[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 69 ปลานึ่ง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 69 ปลานึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        หากบิดาของเฮ่อฉางฉีมิได้ประจำการอยู่หมิงโจว และซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องอยู่ดูแลตระกูล ยามนี้เขาคงได้เข้าร่วมกองทัพตามความตั้งใจของตน ทว่าเมื่อเขาเป็นบุตรคนโตย่อมต้องปล่อยทิ้งความฝันที่มี และอยู่บ้านเพื่อรับผิดชอบหน้าที่แทนบิดา

       ปัจจุบันนี้เฮ่อฉางฉีดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ แต่เขาก็ไม่มีความสามารถในการทำธุรกิจ ดังนั้นแม้จะเป็นถึงจิ่งอันซื่อจื่อก็ใช่ว่าจะมีเงินทุนสำรองมากมาย

        ในฐานะซื่อจื่อ เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาเริ่มกังวลเรื่องเงินทองย่อมเป็นเพราะสุขภาพมารดา

        เรื่องนี้ฉู่เหลียนไม่ทราบเพราะนางไม่ได้เป็นผู้จัดการดูแลจวน และในนิยายก็ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดเหล่านี้

        เมื่อฉู่เหลียนได้รับพริกมาหนึ่งคันรถเต็ม ๆ นางก็มีความสุขจนแทบคลั่ง

        ใจนางยามนี้เต็มไปด้วยน้ำมันพริก, ไก่หนุ่มผัดพริก, หมูสามชั้นต้ม, ซุปเปรี้ยวเผ็ด, เนื้อเส้นทอดรสเผ็ด, เต้าหู้หม่าผอ และรายการอาหารรสเผ็ดอีกมากมายเท่าที่นางจะคิดออก

        เมื่อกลับถึงเรือนซงเถา นางก็เร่งเข้าไปในครัวเล็กโดยไม่แม้แต่จะนอนกลางวันตามแผนเดิมอีกต่อไป

        ที่ทางเข้าครัว จงหมัวมัวและเวิ่นหลานจ้องมองตาโต พูดไม่ออกเมื่อเห็นบ่าวไพร่แบกขนกระสอบบางสิ่งเข้ามาในครัว

        พริกหนึ่งคันรถนั้นกินพื้นที่ห้องเก็บของไปถึงครึ่งห้องทีเดียว

        จงหมัวมัวเดินไปหาฉู่เหลียน ถามด้วยความตื่นตระหนก “นายหญิงสาม สิ่งเหล่านี้คืออะไรหรือเจ้าคะ? เหตุใดจึงมีมากมายนัก”

        ฉู่เหลียนยิ้มกว้างจนดวงตาหรี่ลง นางจงใจเบี่ยงประเด็น “หมัวมัวอย่าได้กังวลไป นี่นับเป็นของดีอย่างหนึ่งที่พี่ชายใหญ่มอบให้ข้า”

        “จากจิ่งอันซื่อจื่อหรือเจ้าคะ?”

        จงหมัวมัวเดินตามฉู่เหลียนไป มองนางเปิดกระสอบและสั่งจิ่งเยี่ยนให้นำถ้วยไม้ใบใหญ่มา จากนั้นฉู่เหลียนจึงคุกเข่าลงยกถุงกระสอบขึ้น แล้วเทพริกแห้งเหล่านั้นออกมา ก่อให้เกิดเป็นเสียงที่น่าพึงใจยามมันร่วงลงสู่ถ้วยไม้

        กุ้ยหมัวมัวได้ข่าวก็รีบวิ่งมา เมื่อเห็นถ้วยไม้ที่เต็มไปด้วย…บางสิ่ง…สีแดงเพลิง นางก็อุทานอย่างตกใจ “สิ่งเหล่านี้คืออะไรเจ้าคะ? ดูมีความงดงามอยู่บ้าง…”

        ฉู่เหลียนยื่นแขนไปเหนือกระสอบพริก จ้องมองไปที่พริกสีแดงสดใส ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นในหัว

        นางหันไปมองเหล่าบ่าวไพร่ ก่อะเอ่ย “เป็นอาหารจากคนต่างแดน สามารถทานได้เลยโดยไม่ต้องปรุงแต่งใด ๆ ก่อน พวกเจ้าอยากลองหรือไม่?”

        กลุ่มคนแรก ๆ ที่พยักหน้าคือเหล่าสาวใช้เด็ก ๆ อย่างฉีเยี่ยน ฝูเยี่ยน และคนอื่น ๆ ดวงตาของพวกนางล้วนเปี่ยมด้วยความคาดหวัง นายหญิงสามทำอาหารอร่อยเกินไป ไม่ว่าทำอะไรล้วนแต่เลิศรสทั้งนั้น! จนทำให้พวกนางแอบสงสัยอยู่ว่าตนเองดูมีเนื้อหนังมากกว่าเดิมยามส่องกระจกหรือไม่ 

        ก่อนจะทานอาหารแต่ละมื้อ พวกนางล้วนแต่คิดว่าคราวนี้จะทานให้น้อยลงหน่อย ทว่ากลับไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นอาหารของที่นายหญิงทำ นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่าโมโหจริง ๆ

        เมื่อฉู่เหลียนเห็นพวกสาวใช้อยากลองทานพริก นางก็อดยิ้มไม่ได้ ก้าวไปยืนที่ด้านข้าง ให้ทุกคนได้เข้าถึงถ้วยไม้

        สาวใช้วัยเยาว์หยิบพริกคนละชิ้น จ้องมองมันอยู่ครั้งสองครั้ง และไม่แม้แต่จะถามไถ่ถึงรสชาติเสียก่อน พวกนางก็โยนพริกเข้าปากทันที

        ในเวลาไม่ถึงอึดใจ ลำคอของพวกนางก็ราวกับลุกเป็นไฟ! ล้วนแต่รีบคายพริกทิ้งและวิ่งเข้าครัวเพื่อหาน้ำดื่ม

        กุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัวมองเหตุการณ์ทั้งหมดจากด้านข้าง ตกใจเสียจนโง่งมเมื่อเห็นสาวใช้วิ่งพล่าน อะไร…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!

        กุ้ยหมัวมัวอยากตามออกไปดูว่าสาวใช้เหล่านั้นจะเป็นอะไรหรือไม่ ทว่าฉู่เหลียนรั้งตัวนางไว้ และพยายามกลั้นยิ้ม “หมัวมัว ไม่เป็นไร พวกนางไม่เป็นอะไรมากหรอก ที่พวกนางเพิ่งทานไปคือพริก ยามนี้ลิ้นคงแทบไหม้จากความเผ็ดแล้ว! เพียงดื่มน้ำเย็น ๆ แก้วสองแก้วก็ไม่เป็นไรแล้ว”

        เมื่ออธิบายจบ ฉู่เหลียนก็อดไม่ไหว ระเบิดหัวเราะเสียงดัง กุ้ยหมัวมัวผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินดังนั้น ทว่านางกลับมองนายหญิงด้วยสายตาแปลกประหลาด นายของตนดูมีความสุขยิ่งนักที่สามารถกลั่นแกล้งบ่าวไพร่ได้ด้วยวิธีพิเรนทร์ ๆ เช่นนี้

        จงหมัวมัวรีบหันไปสั่งสาวใช้คนอื่นให้ไปนำน้ำเย็นมาให้สาว ๆ ในครัวที่ถูกแกล้งได้ดื่มคลายพิษร้อน

        เมื่อสาวใช้เด็ก ๆ กลับมา ดวงตาพวกนางก็แดงก่ำปริ่มน้ำตากันถ้วนหน้า พวกนางมองฉู่เหลียนตาแป๋วราวกับเด็กน้อยผู้น่าสงสารที่เพิ่งถูกรังแก

        ฉู่เหลียนจงใจทำหน้านิ่งดุพวกนาง “ดูสิ คราวหน้าคราวหลังพวกเจ้าจะกล้าทานสิ่งใดก่อนคิดอีกหรือไม่! หากพวกเจ้ากล้าทำผิด นับแต่นี้ไปข้าจะลงโทษให้พวกเจ้าทานพริกเหล่านี้ทั้งถ้วย!”

        สาวใช้เด็ก ๆ รีบก้มหน้าทันที ไม่กล้าแม้แต่จะแอบมอง กระทั่งสีหน้าของกุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจริงจังทันที

        อันที่จริง ฉู่เหลียนจงใจกล่าวเช่นนี้ เพราะเมื่อสองวันก่อน เพื่อห่อของให้เฮ่อซานหลาง ฉีเยี่ยนและคนอื่น ๆ ได้เอาขนมของนางไปทั้งหมด ทั้งกุ้ยหมัวมัวเองก็ยังนำเอาเหล้าองุ่นของนางไปโดยไม่ขอ ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่ที่เริ่มมีการทำอาหารทานกันเองด้วยสูตรอาหารแสนอร่อยของนาง ก็พบว่าอาหารกลับเริ่มหายไปอยู่เรื่อย ๆ แต่ฉู่เหลียนเพียงทำเป็นมองไม่เห็น ทว่าไม่นานมานี้นางกลับรู้สึกว่าพวกสาวใช้เริ่มล้ำเส้นเกินไปแล้ว

        แม้จะเป็นฉีเยี่ยนและกุ้ยหมัวมัวที่ตัดสินใจและกระทำแทนนางด้วยการมอบขนมและเหล้าแก่เฮ่อซานหลาง ทว่าจวนย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ ถึงอย่างไรนางยังเป็นนายหญิงที่แท้จริงของเรือนซงเถา แต่ก็เพียงในเรือนซงเถา 

        การขโมยอาหารอาจเป็นเรื่องเล็ก ทว่านางไม่ต้องการปล่อยให้นิสัยไม่ดีเช่นนี้เติบโตขึ้น การปล่อยผ่านย่อมนำบ่าวไพร่ไปสู้ความหาญกล้าในทางที่ผิดยิ่งขึ้น ละโมบยิ่งขึ้น ฉู่เหลียนจึงถือโอกาสนี้เคาะเอาสำนึกกลับเข้าสู่บ่าวไพร่ในเรือน ทั้งยังได้แสดงท่าทีให้ชัดเจน ว่านางจะลงโทษทุกคนที่กล้าข้ามเส้นอีก กระทั่งกุ้ยหมัวมัวก็มิใช่ข้อยกเว้น

        ดวงตาฉู่เหลียนตวัดมองบ่าวไพร่ที่มารวมตัวกัน เมื่อเห็นว่าคำเตือนของนางได้ฝังเข้าสู่ใจผู้คนแล้ว นางจึงผ่อนคลายลง สีหน้ากลับไปเป็นอบอุ่นเป็นมิตรเช่นเคย

        “ฝูเยี่ยน ไปดูว่าวันนี้ในครัวมีปลาหรือไม่ เวิ่นหลาน หมิงเยี่ยน นำถ้วยมาอีกสองใบใส่พริกเหล่านี้ จิ่งเยี่ยน ไปนำงา กระเทียม ต้นหอมและขิงมาให้ข้า”

        เมื่อสั่งการเสร็จแล้ว ฉู่เหลียนก็ยืนอยู่ทางหนึ่ง สอนสาวใช้ที่เหลือให้ล้างและสับพริกแห้ง

        ตลอดบ่ายวันนั้น เรือนซงเถาอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนเผ็ด ทำให้หลายคนในเรือนถึงกับไอออกมา

        ฉู่เหลียนสั่งฉีเยี่ยนให้ย้ายเก้าอี้ไม้ออกมาวางใต้พุ่มดอกสื่อเถิง ทั้งนางยังถือสมุดบัญชีร้านกุ้ยหลินไว้ในมือ ทำเครื่องหมายไว้เป็นระยะ พร้อมกับจับตามองเหล่าสาวใช้ที่เข้า ๆ ออก ๆ ห้องครัว ดูมีชีวิตชีวายิ่ง

        เมื่อยกมือขึ้น ฉีเยี่ยนก็รีบส่งจานอาหารงดงามประณีตมาให้ ในนั้นเต็มไปด้วยมะระหั่นชิ้นเล็ก ๆ ที่มีไม้จิ้มฟันจิ้มไว้

        ฉู่เหลียนจิ้มเข้าปากชิ้นหนึ่ง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันใด ฉีเยี่ยนเห็นสีหน้านางเปลี่ยนไป จึงรีบเข้ามาช่วยนวดไหล่ให้ฉู่เหลียน

        ฉู่เหลียนก็พูดขึ้นเป็นระยะประมาณว่า… “ซ้ายอีกนิด”

        …และฉีเยี่ยนก็ทำตามที่นางสั่ง

        ฉู่เหลียนหลับตาผ่อนคลาย นี่แหละชีวิตเรื่อยเปื่อยในฝัน!

        ไม่นานนัก ฝูเยี่ยนและคนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามา ทั่วร่างอบอวลด้วยกลิ่นควันฉุน ๆ ใบหน้าแดงก่ำจากความร้อนและการออกแรง เมื่อถึงข้างกายฉู่เหลียนก็ไอไม่หยุด

        ฉู่เหลียนทำท่ากระแอมใส่กำปั้น แล้วถาม “เสร็จหมดแล้วหรือ?”

        “เรียนนายหญิงสาม น้ำมันพริกเตรียมเสร็จเรียบร้อยตามที่ท่านสอนเจ้าค่ะ ทำออกมาทั้งหมดได้ประมาณสองไห” จิ่งเยี่ยนตอบ

        “เมื่อทำเสร็จแล้ว พวกเจ้าก็กลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสีย ล้างกลิ่นพวกนี้ออกจากตัว”

        เหล่าสาวใช้ทำท่าราวกับได้รับนิรโทษกรรม รีบกระจายตัวออกไป

        ฉู่เหลียนพออกพอใจ ทานมะระอีกชิ้น “ฉีเยี่ยน เจ้าเห็นหรือไม่? นี่คือชะตากรรมของใครก็ตามที่กล้าขโมยอาหารข้าเพื่อคนอื่น! แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป ข้ายังมีพริกเหลืออีกหลายกระสอบเชียว!”

        ฉีเยี่ยนหวาดกลัวถ้อยคำของฉู่เหลียนจนตัวแข็งทื่อ

        นางพยายามเข้มแข็ง สุดท้ายกลับทำไม่ได้ “นายหญิงสามเจ้าขา บ่าวไม่กล้าแตะของของท่านโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกแล้วเจ้าค่ะ! นายหญิงสาม ได้โปรดให้อภัยบ่าวครานี้เถอะนะเจ้าคะ!”

        ฉู่เหลียนจ้องฉีเยี่ยน “ดีแล้วฉีเยี่ยน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งใหญ่ไปเพื่อสิ่งเล็ก ๆ นะ”

        แม้การทำขนมเหล่านั้นจะไม่ง่าย ทว่าเป็นเพียงการทำขนมตามต้องการเท่านั้น ฉู่เหลียนอยากใช้โอกาสนี้เตือนฉีเยี่ยนว่าควรต้องรักษาทุกสิ่งที่นางไว้ใจให้นำไปรักษา และหากนางยังกล้ากระทำเรื่องผิดพลาดซ้ำเดิมอีกครั้ง ย่อมมีการลงโทษที่รอนางอยู่แน่แล้ว

         

        มื้อเย็นวันนั้น ฉู่เหลียนลงมือทำปลานึ่งพริกและซุปเปรี้ยวเผ็ดด้วยตนเอง ส่วนอาหารจานอื่นที่เหลือเป็นสิ่งที่ทานเป็นประจำในเรือนซงเถา

        ปลานึ่งสีขาวหิมะวางเหนือถั่วงอกสด ๆ คู่กับพริกสีแดงสดใสที่โรยอยู่ด้านบน เมื่อชิ้นปลาถูกยกขึ้นโต๊ะก็ดูตื่นตายิ่ง เนื้อปลาทั้งนุ่มทั้งละมุน แม้จะมีชั้นพริกโรยอยู่ ทว่าก็ไม่ได้เผ็ดจนเกินไป เมื่อชิ้นปลาบาง ๆ ถูกส่งเข้าปาก ฉู่เหลียนก็หลับตาลงด้วยความสุขสม มุมปากยกขึ้น

        น่าเศร้านักที่นางต้องทานคนเดียว อาหารเช่นนี้จะยิ่งเลิศรสหากเสิร์ฟเป็นจานใหญ่ แต่เพราะมีแค่นางคนเดียว จึงได้สั่งฉีเยี่ยนให้จัดปลาใส่จานใบเล็กก็พอ

        เมื่อนึกขึ้นได้ ฉู่เหลียนก็สั่งฉีเยี่ยนแบ่งออกเป็นสองจานและส่งไปยังเรือนชิ่งสี่กับเรือนของบ้านใหญ่

        กุ้ยหมัวมัวเป็นผู้นำจานหนึ่งไปส่งถึงเรือนชิ่งสี่ด้วยตนเอง โดยมีเหลียวหมัวมัวเป็นผู้รับ

        “นี่เป็นอาหารชนิดใหม่ที่นายหญิงสามทำวันนี้เจ้าค่ะ บ่าวรับคำสั่งนายหญิงสามให้นำมาส่งให้เฮ่อเหล่าไท่จวินได้ลองชิม ทว่านายหญิงสามยังได้กำชับมาว่า ปลานึ่งชนิดนี้มีรสชาติค่อนข้างเผ็ด ให้ลองทานทีละคำเล็ก ๆ ก่อนนะเจ้าคะ”

        เหลียวหมัวมัวยิ้มรับเข้าใจ นางรับจานอาหารและให้สาวใช้ด้านหลังนำไปส่งเฮ่อเหล่าไท่จวิน จากนั้นเหลียวหมัวมัวจึงเดินไปส่งกุ้ยหมัวมัวถึงทางออกเรือน

        ทางด้านเรือนของต้าหลาง พวกเขาก็ได้รับแบ่งด้วยเช่นกัน กลับเป็นเฮ่อฉางฉีที่ปรากฏตัวพอดี

        เฮ่อฉางฉีเปิดฝากล่องออกก็เห็นเพียงชั้นพริกที่โรยอยู่ด้านบน เขาอุทานอย่างตกตะลึง “สิ่งนี้ทำจากพริกที่ข้านำกลับมาเมื่อบ่ายนี้หรือ?”

        “ตอบจิ่งอันซื่อจื่อ ใช่แล้วเจ้าค่ะ! นายหญิงสามของพวกบ่าวเป็นผู้ทำอาหารจานนี้ด้วยตนเอง ทั้งยังมีข้อความฝากมาบอกว่า หากปลานึ่งเหล่านี้เผ็ดเกินไป โปรดทานแต่น้อยเจ้าค่ะ”

        “ในเมื่อทำจากพริกนั่น ข้าย่อมต้องทานอย่างระมัดระวัง”

        ยังไม่ทันจิ่งเยี่ยนจะจากไป เฮ่อฉางฉีก็สั่งหมัวมัวในเรือนให้ยกไปขึ้นโต๊ะอาหารเย็นทันที

        เขาอดรอชิมอาหารที่ทำจากพริกนั่นมิได้เสียแล้ว

        วันต่อมา เมื่อฉู่เหลียนมาถึงเรือนชิ่งสี่เพื่อคารวะยามเช้า นางก็บังเอิญพบกับพี่ใหญ่เข้า

        เหล่าไท่จวินยิ้ม และเรียกให้ฉู่เหลียนนั่งข้างกายตนแล้วเอ่ยล้อเลียน “พี่ใหญ่มารอเจ้าเป็นพิเศษอยู่เค่อกว่าแล้ว”

        ฉู่เหลียนเห็นว่าแปลกนัก จึงถามไป “พี่ใหญ่ มีอะไรหรือเจ้าคะ?”

        ใบหน้าแข็งกร้าวสีคล้ำของเฮ่อฉางฉีคล้ายว่าจะขึ้นสีเล็กน้อยยามเขาเม้มปาก คล้ายว่าอายเกินกว่าจะเอ่ยขึ้น ทำเพียงหันไปหาเฮ่อเหล่าไท่จวินคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ

        “ดูเจ้าซี เรื่องเล็กน้อยแค่นี้กลับเขินอายจนไม่กล้าพูด ภรรยาซานหลางแต่งเข้าตระกูลเรา ยามนี้เจ้าก็นับเป็นพี่ชายของนางแล้ว!” เฮ่อเหล่าไท่จวินแสร้งตำหนิเฮ่อฉางฉี ก่อนกุมมือฉู่เหลียนแล้วยิ้ม “อีกสองวันพี่ใหญ่ของเจ้าจะมีสหายมาเยี่ยมเยือน เมื่อได้ทานปลานึ่งที่เจ้าส่งมาเมื่อคืน เขาก็คิดว่าเจ้าทำอาหารได้อร่อยมาก จึงอยากขอร้องให้เจ้าช่วยทำอาหารให้สหายเขาได้ประทับใจเสียหน่อย”

        ยามเชื้อเชิญแขกเยี่ยมบ้าน เจ้าบ้านมักต้องมีอาหารชั้นยอดหรือเหล้าชั้นเลิศตระเตรียมไว้เสมอ เมื่อสูตรลับนับเป็นสิ่งล้ำค่าในยุคนี้ แต่ละจวนจึงมักมีอาหารจานที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ยกขึ้นโต๊ะยามมีแขกมาเยี่ยมเยือน

        ก่อนหน้านี้จวนจิ่งอันมีของว่างฝีมือแม่ครัวโจวอยู่ ยามนี้บ่าวผู้นั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้เฮ่อต้าหลางรู้สึกว่าตนไม่มีอาหารดี ๆ ไว้สร้างความประทับใจให้สหายเลย จึงได้ติดค้างผัดผ่อนมื้ออาหารต่อเพื่อน ๆ เรื่อยมา

        ยามนี้มีโอกาสแล้ว เขาย่อมไม่ปล่อยไป

        ฉู่เหลียนเดิมทีก็นึกว่าจะเป็นเรื่องยากเย็นเสียอีก หากเพียงทำอาหารจานสองจานให้เพื่อนของพี่สามีทานย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ฉู่เหลียนพยักหน้าตกลงทันที

        ต้าหลางรู้สึกคล้ายเรื่องหนักใจที่มีคลายลงได้เสียที แต่เมื่อกำลังจะจากไป เหลียวหมัวมัวก็วิ่งเข้ามาในเรือนเสียก่อน

        “เหล่าไท่จวินเจ้าคะ พ่อบ้านเรือนนอกส่งข่าวมาเจ้าค่ะ! เป็นคนจากพระราชวังเรียกหาคนเจ้าค่ะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 69 ปลานึ่ง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 69 ปลานึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        หากบิดาของเฮ่อฉางฉีมิได้ประจำการอยู่หมิงโจว และซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องอยู่ดูแลตระกูล ยามนี้เขาคงได้เข้าร่วมกองทัพตามความตั้งใจของตน ทว่าเมื่อเขาเป็นบุตรคนโตย่อมต้องปล่อยทิ้งความฝันที่มี และอยู่บ้านเพื่อรับผิดชอบหน้าที่แทนบิดา

       ปัจจุบันนี้เฮ่อฉางฉีดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ แต่เขาก็ไม่มีความสามารถในการทำธุรกิจ ดังนั้นแม้จะเป็นถึงจิ่งอันซื่อจื่อก็ใช่ว่าจะมีเงินทุนสำรองมากมาย

        ในฐานะซื่อจื่อ เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาเริ่มกังวลเรื่องเงินทองย่อมเป็นเพราะสุขภาพมารดา

        เรื่องนี้ฉู่เหลียนไม่ทราบเพราะนางไม่ได้เป็นผู้จัดการดูแลจวน และในนิยายก็ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดเหล่านี้

        เมื่อฉู่เหลียนได้รับพริกมาหนึ่งคันรถเต็ม ๆ นางก็มีความสุขจนแทบคลั่ง

        ใจนางยามนี้เต็มไปด้วยน้ำมันพริก, ไก่หนุ่มผัดพริก, หมูสามชั้นต้ม, ซุปเปรี้ยวเผ็ด, เนื้อเส้นทอดรสเผ็ด, เต้าหู้หม่าผอ และรายการอาหารรสเผ็ดอีกมากมายเท่าที่นางจะคิดออก

        เมื่อกลับถึงเรือนซงเถา นางก็เร่งเข้าไปในครัวเล็กโดยไม่แม้แต่จะนอนกลางวันตามแผนเดิมอีกต่อไป

        ที่ทางเข้าครัว จงหมัวมัวและเวิ่นหลานจ้องมองตาโต พูดไม่ออกเมื่อเห็นบ่าวไพร่แบกขนกระสอบบางสิ่งเข้ามาในครัว

        พริกหนึ่งคันรถนั้นกินพื้นที่ห้องเก็บของไปถึงครึ่งห้องทีเดียว

        จงหมัวมัวเดินไปหาฉู่เหลียน ถามด้วยความตื่นตระหนก “นายหญิงสาม สิ่งเหล่านี้คืออะไรหรือเจ้าคะ? เหตุใดจึงมีมากมายนัก”

        ฉู่เหลียนยิ้มกว้างจนดวงตาหรี่ลง นางจงใจเบี่ยงประเด็น “หมัวมัวอย่าได้กังวลไป นี่นับเป็นของดีอย่างหนึ่งที่พี่ชายใหญ่มอบให้ข้า”

        “จากจิ่งอันซื่อจื่อหรือเจ้าคะ?”

        จงหมัวมัวเดินตามฉู่เหลียนไป มองนางเปิดกระสอบและสั่งจิ่งเยี่ยนให้นำถ้วยไม้ใบใหญ่มา จากนั้นฉู่เหลียนจึงคุกเข่าลงยกถุงกระสอบขึ้น แล้วเทพริกแห้งเหล่านั้นออกมา ก่อให้เกิดเป็นเสียงที่น่าพึงใจยามมันร่วงลงสู่ถ้วยไม้

        กุ้ยหมัวมัวได้ข่าวก็รีบวิ่งมา เมื่อเห็นถ้วยไม้ที่เต็มไปด้วย…บางสิ่ง…สีแดงเพลิง นางก็อุทานอย่างตกใจ “สิ่งเหล่านี้คืออะไรเจ้าคะ? ดูมีความงดงามอยู่บ้าง…”

        ฉู่เหลียนยื่นแขนไปเหนือกระสอบพริก จ้องมองไปที่พริกสีแดงสดใส ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นในหัว

        นางหันไปมองเหล่าบ่าวไพร่ ก่อะเอ่ย “เป็นอาหารจากคนต่างแดน สามารถทานได้เลยโดยไม่ต้องปรุงแต่งใด ๆ ก่อน พวกเจ้าอยากลองหรือไม่?”

        กลุ่มคนแรก ๆ ที่พยักหน้าคือเหล่าสาวใช้เด็ก ๆ อย่างฉีเยี่ยน ฝูเยี่ยน และคนอื่น ๆ ดวงตาของพวกนางล้วนเปี่ยมด้วยความคาดหวัง นายหญิงสามทำอาหารอร่อยเกินไป ไม่ว่าทำอะไรล้วนแต่เลิศรสทั้งนั้น! จนทำให้พวกนางแอบสงสัยอยู่ว่าตนเองดูมีเนื้อหนังมากกว่าเดิมยามส่องกระจกหรือไม่ 

        ก่อนจะทานอาหารแต่ละมื้อ พวกนางล้วนแต่คิดว่าคราวนี้จะทานให้น้อยลงหน่อย ทว่ากลับไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นอาหารของที่นายหญิงทำ นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่าโมโหจริง ๆ

        เมื่อฉู่เหลียนเห็นพวกสาวใช้อยากลองทานพริก นางก็อดยิ้มไม่ได้ ก้าวไปยืนที่ด้านข้าง ให้ทุกคนได้เข้าถึงถ้วยไม้

        สาวใช้วัยเยาว์หยิบพริกคนละชิ้น จ้องมองมันอยู่ครั้งสองครั้ง และไม่แม้แต่จะถามไถ่ถึงรสชาติเสียก่อน พวกนางก็โยนพริกเข้าปากทันที

        ในเวลาไม่ถึงอึดใจ ลำคอของพวกนางก็ราวกับลุกเป็นไฟ! ล้วนแต่รีบคายพริกทิ้งและวิ่งเข้าครัวเพื่อหาน้ำดื่ม

        กุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัวมองเหตุการณ์ทั้งหมดจากด้านข้าง ตกใจเสียจนโง่งมเมื่อเห็นสาวใช้วิ่งพล่าน อะไร…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!

        กุ้ยหมัวมัวอยากตามออกไปดูว่าสาวใช้เหล่านั้นจะเป็นอะไรหรือไม่ ทว่าฉู่เหลียนรั้งตัวนางไว้ และพยายามกลั้นยิ้ม “หมัวมัว ไม่เป็นไร พวกนางไม่เป็นอะไรมากหรอก ที่พวกนางเพิ่งทานไปคือพริก ยามนี้ลิ้นคงแทบไหม้จากความเผ็ดแล้ว! เพียงดื่มน้ำเย็น ๆ แก้วสองแก้วก็ไม่เป็นไรแล้ว”

        เมื่ออธิบายจบ ฉู่เหลียนก็อดไม่ไหว ระเบิดหัวเราะเสียงดัง กุ้ยหมัวมัวผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินดังนั้น ทว่านางกลับมองนายหญิงด้วยสายตาแปลกประหลาด นายของตนดูมีความสุขยิ่งนักที่สามารถกลั่นแกล้งบ่าวไพร่ได้ด้วยวิธีพิเรนทร์ ๆ เช่นนี้

        จงหมัวมัวรีบหันไปสั่งสาวใช้คนอื่นให้ไปนำน้ำเย็นมาให้สาว ๆ ในครัวที่ถูกแกล้งได้ดื่มคลายพิษร้อน

        เมื่อสาวใช้เด็ก ๆ กลับมา ดวงตาพวกนางก็แดงก่ำปริ่มน้ำตากันถ้วนหน้า พวกนางมองฉู่เหลียนตาแป๋วราวกับเด็กน้อยผู้น่าสงสารที่เพิ่งถูกรังแก

        ฉู่เหลียนจงใจทำหน้านิ่งดุพวกนาง “ดูสิ คราวหน้าคราวหลังพวกเจ้าจะกล้าทานสิ่งใดก่อนคิดอีกหรือไม่! หากพวกเจ้ากล้าทำผิด นับแต่นี้ไปข้าจะลงโทษให้พวกเจ้าทานพริกเหล่านี้ทั้งถ้วย!”

        สาวใช้เด็ก ๆ รีบก้มหน้าทันที ไม่กล้าแม้แต่จะแอบมอง กระทั่งสีหน้าของกุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจริงจังทันที

        อันที่จริง ฉู่เหลียนจงใจกล่าวเช่นนี้ เพราะเมื่อสองวันก่อน เพื่อห่อของให้เฮ่อซานหลาง ฉีเยี่ยนและคนอื่น ๆ ได้เอาขนมของนางไปทั้งหมด ทั้งกุ้ยหมัวมัวเองก็ยังนำเอาเหล้าองุ่นของนางไปโดยไม่ขอ ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่ที่เริ่มมีการทำอาหารทานกันเองด้วยสูตรอาหารแสนอร่อยของนาง ก็พบว่าอาหารกลับเริ่มหายไปอยู่เรื่อย ๆ แต่ฉู่เหลียนเพียงทำเป็นมองไม่เห็น ทว่าไม่นานมานี้นางกลับรู้สึกว่าพวกสาวใช้เริ่มล้ำเส้นเกินไปแล้ว

        แม้จะเป็นฉีเยี่ยนและกุ้ยหมัวมัวที่ตัดสินใจและกระทำแทนนางด้วยการมอบขนมและเหล้าแก่เฮ่อซานหลาง ทว่าจวนย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ ถึงอย่างไรนางยังเป็นนายหญิงที่แท้จริงของเรือนซงเถา แต่ก็เพียงในเรือนซงเถา 

        การขโมยอาหารอาจเป็นเรื่องเล็ก ทว่านางไม่ต้องการปล่อยให้นิสัยไม่ดีเช่นนี้เติบโตขึ้น การปล่อยผ่านย่อมนำบ่าวไพร่ไปสู้ความหาญกล้าในทางที่ผิดยิ่งขึ้น ละโมบยิ่งขึ้น ฉู่เหลียนจึงถือโอกาสนี้เคาะเอาสำนึกกลับเข้าสู่บ่าวไพร่ในเรือน ทั้งยังได้แสดงท่าทีให้ชัดเจน ว่านางจะลงโทษทุกคนที่กล้าข้ามเส้นอีก กระทั่งกุ้ยหมัวมัวก็มิใช่ข้อยกเว้น

        ดวงตาฉู่เหลียนตวัดมองบ่าวไพร่ที่มารวมตัวกัน เมื่อเห็นว่าคำเตือนของนางได้ฝังเข้าสู่ใจผู้คนแล้ว นางจึงผ่อนคลายลง สีหน้ากลับไปเป็นอบอุ่นเป็นมิตรเช่นเคย

        “ฝูเยี่ยน ไปดูว่าวันนี้ในครัวมีปลาหรือไม่ เวิ่นหลาน หมิงเยี่ยน นำถ้วยมาอีกสองใบใส่พริกเหล่านี้ จิ่งเยี่ยน ไปนำงา กระเทียม ต้นหอมและขิงมาให้ข้า”

        เมื่อสั่งการเสร็จแล้ว ฉู่เหลียนก็ยืนอยู่ทางหนึ่ง สอนสาวใช้ที่เหลือให้ล้างและสับพริกแห้ง

        ตลอดบ่ายวันนั้น เรือนซงเถาอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนเผ็ด ทำให้หลายคนในเรือนถึงกับไอออกมา

        ฉู่เหลียนสั่งฉีเยี่ยนให้ย้ายเก้าอี้ไม้ออกมาวางใต้พุ่มดอกสื่อเถิง ทั้งนางยังถือสมุดบัญชีร้านกุ้ยหลินไว้ในมือ ทำเครื่องหมายไว้เป็นระยะ พร้อมกับจับตามองเหล่าสาวใช้ที่เข้า ๆ ออก ๆ ห้องครัว ดูมีชีวิตชีวายิ่ง

        เมื่อยกมือขึ้น ฉีเยี่ยนก็รีบส่งจานอาหารงดงามประณีตมาให้ ในนั้นเต็มไปด้วยมะระหั่นชิ้นเล็ก ๆ ที่มีไม้จิ้มฟันจิ้มไว้

        ฉู่เหลียนจิ้มเข้าปากชิ้นหนึ่ง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันใด ฉีเยี่ยนเห็นสีหน้านางเปลี่ยนไป จึงรีบเข้ามาช่วยนวดไหล่ให้ฉู่เหลียน

        ฉู่เหลียนก็พูดขึ้นเป็นระยะประมาณว่า… “ซ้ายอีกนิด”

        …และฉีเยี่ยนก็ทำตามที่นางสั่ง

        ฉู่เหลียนหลับตาผ่อนคลาย นี่แหละชีวิตเรื่อยเปื่อยในฝัน!

        ไม่นานนัก ฝูเยี่ยนและคนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามา ทั่วร่างอบอวลด้วยกลิ่นควันฉุน ๆ ใบหน้าแดงก่ำจากความร้อนและการออกแรง เมื่อถึงข้างกายฉู่เหลียนก็ไอไม่หยุด

        ฉู่เหลียนทำท่ากระแอมใส่กำปั้น แล้วถาม “เสร็จหมดแล้วหรือ?”

        “เรียนนายหญิงสาม น้ำมันพริกเตรียมเสร็จเรียบร้อยตามที่ท่านสอนเจ้าค่ะ ทำออกมาทั้งหมดได้ประมาณสองไห” จิ่งเยี่ยนตอบ

        “เมื่อทำเสร็จแล้ว พวกเจ้าก็กลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสีย ล้างกลิ่นพวกนี้ออกจากตัว”

        เหล่าสาวใช้ทำท่าราวกับได้รับนิรโทษกรรม รีบกระจายตัวออกไป

        ฉู่เหลียนพออกพอใจ ทานมะระอีกชิ้น “ฉีเยี่ยน เจ้าเห็นหรือไม่? นี่คือชะตากรรมของใครก็ตามที่กล้าขโมยอาหารข้าเพื่อคนอื่น! แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป ข้ายังมีพริกเหลืออีกหลายกระสอบเชียว!”

        ฉีเยี่ยนหวาดกลัวถ้อยคำของฉู่เหลียนจนตัวแข็งทื่อ

        นางพยายามเข้มแข็ง สุดท้ายกลับทำไม่ได้ “นายหญิงสามเจ้าขา บ่าวไม่กล้าแตะของของท่านโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกแล้วเจ้าค่ะ! นายหญิงสาม ได้โปรดให้อภัยบ่าวครานี้เถอะนะเจ้าคะ!”

        ฉู่เหลียนจ้องฉีเยี่ยน “ดีแล้วฉีเยี่ยน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งใหญ่ไปเพื่อสิ่งเล็ก ๆ นะ”

        แม้การทำขนมเหล่านั้นจะไม่ง่าย ทว่าเป็นเพียงการทำขนมตามต้องการเท่านั้น ฉู่เหลียนอยากใช้โอกาสนี้เตือนฉีเยี่ยนว่าควรต้องรักษาทุกสิ่งที่นางไว้ใจให้นำไปรักษา และหากนางยังกล้ากระทำเรื่องผิดพลาดซ้ำเดิมอีกครั้ง ย่อมมีการลงโทษที่รอนางอยู่แน่แล้ว

         

        มื้อเย็นวันนั้น ฉู่เหลียนลงมือทำปลานึ่งพริกและซุปเปรี้ยวเผ็ดด้วยตนเอง ส่วนอาหารจานอื่นที่เหลือเป็นสิ่งที่ทานเป็นประจำในเรือนซงเถา

        ปลานึ่งสีขาวหิมะวางเหนือถั่วงอกสด ๆ คู่กับพริกสีแดงสดใสที่โรยอยู่ด้านบน เมื่อชิ้นปลาถูกยกขึ้นโต๊ะก็ดูตื่นตายิ่ง เนื้อปลาทั้งนุ่มทั้งละมุน แม้จะมีชั้นพริกโรยอยู่ ทว่าก็ไม่ได้เผ็ดจนเกินไป เมื่อชิ้นปลาบาง ๆ ถูกส่งเข้าปาก ฉู่เหลียนก็หลับตาลงด้วยความสุขสม มุมปากยกขึ้น

        น่าเศร้านักที่นางต้องทานคนเดียว อาหารเช่นนี้จะยิ่งเลิศรสหากเสิร์ฟเป็นจานใหญ่ แต่เพราะมีแค่นางคนเดียว จึงได้สั่งฉีเยี่ยนให้จัดปลาใส่จานใบเล็กก็พอ

        เมื่อนึกขึ้นได้ ฉู่เหลียนก็สั่งฉีเยี่ยนแบ่งออกเป็นสองจานและส่งไปยังเรือนชิ่งสี่กับเรือนของบ้านใหญ่

        กุ้ยหมัวมัวเป็นผู้นำจานหนึ่งไปส่งถึงเรือนชิ่งสี่ด้วยตนเอง โดยมีเหลียวหมัวมัวเป็นผู้รับ

        “นี่เป็นอาหารชนิดใหม่ที่นายหญิงสามทำวันนี้เจ้าค่ะ บ่าวรับคำสั่งนายหญิงสามให้นำมาส่งให้เฮ่อเหล่าไท่จวินได้ลองชิม ทว่านายหญิงสามยังได้กำชับมาว่า ปลานึ่งชนิดนี้มีรสชาติค่อนข้างเผ็ด ให้ลองทานทีละคำเล็ก ๆ ก่อนนะเจ้าคะ”

        เหลียวหมัวมัวยิ้มรับเข้าใจ นางรับจานอาหารและให้สาวใช้ด้านหลังนำไปส่งเฮ่อเหล่าไท่จวิน จากนั้นเหลียวหมัวมัวจึงเดินไปส่งกุ้ยหมัวมัวถึงทางออกเรือน

        ทางด้านเรือนของต้าหลาง พวกเขาก็ได้รับแบ่งด้วยเช่นกัน กลับเป็นเฮ่อฉางฉีที่ปรากฏตัวพอดี

        เฮ่อฉางฉีเปิดฝากล่องออกก็เห็นเพียงชั้นพริกที่โรยอยู่ด้านบน เขาอุทานอย่างตกตะลึง “สิ่งนี้ทำจากพริกที่ข้านำกลับมาเมื่อบ่ายนี้หรือ?”

        “ตอบจิ่งอันซื่อจื่อ ใช่แล้วเจ้าค่ะ! นายหญิงสามของพวกบ่าวเป็นผู้ทำอาหารจานนี้ด้วยตนเอง ทั้งยังมีข้อความฝากมาบอกว่า หากปลานึ่งเหล่านี้เผ็ดเกินไป โปรดทานแต่น้อยเจ้าค่ะ”

        “ในเมื่อทำจากพริกนั่น ข้าย่อมต้องทานอย่างระมัดระวัง”

        ยังไม่ทันจิ่งเยี่ยนจะจากไป เฮ่อฉางฉีก็สั่งหมัวมัวในเรือนให้ยกไปขึ้นโต๊ะอาหารเย็นทันที

        เขาอดรอชิมอาหารที่ทำจากพริกนั่นมิได้เสียแล้ว

        วันต่อมา เมื่อฉู่เหลียนมาถึงเรือนชิ่งสี่เพื่อคารวะยามเช้า นางก็บังเอิญพบกับพี่ใหญ่เข้า

        เหล่าไท่จวินยิ้ม และเรียกให้ฉู่เหลียนนั่งข้างกายตนแล้วเอ่ยล้อเลียน “พี่ใหญ่มารอเจ้าเป็นพิเศษอยู่เค่อกว่าแล้ว”

        ฉู่เหลียนเห็นว่าแปลกนัก จึงถามไป “พี่ใหญ่ มีอะไรหรือเจ้าคะ?”

        ใบหน้าแข็งกร้าวสีคล้ำของเฮ่อฉางฉีคล้ายว่าจะขึ้นสีเล็กน้อยยามเขาเม้มปาก คล้ายว่าอายเกินกว่าจะเอ่ยขึ้น ทำเพียงหันไปหาเฮ่อเหล่าไท่จวินคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ

        “ดูเจ้าซี เรื่องเล็กน้อยแค่นี้กลับเขินอายจนไม่กล้าพูด ภรรยาซานหลางแต่งเข้าตระกูลเรา ยามนี้เจ้าก็นับเป็นพี่ชายของนางแล้ว!” เฮ่อเหล่าไท่จวินแสร้งตำหนิเฮ่อฉางฉี ก่อนกุมมือฉู่เหลียนแล้วยิ้ม “อีกสองวันพี่ใหญ่ของเจ้าจะมีสหายมาเยี่ยมเยือน เมื่อได้ทานปลานึ่งที่เจ้าส่งมาเมื่อคืน เขาก็คิดว่าเจ้าทำอาหารได้อร่อยมาก จึงอยากขอร้องให้เจ้าช่วยทำอาหารให้สหายเขาได้ประทับใจเสียหน่อย”

        ยามเชื้อเชิญแขกเยี่ยมบ้าน เจ้าบ้านมักต้องมีอาหารชั้นยอดหรือเหล้าชั้นเลิศตระเตรียมไว้เสมอ เมื่อสูตรลับนับเป็นสิ่งล้ำค่าในยุคนี้ แต่ละจวนจึงมักมีอาหารจานที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ยกขึ้นโต๊ะยามมีแขกมาเยี่ยมเยือน

        ก่อนหน้านี้จวนจิ่งอันมีของว่างฝีมือแม่ครัวโจวอยู่ ยามนี้บ่าวผู้นั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้เฮ่อต้าหลางรู้สึกว่าตนไม่มีอาหารดี ๆ ไว้สร้างความประทับใจให้สหายเลย จึงได้ติดค้างผัดผ่อนมื้ออาหารต่อเพื่อน ๆ เรื่อยมา

        ยามนี้มีโอกาสแล้ว เขาย่อมไม่ปล่อยไป

        ฉู่เหลียนเดิมทีก็นึกว่าจะเป็นเรื่องยากเย็นเสียอีก หากเพียงทำอาหารจานสองจานให้เพื่อนของพี่สามีทานย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ฉู่เหลียนพยักหน้าตกลงทันที

        ต้าหลางรู้สึกคล้ายเรื่องหนักใจที่มีคลายลงได้เสียที แต่เมื่อกำลังจะจากไป เหลียวหมัวมัวก็วิ่งเข้ามาในเรือนเสียก่อน

        “เหล่าไท่จวินเจ้าคะ พ่อบ้านเรือนนอกส่งข่าวมาเจ้าค่ะ! เป็นคนจากพระราชวังเรียกหาคนเจ้าค่ะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 69 ปลานึ่ง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 69 ปลานึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        หากบิดาของเฮ่อฉางฉีมิได้ประจำการอยู่หมิงโจว และซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องอยู่ดูแลตระกูล ยามนี้เขาคงได้เข้าร่วมกองทัพตามความตั้งใจของตน ทว่าเมื่อเขาเป็นบุตรคนโตย่อมต้องปล่อยทิ้งความฝันที่มี และอยู่บ้านเพื่อรับผิดชอบหน้าที่แทนบิดา

       ปัจจุบันนี้เฮ่อฉางฉีดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ แต่เขาก็ไม่มีความสามารถในการทำธุรกิจ ดังนั้นแม้จะเป็นถึงจิ่งอันซื่อจื่อก็ใช่ว่าจะมีเงินทุนสำรองมากมาย

        ในฐานะซื่อจื่อ เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาเริ่มกังวลเรื่องเงินทองย่อมเป็นเพราะสุขภาพมารดา

        เรื่องนี้ฉู่เหลียนไม่ทราบเพราะนางไม่ได้เป็นผู้จัดการดูแลจวน และในนิยายก็ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดเหล่านี้

        เมื่อฉู่เหลียนได้รับพริกมาหนึ่งคันรถเต็ม ๆ นางก็มีความสุขจนแทบคลั่ง

        ใจนางยามนี้เต็มไปด้วยน้ำมันพริก, ไก่หนุ่มผัดพริก, หมูสามชั้นต้ม, ซุปเปรี้ยวเผ็ด, เนื้อเส้นทอดรสเผ็ด, เต้าหู้หม่าผอ และรายการอาหารรสเผ็ดอีกมากมายเท่าที่นางจะคิดออก

        เมื่อกลับถึงเรือนซงเถา นางก็เร่งเข้าไปในครัวเล็กโดยไม่แม้แต่จะนอนกลางวันตามแผนเดิมอีกต่อไป

        ที่ทางเข้าครัว จงหมัวมัวและเวิ่นหลานจ้องมองตาโต พูดไม่ออกเมื่อเห็นบ่าวไพร่แบกขนกระสอบบางสิ่งเข้ามาในครัว

        พริกหนึ่งคันรถนั้นกินพื้นที่ห้องเก็บของไปถึงครึ่งห้องทีเดียว

        จงหมัวมัวเดินไปหาฉู่เหลียน ถามด้วยความตื่นตระหนก “นายหญิงสาม สิ่งเหล่านี้คืออะไรหรือเจ้าคะ? เหตุใดจึงมีมากมายนัก”

        ฉู่เหลียนยิ้มกว้างจนดวงตาหรี่ลง นางจงใจเบี่ยงประเด็น “หมัวมัวอย่าได้กังวลไป นี่นับเป็นของดีอย่างหนึ่งที่พี่ชายใหญ่มอบให้ข้า”

        “จากจิ่งอันซื่อจื่อหรือเจ้าคะ?”

        จงหมัวมัวเดินตามฉู่เหลียนไป มองนางเปิดกระสอบและสั่งจิ่งเยี่ยนให้นำถ้วยไม้ใบใหญ่มา จากนั้นฉู่เหลียนจึงคุกเข่าลงยกถุงกระสอบขึ้น แล้วเทพริกแห้งเหล่านั้นออกมา ก่อให้เกิดเป็นเสียงที่น่าพึงใจยามมันร่วงลงสู่ถ้วยไม้

        กุ้ยหมัวมัวได้ข่าวก็รีบวิ่งมา เมื่อเห็นถ้วยไม้ที่เต็มไปด้วย…บางสิ่ง…สีแดงเพลิง นางก็อุทานอย่างตกใจ “สิ่งเหล่านี้คืออะไรเจ้าคะ? ดูมีความงดงามอยู่บ้าง…”

        ฉู่เหลียนยื่นแขนไปเหนือกระสอบพริก จ้องมองไปที่พริกสีแดงสดใส ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นในหัว

        นางหันไปมองเหล่าบ่าวไพร่ ก่อะเอ่ย “เป็นอาหารจากคนต่างแดน สามารถทานได้เลยโดยไม่ต้องปรุงแต่งใด ๆ ก่อน พวกเจ้าอยากลองหรือไม่?”

        กลุ่มคนแรก ๆ ที่พยักหน้าคือเหล่าสาวใช้เด็ก ๆ อย่างฉีเยี่ยน ฝูเยี่ยน และคนอื่น ๆ ดวงตาของพวกนางล้วนเปี่ยมด้วยความคาดหวัง นายหญิงสามทำอาหารอร่อยเกินไป ไม่ว่าทำอะไรล้วนแต่เลิศรสทั้งนั้น! จนทำให้พวกนางแอบสงสัยอยู่ว่าตนเองดูมีเนื้อหนังมากกว่าเดิมยามส่องกระจกหรือไม่ 

        ก่อนจะทานอาหารแต่ละมื้อ พวกนางล้วนแต่คิดว่าคราวนี้จะทานให้น้อยลงหน่อย ทว่ากลับไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นอาหารของที่นายหญิงทำ นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่าโมโหจริง ๆ

        เมื่อฉู่เหลียนเห็นพวกสาวใช้อยากลองทานพริก นางก็อดยิ้มไม่ได้ ก้าวไปยืนที่ด้านข้าง ให้ทุกคนได้เข้าถึงถ้วยไม้

        สาวใช้วัยเยาว์หยิบพริกคนละชิ้น จ้องมองมันอยู่ครั้งสองครั้ง และไม่แม้แต่จะถามไถ่ถึงรสชาติเสียก่อน พวกนางก็โยนพริกเข้าปากทันที

        ในเวลาไม่ถึงอึดใจ ลำคอของพวกนางก็ราวกับลุกเป็นไฟ! ล้วนแต่รีบคายพริกทิ้งและวิ่งเข้าครัวเพื่อหาน้ำดื่ม

        กุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัวมองเหตุการณ์ทั้งหมดจากด้านข้าง ตกใจเสียจนโง่งมเมื่อเห็นสาวใช้วิ่งพล่าน อะไร…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!

        กุ้ยหมัวมัวอยากตามออกไปดูว่าสาวใช้เหล่านั้นจะเป็นอะไรหรือไม่ ทว่าฉู่เหลียนรั้งตัวนางไว้ และพยายามกลั้นยิ้ม “หมัวมัว ไม่เป็นไร พวกนางไม่เป็นอะไรมากหรอก ที่พวกนางเพิ่งทานไปคือพริก ยามนี้ลิ้นคงแทบไหม้จากความเผ็ดแล้ว! เพียงดื่มน้ำเย็น ๆ แก้วสองแก้วก็ไม่เป็นไรแล้ว”

        เมื่ออธิบายจบ ฉู่เหลียนก็อดไม่ไหว ระเบิดหัวเราะเสียงดัง กุ้ยหมัวมัวผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินดังนั้น ทว่านางกลับมองนายหญิงด้วยสายตาแปลกประหลาด นายของตนดูมีความสุขยิ่งนักที่สามารถกลั่นแกล้งบ่าวไพร่ได้ด้วยวิธีพิเรนทร์ ๆ เช่นนี้

        จงหมัวมัวรีบหันไปสั่งสาวใช้คนอื่นให้ไปนำน้ำเย็นมาให้สาว ๆ ในครัวที่ถูกแกล้งได้ดื่มคลายพิษร้อน

        เมื่อสาวใช้เด็ก ๆ กลับมา ดวงตาพวกนางก็แดงก่ำปริ่มน้ำตากันถ้วนหน้า พวกนางมองฉู่เหลียนตาแป๋วราวกับเด็กน้อยผู้น่าสงสารที่เพิ่งถูกรังแก

        ฉู่เหลียนจงใจทำหน้านิ่งดุพวกนาง “ดูสิ คราวหน้าคราวหลังพวกเจ้าจะกล้าทานสิ่งใดก่อนคิดอีกหรือไม่! หากพวกเจ้ากล้าทำผิด นับแต่นี้ไปข้าจะลงโทษให้พวกเจ้าทานพริกเหล่านี้ทั้งถ้วย!”

        สาวใช้เด็ก ๆ รีบก้มหน้าทันที ไม่กล้าแม้แต่จะแอบมอง กระทั่งสีหน้าของกุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจริงจังทันที

        อันที่จริง ฉู่เหลียนจงใจกล่าวเช่นนี้ เพราะเมื่อสองวันก่อน เพื่อห่อของให้เฮ่อซานหลาง ฉีเยี่ยนและคนอื่น ๆ ได้เอาขนมของนางไปทั้งหมด ทั้งกุ้ยหมัวมัวเองก็ยังนำเอาเหล้าองุ่นของนางไปโดยไม่ขอ ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่ที่เริ่มมีการทำอาหารทานกันเองด้วยสูตรอาหารแสนอร่อยของนาง ก็พบว่าอาหารกลับเริ่มหายไปอยู่เรื่อย ๆ แต่ฉู่เหลียนเพียงทำเป็นมองไม่เห็น ทว่าไม่นานมานี้นางกลับรู้สึกว่าพวกสาวใช้เริ่มล้ำเส้นเกินไปแล้ว

        แม้จะเป็นฉีเยี่ยนและกุ้ยหมัวมัวที่ตัดสินใจและกระทำแทนนางด้วยการมอบขนมและเหล้าแก่เฮ่อซานหลาง ทว่าจวนย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ ถึงอย่างไรนางยังเป็นนายหญิงที่แท้จริงของเรือนซงเถา แต่ก็เพียงในเรือนซงเถา 

        การขโมยอาหารอาจเป็นเรื่องเล็ก ทว่านางไม่ต้องการปล่อยให้นิสัยไม่ดีเช่นนี้เติบโตขึ้น การปล่อยผ่านย่อมนำบ่าวไพร่ไปสู้ความหาญกล้าในทางที่ผิดยิ่งขึ้น ละโมบยิ่งขึ้น ฉู่เหลียนจึงถือโอกาสนี้เคาะเอาสำนึกกลับเข้าสู่บ่าวไพร่ในเรือน ทั้งยังได้แสดงท่าทีให้ชัดเจน ว่านางจะลงโทษทุกคนที่กล้าข้ามเส้นอีก กระทั่งกุ้ยหมัวมัวก็มิใช่ข้อยกเว้น

        ดวงตาฉู่เหลียนตวัดมองบ่าวไพร่ที่มารวมตัวกัน เมื่อเห็นว่าคำเตือนของนางได้ฝังเข้าสู่ใจผู้คนแล้ว นางจึงผ่อนคลายลง สีหน้ากลับไปเป็นอบอุ่นเป็นมิตรเช่นเคย

        “ฝูเยี่ยน ไปดูว่าวันนี้ในครัวมีปลาหรือไม่ เวิ่นหลาน หมิงเยี่ยน นำถ้วยมาอีกสองใบใส่พริกเหล่านี้ จิ่งเยี่ยน ไปนำงา กระเทียม ต้นหอมและขิงมาให้ข้า”

        เมื่อสั่งการเสร็จแล้ว ฉู่เหลียนก็ยืนอยู่ทางหนึ่ง สอนสาวใช้ที่เหลือให้ล้างและสับพริกแห้ง

        ตลอดบ่ายวันนั้น เรือนซงเถาอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนเผ็ด ทำให้หลายคนในเรือนถึงกับไอออกมา

        ฉู่เหลียนสั่งฉีเยี่ยนให้ย้ายเก้าอี้ไม้ออกมาวางใต้พุ่มดอกสื่อเถิง ทั้งนางยังถือสมุดบัญชีร้านกุ้ยหลินไว้ในมือ ทำเครื่องหมายไว้เป็นระยะ พร้อมกับจับตามองเหล่าสาวใช้ที่เข้า ๆ ออก ๆ ห้องครัว ดูมีชีวิตชีวายิ่ง

        เมื่อยกมือขึ้น ฉีเยี่ยนก็รีบส่งจานอาหารงดงามประณีตมาให้ ในนั้นเต็มไปด้วยมะระหั่นชิ้นเล็ก ๆ ที่มีไม้จิ้มฟันจิ้มไว้

        ฉู่เหลียนจิ้มเข้าปากชิ้นหนึ่ง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันใด ฉีเยี่ยนเห็นสีหน้านางเปลี่ยนไป จึงรีบเข้ามาช่วยนวดไหล่ให้ฉู่เหลียน

        ฉู่เหลียนก็พูดขึ้นเป็นระยะประมาณว่า… “ซ้ายอีกนิด”

        …และฉีเยี่ยนก็ทำตามที่นางสั่ง

        ฉู่เหลียนหลับตาผ่อนคลาย นี่แหละชีวิตเรื่อยเปื่อยในฝัน!

        ไม่นานนัก ฝูเยี่ยนและคนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามา ทั่วร่างอบอวลด้วยกลิ่นควันฉุน ๆ ใบหน้าแดงก่ำจากความร้อนและการออกแรง เมื่อถึงข้างกายฉู่เหลียนก็ไอไม่หยุด

        ฉู่เหลียนทำท่ากระแอมใส่กำปั้น แล้วถาม “เสร็จหมดแล้วหรือ?”

        “เรียนนายหญิงสาม น้ำมันพริกเตรียมเสร็จเรียบร้อยตามที่ท่านสอนเจ้าค่ะ ทำออกมาทั้งหมดได้ประมาณสองไห” จิ่งเยี่ยนตอบ

        “เมื่อทำเสร็จแล้ว พวกเจ้าก็กลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสีย ล้างกลิ่นพวกนี้ออกจากตัว”

        เหล่าสาวใช้ทำท่าราวกับได้รับนิรโทษกรรม รีบกระจายตัวออกไป

        ฉู่เหลียนพออกพอใจ ทานมะระอีกชิ้น “ฉีเยี่ยน เจ้าเห็นหรือไม่? นี่คือชะตากรรมของใครก็ตามที่กล้าขโมยอาหารข้าเพื่อคนอื่น! แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป ข้ายังมีพริกเหลืออีกหลายกระสอบเชียว!”

        ฉีเยี่ยนหวาดกลัวถ้อยคำของฉู่เหลียนจนตัวแข็งทื่อ

        นางพยายามเข้มแข็ง สุดท้ายกลับทำไม่ได้ “นายหญิงสามเจ้าขา บ่าวไม่กล้าแตะของของท่านโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกแล้วเจ้าค่ะ! นายหญิงสาม ได้โปรดให้อภัยบ่าวครานี้เถอะนะเจ้าคะ!”

        ฉู่เหลียนจ้องฉีเยี่ยน “ดีแล้วฉีเยี่ยน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งใหญ่ไปเพื่อสิ่งเล็ก ๆ นะ”

        แม้การทำขนมเหล่านั้นจะไม่ง่าย ทว่าเป็นเพียงการทำขนมตามต้องการเท่านั้น ฉู่เหลียนอยากใช้โอกาสนี้เตือนฉีเยี่ยนว่าควรต้องรักษาทุกสิ่งที่นางไว้ใจให้นำไปรักษา และหากนางยังกล้ากระทำเรื่องผิดพลาดซ้ำเดิมอีกครั้ง ย่อมมีการลงโทษที่รอนางอยู่แน่แล้ว

         

        มื้อเย็นวันนั้น ฉู่เหลียนลงมือทำปลานึ่งพริกและซุปเปรี้ยวเผ็ดด้วยตนเอง ส่วนอาหารจานอื่นที่เหลือเป็นสิ่งที่ทานเป็นประจำในเรือนซงเถา

        ปลานึ่งสีขาวหิมะวางเหนือถั่วงอกสด ๆ คู่กับพริกสีแดงสดใสที่โรยอยู่ด้านบน เมื่อชิ้นปลาถูกยกขึ้นโต๊ะก็ดูตื่นตายิ่ง เนื้อปลาทั้งนุ่มทั้งละมุน แม้จะมีชั้นพริกโรยอยู่ ทว่าก็ไม่ได้เผ็ดจนเกินไป เมื่อชิ้นปลาบาง ๆ ถูกส่งเข้าปาก ฉู่เหลียนก็หลับตาลงด้วยความสุขสม มุมปากยกขึ้น

        น่าเศร้านักที่นางต้องทานคนเดียว อาหารเช่นนี้จะยิ่งเลิศรสหากเสิร์ฟเป็นจานใหญ่ แต่เพราะมีแค่นางคนเดียว จึงได้สั่งฉีเยี่ยนให้จัดปลาใส่จานใบเล็กก็พอ

        เมื่อนึกขึ้นได้ ฉู่เหลียนก็สั่งฉีเยี่ยนแบ่งออกเป็นสองจานและส่งไปยังเรือนชิ่งสี่กับเรือนของบ้านใหญ่

        กุ้ยหมัวมัวเป็นผู้นำจานหนึ่งไปส่งถึงเรือนชิ่งสี่ด้วยตนเอง โดยมีเหลียวหมัวมัวเป็นผู้รับ

        “นี่เป็นอาหารชนิดใหม่ที่นายหญิงสามทำวันนี้เจ้าค่ะ บ่าวรับคำสั่งนายหญิงสามให้นำมาส่งให้เฮ่อเหล่าไท่จวินได้ลองชิม ทว่านายหญิงสามยังได้กำชับมาว่า ปลานึ่งชนิดนี้มีรสชาติค่อนข้างเผ็ด ให้ลองทานทีละคำเล็ก ๆ ก่อนนะเจ้าคะ”

        เหลียวหมัวมัวยิ้มรับเข้าใจ นางรับจานอาหารและให้สาวใช้ด้านหลังนำไปส่งเฮ่อเหล่าไท่จวิน จากนั้นเหลียวหมัวมัวจึงเดินไปส่งกุ้ยหมัวมัวถึงทางออกเรือน

        ทางด้านเรือนของต้าหลาง พวกเขาก็ได้รับแบ่งด้วยเช่นกัน กลับเป็นเฮ่อฉางฉีที่ปรากฏตัวพอดี

        เฮ่อฉางฉีเปิดฝากล่องออกก็เห็นเพียงชั้นพริกที่โรยอยู่ด้านบน เขาอุทานอย่างตกตะลึง “สิ่งนี้ทำจากพริกที่ข้านำกลับมาเมื่อบ่ายนี้หรือ?”

        “ตอบจิ่งอันซื่อจื่อ ใช่แล้วเจ้าค่ะ! นายหญิงสามของพวกบ่าวเป็นผู้ทำอาหารจานนี้ด้วยตนเอง ทั้งยังมีข้อความฝากมาบอกว่า หากปลานึ่งเหล่านี้เผ็ดเกินไป โปรดทานแต่น้อยเจ้าค่ะ”

        “ในเมื่อทำจากพริกนั่น ข้าย่อมต้องทานอย่างระมัดระวัง”

        ยังไม่ทันจิ่งเยี่ยนจะจากไป เฮ่อฉางฉีก็สั่งหมัวมัวในเรือนให้ยกไปขึ้นโต๊ะอาหารเย็นทันที

        เขาอดรอชิมอาหารที่ทำจากพริกนั่นมิได้เสียแล้ว

        วันต่อมา เมื่อฉู่เหลียนมาถึงเรือนชิ่งสี่เพื่อคารวะยามเช้า นางก็บังเอิญพบกับพี่ใหญ่เข้า

        เหล่าไท่จวินยิ้ม และเรียกให้ฉู่เหลียนนั่งข้างกายตนแล้วเอ่ยล้อเลียน “พี่ใหญ่มารอเจ้าเป็นพิเศษอยู่เค่อกว่าแล้ว”

        ฉู่เหลียนเห็นว่าแปลกนัก จึงถามไป “พี่ใหญ่ มีอะไรหรือเจ้าคะ?”

        ใบหน้าแข็งกร้าวสีคล้ำของเฮ่อฉางฉีคล้ายว่าจะขึ้นสีเล็กน้อยยามเขาเม้มปาก คล้ายว่าอายเกินกว่าจะเอ่ยขึ้น ทำเพียงหันไปหาเฮ่อเหล่าไท่จวินคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ

        “ดูเจ้าซี เรื่องเล็กน้อยแค่นี้กลับเขินอายจนไม่กล้าพูด ภรรยาซานหลางแต่งเข้าตระกูลเรา ยามนี้เจ้าก็นับเป็นพี่ชายของนางแล้ว!” เฮ่อเหล่าไท่จวินแสร้งตำหนิเฮ่อฉางฉี ก่อนกุมมือฉู่เหลียนแล้วยิ้ม “อีกสองวันพี่ใหญ่ของเจ้าจะมีสหายมาเยี่ยมเยือน เมื่อได้ทานปลานึ่งที่เจ้าส่งมาเมื่อคืน เขาก็คิดว่าเจ้าทำอาหารได้อร่อยมาก จึงอยากขอร้องให้เจ้าช่วยทำอาหารให้สหายเขาได้ประทับใจเสียหน่อย”

        ยามเชื้อเชิญแขกเยี่ยมบ้าน เจ้าบ้านมักต้องมีอาหารชั้นยอดหรือเหล้าชั้นเลิศตระเตรียมไว้เสมอ เมื่อสูตรลับนับเป็นสิ่งล้ำค่าในยุคนี้ แต่ละจวนจึงมักมีอาหารจานที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ยกขึ้นโต๊ะยามมีแขกมาเยี่ยมเยือน

        ก่อนหน้านี้จวนจิ่งอันมีของว่างฝีมือแม่ครัวโจวอยู่ ยามนี้บ่าวผู้นั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้เฮ่อต้าหลางรู้สึกว่าตนไม่มีอาหารดี ๆ ไว้สร้างความประทับใจให้สหายเลย จึงได้ติดค้างผัดผ่อนมื้ออาหารต่อเพื่อน ๆ เรื่อยมา

        ยามนี้มีโอกาสแล้ว เขาย่อมไม่ปล่อยไป

        ฉู่เหลียนเดิมทีก็นึกว่าจะเป็นเรื่องยากเย็นเสียอีก หากเพียงทำอาหารจานสองจานให้เพื่อนของพี่สามีทานย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ฉู่เหลียนพยักหน้าตกลงทันที

        ต้าหลางรู้สึกคล้ายเรื่องหนักใจที่มีคลายลงได้เสียที แต่เมื่อกำลังจะจากไป เหลียวหมัวมัวก็วิ่งเข้ามาในเรือนเสียก่อน

        “เหล่าไท่จวินเจ้าคะ พ่อบ้านเรือนนอกส่งข่าวมาเจ้าค่ะ! เป็นคนจากพระราชวังเรียกหาคนเจ้าค่ะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 69 ปลานึ่ง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 69 ปลานึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        หากบิดาของเฮ่อฉางฉีมิได้ประจำการอยู่หมิงโจว และซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องอยู่ดูแลตระกูล ยามนี้เขาคงได้เข้าร่วมกองทัพตามความตั้งใจของตน ทว่าเมื่อเขาเป็นบุตรคนโตย่อมต้องปล่อยทิ้งความฝันที่มี และอยู่บ้านเพื่อรับผิดชอบหน้าที่แทนบิดา

       ปัจจุบันนี้เฮ่อฉางฉีดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ แต่เขาก็ไม่มีความสามารถในการทำธุรกิจ ดังนั้นแม้จะเป็นถึงจิ่งอันซื่อจื่อก็ใช่ว่าจะมีเงินทุนสำรองมากมาย

        ในฐานะซื่อจื่อ เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาเริ่มกังวลเรื่องเงินทองย่อมเป็นเพราะสุขภาพมารดา

        เรื่องนี้ฉู่เหลียนไม่ทราบเพราะนางไม่ได้เป็นผู้จัดการดูแลจวน และในนิยายก็ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดเหล่านี้

        เมื่อฉู่เหลียนได้รับพริกมาหนึ่งคันรถเต็ม ๆ นางก็มีความสุขจนแทบคลั่ง

        ใจนางยามนี้เต็มไปด้วยน้ำมันพริก, ไก่หนุ่มผัดพริก, หมูสามชั้นต้ม, ซุปเปรี้ยวเผ็ด, เนื้อเส้นทอดรสเผ็ด, เต้าหู้หม่าผอ และรายการอาหารรสเผ็ดอีกมากมายเท่าที่นางจะคิดออก

        เมื่อกลับถึงเรือนซงเถา นางก็เร่งเข้าไปในครัวเล็กโดยไม่แม้แต่จะนอนกลางวันตามแผนเดิมอีกต่อไป

        ที่ทางเข้าครัว จงหมัวมัวและเวิ่นหลานจ้องมองตาโต พูดไม่ออกเมื่อเห็นบ่าวไพร่แบกขนกระสอบบางสิ่งเข้ามาในครัว

        พริกหนึ่งคันรถนั้นกินพื้นที่ห้องเก็บของไปถึงครึ่งห้องทีเดียว

        จงหมัวมัวเดินไปหาฉู่เหลียน ถามด้วยความตื่นตระหนก “นายหญิงสาม สิ่งเหล่านี้คืออะไรหรือเจ้าคะ? เหตุใดจึงมีมากมายนัก”

        ฉู่เหลียนยิ้มกว้างจนดวงตาหรี่ลง นางจงใจเบี่ยงประเด็น “หมัวมัวอย่าได้กังวลไป นี่นับเป็นของดีอย่างหนึ่งที่พี่ชายใหญ่มอบให้ข้า”

        “จากจิ่งอันซื่อจื่อหรือเจ้าคะ?”

        จงหมัวมัวเดินตามฉู่เหลียนไป มองนางเปิดกระสอบและสั่งจิ่งเยี่ยนให้นำถ้วยไม้ใบใหญ่มา จากนั้นฉู่เหลียนจึงคุกเข่าลงยกถุงกระสอบขึ้น แล้วเทพริกแห้งเหล่านั้นออกมา ก่อให้เกิดเป็นเสียงที่น่าพึงใจยามมันร่วงลงสู่ถ้วยไม้

        กุ้ยหมัวมัวได้ข่าวก็รีบวิ่งมา เมื่อเห็นถ้วยไม้ที่เต็มไปด้วย…บางสิ่ง…สีแดงเพลิง นางก็อุทานอย่างตกใจ “สิ่งเหล่านี้คืออะไรเจ้าคะ? ดูมีความงดงามอยู่บ้าง…”

        ฉู่เหลียนยื่นแขนไปเหนือกระสอบพริก จ้องมองไปที่พริกสีแดงสดใส ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นในหัว

        นางหันไปมองเหล่าบ่าวไพร่ ก่อะเอ่ย “เป็นอาหารจากคนต่างแดน สามารถทานได้เลยโดยไม่ต้องปรุงแต่งใด ๆ ก่อน พวกเจ้าอยากลองหรือไม่?”

        กลุ่มคนแรก ๆ ที่พยักหน้าคือเหล่าสาวใช้เด็ก ๆ อย่างฉีเยี่ยน ฝูเยี่ยน และคนอื่น ๆ ดวงตาของพวกนางล้วนเปี่ยมด้วยความคาดหวัง นายหญิงสามทำอาหารอร่อยเกินไป ไม่ว่าทำอะไรล้วนแต่เลิศรสทั้งนั้น! จนทำให้พวกนางแอบสงสัยอยู่ว่าตนเองดูมีเนื้อหนังมากกว่าเดิมยามส่องกระจกหรือไม่ 

        ก่อนจะทานอาหารแต่ละมื้อ พวกนางล้วนแต่คิดว่าคราวนี้จะทานให้น้อยลงหน่อย ทว่ากลับไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นอาหารของที่นายหญิงทำ นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่าโมโหจริง ๆ

        เมื่อฉู่เหลียนเห็นพวกสาวใช้อยากลองทานพริก นางก็อดยิ้มไม่ได้ ก้าวไปยืนที่ด้านข้าง ให้ทุกคนได้เข้าถึงถ้วยไม้

        สาวใช้วัยเยาว์หยิบพริกคนละชิ้น จ้องมองมันอยู่ครั้งสองครั้ง และไม่แม้แต่จะถามไถ่ถึงรสชาติเสียก่อน พวกนางก็โยนพริกเข้าปากทันที

        ในเวลาไม่ถึงอึดใจ ลำคอของพวกนางก็ราวกับลุกเป็นไฟ! ล้วนแต่รีบคายพริกทิ้งและวิ่งเข้าครัวเพื่อหาน้ำดื่ม

        กุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัวมองเหตุการณ์ทั้งหมดจากด้านข้าง ตกใจเสียจนโง่งมเมื่อเห็นสาวใช้วิ่งพล่าน อะไร…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!

        กุ้ยหมัวมัวอยากตามออกไปดูว่าสาวใช้เหล่านั้นจะเป็นอะไรหรือไม่ ทว่าฉู่เหลียนรั้งตัวนางไว้ และพยายามกลั้นยิ้ม “หมัวมัว ไม่เป็นไร พวกนางไม่เป็นอะไรมากหรอก ที่พวกนางเพิ่งทานไปคือพริก ยามนี้ลิ้นคงแทบไหม้จากความเผ็ดแล้ว! เพียงดื่มน้ำเย็น ๆ แก้วสองแก้วก็ไม่เป็นไรแล้ว”

        เมื่ออธิบายจบ ฉู่เหลียนก็อดไม่ไหว ระเบิดหัวเราะเสียงดัง กุ้ยหมัวมัวผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินดังนั้น ทว่านางกลับมองนายหญิงด้วยสายตาแปลกประหลาด นายของตนดูมีความสุขยิ่งนักที่สามารถกลั่นแกล้งบ่าวไพร่ได้ด้วยวิธีพิเรนทร์ ๆ เช่นนี้

        จงหมัวมัวรีบหันไปสั่งสาวใช้คนอื่นให้ไปนำน้ำเย็นมาให้สาว ๆ ในครัวที่ถูกแกล้งได้ดื่มคลายพิษร้อน

        เมื่อสาวใช้เด็ก ๆ กลับมา ดวงตาพวกนางก็แดงก่ำปริ่มน้ำตากันถ้วนหน้า พวกนางมองฉู่เหลียนตาแป๋วราวกับเด็กน้อยผู้น่าสงสารที่เพิ่งถูกรังแก

        ฉู่เหลียนจงใจทำหน้านิ่งดุพวกนาง “ดูสิ คราวหน้าคราวหลังพวกเจ้าจะกล้าทานสิ่งใดก่อนคิดอีกหรือไม่! หากพวกเจ้ากล้าทำผิด นับแต่นี้ไปข้าจะลงโทษให้พวกเจ้าทานพริกเหล่านี้ทั้งถ้วย!”

        สาวใช้เด็ก ๆ รีบก้มหน้าทันที ไม่กล้าแม้แต่จะแอบมอง กระทั่งสีหน้าของกุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจริงจังทันที

        อันที่จริง ฉู่เหลียนจงใจกล่าวเช่นนี้ เพราะเมื่อสองวันก่อน เพื่อห่อของให้เฮ่อซานหลาง ฉีเยี่ยนและคนอื่น ๆ ได้เอาขนมของนางไปทั้งหมด ทั้งกุ้ยหมัวมัวเองก็ยังนำเอาเหล้าองุ่นของนางไปโดยไม่ขอ ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่ที่เริ่มมีการทำอาหารทานกันเองด้วยสูตรอาหารแสนอร่อยของนาง ก็พบว่าอาหารกลับเริ่มหายไปอยู่เรื่อย ๆ แต่ฉู่เหลียนเพียงทำเป็นมองไม่เห็น ทว่าไม่นานมานี้นางกลับรู้สึกว่าพวกสาวใช้เริ่มล้ำเส้นเกินไปแล้ว

        แม้จะเป็นฉีเยี่ยนและกุ้ยหมัวมัวที่ตัดสินใจและกระทำแทนนางด้วยการมอบขนมและเหล้าแก่เฮ่อซานหลาง ทว่าจวนย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ ถึงอย่างไรนางยังเป็นนายหญิงที่แท้จริงของเรือนซงเถา แต่ก็เพียงในเรือนซงเถา 

        การขโมยอาหารอาจเป็นเรื่องเล็ก ทว่านางไม่ต้องการปล่อยให้นิสัยไม่ดีเช่นนี้เติบโตขึ้น การปล่อยผ่านย่อมนำบ่าวไพร่ไปสู้ความหาญกล้าในทางที่ผิดยิ่งขึ้น ละโมบยิ่งขึ้น ฉู่เหลียนจึงถือโอกาสนี้เคาะเอาสำนึกกลับเข้าสู่บ่าวไพร่ในเรือน ทั้งยังได้แสดงท่าทีให้ชัดเจน ว่านางจะลงโทษทุกคนที่กล้าข้ามเส้นอีก กระทั่งกุ้ยหมัวมัวก็มิใช่ข้อยกเว้น

        ดวงตาฉู่เหลียนตวัดมองบ่าวไพร่ที่มารวมตัวกัน เมื่อเห็นว่าคำเตือนของนางได้ฝังเข้าสู่ใจผู้คนแล้ว นางจึงผ่อนคลายลง สีหน้ากลับไปเป็นอบอุ่นเป็นมิตรเช่นเคย

        “ฝูเยี่ยน ไปดูว่าวันนี้ในครัวมีปลาหรือไม่ เวิ่นหลาน หมิงเยี่ยน นำถ้วยมาอีกสองใบใส่พริกเหล่านี้ จิ่งเยี่ยน ไปนำงา กระเทียม ต้นหอมและขิงมาให้ข้า”

        เมื่อสั่งการเสร็จแล้ว ฉู่เหลียนก็ยืนอยู่ทางหนึ่ง สอนสาวใช้ที่เหลือให้ล้างและสับพริกแห้ง

        ตลอดบ่ายวันนั้น เรือนซงเถาอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนเผ็ด ทำให้หลายคนในเรือนถึงกับไอออกมา

        ฉู่เหลียนสั่งฉีเยี่ยนให้ย้ายเก้าอี้ไม้ออกมาวางใต้พุ่มดอกสื่อเถิง ทั้งนางยังถือสมุดบัญชีร้านกุ้ยหลินไว้ในมือ ทำเครื่องหมายไว้เป็นระยะ พร้อมกับจับตามองเหล่าสาวใช้ที่เข้า ๆ ออก ๆ ห้องครัว ดูมีชีวิตชีวายิ่ง

        เมื่อยกมือขึ้น ฉีเยี่ยนก็รีบส่งจานอาหารงดงามประณีตมาให้ ในนั้นเต็มไปด้วยมะระหั่นชิ้นเล็ก ๆ ที่มีไม้จิ้มฟันจิ้มไว้

        ฉู่เหลียนจิ้มเข้าปากชิ้นหนึ่ง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันใด ฉีเยี่ยนเห็นสีหน้านางเปลี่ยนไป จึงรีบเข้ามาช่วยนวดไหล่ให้ฉู่เหลียน

        ฉู่เหลียนก็พูดขึ้นเป็นระยะประมาณว่า… “ซ้ายอีกนิด”

        …และฉีเยี่ยนก็ทำตามที่นางสั่ง

        ฉู่เหลียนหลับตาผ่อนคลาย นี่แหละชีวิตเรื่อยเปื่อยในฝัน!

        ไม่นานนัก ฝูเยี่ยนและคนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามา ทั่วร่างอบอวลด้วยกลิ่นควันฉุน ๆ ใบหน้าแดงก่ำจากความร้อนและการออกแรง เมื่อถึงข้างกายฉู่เหลียนก็ไอไม่หยุด

        ฉู่เหลียนทำท่ากระแอมใส่กำปั้น แล้วถาม “เสร็จหมดแล้วหรือ?”

        “เรียนนายหญิงสาม น้ำมันพริกเตรียมเสร็จเรียบร้อยตามที่ท่านสอนเจ้าค่ะ ทำออกมาทั้งหมดได้ประมาณสองไห” จิ่งเยี่ยนตอบ

        “เมื่อทำเสร็จแล้ว พวกเจ้าก็กลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสีย ล้างกลิ่นพวกนี้ออกจากตัว”

        เหล่าสาวใช้ทำท่าราวกับได้รับนิรโทษกรรม รีบกระจายตัวออกไป

        ฉู่เหลียนพออกพอใจ ทานมะระอีกชิ้น “ฉีเยี่ยน เจ้าเห็นหรือไม่? นี่คือชะตากรรมของใครก็ตามที่กล้าขโมยอาหารข้าเพื่อคนอื่น! แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป ข้ายังมีพริกเหลืออีกหลายกระสอบเชียว!”

        ฉีเยี่ยนหวาดกลัวถ้อยคำของฉู่เหลียนจนตัวแข็งทื่อ

        นางพยายามเข้มแข็ง สุดท้ายกลับทำไม่ได้ “นายหญิงสามเจ้าขา บ่าวไม่กล้าแตะของของท่านโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกแล้วเจ้าค่ะ! นายหญิงสาม ได้โปรดให้อภัยบ่าวครานี้เถอะนะเจ้าคะ!”

        ฉู่เหลียนจ้องฉีเยี่ยน “ดีแล้วฉีเยี่ยน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งใหญ่ไปเพื่อสิ่งเล็ก ๆ นะ”

        แม้การทำขนมเหล่านั้นจะไม่ง่าย ทว่าเป็นเพียงการทำขนมตามต้องการเท่านั้น ฉู่เหลียนอยากใช้โอกาสนี้เตือนฉีเยี่ยนว่าควรต้องรักษาทุกสิ่งที่นางไว้ใจให้นำไปรักษา และหากนางยังกล้ากระทำเรื่องผิดพลาดซ้ำเดิมอีกครั้ง ย่อมมีการลงโทษที่รอนางอยู่แน่แล้ว

         

        มื้อเย็นวันนั้น ฉู่เหลียนลงมือทำปลานึ่งพริกและซุปเปรี้ยวเผ็ดด้วยตนเอง ส่วนอาหารจานอื่นที่เหลือเป็นสิ่งที่ทานเป็นประจำในเรือนซงเถา

        ปลานึ่งสีขาวหิมะวางเหนือถั่วงอกสด ๆ คู่กับพริกสีแดงสดใสที่โรยอยู่ด้านบน เมื่อชิ้นปลาถูกยกขึ้นโต๊ะก็ดูตื่นตายิ่ง เนื้อปลาทั้งนุ่มทั้งละมุน แม้จะมีชั้นพริกโรยอยู่ ทว่าก็ไม่ได้เผ็ดจนเกินไป เมื่อชิ้นปลาบาง ๆ ถูกส่งเข้าปาก ฉู่เหลียนก็หลับตาลงด้วยความสุขสม มุมปากยกขึ้น

        น่าเศร้านักที่นางต้องทานคนเดียว อาหารเช่นนี้จะยิ่งเลิศรสหากเสิร์ฟเป็นจานใหญ่ แต่เพราะมีแค่นางคนเดียว จึงได้สั่งฉีเยี่ยนให้จัดปลาใส่จานใบเล็กก็พอ

        เมื่อนึกขึ้นได้ ฉู่เหลียนก็สั่งฉีเยี่ยนแบ่งออกเป็นสองจานและส่งไปยังเรือนชิ่งสี่กับเรือนของบ้านใหญ่

        กุ้ยหมัวมัวเป็นผู้นำจานหนึ่งไปส่งถึงเรือนชิ่งสี่ด้วยตนเอง โดยมีเหลียวหมัวมัวเป็นผู้รับ

        “นี่เป็นอาหารชนิดใหม่ที่นายหญิงสามทำวันนี้เจ้าค่ะ บ่าวรับคำสั่งนายหญิงสามให้นำมาส่งให้เฮ่อเหล่าไท่จวินได้ลองชิม ทว่านายหญิงสามยังได้กำชับมาว่า ปลานึ่งชนิดนี้มีรสชาติค่อนข้างเผ็ด ให้ลองทานทีละคำเล็ก ๆ ก่อนนะเจ้าคะ”

        เหลียวหมัวมัวยิ้มรับเข้าใจ นางรับจานอาหารและให้สาวใช้ด้านหลังนำไปส่งเฮ่อเหล่าไท่จวิน จากนั้นเหลียวหมัวมัวจึงเดินไปส่งกุ้ยหมัวมัวถึงทางออกเรือน

        ทางด้านเรือนของต้าหลาง พวกเขาก็ได้รับแบ่งด้วยเช่นกัน กลับเป็นเฮ่อฉางฉีที่ปรากฏตัวพอดี

        เฮ่อฉางฉีเปิดฝากล่องออกก็เห็นเพียงชั้นพริกที่โรยอยู่ด้านบน เขาอุทานอย่างตกตะลึง “สิ่งนี้ทำจากพริกที่ข้านำกลับมาเมื่อบ่ายนี้หรือ?”

        “ตอบจิ่งอันซื่อจื่อ ใช่แล้วเจ้าค่ะ! นายหญิงสามของพวกบ่าวเป็นผู้ทำอาหารจานนี้ด้วยตนเอง ทั้งยังมีข้อความฝากมาบอกว่า หากปลานึ่งเหล่านี้เผ็ดเกินไป โปรดทานแต่น้อยเจ้าค่ะ”

        “ในเมื่อทำจากพริกนั่น ข้าย่อมต้องทานอย่างระมัดระวัง”

        ยังไม่ทันจิ่งเยี่ยนจะจากไป เฮ่อฉางฉีก็สั่งหมัวมัวในเรือนให้ยกไปขึ้นโต๊ะอาหารเย็นทันที

        เขาอดรอชิมอาหารที่ทำจากพริกนั่นมิได้เสียแล้ว

        วันต่อมา เมื่อฉู่เหลียนมาถึงเรือนชิ่งสี่เพื่อคารวะยามเช้า นางก็บังเอิญพบกับพี่ใหญ่เข้า

        เหล่าไท่จวินยิ้ม และเรียกให้ฉู่เหลียนนั่งข้างกายตนแล้วเอ่ยล้อเลียน “พี่ใหญ่มารอเจ้าเป็นพิเศษอยู่เค่อกว่าแล้ว”

        ฉู่เหลียนเห็นว่าแปลกนัก จึงถามไป “พี่ใหญ่ มีอะไรหรือเจ้าคะ?”

        ใบหน้าแข็งกร้าวสีคล้ำของเฮ่อฉางฉีคล้ายว่าจะขึ้นสีเล็กน้อยยามเขาเม้มปาก คล้ายว่าอายเกินกว่าจะเอ่ยขึ้น ทำเพียงหันไปหาเฮ่อเหล่าไท่จวินคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ

        “ดูเจ้าซี เรื่องเล็กน้อยแค่นี้กลับเขินอายจนไม่กล้าพูด ภรรยาซานหลางแต่งเข้าตระกูลเรา ยามนี้เจ้าก็นับเป็นพี่ชายของนางแล้ว!” เฮ่อเหล่าไท่จวินแสร้งตำหนิเฮ่อฉางฉี ก่อนกุมมือฉู่เหลียนแล้วยิ้ม “อีกสองวันพี่ใหญ่ของเจ้าจะมีสหายมาเยี่ยมเยือน เมื่อได้ทานปลานึ่งที่เจ้าส่งมาเมื่อคืน เขาก็คิดว่าเจ้าทำอาหารได้อร่อยมาก จึงอยากขอร้องให้เจ้าช่วยทำอาหารให้สหายเขาได้ประทับใจเสียหน่อย”

        ยามเชื้อเชิญแขกเยี่ยมบ้าน เจ้าบ้านมักต้องมีอาหารชั้นยอดหรือเหล้าชั้นเลิศตระเตรียมไว้เสมอ เมื่อสูตรลับนับเป็นสิ่งล้ำค่าในยุคนี้ แต่ละจวนจึงมักมีอาหารจานที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ยกขึ้นโต๊ะยามมีแขกมาเยี่ยมเยือน

        ก่อนหน้านี้จวนจิ่งอันมีของว่างฝีมือแม่ครัวโจวอยู่ ยามนี้บ่าวผู้นั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้เฮ่อต้าหลางรู้สึกว่าตนไม่มีอาหารดี ๆ ไว้สร้างความประทับใจให้สหายเลย จึงได้ติดค้างผัดผ่อนมื้ออาหารต่อเพื่อน ๆ เรื่อยมา

        ยามนี้มีโอกาสแล้ว เขาย่อมไม่ปล่อยไป

        ฉู่เหลียนเดิมทีก็นึกว่าจะเป็นเรื่องยากเย็นเสียอีก หากเพียงทำอาหารจานสองจานให้เพื่อนของพี่สามีทานย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ฉู่เหลียนพยักหน้าตกลงทันที

        ต้าหลางรู้สึกคล้ายเรื่องหนักใจที่มีคลายลงได้เสียที แต่เมื่อกำลังจะจากไป เหลียวหมัวมัวก็วิ่งเข้ามาในเรือนเสียก่อน

        “เหล่าไท่จวินเจ้าคะ พ่อบ้านเรือนนอกส่งข่าวมาเจ้าค่ะ! เป็นคนจากพระราชวังเรียกหาคนเจ้าค่ะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+