตั้งแต่ระดับกงจู่[1] จวิ้นจู่[2] เสี้ยนจู่[3] และเสี้ยนจวิน[4] ล้วนแต่เป็นรูปแบบใหม่ล่าสุด ชุดท่านหญิงแต่งตั้งมีสีม่วงอมชมพู ปักลายดอกไม้สีทองที่ปกคอและแขนเสื้อ ชิ้นส่วนหลักมีสีแดงสดใสทอลายอันประณีตซับซ้อน อีกทั้งยังเย็บลายดอกมู่ตานทับลายทอสีทองอีกทีหนึ่ง สีสันสดใสเช่นนี้เหมาะสมกับฉู่เหลียนนัก นอกจากนี้ยังมีผ้าคาดเอวที่ช่วยทำให้ทรวดทรงของนางยิ่งดูผอมบางยิ่งขึ้น

        หนึ่งในปิ่นหยกที่ฮ่องเต้พระราชทานประดับอยู่บนศีรษะ เสริมให้ทรงผมนั้นยิ่งงดงามอย่างสมบูรณ์แบบ แสดงให้เห็นถึงความเป็นสตรีที่กำลังเบ่งบาน และละทิ้งความเยาว์วัยไป

        เมื่อแรกเห็นฉู่เหลียน ใจของเฮ่อเหล่าไท่จวินก็แทบหลุดล่องลอย นางลอบพยักหน้าในใจ และชื่นชมความงามของภริยาซานหลาง

        ผู้งดงามย่อมเป็นที่รักของผู้พบเห็น เฮ่อเหล่าไท่จวินหัวเราะพร้อมทั้งไกวมือเรียกฉู่เหลียน “หลานสะใภ้สาม มานั่งข้างย่านี่ ให้ย่าได้มองเจ้าชัด ๆ เสียหน่อยเถิด ”

        เมื่อฉู่เหลียนคารวะเฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่อแล้ว นางก็รีบนั่งลงที่ข้างกายของเฮ่อเหล่าไท่จวินทันที

        เหล่าไท่จวินมองนางด้วยความพอใจก่อนจะช่วยจัดปิ่นหยกบนศีรษะที่หมิ่นเหม่ให้เข้ารูปเข้ารอย

        แม้บนใบหน้าโจวซื่อจะมีร่องรอยของรอยยิ้ม แต่ในใจนางกลับมิได้สงบนิ่งหรือยินดีดังที่แสดงออก ทั้งยังต้องพยายามกดข่มความโมโหลงแล้วกล่าว “น้องสะใภ้สาม วันนี้จำต้องเข้าเตรียมการเพื่อกล่าวขอบคุณต่อองค์ฮ่องเต้ เจ้าปล่อยให้ท่านย่ารอคอยเช่นนี้ได้อย่างไร? ”

        ฉู่เหลียนชะงักงันไปชั่วครู่ นางไม่คาดว่าโจวซื่อจะสร้างปัญหาให้นางต่อหน้าเหล่าไท่จวิน

        อันที่จริงนางไม่ได้สายสักนิด เหล่าไท่จวินสั่งให้นางมาพบที่เรือนนอกในเวลานี้เพื่อจะได้ออกไปพร้อมกัน แต่เพราะท่านย่าอายุมากแล้วจึงตื่นเช้า และมาถึงจุดนัดพบก่อนหน้านางเพียงไม่นาน

        เมื่อได้ยินดังนั้น มือของเหล่าไท่จวินที่ยืดไปช่วยจัดผมฉู่เหลียนก็ชะงักทันควันเช่นกัน

        ส่วนฉู่เหลียนได้แต่แอบถอนใจในอกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ นางคงไม่เสียแรงเข้าขวางยามบ้านหลักเกิดไฟไหม้เป็นแน่

        เนื่องจากกำลังจะเข้าวังแล้ว นางจึงไม่อยากให้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้ จึงหันไปก้มหัวให้โจวซื่อ “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง คราวหน้าข้าจะจดจำไว้เจ้าค่ะ”

        เมื่อฉู่เหลียนผู้เป็นท่านหญิงตราตั้งขั้นห้าก้มหัวให้น้อมรับคำแนะนำ ความรู้สึกพึงพอใจก็ก่อตัวขึ้นในใจของโจวซื่อ นางรีบเปลี่ยนสีหน้าราวกับเป็นคนใจกว้าง ช่วยประคองฉู่เหลียนให้ลุกขึ้น “น้องสะใภ้สาม ข้ามิได้ตั้งใจจะตำหนิเจ้า เพียงแต่ท่านย่ามีอายุเพียงนี้แล้ว…ย่อมไม่ควรต้องพบปัญหาใด อีกหน่อยหากเกิดเหตุเช่นนี้อีก ข้าย่อมไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้”

        สีหน้าของฉู่เหลียนที่ก้มอยู่พลันเย็นชาขึ้น

        เหล่าไท่จวินมองเหตุการณ์ทั้งหมดและประจักษ์แก่ใจตัว นางกะพริบตาแล้วกล่าว “เอาล่ะ ถึงเวลาต้องไปแล้ว หลานสะใภ้สามไปกันเถิด”

        โจวซื่อมองฉู่เหลียนที่ช่วยประคองเฮ่อเหล่าไท่จวินขึ้นรถม้าก่อนจะหันกลับเรือนของตน มือของหญิงสาวคู่นั้นบิดผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าทะเลสาบแน่นจนตะเข็บปริขาด

        เมื่อรถม้าของสองย่าหลานเดินทางมาถึงประตูจูเฉว่ ฉู่เหลียนก็ช่วยเหล่าไท่จวินลงจากรถ จากนั้นพวกนางก็ขึ้นเกี้ยวที่ไทเฮาได้จัดเตรียมไว้ให้ เมื่อนั่งไปจนถึงประตูทิศใต้ของวังหลัง ขันทีผู้หนึ่งก็ได้มายืนรอต้อนรับ

        เบื้องหน้าของฉู่เหลียนปรากฏเป็นหลังคากระเบื้องแดง กำแพงเขียว คานค้ำสูงใหญ่ พร้อมด้วยผนังแกะสลักลาย และกระเบื้องแก้วใสที่ส่องประกายรับแสงอาทิตย์ ช่างเป็นทิวทัศน์อันงดงามที่แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ของราชวงศ์อู่

        เฮ่อเหล่าไท่จวินตั้งใจจะตามฉู่เหลียนเข้าไปเพื่อขอบคุณฮ่องเต้ ทว่าขันทีวัยกลางคนกลับรั้งไว้เสียก่อน

        “เฮ่อเหล่าไท่จวิน โปรดตามข้าไปยังเรือนในของไทเฮาเถิดขอรับ ไทเฮาทรงรอท่านตั้งแต่เช้าแล้ว”

        เหล่าไท่จวินถอนใจ คิดอยู่แล้วเชียวว่าจะเป็นเช่นนี้ โชคดีนักที่นางสอนธรรมเนียมต่าง ๆ ในวังให้ฉู่เหลียนตั้งแต่บนรถม้า ยามนี้ทำได้เพียงตบหลังมือเล็ก ๆ เพื่อปลอบขวัญ และหวังเพียงใจฉู่เหลียนจะใหญ่พอให้พร้อมรับสถานการณ์ที่รออยู่

        เมื่อเหล่าไท่จวินไม่อาจเข้าพบฮ่องเต้ได้ สาวใช้เช่นฉีเยี่ยนและกุ้ยหมัวมัวก็ถูกกันไว้ที่ศาลาอีกทางหนึ่ง มีเพียงฉู่เหลียนเท่านั้นที่เดินตามขันทีวัยเยาว์จากวังในเข้าไปยังท้องพระโรง

        ทางเดินกระเบื้องทองสะท้อนภาพเงาฉู่เหลียนราวกับกระจก บนพื้นเช่นนี้ทำให้นางไม่กล้าเดินไวเกินไป เกรงว่าจะล้มลง นี่จึงเป็นเหมือนการเดินเท้าอันยาวนานที่แสนจะทรมานสำหรับนาง

        ยามนี้ใกล้จะได้เข้าพบกับผู้นำแห่งราชวงศ์อู่ ฮ่องเต้ผู้ครอบครองอาณาจักรแห่งนี้ ผู้ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ หากจะบอกว่าไม่กังวลก็ย่อมเป็นการโกหกแล้ว ส่วนฉู่เหลียนที่ไม่ได้เกิดในยุคนี้ แม้นางจะเคารพสถาบันกษัตริย์ ทว่าก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรมากมาย

        “ซุนกงกง ท่านจะพาท่านหญิงจินอี่ไปไหนหรือ?”

        ทันใดนั้น เสียงนุ่มเบาที่ดูหนักแน่นดังขึ้นจากด้านหลัง ฉู่เหลียนและขันทีที่นำทางหันกลับไปพร้อม ๆ กัน ก็พบกับเจ้าของเสียงที่เป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงยืนอยู่เหนือขั้นบันไดขาว ผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีฟ้าอันโดดเด่น นางจะลืมดวงตาคู่นั้นได้อย่างไร?

        ซุนกงกงคารวะจิ่นอ๋อง “เรียนจิ่นอ๋อง กระหม่อมกำลังนำทางท่านหญิงจินอี่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”

        ดวงตาจิ่นอ๋องตวัดมองฉู่เหลียนราวกับกำลังตรวจสอบบางสิ่งจนทำให้ฉู่เหลียนอดรู้สึกไม่สบายใจนัก “อย่างน้อยคราวนี้เจ้าก็แต่งตัวได้ดีขึ้นนะ”

        ฉู่เหลียนนิ่งงันด้วยความงุนงง ดวงตาโตเบิกกว้างอย่างแปลกใจ อะไรนะ? นี่จิ่นอ๋องกำลังวิจารณ์การแต่งตัวของนางหรือ? นางไปสนิทสนมกับจิ่นอ๋องตั้งแต่เมื่อไรกัน?

        ฉู่เหลียนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกราชวงศ์เลยสักนิด โดยเฉพาะบรรดาบุตรธิดาของฮ่องเต้ พวกนี้เป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ นางย่อมไม่อยากติดอยู่ท่ามกลางวังวนแห่งการแก่งแย่งอำนาจของคนในราชวงศ์

        แม้นางจะเคยช่วยเขาเพียงเล็กน้อยเมื่อคราวก่อนที่พบกัน แต่ก็คอยระมัดระวังไม่เข้าใกล้เขามาโดยตลอด

        ฉู่เหลียนยอบกายคารวะเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับ…คำชม

        “หากจิ่นอ๋องไม่มีกิจใดกับกระหม่อมแล้ว กระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ” ซุนกงกงกล่าวด้วยความนอบน้อม

        ฉู่เหลียนกำลังจะหมุนกายจากไปแล้ว แต่จิ่นอ๋องกลับก้าวเข้ามาใกล้และหันไปมองซุนกงกง ขันทีเยาว์วัยรีบก้มหน้าถอยกรูดไปสองสามก้าวรออยู่ที่ด้านข้างแทน

        จิ่นอ๋องมีส่วนสูงพอ ๆ กับเฮ่อฉางตี้ เมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าฉู่เหลียนก็คล้ายกับมีเมฆครึ้มปกคลุมร่างของนาง

        จิ่นอ๋องก้มหน้ามองนาง สีหน้าเรียบนิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกใด แม้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจะดูอ่อนโยน แต่ทุกถ้อยคำกลับทำให้ร่างกายฉู่เหลียนแทบจะแข็งกลายเป็นหินไปชั่วขณะ

        “จินอี่ เจ้าช่วยข้าผู้เป็นอ๋องไว้ เจ้าย่อมนับเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง แต่ข้าผู้เป็นอ๋องขอเตือนมิให้เจ้ากระทำการใดที่เกินควร แม้ใจเจ้าอาจจะปรารถนาสิ่งใด ทว่าจงคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจกระทำ”

        คิ้วเรียวของฉู่เหลียนมุ่นเข้าหากัน “จิ่นอ๋อง หม่อมฉันไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัสเพคะ”

        “หากเจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็คิดให้มากขึ้นอีก!” จิ่นอ๋องใช้ดวงตาสีอ่อนที่ไม่ไหวติงตักเตือนฉู่เหลียน

        แม้ฉู่เหลียนจะไม่แสดงสีหน้าใดกลับไป แต่ในใจกลับแทบเอาหัวโขกกำแพงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่มันอะไรกัน?! เรื่องบ้าบอคอแตกอะไรที่นางเผลอไปทำให้จิ่นอ๋องเกิดความสงสัยในตัวนาง? หรือเขาก็บ้าไปด้วยอีกคนแล้วหรือ?

        ฉู่เหลียนระลึกได้ว่าตั้งแต่มาถึงราชวงศ์อู่ นางก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดทำนองคลองธรรม ทว่านางกลับเพิ่งจะถูกตำหนิจากจิ่นอ๋องที่นางเพิ่งจะมีโอกาสพบแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! กระทั่งคนที่ใจดีที่สุดก็ยังมีขีดจำกัดความอดทนอยู่นะ! ฉู่เหลียนไม่อยากจะเสแสร้งแกล้งสุภาพกับจิ่นอ๋องอีกต่อไป นางพองแก้มขึ้นขณะมองเขา “หม่อมฉันจะไตร่ตรองในรับสั่งของจิ่นอ๋องให้ดีอีกครายามถึงจวนเพคะ หม่อมฉันไม่บังอาจรบกวนให้ท่านอ๋องต้องเดือดร้อนตัวเองด้วยเรื่องของหม่อมฉัน! ”

        เมื่อกล่าวจบ นางก็หันกายวิ่งจากไป ทำให้จิ่นอ๋องตะลึงไปครู่หนึ่ง

        ซุนกงกงเห็นสถานการณ์ดูน่ากระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย เมื่อคารวะจิ่นอ๋องแล้ว เขาก็วิ่งไล่ตามนางไป ร้องตะโกน “ท่านหญิง ช้าลงหน่อยเถิดขอรับ ผิดทางแล้วขอรับ ท้องพระโรงมิใช่ทางนั้น!”

        ฉู่เหลียนทำได้เพียงหมุนกายวิ่งไปยังทิศทางที่ถูกต้อง ทว่าใครจะคิดว่าพื้นอำพันนี้จะลื่นขนาดนี้เล่า? เนื่องจากการเคลื่อนที่ที่เร็วเกินไป และชุดพิธีการที่มีหลายชั้น จึงทำให้นางเผลอเหยียบชายกระโปรงโดยไม่ตั้งใจ…และล้มลงบนพื้น…

 

——————————————————————-

        [1] ระดับกงจู่ คือ พระธิดาในองค์ฮ่องเต้ 

        [2] ระดับจวิ้นจู่ คือ พระธิดาในองค์รัชทายาท 

        [3] เสี้ยนจู่ คือ พระธิดาในท่านอ๋อง

        [4]เสี้ยนจวิน คือ ท่านหญิงแต่งตั้ง

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 86 พบเหตุพระราชวัง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 86 พบเหตุพระราชวัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        เมื่อเหล่าสาวใช้ได้ยินว่านายหญิงสามคิดของว่างชนิดใหม่อีกแล้ว พวกนางต่างก็ตื่นเต้น และเร่งเตรียมการด้วยรอยยิ้มกว้างเต็มหน้า เก็บของในครัวสร้างพื้นที่และเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมอบขนม

        การทำขนมไหว้พระจันทร์ไม่ยากเกินไป ตราบใดที่มีวัตถุดิบที่ถูกต้องก็สามารถทำได้ และง่ายดายยิ่งกว่าจิงปาเจี้ยนมาก แต่เนื่องจากระยะเวลาเตรียมตัวค่อนข้างสั้น วัตถุดิบมีจำกัด ไส้ขนมไหว้พระจันทร์ของฉู่เหลียนจึงมีเพียงไข่แดง หมูรมควัน ถั่วบด เมล็ดสน และพุทราบดเท่านั้น

        นางสั่งฉีเยี่ยนให้ไปรับแม่พิมพ์สำหรับขนมไหว้พระจันทร์ที่สั่งทำไว้ออกมา จากนั้นก็ห่อไส้ใส่แป้งขนมไหว้พระจันทร์ สร้างลวดลายงดงามบนแป้งนุ่ม สุดท้ายจึงนำขนมไหว้พระจันทร์เข้าเตาอบก็เป็นอันเสร็จสิ้น

        การขึ้นทรงขนมไหว้พระจันทร์แบบกวางตั้งนั้นทำได้ง่ายมาก เมื่ออบเสร็จแล้ว เปลือกนอกของขนมจะทั้งกรอบทั้งนุ่ม และมีรูปทรงน่ารักประณีต

        เนื่องจากสิ่งนี้ไม่เคยมีอยู่หรือถูกจัดในของว่างตามธรรมเนียมของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงในราชวงศ์อู่ ฉู่เหลียนจึงไม่ได้ทำขนมไหว้พระจันทร์ออกมาเยอะนัก เกรงว่าจะแย่งความสนใจจากขนมตั้นเกา อีกทั้งนางก็มิได้ส่งขนมไหว้พระจันทร์ไปให้เรือนอื่นเช่นกัน เพียงแต่จัดเตรียมให้เพียงพอกับคนในเรือนตนเพื่อตอบสนองต่อความพึงพอใจของตัวนางเองเท่านั้น

        ฉู่เหลียนทำขนมไหว้พระจันทร์แต่ละชิ้นออกมามีขนาดเทียบเท่ากับลิ้นจี่ลูกหนึ่ง ที่สำคัญคือสามารถทานได้หมดภายในคำหรือสองคำ นับว่าสะดวกมากทีเดียว

        เมื่อทำขนมไหว้พระจันทร์เสร็จ ฉู่เหลียนก็ผลัดเปลี่ยนเป็นชุดท่านหญิงตราตั้งขั้นห้าโดยมีจิ่งเยี่ยนแต่งตัวให้ พร้อมติดประดับเครื่องประดับที่เข้าชุดกัน เมื่อเสร็จแล้ว เหลียวหมัวมัวก็เข้ามาเชิญนางไปยังเรือนนอก

        ก่อนออกไป ฉีเยี่ยนมองขนมไหว้พระจันทร์ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วถาม “นายหญิงสาม ท่านต้องการนำขนมไหว้พระจันทร์ไปทานระหว่างทางด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”

        เหลียวหมัวมัวเพิ่งบอกฉู่เหลียนว่างานเลี้ยงวันนี้จะจัดยาวไปจนถึงกลางคืน คงจะต้องกลับจวนดึกเป็นแน่ นางจึงควรนำสิ่งของที่อาจจำเป็นต้องใช้ติดตัวไปด้วย เนื่องจากพระราชวังไม่เหมือนที่อื่น ๆ มีกฎเกณฑ์มากมายและไม่สะดวกสบายอย่างที่คิด เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว ฉู่เหลียนก็พยักหน้า “เอามาหลายชิ้นหน่อย และเตรียมเสื้อผ้าไปเผื่อไว้ด้วย”

        ฉีเยี่ยนเอาขนมไหว้พระจันทร์ทั้งจานใส่กล่อง และนำเอากระเป๋าปักสีม่วงอมชมพูปักลายบงกชออกมา แล้วจึงรีบหยิบขนมไหว้พระจันทร์สามชิ้นใส่มือฉู่เหลียน

        ฉู่เหลียนเห็นการกระทำของฉีเยี่ยน นางก็แทบจะระเบิดหัวเราะออกมา “ทำไมกัน? เกรงว่านายหญิงของเจ้าจะหิวตายหรือ? ”

        ฉีเยี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย นิสัยแปลก ๆ ของฉีเยี่ยนต้องโทษฉู่เหลียนทั้งนั้น เหตุที่นางมักชอบนำขนมติดตัวไปไหนต่อไหนทุกคราวที่ออกนอกจวนก็เป็นเพราะฉู่เหลียนที่สั่งสาวใช้ให้เตรียมถึงของว่างนี้ไว้ตั้งแต่ต้น

        ฉู่เหลียนนำกระเป๋าออกมา เติมเนื้อตากแห้งลงไป กุ้ยหมัวมัวอดมองไม่ได้ คิดในใจว่าสมควรเตือน จึงเอ่ยปาก “นายหญิงสามเจ้าคะ จวนสายแล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกแล้วเจ้าค่ะ”

        เมื่อพวกนางเดินไปถึงเรือนนอกก็เห็นพ่อบ้านตระเตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฮ่อเหล่าไท่จวินเองก็นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ พร้อมสาวใช้มู่เซียงและจ้าวหมัวมัว โดยมีโจวซื่อนั่งอยู่ข้าง ๆ

        โจวซื่อไม่ได้เปลี่ยนไปใส่ชุดพิธีการแต่อย่างใด งานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงถูกจัดขึ้นในช่วงบ่ายแก่ ๆ  นางจึงต้องรอเวลาจนกว่าจะได้เข้าวัง ส่วนเฮ่อเหล่าไท่จวินนั้นเร่งพาฉู่เหลียนเข้าวังตั้งแต่ช่วงบ่ายต้น เนื่องด้วยเกรงว่าฉู่เหลียนอาจจะก่อเรื่องขึ้นเมื่อยามกล่าวขอบคุณฮ่องเต้ซึ่งนี่เป็นการเข้าวังครั้งแรกอย่างเป็นทางการของนาง อีกประการหนึ่ง เฮ่อเหล่าไท่จวินอยากหาโอกาสสนทนากับไทเฮาผู้เป็นสหายเก่า เพื่อที่จะได้แนะนำหลานสะใภ้สามให้ไทเฮาได้รู้จักและทำความคุ้นเคย

        เมื่อโจวซื่อเห็นฉู่เหลียนเข้ามาพร้อมสาวใช้ นางอดมิได้ให้มองน้องสะใภ้สามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ฉู่เหลียนในตอนนี้กำลังสวมใส่ชุดพิธีการ แม้จะเป็นเพียงท่านหญิงตราตั้งขั้นห้า ทว่าการแต่งกายก็ดูแตกต่างกับชุดฮูหยินของขุนนางทั่วไปแล้ว

        ……

        ชุดพิธีการของฮูหยินขุนนางตั้งแต่ขั้นหนึ่งไปจนถึงขั้นสุดท้ายล้วนแต่เป็นสีเข้ม โดยรูปแบบต่าง ๆ นั้นถูกสืบทอดมาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน  กระทั่งสตรีที่ยังอ่อนวัยเมื่อแต่งกายเช่นนี้ก็ทำให้ดูแก่ขึ้นได้เช่นกัน

        ทว่าชุดพิธีการของสตรีผู้เป็นบุคคลในราชวงศ์ ตั้งแต่ระดับกงจู่[1] จวิ้นจู่[2] เสี้ยนจู่[3] และเสี้ยนจวิน[4] ล้วนแต่เป็นรูปแบบใหม่ล่าสุด ชุดท่านหญิงแต่งตั้งมีสีม่วงอมชมพู ปักลายดอกไม้สีทองที่ปกคอและแขนเสื้อ ชิ้นส่วนหลักมีสีแดงสดใสทอลายอันประณีตซับซ้อน อีกทั้งยังเย็บลายดอกมู่ตานทับลายทอสีทองอีกทีหนึ่ง สีสันสดใสเช่นนี้เหมาะสมกับฉู่เหลียนนัก นอกจากนี้ยังมีผ้าคาดเอวที่ช่วยทำให้ทรวดทรงของนางยิ่งดูผอมบางยิ่งขึ้น

        หนึ่งในปิ่นหยกที่ฮ่องเต้พระราชทานประดับอยู่บนศีรษะ เสริมให้ทรงผมนั้นยิ่งงดงามอย่างสมบูรณ์แบบ แสดงให้เห็นถึงความเป็นสตรีที่กำลังเบ่งบาน และละทิ้งความเยาว์วัยไป

        เมื่อแรกเห็นฉู่เหลียน ใจของเฮ่อเหล่าไท่จวินก็แทบหลุดล่องลอย นางลอบพยักหน้าในใจ และชื่นชมความงามของภริยาซานหลาง

        ผู้งดงามย่อมเป็นที่รักของผู้พบเห็น เฮ่อเหล่าไท่จวินหัวเราะพร้อมทั้งไกวมือเรียกฉู่เหลียน “หลานสะใภ้สาม มานั่งข้างย่านี่ ให้ย่าได้มองเจ้าชัด ๆ เสียหน่อยเถิด ”

        เมื่อฉู่เหลียนคารวะเฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่อแล้ว นางก็รีบนั่งลงที่ข้างกายของเฮ่อเหล่าไท่จวินทันที

        เหล่าไท่จวินมองนางด้วยความพอใจก่อนจะช่วยจัดปิ่นหยกบนศีรษะที่หมิ่นเหม่ให้เข้ารูปเข้ารอย

        แม้บนใบหน้าโจวซื่อจะมีร่องรอยของรอยยิ้ม แต่ในใจนางกลับมิได้สงบนิ่งหรือยินดีดังที่แสดงออก ทั้งยังต้องพยายามกดข่มความโมโหลงแล้วกล่าว “น้องสะใภ้สาม วันนี้จำต้องเข้าเตรียมการเพื่อกล่าวขอบคุณต่อองค์ฮ่องเต้ เจ้าปล่อยให้ท่านย่ารอคอยเช่นนี้ได้อย่างไร? ”

        ฉู่เหลียนชะงักงันไปชั่วครู่ นางไม่คาดว่าโจวซื่อจะสร้างปัญหาให้นางต่อหน้าเหล่าไท่จวิน

        อันที่จริงนางไม่ได้สายสักนิด เหล่าไท่จวินสั่งให้นางมาพบที่เรือนนอกในเวลานี้เพื่อจะได้ออกไปพร้อมกัน แต่เพราะท่านย่าอายุมากแล้วจึงตื่นเช้า และมาถึงจุดนัดพบก่อนหน้านางเพียงไม่นาน

        เมื่อได้ยินดังนั้น มือของเหล่าไท่จวินที่ยืดไปช่วยจัดผมฉู่เหลียนก็ชะงักทันควันเช่นกัน

        ส่วนฉู่เหลียนได้แต่แอบถอนใจในอกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ นางคงไม่เสียแรงเข้าขวางยามบ้านหลักเกิดไฟไหม้เป็นแน่

        เนื่องจากกำลังจะเข้าวังแล้ว นางจึงไม่อยากให้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้ จึงหันไปก้มหัวให้โจวซื่อ “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง คราวหน้าข้าจะจดจำไว้เจ้าค่ะ”

        เมื่อฉู่เหลียนผู้เป็นท่านหญิงตราตั้งขั้นห้าก้มหัวให้น้อมรับคำแนะนำ ความรู้สึกพึงพอใจก็ก่อตัวขึ้นในใจของโจวซื่อ นางรีบเปลี่ยนสีหน้าราวกับเป็นคนใจกว้าง ช่วยประคองฉู่เหลียนให้ลุกขึ้น “น้องสะใภ้สาม ข้ามิได้ตั้งใจจะตำหนิเจ้า เพียงแต่ท่านย่ามีอายุเพียงนี้แล้ว…ย่อมไม่ควรต้องพบปัญหาใด อีกหน่อยหากเกิดเหตุเช่นนี้อีก ข้าย่อมไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้”

        สีหน้าของฉู่เหลียนที่ก้มอยู่พลันเย็นชาขึ้น

        เหล่าไท่จวินมองเหตุการณ์ทั้งหมดและประจักษ์แก่ใจตัว นางกะพริบตาแล้วกล่าว “เอาล่ะ ถึงเวลาต้องไปแล้ว หลานสะใภ้สามไปกันเถิด”

        โจวซื่อมองฉู่เหลียนที่ช่วยประคองเฮ่อเหล่าไท่จวินขึ้นรถม้าก่อนจะหันกลับเรือนของตน มือของหญิงสาวคู่นั้นบิดผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าทะเลสาบแน่นจนตะเข็บปริขาด

        เมื่อรถม้าของสองย่าหลานเดินทางมาถึงประตูจูเฉว่ ฉู่เหลียนก็ช่วยเหล่าไท่จวินลงจากรถ จากนั้นพวกนางก็ขึ้นเกี้ยวที่ไทเฮาได้จัดเตรียมไว้ให้ เมื่อนั่งไปจนถึงประตูทิศใต้ของวังหลัง ขันทีผู้หนึ่งก็ได้มายืนรอต้อนรับ

        เบื้องหน้าของฉู่เหลียนปรากฏเป็นหลังคากระเบื้องแดง กำแพงเขียว คานค้ำสูงใหญ่ พร้อมด้วยผนังแกะสลักลาย และกระเบื้องแก้วใสที่ส่องประกายรับแสงอาทิตย์ ช่างเป็นทิวทัศน์อันงดงามที่แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ของราชวงศ์อู่

        เฮ่อเหล่าไท่จวินตั้งใจจะตามฉู่เหลียนเข้าไปเพื่อขอบคุณฮ่องเต้ ทว่าขันทีวัยกลางคนกลับรั้งไว้เสียก่อน

        “เฮ่อเหล่าไท่จวิน โปรดตามข้าไปยังเรือนในของไทเฮาเถิดขอรับ ไทเฮาทรงรอท่านตั้งแต่เช้าแล้ว”

        เหล่าไท่จวินถอนใจ คิดอยู่แล้วเชียวว่าจะเป็นเช่นนี้ โชคดีนักที่นางสอนธรรมเนียมต่าง ๆ ในวังให้ฉู่เหลียนตั้งแต่บนรถม้า ยามนี้ทำได้เพียงตบหลังมือเล็ก ๆ เพื่อปลอบขวัญ และหวังเพียงใจฉู่เหลียนจะใหญ่พอให้พร้อมรับสถานการณ์ที่รออยู่

        เมื่อเหล่าไท่จวินไม่อาจเข้าพบฮ่องเต้ได้ สาวใช้เช่นฉีเยี่ยนและกุ้ยหมัวมัวก็ถูกกันไว้ที่ศาลาอีกทางหนึ่ง มีเพียงฉู่เหลียนเท่านั้นที่เดินตามขันทีวัยเยาว์จากวังในเข้าไปยังท้องพระโรง

        ทางเดินกระเบื้องทองสะท้อนภาพเงาฉู่เหลียนราวกับกระจก บนพื้นเช่นนี้ทำให้นางไม่กล้าเดินไวเกินไป เกรงว่าจะล้มลง นี่จึงเป็นเหมือนการเดินเท้าอันยาวนานที่แสนจะทรมานสำหรับนาง

        ยามนี้ใกล้จะได้เข้าพบกับผู้นำแห่งราชวงศ์อู่ ฮ่องเต้ผู้ครอบครองอาณาจักรแห่งนี้ ผู้ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ หากจะบอกว่าไม่กังวลก็ย่อมเป็นการโกหกแล้ว ส่วนฉู่เหลียนที่ไม่ได้เกิดในยุคนี้ แม้นางจะเคารพสถาบันกษัตริย์ ทว่าก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรมากมาย

        “ซุนกงกง ท่านจะพาท่านหญิงจินอี่ไปไหนหรือ?”

        ทันใดนั้น เสียงนุ่มเบาที่ดูหนักแน่นดังขึ้นจากด้านหลัง ฉู่เหลียนและขันทีที่นำทางหันกลับไปพร้อม ๆ กัน ก็พบกับเจ้าของเสียงที่เป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงยืนอยู่เหนือขั้นบันไดขาว ผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีฟ้าอันโดดเด่น นางจะลืมดวงตาคู่นั้นได้อย่างไร?

        ซุนกงกงคารวะจิ่นอ๋อง “เรียนจิ่นอ๋อง กระหม่อมกำลังนำทางท่านหญิงจินอี่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”

        ดวงตาจิ่นอ๋องตวัดมองฉู่เหลียนราวกับกำลังตรวจสอบบางสิ่งจนทำให้ฉู่เหลียนอดรู้สึกไม่สบายใจนัก “อย่างน้อยคราวนี้เจ้าก็แต่งตัวได้ดีขึ้นนะ”

        ฉู่เหลียนนิ่งงันด้วยความงุนงง ดวงตาโตเบิกกว้างอย่างแปลกใจ อะไรนะ? นี่จิ่นอ๋องกำลังวิจารณ์การแต่งตัวของนางหรือ? นางไปสนิทสนมกับจิ่นอ๋องตั้งแต่เมื่อไรกัน?

        ฉู่เหลียนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกราชวงศ์เลยสักนิด โดยเฉพาะบรรดาบุตรธิดาของฮ่องเต้ พวกนี้เป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ นางย่อมไม่อยากติดอยู่ท่ามกลางวังวนแห่งการแก่งแย่งอำนาจของคนในราชวงศ์

        แม้นางจะเคยช่วยเขาเพียงเล็กน้อยเมื่อคราวก่อนที่พบกัน แต่ก็คอยระมัดระวังไม่เข้าใกล้เขามาโดยตลอด

        ฉู่เหลียนยอบกายคารวะเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับ…คำชม

        “หากจิ่นอ๋องไม่มีกิจใดกับกระหม่อมแล้ว กระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ” ซุนกงกงกล่าวด้วยความนอบน้อม

        ฉู่เหลียนกำลังจะหมุนกายจากไปแล้ว แต่จิ่นอ๋องกลับก้าวเข้ามาใกล้และหันไปมองซุนกงกง ขันทีเยาว์วัยรีบก้มหน้าถอยกรูดไปสองสามก้าวรออยู่ที่ด้านข้างแทน

        จิ่นอ๋องมีส่วนสูงพอ ๆ กับเฮ่อฉางตี้ เมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าฉู่เหลียนก็คล้ายกับมีเมฆครึ้มปกคลุมร่างของนาง

        จิ่นอ๋องก้มหน้ามองนาง สีหน้าเรียบนิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกใด แม้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจะดูอ่อนโยน แต่ทุกถ้อยคำกลับทำให้ร่างกายฉู่เหลียนแทบจะแข็งกลายเป็นหินไปชั่วขณะ

        “จินอี่ เจ้าช่วยข้าผู้เป็นอ๋องไว้ เจ้าย่อมนับเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง แต่ข้าผู้เป็นอ๋องขอเตือนมิให้เจ้ากระทำการใดที่เกินควร แม้ใจเจ้าอาจจะปรารถนาสิ่งใด ทว่าจงคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจกระทำ”

        คิ้วเรียวของฉู่เหลียนมุ่นเข้าหากัน “จิ่นอ๋อง หม่อมฉันไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัสเพคะ”

        “หากเจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็คิดให้มากขึ้นอีก!” จิ่นอ๋องใช้ดวงตาสีอ่อนที่ไม่ไหวติงตักเตือนฉู่เหลียน

        แม้ฉู่เหลียนจะไม่แสดงสีหน้าใดกลับไป แต่ในใจกลับแทบเอาหัวโขกกำแพงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่มันอะไรกัน?! เรื่องบ้าบอคอแตกอะไรที่นางเผลอไปทำให้จิ่นอ๋องเกิดความสงสัยในตัวนาง? หรือเขาก็บ้าไปด้วยอีกคนแล้วหรือ?

        ฉู่เหลียนระลึกได้ว่าตั้งแต่มาถึงราชวงศ์อู่ นางก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดทำนองคลองธรรม ทว่านางกลับเพิ่งจะถูกตำหนิจากจิ่นอ๋องที่นางเพิ่งจะมีโอกาสพบแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! กระทั่งคนที่ใจดีที่สุดก็ยังมีขีดจำกัดความอดทนอยู่นะ! ฉู่เหลียนไม่อยากจะเสแสร้งแกล้งสุภาพกับจิ่นอ๋องอีกต่อไป นางพองแก้มขึ้นขณะมองเขา “หม่อมฉันจะไตร่ตรองในรับสั่งของจิ่นอ๋องให้ดีอีกครายามถึงจวนเพคะ หม่อมฉันไม่บังอาจรบกวนให้ท่านอ๋องต้องเดือดร้อนตัวเองด้วยเรื่องของหม่อมฉัน! ”

        เมื่อกล่าวจบ นางก็หันกายวิ่งจากไป ทำให้จิ่นอ๋องตะลึงไปครู่หนึ่ง

        ซุนกงกงเห็นสถานการณ์ดูน่ากระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย เมื่อคารวะจิ่นอ๋องแล้ว เขาก็วิ่งไล่ตามนางไป ร้องตะโกน “ท่านหญิง ช้าลงหน่อยเถิดขอรับ ผิดทางแล้วขอรับ ท้องพระโรงมิใช่ทางนั้น!”

        ฉู่เหลียนทำได้เพียงหมุนกายวิ่งไปยังทิศทางที่ถูกต้อง ทว่าใครจะคิดว่าพื้นอำพันนี้จะลื่นขนาดนี้เล่า? เนื่องจากการเคลื่อนที่ที่เร็วเกินไป และชุดพิธีการที่มีหลายชั้น จึงทำให้นางเผลอเหยียบชายกระโปรงโดยไม่ตั้งใจ…และล้มลงบนพื้น…

 

——————————————————————-

        [1] ระดับกงจู่ คือ พระธิดาในองค์ฮ่องเต้ 

        [2] ระดับจวิ้นจู่ คือ พระธิดาในองค์รัชทายาท 

        [3] เสี้ยนจู่ คือ พระธิดาในท่านอ๋อง

        [4]เสี้ยนจวิน คือ ท่านหญิงแต่งตั้ง

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 86 พบเหตุพระราชวัง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 86 พบเหตุพระราชวัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        เมื่อเหล่าสาวใช้ได้ยินว่านายหญิงสามคิดของว่างชนิดใหม่อีกแล้ว พวกนางต่างก็ตื่นเต้น และเร่งเตรียมการด้วยรอยยิ้มกว้างเต็มหน้า เก็บของในครัวสร้างพื้นที่และเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมอบขนม

        การทำขนมไหว้พระจันทร์ไม่ยากเกินไป ตราบใดที่มีวัตถุดิบที่ถูกต้องก็สามารถทำได้ และง่ายดายยิ่งกว่าจิงปาเจี้ยนมาก แต่เนื่องจากระยะเวลาเตรียมตัวค่อนข้างสั้น วัตถุดิบมีจำกัด ไส้ขนมไหว้พระจันทร์ของฉู่เหลียนจึงมีเพียงไข่แดง หมูรมควัน ถั่วบด เมล็ดสน และพุทราบดเท่านั้น

        นางสั่งฉีเยี่ยนให้ไปรับแม่พิมพ์สำหรับขนมไหว้พระจันทร์ที่สั่งทำไว้ออกมา จากนั้นก็ห่อไส้ใส่แป้งขนมไหว้พระจันทร์ สร้างลวดลายงดงามบนแป้งนุ่ม สุดท้ายจึงนำขนมไหว้พระจันทร์เข้าเตาอบก็เป็นอันเสร็จสิ้น

        การขึ้นทรงขนมไหว้พระจันทร์แบบกวางตั้งนั้นทำได้ง่ายมาก เมื่ออบเสร็จแล้ว เปลือกนอกของขนมจะทั้งกรอบทั้งนุ่ม และมีรูปทรงน่ารักประณีต

        เนื่องจากสิ่งนี้ไม่เคยมีอยู่หรือถูกจัดในของว่างตามธรรมเนียมของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงในราชวงศ์อู่ ฉู่เหลียนจึงไม่ได้ทำขนมไหว้พระจันทร์ออกมาเยอะนัก เกรงว่าจะแย่งความสนใจจากขนมตั้นเกา อีกทั้งนางก็มิได้ส่งขนมไหว้พระจันทร์ไปให้เรือนอื่นเช่นกัน เพียงแต่จัดเตรียมให้เพียงพอกับคนในเรือนตนเพื่อตอบสนองต่อความพึงพอใจของตัวนางเองเท่านั้น

        ฉู่เหลียนทำขนมไหว้พระจันทร์แต่ละชิ้นออกมามีขนาดเทียบเท่ากับลิ้นจี่ลูกหนึ่ง ที่สำคัญคือสามารถทานได้หมดภายในคำหรือสองคำ นับว่าสะดวกมากทีเดียว

        เมื่อทำขนมไหว้พระจันทร์เสร็จ ฉู่เหลียนก็ผลัดเปลี่ยนเป็นชุดท่านหญิงตราตั้งขั้นห้าโดยมีจิ่งเยี่ยนแต่งตัวให้ พร้อมติดประดับเครื่องประดับที่เข้าชุดกัน เมื่อเสร็จแล้ว เหลียวหมัวมัวก็เข้ามาเชิญนางไปยังเรือนนอก

        ก่อนออกไป ฉีเยี่ยนมองขนมไหว้พระจันทร์ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วถาม “นายหญิงสาม ท่านต้องการนำขนมไหว้พระจันทร์ไปทานระหว่างทางด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”

        เหลียวหมัวมัวเพิ่งบอกฉู่เหลียนว่างานเลี้ยงวันนี้จะจัดยาวไปจนถึงกลางคืน คงจะต้องกลับจวนดึกเป็นแน่ นางจึงควรนำสิ่งของที่อาจจำเป็นต้องใช้ติดตัวไปด้วย เนื่องจากพระราชวังไม่เหมือนที่อื่น ๆ มีกฎเกณฑ์มากมายและไม่สะดวกสบายอย่างที่คิด เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว ฉู่เหลียนก็พยักหน้า “เอามาหลายชิ้นหน่อย และเตรียมเสื้อผ้าไปเผื่อไว้ด้วย”

        ฉีเยี่ยนเอาขนมไหว้พระจันทร์ทั้งจานใส่กล่อง และนำเอากระเป๋าปักสีม่วงอมชมพูปักลายบงกชออกมา แล้วจึงรีบหยิบขนมไหว้พระจันทร์สามชิ้นใส่มือฉู่เหลียน

        ฉู่เหลียนเห็นการกระทำของฉีเยี่ยน นางก็แทบจะระเบิดหัวเราะออกมา “ทำไมกัน? เกรงว่านายหญิงของเจ้าจะหิวตายหรือ? ”

        ฉีเยี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย นิสัยแปลก ๆ ของฉีเยี่ยนต้องโทษฉู่เหลียนทั้งนั้น เหตุที่นางมักชอบนำขนมติดตัวไปไหนต่อไหนทุกคราวที่ออกนอกจวนก็เป็นเพราะฉู่เหลียนที่สั่งสาวใช้ให้เตรียมถึงของว่างนี้ไว้ตั้งแต่ต้น

        ฉู่เหลียนนำกระเป๋าออกมา เติมเนื้อตากแห้งลงไป กุ้ยหมัวมัวอดมองไม่ได้ คิดในใจว่าสมควรเตือน จึงเอ่ยปาก “นายหญิงสามเจ้าคะ จวนสายแล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกแล้วเจ้าค่ะ”

        เมื่อพวกนางเดินไปถึงเรือนนอกก็เห็นพ่อบ้านตระเตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฮ่อเหล่าไท่จวินเองก็นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ พร้อมสาวใช้มู่เซียงและจ้าวหมัวมัว โดยมีโจวซื่อนั่งอยู่ข้าง ๆ

        โจวซื่อไม่ได้เปลี่ยนไปใส่ชุดพิธีการแต่อย่างใด งานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงถูกจัดขึ้นในช่วงบ่ายแก่ ๆ  นางจึงต้องรอเวลาจนกว่าจะได้เข้าวัง ส่วนเฮ่อเหล่าไท่จวินนั้นเร่งพาฉู่เหลียนเข้าวังตั้งแต่ช่วงบ่ายต้น เนื่องด้วยเกรงว่าฉู่เหลียนอาจจะก่อเรื่องขึ้นเมื่อยามกล่าวขอบคุณฮ่องเต้ซึ่งนี่เป็นการเข้าวังครั้งแรกอย่างเป็นทางการของนาง อีกประการหนึ่ง เฮ่อเหล่าไท่จวินอยากหาโอกาสสนทนากับไทเฮาผู้เป็นสหายเก่า เพื่อที่จะได้แนะนำหลานสะใภ้สามให้ไทเฮาได้รู้จักและทำความคุ้นเคย

        เมื่อโจวซื่อเห็นฉู่เหลียนเข้ามาพร้อมสาวใช้ นางอดมิได้ให้มองน้องสะใภ้สามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ฉู่เหลียนในตอนนี้กำลังสวมใส่ชุดพิธีการ แม้จะเป็นเพียงท่านหญิงตราตั้งขั้นห้า ทว่าการแต่งกายก็ดูแตกต่างกับชุดฮูหยินของขุนนางทั่วไปแล้ว

        ……

        ชุดพิธีการของฮูหยินขุนนางตั้งแต่ขั้นหนึ่งไปจนถึงขั้นสุดท้ายล้วนแต่เป็นสีเข้ม โดยรูปแบบต่าง ๆ นั้นถูกสืบทอดมาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน  กระทั่งสตรีที่ยังอ่อนวัยเมื่อแต่งกายเช่นนี้ก็ทำให้ดูแก่ขึ้นได้เช่นกัน

        ทว่าชุดพิธีการของสตรีผู้เป็นบุคคลในราชวงศ์ ตั้งแต่ระดับกงจู่[1] จวิ้นจู่[2] เสี้ยนจู่[3] และเสี้ยนจวิน[4] ล้วนแต่เป็นรูปแบบใหม่ล่าสุด ชุดท่านหญิงแต่งตั้งมีสีม่วงอมชมพู ปักลายดอกไม้สีทองที่ปกคอและแขนเสื้อ ชิ้นส่วนหลักมีสีแดงสดใสทอลายอันประณีตซับซ้อน อีกทั้งยังเย็บลายดอกมู่ตานทับลายทอสีทองอีกทีหนึ่ง สีสันสดใสเช่นนี้เหมาะสมกับฉู่เหลียนนัก นอกจากนี้ยังมีผ้าคาดเอวที่ช่วยทำให้ทรวดทรงของนางยิ่งดูผอมบางยิ่งขึ้น

        หนึ่งในปิ่นหยกที่ฮ่องเต้พระราชทานประดับอยู่บนศีรษะ เสริมให้ทรงผมนั้นยิ่งงดงามอย่างสมบูรณ์แบบ แสดงให้เห็นถึงความเป็นสตรีที่กำลังเบ่งบาน และละทิ้งความเยาว์วัยไป

        เมื่อแรกเห็นฉู่เหลียน ใจของเฮ่อเหล่าไท่จวินก็แทบหลุดล่องลอย นางลอบพยักหน้าในใจ และชื่นชมความงามของภริยาซานหลาง

        ผู้งดงามย่อมเป็นที่รักของผู้พบเห็น เฮ่อเหล่าไท่จวินหัวเราะพร้อมทั้งไกวมือเรียกฉู่เหลียน “หลานสะใภ้สาม มานั่งข้างย่านี่ ให้ย่าได้มองเจ้าชัด ๆ เสียหน่อยเถิด ”

        เมื่อฉู่เหลียนคารวะเฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่อแล้ว นางก็รีบนั่งลงที่ข้างกายของเฮ่อเหล่าไท่จวินทันที

        เหล่าไท่จวินมองนางด้วยความพอใจก่อนจะช่วยจัดปิ่นหยกบนศีรษะที่หมิ่นเหม่ให้เข้ารูปเข้ารอย

        แม้บนใบหน้าโจวซื่อจะมีร่องรอยของรอยยิ้ม แต่ในใจนางกลับมิได้สงบนิ่งหรือยินดีดังที่แสดงออก ทั้งยังต้องพยายามกดข่มความโมโหลงแล้วกล่าว “น้องสะใภ้สาม วันนี้จำต้องเข้าเตรียมการเพื่อกล่าวขอบคุณต่อองค์ฮ่องเต้ เจ้าปล่อยให้ท่านย่ารอคอยเช่นนี้ได้อย่างไร? ”

        ฉู่เหลียนชะงักงันไปชั่วครู่ นางไม่คาดว่าโจวซื่อจะสร้างปัญหาให้นางต่อหน้าเหล่าไท่จวิน

        อันที่จริงนางไม่ได้สายสักนิด เหล่าไท่จวินสั่งให้นางมาพบที่เรือนนอกในเวลานี้เพื่อจะได้ออกไปพร้อมกัน แต่เพราะท่านย่าอายุมากแล้วจึงตื่นเช้า และมาถึงจุดนัดพบก่อนหน้านางเพียงไม่นาน

        เมื่อได้ยินดังนั้น มือของเหล่าไท่จวินที่ยืดไปช่วยจัดผมฉู่เหลียนก็ชะงักทันควันเช่นกัน

        ส่วนฉู่เหลียนได้แต่แอบถอนใจในอกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ นางคงไม่เสียแรงเข้าขวางยามบ้านหลักเกิดไฟไหม้เป็นแน่

        เนื่องจากกำลังจะเข้าวังแล้ว นางจึงไม่อยากให้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้ จึงหันไปก้มหัวให้โจวซื่อ “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง คราวหน้าข้าจะจดจำไว้เจ้าค่ะ”

        เมื่อฉู่เหลียนผู้เป็นท่านหญิงตราตั้งขั้นห้าก้มหัวให้น้อมรับคำแนะนำ ความรู้สึกพึงพอใจก็ก่อตัวขึ้นในใจของโจวซื่อ นางรีบเปลี่ยนสีหน้าราวกับเป็นคนใจกว้าง ช่วยประคองฉู่เหลียนให้ลุกขึ้น “น้องสะใภ้สาม ข้ามิได้ตั้งใจจะตำหนิเจ้า เพียงแต่ท่านย่ามีอายุเพียงนี้แล้ว…ย่อมไม่ควรต้องพบปัญหาใด อีกหน่อยหากเกิดเหตุเช่นนี้อีก ข้าย่อมไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้”

        สีหน้าของฉู่เหลียนที่ก้มอยู่พลันเย็นชาขึ้น

        เหล่าไท่จวินมองเหตุการณ์ทั้งหมดและประจักษ์แก่ใจตัว นางกะพริบตาแล้วกล่าว “เอาล่ะ ถึงเวลาต้องไปแล้ว หลานสะใภ้สามไปกันเถิด”

        โจวซื่อมองฉู่เหลียนที่ช่วยประคองเฮ่อเหล่าไท่จวินขึ้นรถม้าก่อนจะหันกลับเรือนของตน มือของหญิงสาวคู่นั้นบิดผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าทะเลสาบแน่นจนตะเข็บปริขาด

        เมื่อรถม้าของสองย่าหลานเดินทางมาถึงประตูจูเฉว่ ฉู่เหลียนก็ช่วยเหล่าไท่จวินลงจากรถ จากนั้นพวกนางก็ขึ้นเกี้ยวที่ไทเฮาได้จัดเตรียมไว้ให้ เมื่อนั่งไปจนถึงประตูทิศใต้ของวังหลัง ขันทีผู้หนึ่งก็ได้มายืนรอต้อนรับ

        เบื้องหน้าของฉู่เหลียนปรากฏเป็นหลังคากระเบื้องแดง กำแพงเขียว คานค้ำสูงใหญ่ พร้อมด้วยผนังแกะสลักลาย และกระเบื้องแก้วใสที่ส่องประกายรับแสงอาทิตย์ ช่างเป็นทิวทัศน์อันงดงามที่แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ของราชวงศ์อู่

        เฮ่อเหล่าไท่จวินตั้งใจจะตามฉู่เหลียนเข้าไปเพื่อขอบคุณฮ่องเต้ ทว่าขันทีวัยกลางคนกลับรั้งไว้เสียก่อน

        “เฮ่อเหล่าไท่จวิน โปรดตามข้าไปยังเรือนในของไทเฮาเถิดขอรับ ไทเฮาทรงรอท่านตั้งแต่เช้าแล้ว”

        เหล่าไท่จวินถอนใจ คิดอยู่แล้วเชียวว่าจะเป็นเช่นนี้ โชคดีนักที่นางสอนธรรมเนียมต่าง ๆ ในวังให้ฉู่เหลียนตั้งแต่บนรถม้า ยามนี้ทำได้เพียงตบหลังมือเล็ก ๆ เพื่อปลอบขวัญ และหวังเพียงใจฉู่เหลียนจะใหญ่พอให้พร้อมรับสถานการณ์ที่รออยู่

        เมื่อเหล่าไท่จวินไม่อาจเข้าพบฮ่องเต้ได้ สาวใช้เช่นฉีเยี่ยนและกุ้ยหมัวมัวก็ถูกกันไว้ที่ศาลาอีกทางหนึ่ง มีเพียงฉู่เหลียนเท่านั้นที่เดินตามขันทีวัยเยาว์จากวังในเข้าไปยังท้องพระโรง

        ทางเดินกระเบื้องทองสะท้อนภาพเงาฉู่เหลียนราวกับกระจก บนพื้นเช่นนี้ทำให้นางไม่กล้าเดินไวเกินไป เกรงว่าจะล้มลง นี่จึงเป็นเหมือนการเดินเท้าอันยาวนานที่แสนจะทรมานสำหรับนาง

        ยามนี้ใกล้จะได้เข้าพบกับผู้นำแห่งราชวงศ์อู่ ฮ่องเต้ผู้ครอบครองอาณาจักรแห่งนี้ ผู้ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ หากจะบอกว่าไม่กังวลก็ย่อมเป็นการโกหกแล้ว ส่วนฉู่เหลียนที่ไม่ได้เกิดในยุคนี้ แม้นางจะเคารพสถาบันกษัตริย์ ทว่าก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรมากมาย

        “ซุนกงกง ท่านจะพาท่านหญิงจินอี่ไปไหนหรือ?”

        ทันใดนั้น เสียงนุ่มเบาที่ดูหนักแน่นดังขึ้นจากด้านหลัง ฉู่เหลียนและขันทีที่นำทางหันกลับไปพร้อม ๆ กัน ก็พบกับเจ้าของเสียงที่เป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงยืนอยู่เหนือขั้นบันไดขาว ผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีฟ้าอันโดดเด่น นางจะลืมดวงตาคู่นั้นได้อย่างไร?

        ซุนกงกงคารวะจิ่นอ๋อง “เรียนจิ่นอ๋อง กระหม่อมกำลังนำทางท่านหญิงจินอี่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”

        ดวงตาจิ่นอ๋องตวัดมองฉู่เหลียนราวกับกำลังตรวจสอบบางสิ่งจนทำให้ฉู่เหลียนอดรู้สึกไม่สบายใจนัก “อย่างน้อยคราวนี้เจ้าก็แต่งตัวได้ดีขึ้นนะ”

        ฉู่เหลียนนิ่งงันด้วยความงุนงง ดวงตาโตเบิกกว้างอย่างแปลกใจ อะไรนะ? นี่จิ่นอ๋องกำลังวิจารณ์การแต่งตัวของนางหรือ? นางไปสนิทสนมกับจิ่นอ๋องตั้งแต่เมื่อไรกัน?

        ฉู่เหลียนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกราชวงศ์เลยสักนิด โดยเฉพาะบรรดาบุตรธิดาของฮ่องเต้ พวกนี้เป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ นางย่อมไม่อยากติดอยู่ท่ามกลางวังวนแห่งการแก่งแย่งอำนาจของคนในราชวงศ์

        แม้นางจะเคยช่วยเขาเพียงเล็กน้อยเมื่อคราวก่อนที่พบกัน แต่ก็คอยระมัดระวังไม่เข้าใกล้เขามาโดยตลอด

        ฉู่เหลียนยอบกายคารวะเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับ…คำชม

        “หากจิ่นอ๋องไม่มีกิจใดกับกระหม่อมแล้ว กระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ” ซุนกงกงกล่าวด้วยความนอบน้อม

        ฉู่เหลียนกำลังจะหมุนกายจากไปแล้ว แต่จิ่นอ๋องกลับก้าวเข้ามาใกล้และหันไปมองซุนกงกง ขันทีเยาว์วัยรีบก้มหน้าถอยกรูดไปสองสามก้าวรออยู่ที่ด้านข้างแทน

        จิ่นอ๋องมีส่วนสูงพอ ๆ กับเฮ่อฉางตี้ เมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าฉู่เหลียนก็คล้ายกับมีเมฆครึ้มปกคลุมร่างของนาง

        จิ่นอ๋องก้มหน้ามองนาง สีหน้าเรียบนิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกใด แม้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจะดูอ่อนโยน แต่ทุกถ้อยคำกลับทำให้ร่างกายฉู่เหลียนแทบจะแข็งกลายเป็นหินไปชั่วขณะ

        “จินอี่ เจ้าช่วยข้าผู้เป็นอ๋องไว้ เจ้าย่อมนับเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง แต่ข้าผู้เป็นอ๋องขอเตือนมิให้เจ้ากระทำการใดที่เกินควร แม้ใจเจ้าอาจจะปรารถนาสิ่งใด ทว่าจงคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจกระทำ”

        คิ้วเรียวของฉู่เหลียนมุ่นเข้าหากัน “จิ่นอ๋อง หม่อมฉันไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัสเพคะ”

        “หากเจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็คิดให้มากขึ้นอีก!” จิ่นอ๋องใช้ดวงตาสีอ่อนที่ไม่ไหวติงตักเตือนฉู่เหลียน

        แม้ฉู่เหลียนจะไม่แสดงสีหน้าใดกลับไป แต่ในใจกลับแทบเอาหัวโขกกำแพงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่มันอะไรกัน?! เรื่องบ้าบอคอแตกอะไรที่นางเผลอไปทำให้จิ่นอ๋องเกิดความสงสัยในตัวนาง? หรือเขาก็บ้าไปด้วยอีกคนแล้วหรือ?

        ฉู่เหลียนระลึกได้ว่าตั้งแต่มาถึงราชวงศ์อู่ นางก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดทำนองคลองธรรม ทว่านางกลับเพิ่งจะถูกตำหนิจากจิ่นอ๋องที่นางเพิ่งจะมีโอกาสพบแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! กระทั่งคนที่ใจดีที่สุดก็ยังมีขีดจำกัดความอดทนอยู่นะ! ฉู่เหลียนไม่อยากจะเสแสร้งแกล้งสุภาพกับจิ่นอ๋องอีกต่อไป นางพองแก้มขึ้นขณะมองเขา “หม่อมฉันจะไตร่ตรองในรับสั่งของจิ่นอ๋องให้ดีอีกครายามถึงจวนเพคะ หม่อมฉันไม่บังอาจรบกวนให้ท่านอ๋องต้องเดือดร้อนตัวเองด้วยเรื่องของหม่อมฉัน! ”

        เมื่อกล่าวจบ นางก็หันกายวิ่งจากไป ทำให้จิ่นอ๋องตะลึงไปครู่หนึ่ง

        ซุนกงกงเห็นสถานการณ์ดูน่ากระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย เมื่อคารวะจิ่นอ๋องแล้ว เขาก็วิ่งไล่ตามนางไป ร้องตะโกน “ท่านหญิง ช้าลงหน่อยเถิดขอรับ ผิดทางแล้วขอรับ ท้องพระโรงมิใช่ทางนั้น!”

        ฉู่เหลียนทำได้เพียงหมุนกายวิ่งไปยังทิศทางที่ถูกต้อง ทว่าใครจะคิดว่าพื้นอำพันนี้จะลื่นขนาดนี้เล่า? เนื่องจากการเคลื่อนที่ที่เร็วเกินไป และชุดพิธีการที่มีหลายชั้น จึงทำให้นางเผลอเหยียบชายกระโปรงโดยไม่ตั้งใจ…และล้มลงบนพื้น…

 

——————————————————————-

        [1] ระดับกงจู่ คือ พระธิดาในองค์ฮ่องเต้ 

        [2] ระดับจวิ้นจู่ คือ พระธิดาในองค์รัชทายาท 

        [3] เสี้ยนจู่ คือ พระธิดาในท่านอ๋อง

        [4]เสี้ยนจวิน คือ ท่านหญิงแต่งตั้ง

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+