[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 68 พริก

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 68 พริก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       โจวซื่อตกปากรับคำที่จะช่วยดูแลน้องสะใภ้สามตามที่แม่สามีร้องขอแม้นางจะไม่พอใจอยู่เนือง ๆ ก็ตาม หลังจากนั้นจึงเดินออกจากเรือนฮูหยินจิ่งอันป๋อด้วยสีหน้าเกร็งเขม็งน่าหวาดกลัว บ่าวรับใช้ที่ตามหลังล้วนแต่กลัวเสียจนไม่กล้าหายใจ

        ทันใดนั้นโจวซื่อหยุดชะงัก หันไปถามหมัวมัวด้านหลัง “เป็นอย่างไร? มีข่าวจากเรือนซงเถาหรือไม่?”

        หมัวมัวผู้นี้ย่อมทราบดีว่ายามนี้นายหญิงของตนไม่ได้อารมณ์ดีนัก ไม่ว่าสิ่งใดก็อาจทำให้นางรู้สึกแย่ลงได้ทั้งนั้น หมัวมัวถอนหายใจและตอบกลับไปโดยไม่เกรงกลัว “นายหญิงใหญ่วางใจได้ บ่าวได้ยินว่านายหญิงสามยังทำตัวตามปกติเหมือนดั่งเคยเจ้าค่ะ”

        เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจแล้ว ปมในใจโจวซื่อก็คลายลงในที่สุด

        โชคดีเหลือเกิน โชคดีนักที่ฉู่เหลียนยังมิได้ตั้งครรภ์ หากฉู่เหลียนเกิดตั้งครรภ์ได้บุตรชายคนโต นางจะมีหน้าถือตำแหน่งฮูหยินจิ่งอันซื่อจื่ออยู่ได้อย่างไร?

        “ดีแล้ว แล้วซื่อจื่อได้บอกหรือไม่ว่าวันนี้จะกลับเมื่อใด?”

        หนึ่งในสาวใช้ด้านหลังตอบ “จิ่งอันซื่อจื่อกล่าวว่าเช้าวันนี้จะไปวัดหงลู่ คล้ายว่ามีนัดพบปะกับสหายต่างแดนเจ้าค่ะ ตอนออกไปยังได้แจ้งว่าไม่ต้องรอทานอาหารกลางวันนะเจ้าคะ”

        “สั่งทางครัวให้เตรียมอาหารในส่วนของเขาไว้ อาหารจากร้านด้านนอกจะเทียบอาหารที่จวนเราได้อย่างไร?”

        “เจ้าค่ะนายหญิงใหญ่”

        หมัวมัวของนางเดินตามมาเพื่อช่วยประคองท่อนแขนของโจวซื่อ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความรู้สึกบางอย่าง “นายหญิงใหญ่รอบคอบอยู่เสมอ บ่าวเชื่อว่ายามที่จิ่งอันซื่อจื่อกลับมาย่อมต้องรู้สึกได้ถึงความอุตสาหะของนายหญิงใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ”

        สีหน้าโจวซื่อยังดูหมองหม่นอยู่บ้างยามได้ยินคำดังนั้นจากบ่าวที่เชื่อใจ

        ต้าหลางปฏิบัติต่อนางดียิ่ง หากร่างกายนางไม่พร้อม เขาก็เพียงนอนในห้องหนังสือ และไม่เคยเรียกสาวใช้มาช่วยบำบัดความปรารถนาให้ตน นางย่อมมิอาจหาบุรุษใดที่ดีงามและควบคุมตนเองได้ดีอย่างเขาอีกแล้วในเมืองหลวงนี้

        หนึ่งในกฎของจวนจิ่งอัน คือห้ามบุรุษรับอนุ ตราบใดที่บุรุษผู้นั้นยังอายุไม่ถึงสามสิบ สำหรับต้าหลางเรียกได้ว่าอายุใกล้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดนั้นแล้ว ตัวนางเองก็ยังมิอาจให้กำเนิดบุตรชายแก่เขาได้ นางจึงหวาดหวั่นใจ หรือชีวิตคู่อันสงบสุข รักใคร่กลมเกลียวนี้ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้หรือ?

        ยิ่งคิดเท่าใด ในใจของนางก็ยิ่งเต็มไปด้วยความวิตก เฮ่อฉางฉีย่อมต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์จิ่งอันป๋อ แต่เขาจะไม่มีบุตรชายได้อย่างไร?!

        แม้เฮ่อฉางฉีจะไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ แต่ท่านป๋อและฮูหยินจิ่งอันป๋อ รวมทั้งเฮ่อเหล่าไท่จวินย่อมใส่ใจเป็นแน่

 

        เหล้าองุ่นที่ฉู่เหลียนบ่มไว้เมื่อหลายวันก่อนยามนี้สมควรดื่มได้แล้ว ทว่ากุ้ยหมัวมัวกลับส่งไปให้เฮ่อฉางตี้โดยพลการไหหนึ่ง ทำให้ฉู่เหลียนโมโหนิดหน่อย จึงนำเอาเหล้าองุ่นไหที่เหลือมาดื่มคู่กับอาหารมื้อกลางวัน

        แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ นางทานมากเกินไปจนทำให้ตอนนี้ท้องอืด หากนอนกลางวันเลยย่อมไม่ดีต่อร่างกาย นางจึงพาเวิ่นฉิงกับจิ่งเยี่ยนไปเดินเล่นในสวนเพื่อรอย่อยอาหาร

        แม้ยามนี้ใกล้เข้าสู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ทว่าข้างนอกก็ยังร้อนอยู่บ้าง ฉู่เหลียนจึงชอบเดินเล่นอยู่ภายในจวน ซึ่งเป็นทางเดินที่เชื่อมเรือนในกับเรือนนอกเข้าหากันและมีความร่มเย็นกว่ามาก

        ที่ตรงนั้นยังมีโต๊ะเก้าอี้หินตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ใกล้ประตูเข้าออก ฉู่เหลียนหยุดเดินและนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนคิดจะกลับไปนอนกลางวันที่เรือนตน

        ทันทีที่ฉู่เหลียนนั่งลง ก็ได้ยินเสียงการสนทนาจากเรือนนอก และใครจะทราบว่าแผนการเดิมของนางจะชะงักไปเพียงเพราะอยากรู้เรื่องราวตรงนั้นเล่า?

        “จิ่งอันซื่อจื่อขอรับ เราจะทำอย่างไรกับรถขนพริกนี้ดีขอรับ? ท่านใจอ่อนเกินไปแล้วนะขอรับ ซื้อของทั้งหมดนี่เพียงเพราะคนต่างแดนนั่นกล่าวว่าไม่มีเงินพอกลับไป!”

        “นำไปให้พ่อบ้านของจวน หากไร้ประโยชน์จริง ๆ ก็แค่ทิ้งไปเสีย เด็กคนนั้นน่าสงสารนัก ข้าเพียงต้องการมอบเงินให้เขาได้กลับบ้านเท่านั้น” เสียงห้าวของต้าหลางกล่าว

        ฉู่เหลียนไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกัน ทว่ายังจำเสียงพี่ใหญ่ได้ เลยสงสัยอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงส่งเวิ่นฉิงเข้าไปถามหาความ

        ไม่นาน เฮ่อฉางฉีก็เดินเข้ามาพร้อมบ่าวรับใช้คังโส่ว

        ฉู่เหลียนรีบลุกขึ้นทักทายเขา

        “น้องสะใภ้สาม เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ยามกลางวันเช่นนี้ได้”

        ฉู่เหลียนยิ้ม “ตอบพี่ใหญ่ ข้าทานอาหารกลางวันมากเกินไป เลยมาเดินเล่นในสวนเพื่อย่อยอาหารเจ้าค่ะ เดินมาเรื่อย ๆ จนได้ยินเสียงพี่ใหญ่ที่ด้านนอก เลยส่งบ่าวไปตรวจสอบดู พี่ใหญ่ไปไหนมาเจ้าคะ? และได้ทานอาหารกลางวันแล้วหรือยัง?”

        ฉู่เหลียนดูอ่อนหวานงดงาม โดยปกติยามอยู่ในจวนจิ่งอัน นางมักเป็นคนเงียบ ๆ และเชื่อฟังผู้คน ทั้งยังได้รับคำชื่นชมมากมายยามไปจวนติ้งหยวน เฮ่อฉางฉีจึงมองน้องสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าคนนี้ในแง่ดีไม่น้อย นอกจากนั้นเขายังเป็นพี่ใหญ่ผู้รักใคร่น้อง ๆ คนในครอบครัวเป็นอย่างมาก แม้ภายนอกจะดูดุดันไปบ้าง ทว่ากลับมีจิตใจดีงามยิ่ง ฉู่เหลียนเองก็เป็นภรรยาของน้องชาย ด้วยนิสัยของเฮ่อฉางฉี เขาจึงปฏิบัติต่อนางดุจน้องสาวแท้ ๆ

        “ข้าทานข้าวเที่ยงมาเรียบร้อยแล้ว และยังไปที่วัดหงลู่มาเมื่อเช้าเพื่อพบสหายต่างแดน น้องสะใภ้สาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนต่างแดนเหล่านั้นมีเส้นผมสีแดงและดวงตาสีเขียว!”

        เฮ่อฉางฉีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำให้ดวงตาฉู่เหลียนฉายแววสนใจตามคำพูดของพี่ชายที่เบื้องหน้า

        “พี่ใหญ่ ท่านได้ทานอาหารที่คนต่างแดนทำหรือไม่เจ้าคะ?”

        “แน่นอน!”

        “อาหารของพวกเขาแตกต่างจากที่เราทานหรือไม่เจ้าคะ?”

        ได้ยินฉู่เหลียนถามดังนั้น เฮ่อฉางฉีพลันมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เมื่อดูในภาพรวมผิวสีแทนและร่างสูงใหญ่ของเขา ยามนี้ดูราวกับหมียักษ์กำลังงอนอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วตลกเหลือเกิน ทว่าฉู่เหลียนและสาวใช้ของนางต่างอดกลั้นไว้มิให้หัวเราะออกมา เนื่องจากสถานะที่แตกต่างกันนั้น

        “อาหารนั่น… เอ่อ… อย่าพูดถึงมันดีกว่า…”

        รสชาติย่ำแย่เสียจนเขาอยากร้องไห้เลยแหละ พอได้ลองทานอาหารประหลาดนั่นแล้ว เฮ่อฉางฉีก็เริ่มสงสารคนต่างแดนเหล่านั้นขึ้นมา ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมเสียเงินหลายสิบตำลึงเพื่อซื้อ ‘พริก’ ที่ไร้ประโยชน์มาทั้งคันรถเป็นแน่

        เขายังจำได้ว่าคนต่างแดนพวกนั้นกล่าวว่า ‘พริก’ เป็นอาหารประเภทหนึ่ง ทว่ายามเขาและคังโส่วกัดเข้าไปคำหนึ่ง ปากเขาก็แทบจะลุกเป็นไฟ! จนทำให้พวกเขาต้องดื่มชาไปสองถ้วยเต็ม ๆ จึงจะพอบรรเทาความรู้สึกคล้ายลุกไหม้บนลิ้นลงไปได้บ้าง

        เมื่อเห็นดวงตาแวววาวของน้องสะใภ้คู่นั้นเปล่งประกายด้วยความสงสัยอีก เฮ่อฉางฉีพลันเกิดความคิดบางอย่าง

        “จริงสิ วันนี้ข้ายังซื้อของบางสิ่งจากคนต่างแดนเหล่านั้นมาด้วย พวกนั้นบอกข้าว่ามันเป็นอาหารประเภทหนึ่ง น้องสะใภ้อยากดูหรือไม่?”

        ฉู่เหลียนกำลังสงสัยสุดขีด จะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า?

        นางจึงตามเฮ่อฉางฉีเดินออกประตูไปยังเรือนนอก

        เฮ่อฉางฉีโบกมือให้บ่าวชายสองคนนำของออกมาจากรถม้า และเดินนำนางไป เมื่อเข้าไปใกล้พอ เขาก็หยิบกระสอบขึ้นมาเปิดให้นางดูเอง

        ฉู่เหลียนมองเข้าไป เห็นในถุงเต็มไปด้วยพริกแห้ง เปลือกของมันเป็นสีแดงเงางาม ทั้งยังมีขนาดเล็กอีกด้วย น่ารัก!

        ฉู่เหลียนพยายามใจเย็นลง และถาม “พี่ใหญ่ ของเหล่านี้คืออะไรหรือเจ้าคะ?”

        เฮ่อฉางฉีที่มองว่าของเหล่านี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง จึงทำเพียงบิดปากถุงแล้วโยนกลับเข้าไปในรถม้า “คนต่างแดนที่ขายสิ่งนี้ให้ข้าเรียกมันว่าพริกน่ะ”

        ฉู่เหลียนกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ที่เริ่มหลั่งไหลมารวมกันในปาก “อืม… ข้าสงสัยว่า…พี่ใหญ่จะแบ่งพริกเหล่านี้ให้ข้าบ้างได้หรือไม่เจ้าคะ? ข้าอยากได้มาทำอาหารเจ้าค่ะ”

        เอามาทำอาหาร?

        เมื่อฉู่เหลียนเอ่ยถึงอาหาร เฮ่อฉางฉีก็นึกถึงขนมที่นางทำเมื่อหลายวันก่อน ถึงอย่างไรพริกเหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขา เหตุใดถึงจะมอบให้ฉู่เหลียนไม่ได้เล่า?

        “น้องสะใภ้สาม หากเจ้าอยากได้ ข้ายกให้ทั้งหมดเลย เพราะของสิ่งนี้ไร้ประโยชน์สำหรับข้ายิ่งนัก”

        ฉู่เหลียนไม่คิดว่าพี่ใหญ่ของนางจะมอบของทั้งหมดนี้ให้อย่างง่ายดาย จึงตกตะลึงไปเล็กน้อย นางกำลังจะกล่าวปฏิเสธ แต่แล้วบ่าวชายของเฮ่อฉางฉีก็เอ่ยขัด “นายหญิงสามขอรับ พริกเหล่านี้ไม่ได้มีค่าเท่าใดนัก เป็นเพียงสินค้าที่เด็กหนุ่มคนต่างแดนนำเข้ามาขายในเมืองหลวง เขาอยากขายได้ราคาดีหน่อย แต่มิคาดว่าจะไม่มีใครต้องการซื้อ ทั้งเขายังเร่งร้อนอยากกลับบ้าน จึงได้มาพบจิ่งอันซื่อจื่อเพื่อขอความช่วยเหลือ นายของบ่าวเกิดสงสารจึงมอบเงินตำลึงให้เขาไป เพื่อเขาจะได้กลับบ้านได้ รถขนพริกเหล่านี้เป็นเพียงตัวแถมเท่านั้น หากท่านไม่ต้องการ พ่อบ้านก็ต้องนำไปโยนทิ้งอยู่ดีขอรับ!”

        ฉู่เหลียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่ไม่มีใครรู้ว่าพริกเหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่ดีเพียงใด ไม่แปลกใจเลยที่คนต่างแดนขายได้เพียงเล็กน้อย

        ในเมื่อพวกเขาได้พริกมาในราคาแสนถูก ฉู่เหลียนจึงไม่ปฏิเสธต่อ บอกตามตรง พริกเต็มคันรถเหล่านี้จะสำแดงศักยภาพที่แฝงเร้นอยู่ภายในได้ล้วนต้องอาศัยฝีมือของนางเพียงผู้เดียว

        “เช่นนั้นน้องสะใภ้ต้องขอบคุณพี่ใหญ่เป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ หากข้าทำอาหารชนิดใหม่ด้วยพริกเหล่านี้สำเร็จแล้ว ข้าจะแบ่งไปให้พี่ใหญ่ได้ลองชิมนะเจ้าคะ!”

        “ตกลง คังโส่ว ไปเรียกสาวใช้มาสองคน ย้ายพริกทั้งหมดนี่ไปยังห้องครัวเรือนซงเถา”

        มอบเจ้าพริกที่เป็นตัวภาระให้แก่ฉู่เหลียนแล้ว เฮ่อฉางฉีก็สบายใจขึ้นมาก และเดินกลับไปยังเรือนของตนพร้อมบ่าวรับใช้

        แน่นอน โจวซื่อย่อมได้ข่าวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

        โจวซื่อนั่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยสีหน้าไม่พอใจ โกรธเคืองยิ่ง

        ทันทีที่เฮ่อฉางฉีก้าวเข้าสู่ห้องรับแขก ก็เห็นภรรยาที่นั่งหน้าขมุกขมัวอยู่ เขาจึงได้เดินไปหาและนั่งลงข้าง ๆ  “หยวนจิ่ง เกิดอะไรขึ้นหรือ? วันนี้มีบ่าวไพร่คนใดทำเจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือไม่?”

        โจวซื่อกลับยิ่งโมโหเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่านางไม่อาจแข็งใจระเบิดความเกรี้ยวกราดใส่สามีที่รักได้ลง ทำได้เพียงปรับสีหน้าให้นุ่มนวลขึ้น ถามเสียงเบา “ต้าหลาง วันนี้ท่านขนบางสิ่งมาเต็มรถม้าจากวัดหงลู่หรือ?”

        แม้เฮ่อฉางฉีจะดูหยาบกร้านเพียงใด ทว่ากลับละเอียดอ่อนต่อความหมายแฝงเบื้องหลังถ้อยคำเหล่านั้นของภรรยา ดังนั้น เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าภรรยาของตนเข้าใจผิดเสียแล้ว

        “โอ เจ้า! เจ้าคิดอะไรอยู่? สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงของที่เด็กต่างแดนขายไม่ออก เขานำเข้ามาขายในเมืองเรา ทว่า ผ่านไปครึ่งปีแล้วกลับไม่มีผู้ใดซื้อแม้แต่น้อย ข้าสงสารจึงจ่ายเงินไปยี่สิบตำลึงเพื่อซื้อทั้งหมดมา แค่เพียงต้องการมอบเงินให้เขาได้กลับบ้านเท่านั้น”

        เมื่อโจวซื่อได้ยินดังนั้นจึงผ่อนคลายลงบ้าง “มันคืออะไรหรือ?”

        “แค่รถขน ‘พริก’ เท่านั้น”

        สตรีนั้นมีความใจแคบอยู่บ้าง แม้กระทั่งโจวซื่อผู้เติบโตมาในจวนติ้งหยวนก็มิใช่ข้อยกเว้น

        นางทุบเฮ่อฉางฉีเบา ๆ “ถึงจะอย่างนั้นท่านก็มอบทั้งหมดให้น้องสะใภ้สามมิได้!”

        “หากข้าไม่มอบให้นาง จะให้ข้าโยนทั้งหมดทิ้งหรือ? ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร ต่อให้เราเก็บไว้ก็มีแต่เน่าเสีย เงินเพียงยี่สิบตำลึงเท่านั้น เหตุใดจึงใส่ใจนักเล่า?”

        โจวซื่อทนไม่ได้อีกต่อไป นางหันหลังให้เฮ่อฉางฉี

        “เอาล่ะๆ หยวนจิ่ง ข้าจะนำเครื่องประดับศีรษะมาให้เจ้าวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่? เป็นแบบล่าสุดจากหอจิ้นฉือ ข้าสั่งไว้ให้เจ้าเมื่อหลายวันก่อน ยามนี้เพิ่งนึกขึ้นได้ คงจะืำเสร็จแล้วกระมัง”

        เมื่อโจวซื่อได้ยินสามีเอ่ยว่าสั่งเครื่องประดับศีรษะจากหอจิ้นฉือให้ ความหงุดหงิดจากเงินเพียงยี่สิบตำลึงก็หายวับไป นางรีบหันหน้ามาถามเฮ่อฉางฉีทันทีว่าเครื่องประดับนั้นทำจากอะไร และทำออกมาในรูปแบบใด

        หอจิ้นฉือเป็นร้านเครื่องประดับที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวง แม้แต่องค์หญิงและภริยาขุนนางผู้มีอิทธิพลก็มักสั่งทำเครื่องประดับจากที่นี่ หากได้ครอบครองเครื่องประดับจากหอจิ้นฉือย่อมเป็นสิ่งที่โอ้อวดได้

        ถ้อยคำของเฮ่อฉางฉีทำให้โจวซื่อหายโศกเศร้าลงได้บ้าง ซึ่งส่วนหนึ่งย่อมเป็นผลจากการไปคารวะเฮ่อเหล่าไท่จวินและจิ่งอันป๋อฮูหยิน เมื่อเช้านี้และมีการกล่าวถึงการมอบเครื่องประดับเพิ่มเติมให้น้องสะใภ้สาม

        เมื่อทานข้าวกับภรรยาเสร็จแล้ว เฮ่อฉางฉีก็เดินเข้าห้องหนังสือโดยมีคังโส่วเดินตามมา เมื่อนั่งลงหน้าโต๊ะของตน เขาจึงเอ่ยปากสั่งบ่าวคนสนิท “คังโส่ว เอาเงินพันตำลึงนี่ไปหอจิ้นฉือ ให้พวกเขาทำเครื่องประดับศีรษะให้ข้า บอกเถ้าแก่ว่าเป็นข้าสั่งทำ และข้าย่อมทนเห็นความผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย”

        คังโส่วหมุนตัวจะจากไป เฮ่อฉางฉีก็เรียกอีกครั้ง “อย่าใช้เงินจากบัญชีจวน นำออกมาจากทุนส่วนตัวของข้า”

        “ขอรับ!” คังโส่วรีบจากไปเพื่อจัดการเงินทันที

        เฮ่อฉางฉีเริ่มกังวลเรื่องเงินทองของเขาขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีทุนส่วนตัว ทว่าหลายวันมานี้เขาแอบช่วยสมทบค่ายาให้มารดาไป ดังนั้นต่อให้มีทองกองเป็นภูเขาก็สามารถหมดไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ยามนี้เขาสัมผัสได้ว่าภรรยาไม่พอใจ จึงเลือกอ้างถึงเครื่องประดับศีรษะเพื่อเป็นการปลอบประโลมนางเพียงเท่านั้น คนอย่างเขาจะไปสั่งทำของแบบนั้นล่วงหน้าไว้ได้อย่างไร? เพียงแต่เอ่ยไปเช่นนั้นเพื่อให้โจวซื่อมีความสุข

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 68 พริก

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 68 พริก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       โจวซื่อตกปากรับคำที่จะช่วยดูแลน้องสะใภ้สามตามที่แม่สามีร้องขอแม้นางจะไม่พอใจอยู่เนือง ๆ ก็ตาม หลังจากนั้นจึงเดินออกจากเรือนฮูหยินจิ่งอันป๋อด้วยสีหน้าเกร็งเขม็งน่าหวาดกลัว บ่าวรับใช้ที่ตามหลังล้วนแต่กลัวเสียจนไม่กล้าหายใจ

        ทันใดนั้นโจวซื่อหยุดชะงัก หันไปถามหมัวมัวด้านหลัง “เป็นอย่างไร? มีข่าวจากเรือนซงเถาหรือไม่?”

        หมัวมัวผู้นี้ย่อมทราบดีว่ายามนี้นายหญิงของตนไม่ได้อารมณ์ดีนัก ไม่ว่าสิ่งใดก็อาจทำให้นางรู้สึกแย่ลงได้ทั้งนั้น หมัวมัวถอนหายใจและตอบกลับไปโดยไม่เกรงกลัว “นายหญิงใหญ่วางใจได้ บ่าวได้ยินว่านายหญิงสามยังทำตัวตามปกติเหมือนดั่งเคยเจ้าค่ะ”

        เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจแล้ว ปมในใจโจวซื่อก็คลายลงในที่สุด

        โชคดีเหลือเกิน โชคดีนักที่ฉู่เหลียนยังมิได้ตั้งครรภ์ หากฉู่เหลียนเกิดตั้งครรภ์ได้บุตรชายคนโต นางจะมีหน้าถือตำแหน่งฮูหยินจิ่งอันซื่อจื่ออยู่ได้อย่างไร?

        “ดีแล้ว แล้วซื่อจื่อได้บอกหรือไม่ว่าวันนี้จะกลับเมื่อใด?”

        หนึ่งในสาวใช้ด้านหลังตอบ “จิ่งอันซื่อจื่อกล่าวว่าเช้าวันนี้จะไปวัดหงลู่ คล้ายว่ามีนัดพบปะกับสหายต่างแดนเจ้าค่ะ ตอนออกไปยังได้แจ้งว่าไม่ต้องรอทานอาหารกลางวันนะเจ้าคะ”

        “สั่งทางครัวให้เตรียมอาหารในส่วนของเขาไว้ อาหารจากร้านด้านนอกจะเทียบอาหารที่จวนเราได้อย่างไร?”

        “เจ้าค่ะนายหญิงใหญ่”

        หมัวมัวของนางเดินตามมาเพื่อช่วยประคองท่อนแขนของโจวซื่อ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความรู้สึกบางอย่าง “นายหญิงใหญ่รอบคอบอยู่เสมอ บ่าวเชื่อว่ายามที่จิ่งอันซื่อจื่อกลับมาย่อมต้องรู้สึกได้ถึงความอุตสาหะของนายหญิงใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ”

        สีหน้าโจวซื่อยังดูหมองหม่นอยู่บ้างยามได้ยินคำดังนั้นจากบ่าวที่เชื่อใจ

        ต้าหลางปฏิบัติต่อนางดียิ่ง หากร่างกายนางไม่พร้อม เขาก็เพียงนอนในห้องหนังสือ และไม่เคยเรียกสาวใช้มาช่วยบำบัดความปรารถนาให้ตน นางย่อมมิอาจหาบุรุษใดที่ดีงามและควบคุมตนเองได้ดีอย่างเขาอีกแล้วในเมืองหลวงนี้

        หนึ่งในกฎของจวนจิ่งอัน คือห้ามบุรุษรับอนุ ตราบใดที่บุรุษผู้นั้นยังอายุไม่ถึงสามสิบ สำหรับต้าหลางเรียกได้ว่าอายุใกล้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดนั้นแล้ว ตัวนางเองก็ยังมิอาจให้กำเนิดบุตรชายแก่เขาได้ นางจึงหวาดหวั่นใจ หรือชีวิตคู่อันสงบสุข รักใคร่กลมเกลียวนี้ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้หรือ?

        ยิ่งคิดเท่าใด ในใจของนางก็ยิ่งเต็มไปด้วยความวิตก เฮ่อฉางฉีย่อมต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์จิ่งอันป๋อ แต่เขาจะไม่มีบุตรชายได้อย่างไร?!

        แม้เฮ่อฉางฉีจะไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ แต่ท่านป๋อและฮูหยินจิ่งอันป๋อ รวมทั้งเฮ่อเหล่าไท่จวินย่อมใส่ใจเป็นแน่

 

        เหล้าองุ่นที่ฉู่เหลียนบ่มไว้เมื่อหลายวันก่อนยามนี้สมควรดื่มได้แล้ว ทว่ากุ้ยหมัวมัวกลับส่งไปให้เฮ่อฉางตี้โดยพลการไหหนึ่ง ทำให้ฉู่เหลียนโมโหนิดหน่อย จึงนำเอาเหล้าองุ่นไหที่เหลือมาดื่มคู่กับอาหารมื้อกลางวัน

        แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ นางทานมากเกินไปจนทำให้ตอนนี้ท้องอืด หากนอนกลางวันเลยย่อมไม่ดีต่อร่างกาย นางจึงพาเวิ่นฉิงกับจิ่งเยี่ยนไปเดินเล่นในสวนเพื่อรอย่อยอาหาร

        แม้ยามนี้ใกล้เข้าสู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ทว่าข้างนอกก็ยังร้อนอยู่บ้าง ฉู่เหลียนจึงชอบเดินเล่นอยู่ภายในจวน ซึ่งเป็นทางเดินที่เชื่อมเรือนในกับเรือนนอกเข้าหากันและมีความร่มเย็นกว่ามาก

        ที่ตรงนั้นยังมีโต๊ะเก้าอี้หินตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ใกล้ประตูเข้าออก ฉู่เหลียนหยุดเดินและนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนคิดจะกลับไปนอนกลางวันที่เรือนตน

        ทันทีที่ฉู่เหลียนนั่งลง ก็ได้ยินเสียงการสนทนาจากเรือนนอก และใครจะทราบว่าแผนการเดิมของนางจะชะงักไปเพียงเพราะอยากรู้เรื่องราวตรงนั้นเล่า?

        “จิ่งอันซื่อจื่อขอรับ เราจะทำอย่างไรกับรถขนพริกนี้ดีขอรับ? ท่านใจอ่อนเกินไปแล้วนะขอรับ ซื้อของทั้งหมดนี่เพียงเพราะคนต่างแดนนั่นกล่าวว่าไม่มีเงินพอกลับไป!”

        “นำไปให้พ่อบ้านของจวน หากไร้ประโยชน์จริง ๆ ก็แค่ทิ้งไปเสีย เด็กคนนั้นน่าสงสารนัก ข้าเพียงต้องการมอบเงินให้เขาได้กลับบ้านเท่านั้น” เสียงห้าวของต้าหลางกล่าว

        ฉู่เหลียนไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกัน ทว่ายังจำเสียงพี่ใหญ่ได้ เลยสงสัยอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงส่งเวิ่นฉิงเข้าไปถามหาความ

        ไม่นาน เฮ่อฉางฉีก็เดินเข้ามาพร้อมบ่าวรับใช้คังโส่ว

        ฉู่เหลียนรีบลุกขึ้นทักทายเขา

        “น้องสะใภ้สาม เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ยามกลางวันเช่นนี้ได้”

        ฉู่เหลียนยิ้ม “ตอบพี่ใหญ่ ข้าทานอาหารกลางวันมากเกินไป เลยมาเดินเล่นในสวนเพื่อย่อยอาหารเจ้าค่ะ เดินมาเรื่อย ๆ จนได้ยินเสียงพี่ใหญ่ที่ด้านนอก เลยส่งบ่าวไปตรวจสอบดู พี่ใหญ่ไปไหนมาเจ้าคะ? และได้ทานอาหารกลางวันแล้วหรือยัง?”

        ฉู่เหลียนดูอ่อนหวานงดงาม โดยปกติยามอยู่ในจวนจิ่งอัน นางมักเป็นคนเงียบ ๆ และเชื่อฟังผู้คน ทั้งยังได้รับคำชื่นชมมากมายยามไปจวนติ้งหยวน เฮ่อฉางฉีจึงมองน้องสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าคนนี้ในแง่ดีไม่น้อย นอกจากนั้นเขายังเป็นพี่ใหญ่ผู้รักใคร่น้อง ๆ คนในครอบครัวเป็นอย่างมาก แม้ภายนอกจะดูดุดันไปบ้าง ทว่ากลับมีจิตใจดีงามยิ่ง ฉู่เหลียนเองก็เป็นภรรยาของน้องชาย ด้วยนิสัยของเฮ่อฉางฉี เขาจึงปฏิบัติต่อนางดุจน้องสาวแท้ ๆ

        “ข้าทานข้าวเที่ยงมาเรียบร้อยแล้ว และยังไปที่วัดหงลู่มาเมื่อเช้าเพื่อพบสหายต่างแดน น้องสะใภ้สาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนต่างแดนเหล่านั้นมีเส้นผมสีแดงและดวงตาสีเขียว!”

        เฮ่อฉางฉีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำให้ดวงตาฉู่เหลียนฉายแววสนใจตามคำพูดของพี่ชายที่เบื้องหน้า

        “พี่ใหญ่ ท่านได้ทานอาหารที่คนต่างแดนทำหรือไม่เจ้าคะ?”

        “แน่นอน!”

        “อาหารของพวกเขาแตกต่างจากที่เราทานหรือไม่เจ้าคะ?”

        ได้ยินฉู่เหลียนถามดังนั้น เฮ่อฉางฉีพลันมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เมื่อดูในภาพรวมผิวสีแทนและร่างสูงใหญ่ของเขา ยามนี้ดูราวกับหมียักษ์กำลังงอนอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วตลกเหลือเกิน ทว่าฉู่เหลียนและสาวใช้ของนางต่างอดกลั้นไว้มิให้หัวเราะออกมา เนื่องจากสถานะที่แตกต่างกันนั้น

        “อาหารนั่น… เอ่อ… อย่าพูดถึงมันดีกว่า…”

        รสชาติย่ำแย่เสียจนเขาอยากร้องไห้เลยแหละ พอได้ลองทานอาหารประหลาดนั่นแล้ว เฮ่อฉางฉีก็เริ่มสงสารคนต่างแดนเหล่านั้นขึ้นมา ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมเสียเงินหลายสิบตำลึงเพื่อซื้อ ‘พริก’ ที่ไร้ประโยชน์มาทั้งคันรถเป็นแน่

        เขายังจำได้ว่าคนต่างแดนพวกนั้นกล่าวว่า ‘พริก’ เป็นอาหารประเภทหนึ่ง ทว่ายามเขาและคังโส่วกัดเข้าไปคำหนึ่ง ปากเขาก็แทบจะลุกเป็นไฟ! จนทำให้พวกเขาต้องดื่มชาไปสองถ้วยเต็ม ๆ จึงจะพอบรรเทาความรู้สึกคล้ายลุกไหม้บนลิ้นลงไปได้บ้าง

        เมื่อเห็นดวงตาแวววาวของน้องสะใภ้คู่นั้นเปล่งประกายด้วยความสงสัยอีก เฮ่อฉางฉีพลันเกิดความคิดบางอย่าง

        “จริงสิ วันนี้ข้ายังซื้อของบางสิ่งจากคนต่างแดนเหล่านั้นมาด้วย พวกนั้นบอกข้าว่ามันเป็นอาหารประเภทหนึ่ง น้องสะใภ้อยากดูหรือไม่?”

        ฉู่เหลียนกำลังสงสัยสุดขีด จะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า?

        นางจึงตามเฮ่อฉางฉีเดินออกประตูไปยังเรือนนอก

        เฮ่อฉางฉีโบกมือให้บ่าวชายสองคนนำของออกมาจากรถม้า และเดินนำนางไป เมื่อเข้าไปใกล้พอ เขาก็หยิบกระสอบขึ้นมาเปิดให้นางดูเอง

        ฉู่เหลียนมองเข้าไป เห็นในถุงเต็มไปด้วยพริกแห้ง เปลือกของมันเป็นสีแดงเงางาม ทั้งยังมีขนาดเล็กอีกด้วย น่ารัก!

        ฉู่เหลียนพยายามใจเย็นลง และถาม “พี่ใหญ่ ของเหล่านี้คืออะไรหรือเจ้าคะ?”

        เฮ่อฉางฉีที่มองว่าของเหล่านี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง จึงทำเพียงบิดปากถุงแล้วโยนกลับเข้าไปในรถม้า “คนต่างแดนที่ขายสิ่งนี้ให้ข้าเรียกมันว่าพริกน่ะ”

        ฉู่เหลียนกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ที่เริ่มหลั่งไหลมารวมกันในปาก “อืม… ข้าสงสัยว่า…พี่ใหญ่จะแบ่งพริกเหล่านี้ให้ข้าบ้างได้หรือไม่เจ้าคะ? ข้าอยากได้มาทำอาหารเจ้าค่ะ”

        เอามาทำอาหาร?

        เมื่อฉู่เหลียนเอ่ยถึงอาหาร เฮ่อฉางฉีก็นึกถึงขนมที่นางทำเมื่อหลายวันก่อน ถึงอย่างไรพริกเหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขา เหตุใดถึงจะมอบให้ฉู่เหลียนไม่ได้เล่า?

        “น้องสะใภ้สาม หากเจ้าอยากได้ ข้ายกให้ทั้งหมดเลย เพราะของสิ่งนี้ไร้ประโยชน์สำหรับข้ายิ่งนัก”

        ฉู่เหลียนไม่คิดว่าพี่ใหญ่ของนางจะมอบของทั้งหมดนี้ให้อย่างง่ายดาย จึงตกตะลึงไปเล็กน้อย นางกำลังจะกล่าวปฏิเสธ แต่แล้วบ่าวชายของเฮ่อฉางฉีก็เอ่ยขัด “นายหญิงสามขอรับ พริกเหล่านี้ไม่ได้มีค่าเท่าใดนัก เป็นเพียงสินค้าที่เด็กหนุ่มคนต่างแดนนำเข้ามาขายในเมืองหลวง เขาอยากขายได้ราคาดีหน่อย แต่มิคาดว่าจะไม่มีใครต้องการซื้อ ทั้งเขายังเร่งร้อนอยากกลับบ้าน จึงได้มาพบจิ่งอันซื่อจื่อเพื่อขอความช่วยเหลือ นายของบ่าวเกิดสงสารจึงมอบเงินตำลึงให้เขาไป เพื่อเขาจะได้กลับบ้านได้ รถขนพริกเหล่านี้เป็นเพียงตัวแถมเท่านั้น หากท่านไม่ต้องการ พ่อบ้านก็ต้องนำไปโยนทิ้งอยู่ดีขอรับ!”

        ฉู่เหลียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่ไม่มีใครรู้ว่าพริกเหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่ดีเพียงใด ไม่แปลกใจเลยที่คนต่างแดนขายได้เพียงเล็กน้อย

        ในเมื่อพวกเขาได้พริกมาในราคาแสนถูก ฉู่เหลียนจึงไม่ปฏิเสธต่อ บอกตามตรง พริกเต็มคันรถเหล่านี้จะสำแดงศักยภาพที่แฝงเร้นอยู่ภายในได้ล้วนต้องอาศัยฝีมือของนางเพียงผู้เดียว

        “เช่นนั้นน้องสะใภ้ต้องขอบคุณพี่ใหญ่เป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ หากข้าทำอาหารชนิดใหม่ด้วยพริกเหล่านี้สำเร็จแล้ว ข้าจะแบ่งไปให้พี่ใหญ่ได้ลองชิมนะเจ้าคะ!”

        “ตกลง คังโส่ว ไปเรียกสาวใช้มาสองคน ย้ายพริกทั้งหมดนี่ไปยังห้องครัวเรือนซงเถา”

        มอบเจ้าพริกที่เป็นตัวภาระให้แก่ฉู่เหลียนแล้ว เฮ่อฉางฉีก็สบายใจขึ้นมาก และเดินกลับไปยังเรือนของตนพร้อมบ่าวรับใช้

        แน่นอน โจวซื่อย่อมได้ข่าวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

        โจวซื่อนั่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยสีหน้าไม่พอใจ โกรธเคืองยิ่ง

        ทันทีที่เฮ่อฉางฉีก้าวเข้าสู่ห้องรับแขก ก็เห็นภรรยาที่นั่งหน้าขมุกขมัวอยู่ เขาจึงได้เดินไปหาและนั่งลงข้าง ๆ  “หยวนจิ่ง เกิดอะไรขึ้นหรือ? วันนี้มีบ่าวไพร่คนใดทำเจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือไม่?”

        โจวซื่อกลับยิ่งโมโหเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่านางไม่อาจแข็งใจระเบิดความเกรี้ยวกราดใส่สามีที่รักได้ลง ทำได้เพียงปรับสีหน้าให้นุ่มนวลขึ้น ถามเสียงเบา “ต้าหลาง วันนี้ท่านขนบางสิ่งมาเต็มรถม้าจากวัดหงลู่หรือ?”

        แม้เฮ่อฉางฉีจะดูหยาบกร้านเพียงใด ทว่ากลับละเอียดอ่อนต่อความหมายแฝงเบื้องหลังถ้อยคำเหล่านั้นของภรรยา ดังนั้น เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าภรรยาของตนเข้าใจผิดเสียแล้ว

        “โอ เจ้า! เจ้าคิดอะไรอยู่? สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงของที่เด็กต่างแดนขายไม่ออก เขานำเข้ามาขายในเมืองเรา ทว่า ผ่านไปครึ่งปีแล้วกลับไม่มีผู้ใดซื้อแม้แต่น้อย ข้าสงสารจึงจ่ายเงินไปยี่สิบตำลึงเพื่อซื้อทั้งหมดมา แค่เพียงต้องการมอบเงินให้เขาได้กลับบ้านเท่านั้น”

        เมื่อโจวซื่อได้ยินดังนั้นจึงผ่อนคลายลงบ้าง “มันคืออะไรหรือ?”

        “แค่รถขน ‘พริก’ เท่านั้น”

        สตรีนั้นมีความใจแคบอยู่บ้าง แม้กระทั่งโจวซื่อผู้เติบโตมาในจวนติ้งหยวนก็มิใช่ข้อยกเว้น

        นางทุบเฮ่อฉางฉีเบา ๆ “ถึงจะอย่างนั้นท่านก็มอบทั้งหมดให้น้องสะใภ้สามมิได้!”

        “หากข้าไม่มอบให้นาง จะให้ข้าโยนทั้งหมดทิ้งหรือ? ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร ต่อให้เราเก็บไว้ก็มีแต่เน่าเสีย เงินเพียงยี่สิบตำลึงเท่านั้น เหตุใดจึงใส่ใจนักเล่า?”

        โจวซื่อทนไม่ได้อีกต่อไป นางหันหลังให้เฮ่อฉางฉี

        “เอาล่ะๆ หยวนจิ่ง ข้าจะนำเครื่องประดับศีรษะมาให้เจ้าวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่? เป็นแบบล่าสุดจากหอจิ้นฉือ ข้าสั่งไว้ให้เจ้าเมื่อหลายวันก่อน ยามนี้เพิ่งนึกขึ้นได้ คงจะืำเสร็จแล้วกระมัง”

        เมื่อโจวซื่อได้ยินสามีเอ่ยว่าสั่งเครื่องประดับศีรษะจากหอจิ้นฉือให้ ความหงุดหงิดจากเงินเพียงยี่สิบตำลึงก็หายวับไป นางรีบหันหน้ามาถามเฮ่อฉางฉีทันทีว่าเครื่องประดับนั้นทำจากอะไร และทำออกมาในรูปแบบใด

        หอจิ้นฉือเป็นร้านเครื่องประดับที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวง แม้แต่องค์หญิงและภริยาขุนนางผู้มีอิทธิพลก็มักสั่งทำเครื่องประดับจากที่นี่ หากได้ครอบครองเครื่องประดับจากหอจิ้นฉือย่อมเป็นสิ่งที่โอ้อวดได้

        ถ้อยคำของเฮ่อฉางฉีทำให้โจวซื่อหายโศกเศร้าลงได้บ้าง ซึ่งส่วนหนึ่งย่อมเป็นผลจากการไปคารวะเฮ่อเหล่าไท่จวินและจิ่งอันป๋อฮูหยิน เมื่อเช้านี้และมีการกล่าวถึงการมอบเครื่องประดับเพิ่มเติมให้น้องสะใภ้สาม

        เมื่อทานข้าวกับภรรยาเสร็จแล้ว เฮ่อฉางฉีก็เดินเข้าห้องหนังสือโดยมีคังโส่วเดินตามมา เมื่อนั่งลงหน้าโต๊ะของตน เขาจึงเอ่ยปากสั่งบ่าวคนสนิท “คังโส่ว เอาเงินพันตำลึงนี่ไปหอจิ้นฉือ ให้พวกเขาทำเครื่องประดับศีรษะให้ข้า บอกเถ้าแก่ว่าเป็นข้าสั่งทำ และข้าย่อมทนเห็นความผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย”

        คังโส่วหมุนตัวจะจากไป เฮ่อฉางฉีก็เรียกอีกครั้ง “อย่าใช้เงินจากบัญชีจวน นำออกมาจากทุนส่วนตัวของข้า”

        “ขอรับ!” คังโส่วรีบจากไปเพื่อจัดการเงินทันที

        เฮ่อฉางฉีเริ่มกังวลเรื่องเงินทองของเขาขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีทุนส่วนตัว ทว่าหลายวันมานี้เขาแอบช่วยสมทบค่ายาให้มารดาไป ดังนั้นต่อให้มีทองกองเป็นภูเขาก็สามารถหมดไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ยามนี้เขาสัมผัสได้ว่าภรรยาไม่พอใจ จึงเลือกอ้างถึงเครื่องประดับศีรษะเพื่อเป็นการปลอบประโลมนางเพียงเท่านั้น คนอย่างเขาจะไปสั่งทำของแบบนั้นล่วงหน้าไว้ได้อย่างไร? เพียงแต่เอ่ยไปเช่นนั้นเพื่อให้โจวซื่อมีความสุข

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 68 พริก

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 68 พริก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       โจวซื่อตกปากรับคำที่จะช่วยดูแลน้องสะใภ้สามตามที่แม่สามีร้องขอแม้นางจะไม่พอใจอยู่เนือง ๆ ก็ตาม หลังจากนั้นจึงเดินออกจากเรือนฮูหยินจิ่งอันป๋อด้วยสีหน้าเกร็งเขม็งน่าหวาดกลัว บ่าวรับใช้ที่ตามหลังล้วนแต่กลัวเสียจนไม่กล้าหายใจ

        ทันใดนั้นโจวซื่อหยุดชะงัก หันไปถามหมัวมัวด้านหลัง “เป็นอย่างไร? มีข่าวจากเรือนซงเถาหรือไม่?”

        หมัวมัวผู้นี้ย่อมทราบดีว่ายามนี้นายหญิงของตนไม่ได้อารมณ์ดีนัก ไม่ว่าสิ่งใดก็อาจทำให้นางรู้สึกแย่ลงได้ทั้งนั้น หมัวมัวถอนหายใจและตอบกลับไปโดยไม่เกรงกลัว “นายหญิงใหญ่วางใจได้ บ่าวได้ยินว่านายหญิงสามยังทำตัวตามปกติเหมือนดั่งเคยเจ้าค่ะ”

        เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจแล้ว ปมในใจโจวซื่อก็คลายลงในที่สุด

        โชคดีเหลือเกิน โชคดีนักที่ฉู่เหลียนยังมิได้ตั้งครรภ์ หากฉู่เหลียนเกิดตั้งครรภ์ได้บุตรชายคนโต นางจะมีหน้าถือตำแหน่งฮูหยินจิ่งอันซื่อจื่ออยู่ได้อย่างไร?

        “ดีแล้ว แล้วซื่อจื่อได้บอกหรือไม่ว่าวันนี้จะกลับเมื่อใด?”

        หนึ่งในสาวใช้ด้านหลังตอบ “จิ่งอันซื่อจื่อกล่าวว่าเช้าวันนี้จะไปวัดหงลู่ คล้ายว่ามีนัดพบปะกับสหายต่างแดนเจ้าค่ะ ตอนออกไปยังได้แจ้งว่าไม่ต้องรอทานอาหารกลางวันนะเจ้าคะ”

        “สั่งทางครัวให้เตรียมอาหารในส่วนของเขาไว้ อาหารจากร้านด้านนอกจะเทียบอาหารที่จวนเราได้อย่างไร?”

        “เจ้าค่ะนายหญิงใหญ่”

        หมัวมัวของนางเดินตามมาเพื่อช่วยประคองท่อนแขนของโจวซื่อ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความรู้สึกบางอย่าง “นายหญิงใหญ่รอบคอบอยู่เสมอ บ่าวเชื่อว่ายามที่จิ่งอันซื่อจื่อกลับมาย่อมต้องรู้สึกได้ถึงความอุตสาหะของนายหญิงใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ”

        สีหน้าโจวซื่อยังดูหมองหม่นอยู่บ้างยามได้ยินคำดังนั้นจากบ่าวที่เชื่อใจ

        ต้าหลางปฏิบัติต่อนางดียิ่ง หากร่างกายนางไม่พร้อม เขาก็เพียงนอนในห้องหนังสือ และไม่เคยเรียกสาวใช้มาช่วยบำบัดความปรารถนาให้ตน นางย่อมมิอาจหาบุรุษใดที่ดีงามและควบคุมตนเองได้ดีอย่างเขาอีกแล้วในเมืองหลวงนี้

        หนึ่งในกฎของจวนจิ่งอัน คือห้ามบุรุษรับอนุ ตราบใดที่บุรุษผู้นั้นยังอายุไม่ถึงสามสิบ สำหรับต้าหลางเรียกได้ว่าอายุใกล้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดนั้นแล้ว ตัวนางเองก็ยังมิอาจให้กำเนิดบุตรชายแก่เขาได้ นางจึงหวาดหวั่นใจ หรือชีวิตคู่อันสงบสุข รักใคร่กลมเกลียวนี้ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้หรือ?

        ยิ่งคิดเท่าใด ในใจของนางก็ยิ่งเต็มไปด้วยความวิตก เฮ่อฉางฉีย่อมต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์จิ่งอันป๋อ แต่เขาจะไม่มีบุตรชายได้อย่างไร?!

        แม้เฮ่อฉางฉีจะไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ แต่ท่านป๋อและฮูหยินจิ่งอันป๋อ รวมทั้งเฮ่อเหล่าไท่จวินย่อมใส่ใจเป็นแน่

 

        เหล้าองุ่นที่ฉู่เหลียนบ่มไว้เมื่อหลายวันก่อนยามนี้สมควรดื่มได้แล้ว ทว่ากุ้ยหมัวมัวกลับส่งไปให้เฮ่อฉางตี้โดยพลการไหหนึ่ง ทำให้ฉู่เหลียนโมโหนิดหน่อย จึงนำเอาเหล้าองุ่นไหที่เหลือมาดื่มคู่กับอาหารมื้อกลางวัน

        แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ นางทานมากเกินไปจนทำให้ตอนนี้ท้องอืด หากนอนกลางวันเลยย่อมไม่ดีต่อร่างกาย นางจึงพาเวิ่นฉิงกับจิ่งเยี่ยนไปเดินเล่นในสวนเพื่อรอย่อยอาหาร

        แม้ยามนี้ใกล้เข้าสู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ทว่าข้างนอกก็ยังร้อนอยู่บ้าง ฉู่เหลียนจึงชอบเดินเล่นอยู่ภายในจวน ซึ่งเป็นทางเดินที่เชื่อมเรือนในกับเรือนนอกเข้าหากันและมีความร่มเย็นกว่ามาก

        ที่ตรงนั้นยังมีโต๊ะเก้าอี้หินตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ใกล้ประตูเข้าออก ฉู่เหลียนหยุดเดินและนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนคิดจะกลับไปนอนกลางวันที่เรือนตน

        ทันทีที่ฉู่เหลียนนั่งลง ก็ได้ยินเสียงการสนทนาจากเรือนนอก และใครจะทราบว่าแผนการเดิมของนางจะชะงักไปเพียงเพราะอยากรู้เรื่องราวตรงนั้นเล่า?

        “จิ่งอันซื่อจื่อขอรับ เราจะทำอย่างไรกับรถขนพริกนี้ดีขอรับ? ท่านใจอ่อนเกินไปแล้วนะขอรับ ซื้อของทั้งหมดนี่เพียงเพราะคนต่างแดนนั่นกล่าวว่าไม่มีเงินพอกลับไป!”

        “นำไปให้พ่อบ้านของจวน หากไร้ประโยชน์จริง ๆ ก็แค่ทิ้งไปเสีย เด็กคนนั้นน่าสงสารนัก ข้าเพียงต้องการมอบเงินให้เขาได้กลับบ้านเท่านั้น” เสียงห้าวของต้าหลางกล่าว

        ฉู่เหลียนไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกัน ทว่ายังจำเสียงพี่ใหญ่ได้ เลยสงสัยอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงส่งเวิ่นฉิงเข้าไปถามหาความ

        ไม่นาน เฮ่อฉางฉีก็เดินเข้ามาพร้อมบ่าวรับใช้คังโส่ว

        ฉู่เหลียนรีบลุกขึ้นทักทายเขา

        “น้องสะใภ้สาม เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ยามกลางวันเช่นนี้ได้”

        ฉู่เหลียนยิ้ม “ตอบพี่ใหญ่ ข้าทานอาหารกลางวันมากเกินไป เลยมาเดินเล่นในสวนเพื่อย่อยอาหารเจ้าค่ะ เดินมาเรื่อย ๆ จนได้ยินเสียงพี่ใหญ่ที่ด้านนอก เลยส่งบ่าวไปตรวจสอบดู พี่ใหญ่ไปไหนมาเจ้าคะ? และได้ทานอาหารกลางวันแล้วหรือยัง?”

        ฉู่เหลียนดูอ่อนหวานงดงาม โดยปกติยามอยู่ในจวนจิ่งอัน นางมักเป็นคนเงียบ ๆ และเชื่อฟังผู้คน ทั้งยังได้รับคำชื่นชมมากมายยามไปจวนติ้งหยวน เฮ่อฉางฉีจึงมองน้องสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าคนนี้ในแง่ดีไม่น้อย นอกจากนั้นเขายังเป็นพี่ใหญ่ผู้รักใคร่น้อง ๆ คนในครอบครัวเป็นอย่างมาก แม้ภายนอกจะดูดุดันไปบ้าง ทว่ากลับมีจิตใจดีงามยิ่ง ฉู่เหลียนเองก็เป็นภรรยาของน้องชาย ด้วยนิสัยของเฮ่อฉางฉี เขาจึงปฏิบัติต่อนางดุจน้องสาวแท้ ๆ

        “ข้าทานข้าวเที่ยงมาเรียบร้อยแล้ว และยังไปที่วัดหงลู่มาเมื่อเช้าเพื่อพบสหายต่างแดน น้องสะใภ้สาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนต่างแดนเหล่านั้นมีเส้นผมสีแดงและดวงตาสีเขียว!”

        เฮ่อฉางฉีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำให้ดวงตาฉู่เหลียนฉายแววสนใจตามคำพูดของพี่ชายที่เบื้องหน้า

        “พี่ใหญ่ ท่านได้ทานอาหารที่คนต่างแดนทำหรือไม่เจ้าคะ?”

        “แน่นอน!”

        “อาหารของพวกเขาแตกต่างจากที่เราทานหรือไม่เจ้าคะ?”

        ได้ยินฉู่เหลียนถามดังนั้น เฮ่อฉางฉีพลันมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เมื่อดูในภาพรวมผิวสีแทนและร่างสูงใหญ่ของเขา ยามนี้ดูราวกับหมียักษ์กำลังงอนอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วตลกเหลือเกิน ทว่าฉู่เหลียนและสาวใช้ของนางต่างอดกลั้นไว้มิให้หัวเราะออกมา เนื่องจากสถานะที่แตกต่างกันนั้น

        “อาหารนั่น… เอ่อ… อย่าพูดถึงมันดีกว่า…”

        รสชาติย่ำแย่เสียจนเขาอยากร้องไห้เลยแหละ พอได้ลองทานอาหารประหลาดนั่นแล้ว เฮ่อฉางฉีก็เริ่มสงสารคนต่างแดนเหล่านั้นขึ้นมา ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมเสียเงินหลายสิบตำลึงเพื่อซื้อ ‘พริก’ ที่ไร้ประโยชน์มาทั้งคันรถเป็นแน่

        เขายังจำได้ว่าคนต่างแดนพวกนั้นกล่าวว่า ‘พริก’ เป็นอาหารประเภทหนึ่ง ทว่ายามเขาและคังโส่วกัดเข้าไปคำหนึ่ง ปากเขาก็แทบจะลุกเป็นไฟ! จนทำให้พวกเขาต้องดื่มชาไปสองถ้วยเต็ม ๆ จึงจะพอบรรเทาความรู้สึกคล้ายลุกไหม้บนลิ้นลงไปได้บ้าง

        เมื่อเห็นดวงตาแวววาวของน้องสะใภ้คู่นั้นเปล่งประกายด้วยความสงสัยอีก เฮ่อฉางฉีพลันเกิดความคิดบางอย่าง

        “จริงสิ วันนี้ข้ายังซื้อของบางสิ่งจากคนต่างแดนเหล่านั้นมาด้วย พวกนั้นบอกข้าว่ามันเป็นอาหารประเภทหนึ่ง น้องสะใภ้อยากดูหรือไม่?”

        ฉู่เหลียนกำลังสงสัยสุดขีด จะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า?

        นางจึงตามเฮ่อฉางฉีเดินออกประตูไปยังเรือนนอก

        เฮ่อฉางฉีโบกมือให้บ่าวชายสองคนนำของออกมาจากรถม้า และเดินนำนางไป เมื่อเข้าไปใกล้พอ เขาก็หยิบกระสอบขึ้นมาเปิดให้นางดูเอง

        ฉู่เหลียนมองเข้าไป เห็นในถุงเต็มไปด้วยพริกแห้ง เปลือกของมันเป็นสีแดงเงางาม ทั้งยังมีขนาดเล็กอีกด้วย น่ารัก!

        ฉู่เหลียนพยายามใจเย็นลง และถาม “พี่ใหญ่ ของเหล่านี้คืออะไรหรือเจ้าคะ?”

        เฮ่อฉางฉีที่มองว่าของเหล่านี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง จึงทำเพียงบิดปากถุงแล้วโยนกลับเข้าไปในรถม้า “คนต่างแดนที่ขายสิ่งนี้ให้ข้าเรียกมันว่าพริกน่ะ”

        ฉู่เหลียนกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ที่เริ่มหลั่งไหลมารวมกันในปาก “อืม… ข้าสงสัยว่า…พี่ใหญ่จะแบ่งพริกเหล่านี้ให้ข้าบ้างได้หรือไม่เจ้าคะ? ข้าอยากได้มาทำอาหารเจ้าค่ะ”

        เอามาทำอาหาร?

        เมื่อฉู่เหลียนเอ่ยถึงอาหาร เฮ่อฉางฉีก็นึกถึงขนมที่นางทำเมื่อหลายวันก่อน ถึงอย่างไรพริกเหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขา เหตุใดถึงจะมอบให้ฉู่เหลียนไม่ได้เล่า?

        “น้องสะใภ้สาม หากเจ้าอยากได้ ข้ายกให้ทั้งหมดเลย เพราะของสิ่งนี้ไร้ประโยชน์สำหรับข้ายิ่งนัก”

        ฉู่เหลียนไม่คิดว่าพี่ใหญ่ของนางจะมอบของทั้งหมดนี้ให้อย่างง่ายดาย จึงตกตะลึงไปเล็กน้อย นางกำลังจะกล่าวปฏิเสธ แต่แล้วบ่าวชายของเฮ่อฉางฉีก็เอ่ยขัด “นายหญิงสามขอรับ พริกเหล่านี้ไม่ได้มีค่าเท่าใดนัก เป็นเพียงสินค้าที่เด็กหนุ่มคนต่างแดนนำเข้ามาขายในเมืองหลวง เขาอยากขายได้ราคาดีหน่อย แต่มิคาดว่าจะไม่มีใครต้องการซื้อ ทั้งเขายังเร่งร้อนอยากกลับบ้าน จึงได้มาพบจิ่งอันซื่อจื่อเพื่อขอความช่วยเหลือ นายของบ่าวเกิดสงสารจึงมอบเงินตำลึงให้เขาไป เพื่อเขาจะได้กลับบ้านได้ รถขนพริกเหล่านี้เป็นเพียงตัวแถมเท่านั้น หากท่านไม่ต้องการ พ่อบ้านก็ต้องนำไปโยนทิ้งอยู่ดีขอรับ!”

        ฉู่เหลียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่ไม่มีใครรู้ว่าพริกเหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่ดีเพียงใด ไม่แปลกใจเลยที่คนต่างแดนขายได้เพียงเล็กน้อย

        ในเมื่อพวกเขาได้พริกมาในราคาแสนถูก ฉู่เหลียนจึงไม่ปฏิเสธต่อ บอกตามตรง พริกเต็มคันรถเหล่านี้จะสำแดงศักยภาพที่แฝงเร้นอยู่ภายในได้ล้วนต้องอาศัยฝีมือของนางเพียงผู้เดียว

        “เช่นนั้นน้องสะใภ้ต้องขอบคุณพี่ใหญ่เป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ หากข้าทำอาหารชนิดใหม่ด้วยพริกเหล่านี้สำเร็จแล้ว ข้าจะแบ่งไปให้พี่ใหญ่ได้ลองชิมนะเจ้าคะ!”

        “ตกลง คังโส่ว ไปเรียกสาวใช้มาสองคน ย้ายพริกทั้งหมดนี่ไปยังห้องครัวเรือนซงเถา”

        มอบเจ้าพริกที่เป็นตัวภาระให้แก่ฉู่เหลียนแล้ว เฮ่อฉางฉีก็สบายใจขึ้นมาก และเดินกลับไปยังเรือนของตนพร้อมบ่าวรับใช้

        แน่นอน โจวซื่อย่อมได้ข่าวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

        โจวซื่อนั่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยสีหน้าไม่พอใจ โกรธเคืองยิ่ง

        ทันทีที่เฮ่อฉางฉีก้าวเข้าสู่ห้องรับแขก ก็เห็นภรรยาที่นั่งหน้าขมุกขมัวอยู่ เขาจึงได้เดินไปหาและนั่งลงข้าง ๆ  “หยวนจิ่ง เกิดอะไรขึ้นหรือ? วันนี้มีบ่าวไพร่คนใดทำเจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือไม่?”

        โจวซื่อกลับยิ่งโมโหเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่านางไม่อาจแข็งใจระเบิดความเกรี้ยวกราดใส่สามีที่รักได้ลง ทำได้เพียงปรับสีหน้าให้นุ่มนวลขึ้น ถามเสียงเบา “ต้าหลาง วันนี้ท่านขนบางสิ่งมาเต็มรถม้าจากวัดหงลู่หรือ?”

        แม้เฮ่อฉางฉีจะดูหยาบกร้านเพียงใด ทว่ากลับละเอียดอ่อนต่อความหมายแฝงเบื้องหลังถ้อยคำเหล่านั้นของภรรยา ดังนั้น เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าภรรยาของตนเข้าใจผิดเสียแล้ว

        “โอ เจ้า! เจ้าคิดอะไรอยู่? สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงของที่เด็กต่างแดนขายไม่ออก เขานำเข้ามาขายในเมืองเรา ทว่า ผ่านไปครึ่งปีแล้วกลับไม่มีผู้ใดซื้อแม้แต่น้อย ข้าสงสารจึงจ่ายเงินไปยี่สิบตำลึงเพื่อซื้อทั้งหมดมา แค่เพียงต้องการมอบเงินให้เขาได้กลับบ้านเท่านั้น”

        เมื่อโจวซื่อได้ยินดังนั้นจึงผ่อนคลายลงบ้าง “มันคืออะไรหรือ?”

        “แค่รถขน ‘พริก’ เท่านั้น”

        สตรีนั้นมีความใจแคบอยู่บ้าง แม้กระทั่งโจวซื่อผู้เติบโตมาในจวนติ้งหยวนก็มิใช่ข้อยกเว้น

        นางทุบเฮ่อฉางฉีเบา ๆ “ถึงจะอย่างนั้นท่านก็มอบทั้งหมดให้น้องสะใภ้สามมิได้!”

        “หากข้าไม่มอบให้นาง จะให้ข้าโยนทั้งหมดทิ้งหรือ? ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร ต่อให้เราเก็บไว้ก็มีแต่เน่าเสีย เงินเพียงยี่สิบตำลึงเท่านั้น เหตุใดจึงใส่ใจนักเล่า?”

        โจวซื่อทนไม่ได้อีกต่อไป นางหันหลังให้เฮ่อฉางฉี

        “เอาล่ะๆ หยวนจิ่ง ข้าจะนำเครื่องประดับศีรษะมาให้เจ้าวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่? เป็นแบบล่าสุดจากหอจิ้นฉือ ข้าสั่งไว้ให้เจ้าเมื่อหลายวันก่อน ยามนี้เพิ่งนึกขึ้นได้ คงจะืำเสร็จแล้วกระมัง”

        เมื่อโจวซื่อได้ยินสามีเอ่ยว่าสั่งเครื่องประดับศีรษะจากหอจิ้นฉือให้ ความหงุดหงิดจากเงินเพียงยี่สิบตำลึงก็หายวับไป นางรีบหันหน้ามาถามเฮ่อฉางฉีทันทีว่าเครื่องประดับนั้นทำจากอะไร และทำออกมาในรูปแบบใด

        หอจิ้นฉือเป็นร้านเครื่องประดับที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวง แม้แต่องค์หญิงและภริยาขุนนางผู้มีอิทธิพลก็มักสั่งทำเครื่องประดับจากที่นี่ หากได้ครอบครองเครื่องประดับจากหอจิ้นฉือย่อมเป็นสิ่งที่โอ้อวดได้

        ถ้อยคำของเฮ่อฉางฉีทำให้โจวซื่อหายโศกเศร้าลงได้บ้าง ซึ่งส่วนหนึ่งย่อมเป็นผลจากการไปคารวะเฮ่อเหล่าไท่จวินและจิ่งอันป๋อฮูหยิน เมื่อเช้านี้และมีการกล่าวถึงการมอบเครื่องประดับเพิ่มเติมให้น้องสะใภ้สาม

        เมื่อทานข้าวกับภรรยาเสร็จแล้ว เฮ่อฉางฉีก็เดินเข้าห้องหนังสือโดยมีคังโส่วเดินตามมา เมื่อนั่งลงหน้าโต๊ะของตน เขาจึงเอ่ยปากสั่งบ่าวคนสนิท “คังโส่ว เอาเงินพันตำลึงนี่ไปหอจิ้นฉือ ให้พวกเขาทำเครื่องประดับศีรษะให้ข้า บอกเถ้าแก่ว่าเป็นข้าสั่งทำ และข้าย่อมทนเห็นความผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย”

        คังโส่วหมุนตัวจะจากไป เฮ่อฉางฉีก็เรียกอีกครั้ง “อย่าใช้เงินจากบัญชีจวน นำออกมาจากทุนส่วนตัวของข้า”

        “ขอรับ!” คังโส่วรีบจากไปเพื่อจัดการเงินทันที

        เฮ่อฉางฉีเริ่มกังวลเรื่องเงินทองของเขาขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีทุนส่วนตัว ทว่าหลายวันมานี้เขาแอบช่วยสมทบค่ายาให้มารดาไป ดังนั้นต่อให้มีทองกองเป็นภูเขาก็สามารถหมดไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ยามนี้เขาสัมผัสได้ว่าภรรยาไม่พอใจ จึงเลือกอ้างถึงเครื่องประดับศีรษะเพื่อเป็นการปลอบประโลมนางเพียงเท่านั้น คนอย่างเขาจะไปสั่งทำของแบบนั้นล่วงหน้าไว้ได้อย่างไร? เพียงแต่เอ่ยไปเช่นนั้นเพื่อให้โจวซื่อมีความสุข

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 68 พริก

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 68 พริก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       โจวซื่อตกปากรับคำที่จะช่วยดูแลน้องสะใภ้สามตามที่แม่สามีร้องขอแม้นางจะไม่พอใจอยู่เนือง ๆ ก็ตาม หลังจากนั้นจึงเดินออกจากเรือนฮูหยินจิ่งอันป๋อด้วยสีหน้าเกร็งเขม็งน่าหวาดกลัว บ่าวรับใช้ที่ตามหลังล้วนแต่กลัวเสียจนไม่กล้าหายใจ

        ทันใดนั้นโจวซื่อหยุดชะงัก หันไปถามหมัวมัวด้านหลัง “เป็นอย่างไร? มีข่าวจากเรือนซงเถาหรือไม่?”

        หมัวมัวผู้นี้ย่อมทราบดีว่ายามนี้นายหญิงของตนไม่ได้อารมณ์ดีนัก ไม่ว่าสิ่งใดก็อาจทำให้นางรู้สึกแย่ลงได้ทั้งนั้น หมัวมัวถอนหายใจและตอบกลับไปโดยไม่เกรงกลัว “นายหญิงใหญ่วางใจได้ บ่าวได้ยินว่านายหญิงสามยังทำตัวตามปกติเหมือนดั่งเคยเจ้าค่ะ”

        เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจแล้ว ปมในใจโจวซื่อก็คลายลงในที่สุด

        โชคดีเหลือเกิน โชคดีนักที่ฉู่เหลียนยังมิได้ตั้งครรภ์ หากฉู่เหลียนเกิดตั้งครรภ์ได้บุตรชายคนโต นางจะมีหน้าถือตำแหน่งฮูหยินจิ่งอันซื่อจื่ออยู่ได้อย่างไร?

        “ดีแล้ว แล้วซื่อจื่อได้บอกหรือไม่ว่าวันนี้จะกลับเมื่อใด?”

        หนึ่งในสาวใช้ด้านหลังตอบ “จิ่งอันซื่อจื่อกล่าวว่าเช้าวันนี้จะไปวัดหงลู่ คล้ายว่ามีนัดพบปะกับสหายต่างแดนเจ้าค่ะ ตอนออกไปยังได้แจ้งว่าไม่ต้องรอทานอาหารกลางวันนะเจ้าคะ”

        “สั่งทางครัวให้เตรียมอาหารในส่วนของเขาไว้ อาหารจากร้านด้านนอกจะเทียบอาหารที่จวนเราได้อย่างไร?”

        “เจ้าค่ะนายหญิงใหญ่”

        หมัวมัวของนางเดินตามมาเพื่อช่วยประคองท่อนแขนของโจวซื่อ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความรู้สึกบางอย่าง “นายหญิงใหญ่รอบคอบอยู่เสมอ บ่าวเชื่อว่ายามที่จิ่งอันซื่อจื่อกลับมาย่อมต้องรู้สึกได้ถึงความอุตสาหะของนายหญิงใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ”

        สีหน้าโจวซื่อยังดูหมองหม่นอยู่บ้างยามได้ยินคำดังนั้นจากบ่าวที่เชื่อใจ

        ต้าหลางปฏิบัติต่อนางดียิ่ง หากร่างกายนางไม่พร้อม เขาก็เพียงนอนในห้องหนังสือ และไม่เคยเรียกสาวใช้มาช่วยบำบัดความปรารถนาให้ตน นางย่อมมิอาจหาบุรุษใดที่ดีงามและควบคุมตนเองได้ดีอย่างเขาอีกแล้วในเมืองหลวงนี้

        หนึ่งในกฎของจวนจิ่งอัน คือห้ามบุรุษรับอนุ ตราบใดที่บุรุษผู้นั้นยังอายุไม่ถึงสามสิบ สำหรับต้าหลางเรียกได้ว่าอายุใกล้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดนั้นแล้ว ตัวนางเองก็ยังมิอาจให้กำเนิดบุตรชายแก่เขาได้ นางจึงหวาดหวั่นใจ หรือชีวิตคู่อันสงบสุข รักใคร่กลมเกลียวนี้ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้หรือ?

        ยิ่งคิดเท่าใด ในใจของนางก็ยิ่งเต็มไปด้วยความวิตก เฮ่อฉางฉีย่อมต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์จิ่งอันป๋อ แต่เขาจะไม่มีบุตรชายได้อย่างไร?!

        แม้เฮ่อฉางฉีจะไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ แต่ท่านป๋อและฮูหยินจิ่งอันป๋อ รวมทั้งเฮ่อเหล่าไท่จวินย่อมใส่ใจเป็นแน่

 

        เหล้าองุ่นที่ฉู่เหลียนบ่มไว้เมื่อหลายวันก่อนยามนี้สมควรดื่มได้แล้ว ทว่ากุ้ยหมัวมัวกลับส่งไปให้เฮ่อฉางตี้โดยพลการไหหนึ่ง ทำให้ฉู่เหลียนโมโหนิดหน่อย จึงนำเอาเหล้าองุ่นไหที่เหลือมาดื่มคู่กับอาหารมื้อกลางวัน

        แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ นางทานมากเกินไปจนทำให้ตอนนี้ท้องอืด หากนอนกลางวันเลยย่อมไม่ดีต่อร่างกาย นางจึงพาเวิ่นฉิงกับจิ่งเยี่ยนไปเดินเล่นในสวนเพื่อรอย่อยอาหาร

        แม้ยามนี้ใกล้เข้าสู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ทว่าข้างนอกก็ยังร้อนอยู่บ้าง ฉู่เหลียนจึงชอบเดินเล่นอยู่ภายในจวน ซึ่งเป็นทางเดินที่เชื่อมเรือนในกับเรือนนอกเข้าหากันและมีความร่มเย็นกว่ามาก

        ที่ตรงนั้นยังมีโต๊ะเก้าอี้หินตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ใกล้ประตูเข้าออก ฉู่เหลียนหยุดเดินและนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนคิดจะกลับไปนอนกลางวันที่เรือนตน

        ทันทีที่ฉู่เหลียนนั่งลง ก็ได้ยินเสียงการสนทนาจากเรือนนอก และใครจะทราบว่าแผนการเดิมของนางจะชะงักไปเพียงเพราะอยากรู้เรื่องราวตรงนั้นเล่า?

        “จิ่งอันซื่อจื่อขอรับ เราจะทำอย่างไรกับรถขนพริกนี้ดีขอรับ? ท่านใจอ่อนเกินไปแล้วนะขอรับ ซื้อของทั้งหมดนี่เพียงเพราะคนต่างแดนนั่นกล่าวว่าไม่มีเงินพอกลับไป!”

        “นำไปให้พ่อบ้านของจวน หากไร้ประโยชน์จริง ๆ ก็แค่ทิ้งไปเสีย เด็กคนนั้นน่าสงสารนัก ข้าเพียงต้องการมอบเงินให้เขาได้กลับบ้านเท่านั้น” เสียงห้าวของต้าหลางกล่าว

        ฉู่เหลียนไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกัน ทว่ายังจำเสียงพี่ใหญ่ได้ เลยสงสัยอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงส่งเวิ่นฉิงเข้าไปถามหาความ

        ไม่นาน เฮ่อฉางฉีก็เดินเข้ามาพร้อมบ่าวรับใช้คังโส่ว

        ฉู่เหลียนรีบลุกขึ้นทักทายเขา

        “น้องสะใภ้สาม เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ยามกลางวันเช่นนี้ได้”

        ฉู่เหลียนยิ้ม “ตอบพี่ใหญ่ ข้าทานอาหารกลางวันมากเกินไป เลยมาเดินเล่นในสวนเพื่อย่อยอาหารเจ้าค่ะ เดินมาเรื่อย ๆ จนได้ยินเสียงพี่ใหญ่ที่ด้านนอก เลยส่งบ่าวไปตรวจสอบดู พี่ใหญ่ไปไหนมาเจ้าคะ? และได้ทานอาหารกลางวันแล้วหรือยัง?”

        ฉู่เหลียนดูอ่อนหวานงดงาม โดยปกติยามอยู่ในจวนจิ่งอัน นางมักเป็นคนเงียบ ๆ และเชื่อฟังผู้คน ทั้งยังได้รับคำชื่นชมมากมายยามไปจวนติ้งหยวน เฮ่อฉางฉีจึงมองน้องสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าคนนี้ในแง่ดีไม่น้อย นอกจากนั้นเขายังเป็นพี่ใหญ่ผู้รักใคร่น้อง ๆ คนในครอบครัวเป็นอย่างมาก แม้ภายนอกจะดูดุดันไปบ้าง ทว่ากลับมีจิตใจดีงามยิ่ง ฉู่เหลียนเองก็เป็นภรรยาของน้องชาย ด้วยนิสัยของเฮ่อฉางฉี เขาจึงปฏิบัติต่อนางดุจน้องสาวแท้ ๆ

        “ข้าทานข้าวเที่ยงมาเรียบร้อยแล้ว และยังไปที่วัดหงลู่มาเมื่อเช้าเพื่อพบสหายต่างแดน น้องสะใภ้สาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนต่างแดนเหล่านั้นมีเส้นผมสีแดงและดวงตาสีเขียว!”

        เฮ่อฉางฉีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำให้ดวงตาฉู่เหลียนฉายแววสนใจตามคำพูดของพี่ชายที่เบื้องหน้า

        “พี่ใหญ่ ท่านได้ทานอาหารที่คนต่างแดนทำหรือไม่เจ้าคะ?”

        “แน่นอน!”

        “อาหารของพวกเขาแตกต่างจากที่เราทานหรือไม่เจ้าคะ?”

        ได้ยินฉู่เหลียนถามดังนั้น เฮ่อฉางฉีพลันมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เมื่อดูในภาพรวมผิวสีแทนและร่างสูงใหญ่ของเขา ยามนี้ดูราวกับหมียักษ์กำลังงอนอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วตลกเหลือเกิน ทว่าฉู่เหลียนและสาวใช้ของนางต่างอดกลั้นไว้มิให้หัวเราะออกมา เนื่องจากสถานะที่แตกต่างกันนั้น

        “อาหารนั่น… เอ่อ… อย่าพูดถึงมันดีกว่า…”

        รสชาติย่ำแย่เสียจนเขาอยากร้องไห้เลยแหละ พอได้ลองทานอาหารประหลาดนั่นแล้ว เฮ่อฉางฉีก็เริ่มสงสารคนต่างแดนเหล่านั้นขึ้นมา ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมเสียเงินหลายสิบตำลึงเพื่อซื้อ ‘พริก’ ที่ไร้ประโยชน์มาทั้งคันรถเป็นแน่

        เขายังจำได้ว่าคนต่างแดนพวกนั้นกล่าวว่า ‘พริก’ เป็นอาหารประเภทหนึ่ง ทว่ายามเขาและคังโส่วกัดเข้าไปคำหนึ่ง ปากเขาก็แทบจะลุกเป็นไฟ! จนทำให้พวกเขาต้องดื่มชาไปสองถ้วยเต็ม ๆ จึงจะพอบรรเทาความรู้สึกคล้ายลุกไหม้บนลิ้นลงไปได้บ้าง

        เมื่อเห็นดวงตาแวววาวของน้องสะใภ้คู่นั้นเปล่งประกายด้วยความสงสัยอีก เฮ่อฉางฉีพลันเกิดความคิดบางอย่าง

        “จริงสิ วันนี้ข้ายังซื้อของบางสิ่งจากคนต่างแดนเหล่านั้นมาด้วย พวกนั้นบอกข้าว่ามันเป็นอาหารประเภทหนึ่ง น้องสะใภ้อยากดูหรือไม่?”

        ฉู่เหลียนกำลังสงสัยสุดขีด จะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า?

        นางจึงตามเฮ่อฉางฉีเดินออกประตูไปยังเรือนนอก

        เฮ่อฉางฉีโบกมือให้บ่าวชายสองคนนำของออกมาจากรถม้า และเดินนำนางไป เมื่อเข้าไปใกล้พอ เขาก็หยิบกระสอบขึ้นมาเปิดให้นางดูเอง

        ฉู่เหลียนมองเข้าไป เห็นในถุงเต็มไปด้วยพริกแห้ง เปลือกของมันเป็นสีแดงเงางาม ทั้งยังมีขนาดเล็กอีกด้วย น่ารัก!

        ฉู่เหลียนพยายามใจเย็นลง และถาม “พี่ใหญ่ ของเหล่านี้คืออะไรหรือเจ้าคะ?”

        เฮ่อฉางฉีที่มองว่าของเหล่านี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง จึงทำเพียงบิดปากถุงแล้วโยนกลับเข้าไปในรถม้า “คนต่างแดนที่ขายสิ่งนี้ให้ข้าเรียกมันว่าพริกน่ะ”

        ฉู่เหลียนกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ที่เริ่มหลั่งไหลมารวมกันในปาก “อืม… ข้าสงสัยว่า…พี่ใหญ่จะแบ่งพริกเหล่านี้ให้ข้าบ้างได้หรือไม่เจ้าคะ? ข้าอยากได้มาทำอาหารเจ้าค่ะ”

        เอามาทำอาหาร?

        เมื่อฉู่เหลียนเอ่ยถึงอาหาร เฮ่อฉางฉีก็นึกถึงขนมที่นางทำเมื่อหลายวันก่อน ถึงอย่างไรพริกเหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขา เหตุใดถึงจะมอบให้ฉู่เหลียนไม่ได้เล่า?

        “น้องสะใภ้สาม หากเจ้าอยากได้ ข้ายกให้ทั้งหมดเลย เพราะของสิ่งนี้ไร้ประโยชน์สำหรับข้ายิ่งนัก”

        ฉู่เหลียนไม่คิดว่าพี่ใหญ่ของนางจะมอบของทั้งหมดนี้ให้อย่างง่ายดาย จึงตกตะลึงไปเล็กน้อย นางกำลังจะกล่าวปฏิเสธ แต่แล้วบ่าวชายของเฮ่อฉางฉีก็เอ่ยขัด “นายหญิงสามขอรับ พริกเหล่านี้ไม่ได้มีค่าเท่าใดนัก เป็นเพียงสินค้าที่เด็กหนุ่มคนต่างแดนนำเข้ามาขายในเมืองหลวง เขาอยากขายได้ราคาดีหน่อย แต่มิคาดว่าจะไม่มีใครต้องการซื้อ ทั้งเขายังเร่งร้อนอยากกลับบ้าน จึงได้มาพบจิ่งอันซื่อจื่อเพื่อขอความช่วยเหลือ นายของบ่าวเกิดสงสารจึงมอบเงินตำลึงให้เขาไป เพื่อเขาจะได้กลับบ้านได้ รถขนพริกเหล่านี้เป็นเพียงตัวแถมเท่านั้น หากท่านไม่ต้องการ พ่อบ้านก็ต้องนำไปโยนทิ้งอยู่ดีขอรับ!”

        ฉู่เหลียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่ไม่มีใครรู้ว่าพริกเหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่ดีเพียงใด ไม่แปลกใจเลยที่คนต่างแดนขายได้เพียงเล็กน้อย

        ในเมื่อพวกเขาได้พริกมาในราคาแสนถูก ฉู่เหลียนจึงไม่ปฏิเสธต่อ บอกตามตรง พริกเต็มคันรถเหล่านี้จะสำแดงศักยภาพที่แฝงเร้นอยู่ภายในได้ล้วนต้องอาศัยฝีมือของนางเพียงผู้เดียว

        “เช่นนั้นน้องสะใภ้ต้องขอบคุณพี่ใหญ่เป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ หากข้าทำอาหารชนิดใหม่ด้วยพริกเหล่านี้สำเร็จแล้ว ข้าจะแบ่งไปให้พี่ใหญ่ได้ลองชิมนะเจ้าคะ!”

        “ตกลง คังโส่ว ไปเรียกสาวใช้มาสองคน ย้ายพริกทั้งหมดนี่ไปยังห้องครัวเรือนซงเถา”

        มอบเจ้าพริกที่เป็นตัวภาระให้แก่ฉู่เหลียนแล้ว เฮ่อฉางฉีก็สบายใจขึ้นมาก และเดินกลับไปยังเรือนของตนพร้อมบ่าวรับใช้

        แน่นอน โจวซื่อย่อมได้ข่าวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

        โจวซื่อนั่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยสีหน้าไม่พอใจ โกรธเคืองยิ่ง

        ทันทีที่เฮ่อฉางฉีก้าวเข้าสู่ห้องรับแขก ก็เห็นภรรยาที่นั่งหน้าขมุกขมัวอยู่ เขาจึงได้เดินไปหาและนั่งลงข้าง ๆ  “หยวนจิ่ง เกิดอะไรขึ้นหรือ? วันนี้มีบ่าวไพร่คนใดทำเจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือไม่?”

        โจวซื่อกลับยิ่งโมโหเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่านางไม่อาจแข็งใจระเบิดความเกรี้ยวกราดใส่สามีที่รักได้ลง ทำได้เพียงปรับสีหน้าให้นุ่มนวลขึ้น ถามเสียงเบา “ต้าหลาง วันนี้ท่านขนบางสิ่งมาเต็มรถม้าจากวัดหงลู่หรือ?”

        แม้เฮ่อฉางฉีจะดูหยาบกร้านเพียงใด ทว่ากลับละเอียดอ่อนต่อความหมายแฝงเบื้องหลังถ้อยคำเหล่านั้นของภรรยา ดังนั้น เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าภรรยาของตนเข้าใจผิดเสียแล้ว

        “โอ เจ้า! เจ้าคิดอะไรอยู่? สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงของที่เด็กต่างแดนขายไม่ออก เขานำเข้ามาขายในเมืองเรา ทว่า ผ่านไปครึ่งปีแล้วกลับไม่มีผู้ใดซื้อแม้แต่น้อย ข้าสงสารจึงจ่ายเงินไปยี่สิบตำลึงเพื่อซื้อทั้งหมดมา แค่เพียงต้องการมอบเงินให้เขาได้กลับบ้านเท่านั้น”

        เมื่อโจวซื่อได้ยินดังนั้นจึงผ่อนคลายลงบ้าง “มันคืออะไรหรือ?”

        “แค่รถขน ‘พริก’ เท่านั้น”

        สตรีนั้นมีความใจแคบอยู่บ้าง แม้กระทั่งโจวซื่อผู้เติบโตมาในจวนติ้งหยวนก็มิใช่ข้อยกเว้น

        นางทุบเฮ่อฉางฉีเบา ๆ “ถึงจะอย่างนั้นท่านก็มอบทั้งหมดให้น้องสะใภ้สามมิได้!”

        “หากข้าไม่มอบให้นาง จะให้ข้าโยนทั้งหมดทิ้งหรือ? ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร ต่อให้เราเก็บไว้ก็มีแต่เน่าเสีย เงินเพียงยี่สิบตำลึงเท่านั้น เหตุใดจึงใส่ใจนักเล่า?”

        โจวซื่อทนไม่ได้อีกต่อไป นางหันหลังให้เฮ่อฉางฉี

        “เอาล่ะๆ หยวนจิ่ง ข้าจะนำเครื่องประดับศีรษะมาให้เจ้าวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่? เป็นแบบล่าสุดจากหอจิ้นฉือ ข้าสั่งไว้ให้เจ้าเมื่อหลายวันก่อน ยามนี้เพิ่งนึกขึ้นได้ คงจะืำเสร็จแล้วกระมัง”

        เมื่อโจวซื่อได้ยินสามีเอ่ยว่าสั่งเครื่องประดับศีรษะจากหอจิ้นฉือให้ ความหงุดหงิดจากเงินเพียงยี่สิบตำลึงก็หายวับไป นางรีบหันหน้ามาถามเฮ่อฉางฉีทันทีว่าเครื่องประดับนั้นทำจากอะไร และทำออกมาในรูปแบบใด

        หอจิ้นฉือเป็นร้านเครื่องประดับที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวง แม้แต่องค์หญิงและภริยาขุนนางผู้มีอิทธิพลก็มักสั่งทำเครื่องประดับจากที่นี่ หากได้ครอบครองเครื่องประดับจากหอจิ้นฉือย่อมเป็นสิ่งที่โอ้อวดได้

        ถ้อยคำของเฮ่อฉางฉีทำให้โจวซื่อหายโศกเศร้าลงได้บ้าง ซึ่งส่วนหนึ่งย่อมเป็นผลจากการไปคารวะเฮ่อเหล่าไท่จวินและจิ่งอันป๋อฮูหยิน เมื่อเช้านี้และมีการกล่าวถึงการมอบเครื่องประดับเพิ่มเติมให้น้องสะใภ้สาม

        เมื่อทานข้าวกับภรรยาเสร็จแล้ว เฮ่อฉางฉีก็เดินเข้าห้องหนังสือโดยมีคังโส่วเดินตามมา เมื่อนั่งลงหน้าโต๊ะของตน เขาจึงเอ่ยปากสั่งบ่าวคนสนิท “คังโส่ว เอาเงินพันตำลึงนี่ไปหอจิ้นฉือ ให้พวกเขาทำเครื่องประดับศีรษะให้ข้า บอกเถ้าแก่ว่าเป็นข้าสั่งทำ และข้าย่อมทนเห็นความผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย”

        คังโส่วหมุนตัวจะจากไป เฮ่อฉางฉีก็เรียกอีกครั้ง “อย่าใช้เงินจากบัญชีจวน นำออกมาจากทุนส่วนตัวของข้า”

        “ขอรับ!” คังโส่วรีบจากไปเพื่อจัดการเงินทันที

        เฮ่อฉางฉีเริ่มกังวลเรื่องเงินทองของเขาขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีทุนส่วนตัว ทว่าหลายวันมานี้เขาแอบช่วยสมทบค่ายาให้มารดาไป ดังนั้นต่อให้มีทองกองเป็นภูเขาก็สามารถหมดไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ยามนี้เขาสัมผัสได้ว่าภรรยาไม่พอใจ จึงเลือกอ้างถึงเครื่องประดับศีรษะเพื่อเป็นการปลอบประโลมนางเพียงเท่านั้น คนอย่างเขาจะไปสั่งทำของแบบนั้นล่วงหน้าไว้ได้อย่างไร? เพียงแต่เอ่ยไปเช่นนั้นเพื่อให้โจวซื่อมีความสุข

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+