[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 57 เป็ดย่างร้านเยว่หวง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 57 เป็ดย่างร้านเยว่หวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ฉู่เหลียนไม่คิดว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยผู้น่ายำเกรงเมื่อครั้นแรกพบที่เรือนเม่ยวันนั้น จะกลายมาเป็นเด็กน้อยที่ทั้งขี้อาย เอาแต่ใจและหยิ่งทระนงได้อย่างน่ารักน่าชังเช่นวันนี้

        รอยยิ้มของนางยิ่งกว้างขึ้น “เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว”

        “ใช่แล้ว เจ้าสามารถทำคุกกี้รูปแมวนั่นให้ข้าได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น! ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าต้องรับโทษทัณฑ์เป็นแน่!”

        ฉู่เหลียนคิดในใจใหม่อีกครั้ง องค์หญิงไม่เพียงแค่มีกิริยาน่ารัก ๆ เช่นนั้น แต่นางยังชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกด้วย

        ทั้งสองนั่งทานขนมกับน้ำผสมน้ำผึ้งในห้องรับแขกได้พักหนึ่ง ระหว่างที่คุยกันกะหนุงกะหนิงอยู่นั้น พระชายาเว่ยอ๋องก็นำผลอิงเถามาเพิ่มในกองขนม เมื่อเห็นบุตรสาวของตนมีท่าทีสนุกสนานอย่างหาได้ยากนัก นางก็ไม่เข้าไปรบกวน เพราะการที่บุตรสาวของตนสนิทสนมกับใครนับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง

        องค์หญิงต้วนเจี่ยเห็นว่าสายแล้ว นางก็กระแอมเบา ๆ แล้วโพล่งขึ้นมา “ฉู่เหลียน ข้ากับเจ้าไปหาอะไรทานที่ข้างนอกดีหรือไม่?”

        ฉู่เหลียนไม่รู้จะตอบอย่างไรดี บุคลิกขององค์หญิงต้วนเจี่ยต่างจากคำร่ำลือมากนัก ปกติหากเชิญแขกมาเรือนก็ควรจะร่วมรับประทานอาหารในจวนมากกว่าออกไปข้างนอกมิใช่หรือ? ทำไมองค์หญิงถึงเอ่ยชวนนางออกไปข้างนอกเล่า?

        เห็นฉู่เหลียนไม่ตอบและมัวแต่ทำตาเบิกกว้าง องค์หญิงต้วนเจี่ยจึงได้แต่ทำปากยื่น “ก็ได้ ข้าเพียงแต่อยากไปลองทานเป็ดย่างร้านเยว่หวงเท่านั้น เจ้าจะไปเป็นเพื่อนข้าหรือไม่?”

        ร้านเยว่หวงหรือ?

        นับเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลวง คล้ายกับร้าน ‘เฉียนจู้เต๋อ’ ในโลกยุคปัจจุบันที่โด่งดังในเรื่องของเป็ดย่างเช่นกัน

        นอกจากนี้ฉู่เหลียนก็ยังมีร้านกุ้ยหลินของตนเองให้ดูแล การไปดูว่าร้านอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเป็นอย่างไรย่อมเป็นเรื่องดีแน่นอน

        นางยิ้มแล้วพยักหน้า

        องค์หญิงต้วนเจี่ยสั่งสาวใช้ให้ไปแจ้งต่อพระชายาเว่ยอ๋อง แล้วสั่งหมัวมัวให้ไปเรือนนอกเตรียมรถม้า

        องค์หญิงต้วนเจี่ยและฉู่เหลียนเดินทางไปถึงร้านเยว่หวงตั้งแต่ก่อนเที่ยง ทั้งคู่มีสาวใช้ช่วยประคองลงรถม้า ดวงตาของฉู่เหลียนเบิกกว้างขณะกวาดตามองที่รอบกาย

        ดังคาด ร้านเยว่หวงนี้ดูไม่ธรรมดาจริง ๆ ที่ตั้งอยู่ในจุดที่ดีที่สุดของถนนหลักจูเฉว่ ทั้งยังมีลูกค้านับร้อยเข้า ๆ ออก ๆ ทุกวัน จากจุดที่พวกนางอยู่ ฉู่เหลียนก็สังเกตเห็นว่าชั้นหนึ่งโต๊ะเต็มหมดแล้ว

        พนักงานต้อนรับพิเศษหญิงผู้หนึ่งปรี่เข้ามาต้อนรับพวกนางตั้งแต่หน้าประตู ซึ่งดูคล้ายว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยจะเป็นลูกค้าประจำของร้านเยว่หวง ทั้งคู่เดินตามพนักงานเข้าไปยังห้องส่วนตัวที่มีป้ายประดับติดที่หน้าห้องว่า ‘สวรรค์’

        องค์หญิงต้วนเจี่ยเอ่ยชื่อเมนูอาหารออกมารัวเร็วให้แก่พนักงาน โดยไม่ต้องแปลกใจเลยว่าชื่อทั้งหมดนั้นล้วนเป็นชื่อที่ฉู่เหลียนไม่เคยได้ยินมาก่อน

        นางสำรวจการตกแต่งภายในห้องส่วนตัวที่ดูสวยหรูยิ่งนัก มีกระทั่งต้นบอนไซราคาแพงวางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าต่าง ถึงกระนั้นแม้การตกแต่งร้านจะหรูหราสูงส่งเพียงใด แต่นางก็ยังต้องดูว่าอาหารที่ยกมาจะเข้ากับรูปลักษณ์ที่หรูหราของร้านนี้หรือไม่

        องค์หญิงต้วนเจี่ยนั่งเท้าคาง ดวงตาเฉลียวฉลาดจับจ้องฉู่เหลียน “ฉู่เหลียน เจ้าไม่เคยมาร้านเช่นนี้หรือ?”

        ฉู่เหลียนไม่คิดว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยจะเถรตรงเพียงนี้ นางจึงยิ้มและส่ายหน้า “หม่อมฉันไม่เคยมาสถานที่เช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกเพคะ!”

        ‘ฉู่เหลียน’ คนเดิมนั้นไม่สนิทสนมกับบรรดาคุณหนูในจวน ทั้งยังถูกแม่เลี้ยงรังแก จึงไม่มีเงินมากนัก และไม่ต้องคาดเดาถึงการออกมานอกจวนเช่นนี้เลย แม้แต่จะตกรางวัลแก่บ่าวไพร่ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นการมานั่งในร้านหรูหราเฉกเช่นร้านเยว่หวงนี้ ยิ่งห่างไกลนัก

        เมื่อองค์หญิงต้วนเจี่ยได้ยินฉู่เหลียนตอบด้วยหน้าตาใสซื่อ นางก็เดาได้ว่ายามอยู่จวนอิ้ง แม่นางผู้นี้คงมิได้มีชีวิตที่ดีเท่าไรนัก ทว่านัยน์ตาสดใสนั้นก็ไร้ซึ่งร่องรอยความเสียใจ องค์หญิงก็ยิ่งชื่นชมความเป็นคนปล่อยวางของอีกฝ่ายเสียยิ่งกว่าเดิม

        “เช่นนั้นวันนี้เจ้าก็ทานเสียให้มาก พอเสร็จแล้วเราจะไปร้านน้ำชาเต๋อเฟิงกันต่อ ข้าได้ยินว่าวันนี้มีผู้หนึ่งมาแสดง ‘เฟิ่งหวงหาคู่’ ด้วย”

        ยากยิ่งนักที่จะหาคนที่นางสามารถพาตะลอนเที่ยวเล่นด้วยกันได้ ฉู่เหลียนเองก็ไม่ได้คิดมากเรื่องสถานะที่แตกต่างกัน กลับคิดเหมือนเป็นเพื่อนสนิทที่ชวนกันมาซื้อของมากกว่า ดังนั้นฉู่เหลียนเลยตอบตกลงอย่างไม่คิดมาก

        เมื่ออาหารถูกยกขึ้นโต๊ะ ฉู่เหลียนผู้ตั้งความหวังไว้สูงอดมิได้ให้เบะปาก

        บนโต๊ะมีอาหารแนะนำมากกว่าสิบชนิด แต่กลับมีแค่เป็ดย่างเท่านั้นที่ดูผ่านเกณฑ์ ที่เหลือก็เหมือน ๆ กับที่นางเคยทานที่จวนจิ่งอัน

        อีกทางหนึ่ง องค์หญิงต้วนเจี่ยกลับมีดวงตาเป็นประกายขณะหยิบอาหารแย่ ๆ พวกนี้ขึ้นมา สาวใช้ส่วนตัวของนางวางเนื้อเป็ดย่างชิ้นหนึ่งลงบนจานให้เรียบร้อยเช่นเดียวกับฉู่เหลียน

        ตรงหน้าพวกนางมีจานใบเล็ก ๆ วางอยู่ ใบหนึ่งมีซีอิ๊วดำใส่จนเต็ม ส่วนอีกใบมีเม็ดเกลือใส่จนพูน

        องค์หญิงต้วนเจี่ยชี้ไปยังจานสีขาวทั้งสองใบแล้วกล่าว “ฉู่เหลียน เจ้าต้องเอาเป็ดย่างจิ้มในซีอิ๊วดำก่อนแล้วตามด้วยเกลือ ทำเช่นนั้นแล้วอร่อยยิ่งนัก! ลองดูสิ!”

        กล่าวจบ นางก็รีบคีบเนื้อเป็ดย่างในจานตนเองจิ้มซีอิ๊วดำแล้วเอาเข้าปาก ก่อนหลับตาพริ้มลิ้มรส

        เมื่อทานเสร็จชิ้นหนึ่ง นางก็เม้มปากคล้ายกำลังจดรสชาตินี้ลงในความทรงจำ แล้วจึงหันมามองฉู่เหลียนด้วยสายตาคาดหวัง เห็นดังนั้น ฉู่เหลียนก็ได้แต่ทำตามคำแนะนำขององค์หญิง จิ้มเนื้อเป็ดลงน้ำจิ้ม จิ้มเกลือ แล้วนำเข้าปาก

        ฉู่เหลียน:….

        ถึงภายนอกเป็ดย่างจะกรุบกรอบ ทว่าภายในกลับไร้รสชาติ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมต้องจิ้มทั้งซีอิ๊วทั้งเกลือ

        ทั้งสองอย่างนี้เมื่อจับคู่กันก็ทำให้เนื้อมีรสชาติขึ้นมาอยู่บ้าง แต่ก็แค่เปลือกนอกเท่านั้น ถือว่าไม่มีค่าอะไรนัก อีกอย่างเกลือหยาบ ๆ ของที่นี่จะไปสู้เกลือป่นของโลกนางได้อย่างไร เม็ดเกลือแต่ละเม็ดสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากที่ไกลเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งเกลือเม็ดใหญ่พวกนี้กลับยิ่งทำให้หนังกรอบๆ ยิ่งเค็มกว่าเดิม ส่วนเนื้อด้านในยิ่งจืดชืดไร้รสชาติโดยสิ้นเชิง ตอนกัดลงไปนางก็รู้สึกเหมือนกำลังทานเกลือเต็มปาก ทำให้การเคี้ยวเป็นเรื่องที่น่าลำบาก นางไม่รับรู้รสชาติของเป็ดแม้แต่น้อย และได้แต่คิดว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าสิ่งนี้อร่อยไปได้นะ?

        ฉู่เหลียนคุ้นเคยกับรสชาติที่ไม่เค็มจัดแบบนี้ เป็ดนี่ไม่ถูกปากนางแม้แต่นิด ทว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยกำลังมองดูอยู่จึงคายทิ้งไม่ได้ นางรีบ ๆ เคี้ยว รีบ ๆ กลืนด้วยความยากลำบาก และกระแอมขึ้นสองครั้งเพื่อปิดบังท่าทีขยะแขยงของตนเอง แม้สีหน้าจะดูสงบดี แต่ร่องรอยอารมณ์ในดวงตากลับดูสวนทาง

        ฉู่เหลียนไม่อยากให้ผู้อื่นเสียน้ำใจ จึงพยายามไม่คิดมาก “ก็ดีเพคะ”

        เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด องค์หญิงต้วนเจี่ยนิ่วหน้า “สิ่งนี้อร่อยหรือไม่?”

        ฉู่เหลียนยิ้มกลบเกลื่อน ทั้งที่ในตอนนี้ปากของนางชาไปเสียหมดเพราะรสชาติพิลึกนี่ สงสัยไปว่ากระทั่งอาหารในรั้วในวังก็คงมีมาตรฐานได้แค่นี้กระมัง

        ทันใดนั้น องค์หญิงต้วนเจี่ยก็เบิกตากว้าง “ฉู่เหลียน หรือว่า…เจ้าจะรู้วิธีทำเป็ดย่างที่อร่อยกว่านี้?”

        ฉู่เหลียนอยากตอบว่าไม่ แต่องค์หญิงต้วนเจี่ยรีบเอ่ยต่อ “อย่าโกหกข้า! ไม่เช่นนั้นข้าจะบอกท่านพ่อว่าเจ้ารังแกข้า!”

        เอ่อ…ฉู่เหลียนไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ องค์หญิงต้วนเจี่ยผู้สูงส่งจะหันมาทำตัวปากไม่ตรงกับใจใส่นางอีกแล้ว

        นึกเทียบถึงสถานะของเว่ยอ๋องกับบิดาของตนเองที่เอ้อระเหยลอยชายในตำแหน่งจิ๊บจ๊อย ทั้งที่ตระกูลอิ้งกำลังตกต่ำ ฉู่เหลียนก็ต้องยอมแพ้ บิดาขององค์หญิงมีอำนาจและดูสูงส่งจนเกินไป หากต่างฝ่ายต่างเรียกบิดาออกมา นางก็มีแต่พ่ายแพ้หมดรูป

        ฉู่เหลียนรีบตอบอย่างเฉลียวฉลาด “องค์หญิง หม่อมฉันไม่กล้ารับรองว่าเป็ดย่างของหม่อมฉันจะมีรสชาติที่ดีมากนัก ทว่าก็ยังดีกว่าเป็ดย่างร้านเยว่หวงอยู่บ้างเล็กน้อยเพคะ”

        ฉู่เหลียนยังยกมือขวาขึ้นทำท่าเอานิ้วออกห่างกันนิดหน่อยให้เห็นว่าต่างกันเล็กน้อยขนาดไหน ปลายนิ้วสองข้างแทบจะแตะกัน

        องค์หญิงต้วนเจี่ยไม่คิดว่าคนบ้า ๆ เบื้องหน้าจะรู้วิธีทำเป็ดย่างจริง ๆ ดวงตานางครุ่นคิด “อีกไม่กี่วันข้าจะส่งคนไปเทียบเชิญเจ้ามาที่จวนอีก แล้วเรามาทำเป็ดย่างด้วยกันเช่นนั้นดีหรือไม่?”

        แม้ภายนอกองค์หญิงต้วนเจี่ยจะมีสีหน้าจริงจัง แต่ในใจกลับหัวเราะจนคอแทบหัก ฮึ่ม! นางก็รู้อยู่แล้วว่าเป็ดย่างนี่ไม่ได้มีอะไรดี แต่พี่สี่ของนางก็จ่ายเงินไปมากมายเพื่อขอซื้อสูตรลับเป็ดย่างร้านนี้ ตอนนี้แม้แต่ฉู่เหลียนก็ยังสามารถทำได้ดีกว่า ตลกจริง ๆ! เมื่อทำเสร็จแล้วนางจะต้องมอบเป็ดย่างที่ฉู่เหลียนทำให้พี่ชายนางได้ลองลิ้มสักชิ้นหนึ่ง จะได้เห็นเขาโมโหจนแดดิ้นตายไปเลย!

        ขณะที่คิดอยู่นั้น องค์หญิงต้วนเจี่ยก็ลืมเสียสนิทเลยว่าทีแรกตนเองเป็นคนอยากมาทานเป็ดย่างร้านเยว่หวงนี้เอง

        ทว่า ตอนนี้ฉู่เหลียนก็ประเมินเป็ดย่างออกมาต้อยต่ำนัก ทำให้มันดูไม่อร่อยเป็นทุนเดิม เมื่อต้องฝืนทนทานต่อไป

        เดิมทีก่อนหน้านี้ฉู่เหลียนคิดวิตกอยู่หลายอย่างว่า การมาหาองค์หญิงต้วนเจี่ยครานี้จะเป็นเช่นไร สุดท้ายแล้วก็ไม่นึกว่าพวกนางจะได้ใช้เวลาทั้งวันร่วมกันเพื่อกิน

        อีกที นางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

        เป็ดย่างนี้เป็นอาหารเพียงอย่างเดียวจากร้านเยว่หวงที่องค์หญิงทรงโปรด และไม่คิดว่าจานอื่นจะดีไปกว่านี้ ทว่าฉู่เหลียนทำให้นางหมดความสนใจในเป็ดย่างไปเสียแล้ว ทั้งคู่ทานอาหารเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และกลับชอบเหล้าผลไม้หอมหวานที่ทางร้านเยว่หวงแนะนำมามากกว่า จึงดื่มเข้าไปมาก

        องค์หญิงต้วนเจี่ยและฉู่เหลียนนั่งคุยกันอย่างมีความสุขในห้องส่วนตัว โดยไม่ทราบเลยว่าทุกคำพูดนั้นได้ยินถึงหูผู้อื่นที่อยู่ห้องติดกัน

        ถังเหยียนอดปิดปากไม่ได้ แก้มแดงก่ำขณะพยายามกลั้นหัวเราะ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นยิ้มกว้าง ไอค่อกแค่กสองสามที ก่อนจะกลั้นต่อไปไม่ไหว “ฮ่า ๆ ” 

        พี่สี่ที่องค์หญิงต้วนเจี่ยคิดถึงคือจิ่นอ๋อง ยามนี้มีสีหน้าไม่พอใจเสียแล้ว ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตวัดมองถังเหยียนอย่างเย็นชา ทำให้อีกฝ่ายตัวสั่นสะท้าน

        ถังเหยียนหยุดหัวเราะทันใดเมื่อถูกจ้อง เขายืดตัวตรง ทำหน้าจริงจัง “กระหม่อมขอบังอาจถามท่านอ๋องสี่ ท่านจ่ายค่าสูตรลับเป็ดย่างนี้ไปเท่าไรหรือขอรับ”

        สีหน้าของจิ่นอ๋องแข็งทื่อ ดวงตาคมกริบคล้ายมีดทิ่มแทงผู้ถาม “ถังเหยียน บางทีเจ้าคงรู้สึกว่าได้รับเบี้ยหวัดมากไปกระมัง”

        ถังเหยียนที่พอจะมีความคิดอยู่บ้าง รีบหุบปากทันที ทว่าเช่นเดียวกับองค์หญิงต้วนเจี่ย ยามนี้เขามิได้อยากทานเป็ดย่างเบื้องหน้าตนอีกแล้ว และคร่ำครวญ “กระหม่อมสงสัยนักว่าสหายขององค์หญิงจะทำเป็ดย่างได้ดีเพียงใด กระหม่อมอยากลองทานดูบ้าง”

        จิ่นอ๋องมอบสายตาเย็นชาให้อีกครั้ง “นี่เจ้าเสพติดการทดสอบความกล้าหรือ?”

        ถังเหยียนกระแอมไอ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องกลับไปหัวข้อแรกที่คุยกันค้างไว้ “ท่านอ๋อง เฮ่อซานหลางยามนี้ถึงเหลียงโจวแล้ว นี่เป็นจดหมายที่เขาส่งมาขอรับ”

        ถังเหยียนเป็นหนึ่งในบรรดาข้าราชบริพารของจิ่นอ๋อง และเป็นหนึ่งในคนที่เขาเชื่อใจที่สุด

        จิ่นอ๋องดึงปึกจดหมายมาจากมือถังเหยียน และอ่านเพียงจดหมายที่เฮ่อฉางตี้เขียนถึงตน อีกสองฉบับส่งให้จวนจิ่งอันเก็บวางไว้ที่ด้านข้าง ประเดี๋ยวค่อยให้คนนำไปส่งจวนจิ่งอันยามเขากลับถึงจวน

        “ส่งกลุ่มคนพร้อมม้าไปให้ฉางตี้เสีย”

        ถังเหยียนพยักหน้า

        เมื่อทั้งคู่จัดการธุระเสร็จ จิ่นอ๋องก็ได้ยินเสียงสตรีห้องข้าง ๆ เตรียมตัวไปดูการแสดงที่ร้านน้ำชาเต๋อเฟิง ก่อนจะคิดได้ว่าในจดหมายนั้น เฮ่อฉางตี้ขอร้องให้เขาช่วย ‘ดูแลฉู่เหลียนเป็นพิเศษ’ จิ่นอ๋องและถังเหยียนจึงลุกขึ้นเตรียมแอบตามเด็กสาวทั้งสองไปร้านน้ำชาเต๋อเฟิง

        ที่จริงและ ขณะเฮ่อฉางตี้เขียนคำว่า ‘ดูแลเป็นพิเศษ’ นั้น เขากำลังกัดฟันกรอด ๆ ด้วยความโมโหเต็มอก พู่กันถึงกับสั่นไหวเหมือนอารมณ์ที่ไม่คงที่ และแทบจะลมจับด้วยความโมโห แต่ใครจะรู้เล่าว่าบางทีจิ่นอ๋องอาจสัมผัสได้ถึงความสับสนและโมโหในใจเหล่านั้น?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 57 เป็ดย่างร้านเยว่หวง

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 57 เป็ดย่างร้านเยว่หวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ฉู่เหลียนไม่คิดว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยผู้น่ายำเกรงเมื่อครั้นแรกพบที่เรือนเม่ยวันนั้น จะกลายมาเป็นเด็กน้อยที่ทั้งขี้อาย เอาแต่ใจและหยิ่งทระนงได้อย่างน่ารักน่าชังเช่นวันนี้

        รอยยิ้มของนางยิ่งกว้างขึ้น “เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว”

        “ใช่แล้ว เจ้าสามารถทำคุกกี้รูปแมวนั่นให้ข้าได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น! ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าต้องรับโทษทัณฑ์เป็นแน่!”

        ฉู่เหลียนคิดในใจใหม่อีกครั้ง องค์หญิงไม่เพียงแค่มีกิริยาน่ารัก ๆ เช่นนั้น แต่นางยังชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกด้วย

        ทั้งสองนั่งทานขนมกับน้ำผสมน้ำผึ้งในห้องรับแขกได้พักหนึ่ง ระหว่างที่คุยกันกะหนุงกะหนิงอยู่นั้น พระชายาเว่ยอ๋องก็นำผลอิงเถามาเพิ่มในกองขนม เมื่อเห็นบุตรสาวของตนมีท่าทีสนุกสนานอย่างหาได้ยากนัก นางก็ไม่เข้าไปรบกวน เพราะการที่บุตรสาวของตนสนิทสนมกับใครนับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง

        องค์หญิงต้วนเจี่ยเห็นว่าสายแล้ว นางก็กระแอมเบา ๆ แล้วโพล่งขึ้นมา “ฉู่เหลียน ข้ากับเจ้าไปหาอะไรทานที่ข้างนอกดีหรือไม่?”

        ฉู่เหลียนไม่รู้จะตอบอย่างไรดี บุคลิกขององค์หญิงต้วนเจี่ยต่างจากคำร่ำลือมากนัก ปกติหากเชิญแขกมาเรือนก็ควรจะร่วมรับประทานอาหารในจวนมากกว่าออกไปข้างนอกมิใช่หรือ? ทำไมองค์หญิงถึงเอ่ยชวนนางออกไปข้างนอกเล่า?

        เห็นฉู่เหลียนไม่ตอบและมัวแต่ทำตาเบิกกว้าง องค์หญิงต้วนเจี่ยจึงได้แต่ทำปากยื่น “ก็ได้ ข้าเพียงแต่อยากไปลองทานเป็ดย่างร้านเยว่หวงเท่านั้น เจ้าจะไปเป็นเพื่อนข้าหรือไม่?”

        ร้านเยว่หวงหรือ?

        นับเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลวง คล้ายกับร้าน ‘เฉียนจู้เต๋อ’ ในโลกยุคปัจจุบันที่โด่งดังในเรื่องของเป็ดย่างเช่นกัน

        นอกจากนี้ฉู่เหลียนก็ยังมีร้านกุ้ยหลินของตนเองให้ดูแล การไปดูว่าร้านอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเป็นอย่างไรย่อมเป็นเรื่องดีแน่นอน

        นางยิ้มแล้วพยักหน้า

        องค์หญิงต้วนเจี่ยสั่งสาวใช้ให้ไปแจ้งต่อพระชายาเว่ยอ๋อง แล้วสั่งหมัวมัวให้ไปเรือนนอกเตรียมรถม้า

        องค์หญิงต้วนเจี่ยและฉู่เหลียนเดินทางไปถึงร้านเยว่หวงตั้งแต่ก่อนเที่ยง ทั้งคู่มีสาวใช้ช่วยประคองลงรถม้า ดวงตาของฉู่เหลียนเบิกกว้างขณะกวาดตามองที่รอบกาย

        ดังคาด ร้านเยว่หวงนี้ดูไม่ธรรมดาจริง ๆ ที่ตั้งอยู่ในจุดที่ดีที่สุดของถนนหลักจูเฉว่ ทั้งยังมีลูกค้านับร้อยเข้า ๆ ออก ๆ ทุกวัน จากจุดที่พวกนางอยู่ ฉู่เหลียนก็สังเกตเห็นว่าชั้นหนึ่งโต๊ะเต็มหมดแล้ว

        พนักงานต้อนรับพิเศษหญิงผู้หนึ่งปรี่เข้ามาต้อนรับพวกนางตั้งแต่หน้าประตู ซึ่งดูคล้ายว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยจะเป็นลูกค้าประจำของร้านเยว่หวง ทั้งคู่เดินตามพนักงานเข้าไปยังห้องส่วนตัวที่มีป้ายประดับติดที่หน้าห้องว่า ‘สวรรค์’

        องค์หญิงต้วนเจี่ยเอ่ยชื่อเมนูอาหารออกมารัวเร็วให้แก่พนักงาน โดยไม่ต้องแปลกใจเลยว่าชื่อทั้งหมดนั้นล้วนเป็นชื่อที่ฉู่เหลียนไม่เคยได้ยินมาก่อน

        นางสำรวจการตกแต่งภายในห้องส่วนตัวที่ดูสวยหรูยิ่งนัก มีกระทั่งต้นบอนไซราคาแพงวางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าต่าง ถึงกระนั้นแม้การตกแต่งร้านจะหรูหราสูงส่งเพียงใด แต่นางก็ยังต้องดูว่าอาหารที่ยกมาจะเข้ากับรูปลักษณ์ที่หรูหราของร้านนี้หรือไม่

        องค์หญิงต้วนเจี่ยนั่งเท้าคาง ดวงตาเฉลียวฉลาดจับจ้องฉู่เหลียน “ฉู่เหลียน เจ้าไม่เคยมาร้านเช่นนี้หรือ?”

        ฉู่เหลียนไม่คิดว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยจะเถรตรงเพียงนี้ นางจึงยิ้มและส่ายหน้า “หม่อมฉันไม่เคยมาสถานที่เช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกเพคะ!”

        ‘ฉู่เหลียน’ คนเดิมนั้นไม่สนิทสนมกับบรรดาคุณหนูในจวน ทั้งยังถูกแม่เลี้ยงรังแก จึงไม่มีเงินมากนัก และไม่ต้องคาดเดาถึงการออกมานอกจวนเช่นนี้เลย แม้แต่จะตกรางวัลแก่บ่าวไพร่ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นการมานั่งในร้านหรูหราเฉกเช่นร้านเยว่หวงนี้ ยิ่งห่างไกลนัก

        เมื่อองค์หญิงต้วนเจี่ยได้ยินฉู่เหลียนตอบด้วยหน้าตาใสซื่อ นางก็เดาได้ว่ายามอยู่จวนอิ้ง แม่นางผู้นี้คงมิได้มีชีวิตที่ดีเท่าไรนัก ทว่านัยน์ตาสดใสนั้นก็ไร้ซึ่งร่องรอยความเสียใจ องค์หญิงก็ยิ่งชื่นชมความเป็นคนปล่อยวางของอีกฝ่ายเสียยิ่งกว่าเดิม

        “เช่นนั้นวันนี้เจ้าก็ทานเสียให้มาก พอเสร็จแล้วเราจะไปร้านน้ำชาเต๋อเฟิงกันต่อ ข้าได้ยินว่าวันนี้มีผู้หนึ่งมาแสดง ‘เฟิ่งหวงหาคู่’ ด้วย”

        ยากยิ่งนักที่จะหาคนที่นางสามารถพาตะลอนเที่ยวเล่นด้วยกันได้ ฉู่เหลียนเองก็ไม่ได้คิดมากเรื่องสถานะที่แตกต่างกัน กลับคิดเหมือนเป็นเพื่อนสนิทที่ชวนกันมาซื้อของมากกว่า ดังนั้นฉู่เหลียนเลยตอบตกลงอย่างไม่คิดมาก

        เมื่ออาหารถูกยกขึ้นโต๊ะ ฉู่เหลียนผู้ตั้งความหวังไว้สูงอดมิได้ให้เบะปาก

        บนโต๊ะมีอาหารแนะนำมากกว่าสิบชนิด แต่กลับมีแค่เป็ดย่างเท่านั้นที่ดูผ่านเกณฑ์ ที่เหลือก็เหมือน ๆ กับที่นางเคยทานที่จวนจิ่งอัน

        อีกทางหนึ่ง องค์หญิงต้วนเจี่ยกลับมีดวงตาเป็นประกายขณะหยิบอาหารแย่ ๆ พวกนี้ขึ้นมา สาวใช้ส่วนตัวของนางวางเนื้อเป็ดย่างชิ้นหนึ่งลงบนจานให้เรียบร้อยเช่นเดียวกับฉู่เหลียน

        ตรงหน้าพวกนางมีจานใบเล็ก ๆ วางอยู่ ใบหนึ่งมีซีอิ๊วดำใส่จนเต็ม ส่วนอีกใบมีเม็ดเกลือใส่จนพูน

        องค์หญิงต้วนเจี่ยชี้ไปยังจานสีขาวทั้งสองใบแล้วกล่าว “ฉู่เหลียน เจ้าต้องเอาเป็ดย่างจิ้มในซีอิ๊วดำก่อนแล้วตามด้วยเกลือ ทำเช่นนั้นแล้วอร่อยยิ่งนัก! ลองดูสิ!”

        กล่าวจบ นางก็รีบคีบเนื้อเป็ดย่างในจานตนเองจิ้มซีอิ๊วดำแล้วเอาเข้าปาก ก่อนหลับตาพริ้มลิ้มรส

        เมื่อทานเสร็จชิ้นหนึ่ง นางก็เม้มปากคล้ายกำลังจดรสชาตินี้ลงในความทรงจำ แล้วจึงหันมามองฉู่เหลียนด้วยสายตาคาดหวัง เห็นดังนั้น ฉู่เหลียนก็ได้แต่ทำตามคำแนะนำขององค์หญิง จิ้มเนื้อเป็ดลงน้ำจิ้ม จิ้มเกลือ แล้วนำเข้าปาก

        ฉู่เหลียน:….

        ถึงภายนอกเป็ดย่างจะกรุบกรอบ ทว่าภายในกลับไร้รสชาติ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมต้องจิ้มทั้งซีอิ๊วทั้งเกลือ

        ทั้งสองอย่างนี้เมื่อจับคู่กันก็ทำให้เนื้อมีรสชาติขึ้นมาอยู่บ้าง แต่ก็แค่เปลือกนอกเท่านั้น ถือว่าไม่มีค่าอะไรนัก อีกอย่างเกลือหยาบ ๆ ของที่นี่จะไปสู้เกลือป่นของโลกนางได้อย่างไร เม็ดเกลือแต่ละเม็ดสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากที่ไกลเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งเกลือเม็ดใหญ่พวกนี้กลับยิ่งทำให้หนังกรอบๆ ยิ่งเค็มกว่าเดิม ส่วนเนื้อด้านในยิ่งจืดชืดไร้รสชาติโดยสิ้นเชิง ตอนกัดลงไปนางก็รู้สึกเหมือนกำลังทานเกลือเต็มปาก ทำให้การเคี้ยวเป็นเรื่องที่น่าลำบาก นางไม่รับรู้รสชาติของเป็ดแม้แต่น้อย และได้แต่คิดว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าสิ่งนี้อร่อยไปได้นะ?

        ฉู่เหลียนคุ้นเคยกับรสชาติที่ไม่เค็มจัดแบบนี้ เป็ดนี่ไม่ถูกปากนางแม้แต่นิด ทว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยกำลังมองดูอยู่จึงคายทิ้งไม่ได้ นางรีบ ๆ เคี้ยว รีบ ๆ กลืนด้วยความยากลำบาก และกระแอมขึ้นสองครั้งเพื่อปิดบังท่าทีขยะแขยงของตนเอง แม้สีหน้าจะดูสงบดี แต่ร่องรอยอารมณ์ในดวงตากลับดูสวนทาง

        ฉู่เหลียนไม่อยากให้ผู้อื่นเสียน้ำใจ จึงพยายามไม่คิดมาก “ก็ดีเพคะ”

        เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด องค์หญิงต้วนเจี่ยนิ่วหน้า “สิ่งนี้อร่อยหรือไม่?”

        ฉู่เหลียนยิ้มกลบเกลื่อน ทั้งที่ในตอนนี้ปากของนางชาไปเสียหมดเพราะรสชาติพิลึกนี่ สงสัยไปว่ากระทั่งอาหารในรั้วในวังก็คงมีมาตรฐานได้แค่นี้กระมัง

        ทันใดนั้น องค์หญิงต้วนเจี่ยก็เบิกตากว้าง “ฉู่เหลียน หรือว่า…เจ้าจะรู้วิธีทำเป็ดย่างที่อร่อยกว่านี้?”

        ฉู่เหลียนอยากตอบว่าไม่ แต่องค์หญิงต้วนเจี่ยรีบเอ่ยต่อ “อย่าโกหกข้า! ไม่เช่นนั้นข้าจะบอกท่านพ่อว่าเจ้ารังแกข้า!”

        เอ่อ…ฉู่เหลียนไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ องค์หญิงต้วนเจี่ยผู้สูงส่งจะหันมาทำตัวปากไม่ตรงกับใจใส่นางอีกแล้ว

        นึกเทียบถึงสถานะของเว่ยอ๋องกับบิดาของตนเองที่เอ้อระเหยลอยชายในตำแหน่งจิ๊บจ๊อย ทั้งที่ตระกูลอิ้งกำลังตกต่ำ ฉู่เหลียนก็ต้องยอมแพ้ บิดาขององค์หญิงมีอำนาจและดูสูงส่งจนเกินไป หากต่างฝ่ายต่างเรียกบิดาออกมา นางก็มีแต่พ่ายแพ้หมดรูป

        ฉู่เหลียนรีบตอบอย่างเฉลียวฉลาด “องค์หญิง หม่อมฉันไม่กล้ารับรองว่าเป็ดย่างของหม่อมฉันจะมีรสชาติที่ดีมากนัก ทว่าก็ยังดีกว่าเป็ดย่างร้านเยว่หวงอยู่บ้างเล็กน้อยเพคะ”

        ฉู่เหลียนยังยกมือขวาขึ้นทำท่าเอานิ้วออกห่างกันนิดหน่อยให้เห็นว่าต่างกันเล็กน้อยขนาดไหน ปลายนิ้วสองข้างแทบจะแตะกัน

        องค์หญิงต้วนเจี่ยไม่คิดว่าคนบ้า ๆ เบื้องหน้าจะรู้วิธีทำเป็ดย่างจริง ๆ ดวงตานางครุ่นคิด “อีกไม่กี่วันข้าจะส่งคนไปเทียบเชิญเจ้ามาที่จวนอีก แล้วเรามาทำเป็ดย่างด้วยกันเช่นนั้นดีหรือไม่?”

        แม้ภายนอกองค์หญิงต้วนเจี่ยจะมีสีหน้าจริงจัง แต่ในใจกลับหัวเราะจนคอแทบหัก ฮึ่ม! นางก็รู้อยู่แล้วว่าเป็ดย่างนี่ไม่ได้มีอะไรดี แต่พี่สี่ของนางก็จ่ายเงินไปมากมายเพื่อขอซื้อสูตรลับเป็ดย่างร้านนี้ ตอนนี้แม้แต่ฉู่เหลียนก็ยังสามารถทำได้ดีกว่า ตลกจริง ๆ! เมื่อทำเสร็จแล้วนางจะต้องมอบเป็ดย่างที่ฉู่เหลียนทำให้พี่ชายนางได้ลองลิ้มสักชิ้นหนึ่ง จะได้เห็นเขาโมโหจนแดดิ้นตายไปเลย!

        ขณะที่คิดอยู่นั้น องค์หญิงต้วนเจี่ยก็ลืมเสียสนิทเลยว่าทีแรกตนเองเป็นคนอยากมาทานเป็ดย่างร้านเยว่หวงนี้เอง

        ทว่า ตอนนี้ฉู่เหลียนก็ประเมินเป็ดย่างออกมาต้อยต่ำนัก ทำให้มันดูไม่อร่อยเป็นทุนเดิม เมื่อต้องฝืนทนทานต่อไป

        เดิมทีก่อนหน้านี้ฉู่เหลียนคิดวิตกอยู่หลายอย่างว่า การมาหาองค์หญิงต้วนเจี่ยครานี้จะเป็นเช่นไร สุดท้ายแล้วก็ไม่นึกว่าพวกนางจะได้ใช้เวลาทั้งวันร่วมกันเพื่อกิน

        อีกที นางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

        เป็ดย่างนี้เป็นอาหารเพียงอย่างเดียวจากร้านเยว่หวงที่องค์หญิงทรงโปรด และไม่คิดว่าจานอื่นจะดีไปกว่านี้ ทว่าฉู่เหลียนทำให้นางหมดความสนใจในเป็ดย่างไปเสียแล้ว ทั้งคู่ทานอาหารเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และกลับชอบเหล้าผลไม้หอมหวานที่ทางร้านเยว่หวงแนะนำมามากกว่า จึงดื่มเข้าไปมาก

        องค์หญิงต้วนเจี่ยและฉู่เหลียนนั่งคุยกันอย่างมีความสุขในห้องส่วนตัว โดยไม่ทราบเลยว่าทุกคำพูดนั้นได้ยินถึงหูผู้อื่นที่อยู่ห้องติดกัน

        ถังเหยียนอดปิดปากไม่ได้ แก้มแดงก่ำขณะพยายามกลั้นหัวเราะ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นยิ้มกว้าง ไอค่อกแค่กสองสามที ก่อนจะกลั้นต่อไปไม่ไหว “ฮ่า ๆ ” 

        พี่สี่ที่องค์หญิงต้วนเจี่ยคิดถึงคือจิ่นอ๋อง ยามนี้มีสีหน้าไม่พอใจเสียแล้ว ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตวัดมองถังเหยียนอย่างเย็นชา ทำให้อีกฝ่ายตัวสั่นสะท้าน

        ถังเหยียนหยุดหัวเราะทันใดเมื่อถูกจ้อง เขายืดตัวตรง ทำหน้าจริงจัง “กระหม่อมขอบังอาจถามท่านอ๋องสี่ ท่านจ่ายค่าสูตรลับเป็ดย่างนี้ไปเท่าไรหรือขอรับ”

        สีหน้าของจิ่นอ๋องแข็งทื่อ ดวงตาคมกริบคล้ายมีดทิ่มแทงผู้ถาม “ถังเหยียน บางทีเจ้าคงรู้สึกว่าได้รับเบี้ยหวัดมากไปกระมัง”

        ถังเหยียนที่พอจะมีความคิดอยู่บ้าง รีบหุบปากทันที ทว่าเช่นเดียวกับองค์หญิงต้วนเจี่ย ยามนี้เขามิได้อยากทานเป็ดย่างเบื้องหน้าตนอีกแล้ว และคร่ำครวญ “กระหม่อมสงสัยนักว่าสหายขององค์หญิงจะทำเป็ดย่างได้ดีเพียงใด กระหม่อมอยากลองทานดูบ้าง”

        จิ่นอ๋องมอบสายตาเย็นชาให้อีกครั้ง “นี่เจ้าเสพติดการทดสอบความกล้าหรือ?”

        ถังเหยียนกระแอมไอ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องกลับไปหัวข้อแรกที่คุยกันค้างไว้ “ท่านอ๋อง เฮ่อซานหลางยามนี้ถึงเหลียงโจวแล้ว นี่เป็นจดหมายที่เขาส่งมาขอรับ”

        ถังเหยียนเป็นหนึ่งในบรรดาข้าราชบริพารของจิ่นอ๋อง และเป็นหนึ่งในคนที่เขาเชื่อใจที่สุด

        จิ่นอ๋องดึงปึกจดหมายมาจากมือถังเหยียน และอ่านเพียงจดหมายที่เฮ่อฉางตี้เขียนถึงตน อีกสองฉบับส่งให้จวนจิ่งอันเก็บวางไว้ที่ด้านข้าง ประเดี๋ยวค่อยให้คนนำไปส่งจวนจิ่งอันยามเขากลับถึงจวน

        “ส่งกลุ่มคนพร้อมม้าไปให้ฉางตี้เสีย”

        ถังเหยียนพยักหน้า

        เมื่อทั้งคู่จัดการธุระเสร็จ จิ่นอ๋องก็ได้ยินเสียงสตรีห้องข้าง ๆ เตรียมตัวไปดูการแสดงที่ร้านน้ำชาเต๋อเฟิง ก่อนจะคิดได้ว่าในจดหมายนั้น เฮ่อฉางตี้ขอร้องให้เขาช่วย ‘ดูแลฉู่เหลียนเป็นพิเศษ’ จิ่นอ๋องและถังเหยียนจึงลุกขึ้นเตรียมแอบตามเด็กสาวทั้งสองไปร้านน้ำชาเต๋อเฟิง

        ที่จริงและ ขณะเฮ่อฉางตี้เขียนคำว่า ‘ดูแลเป็นพิเศษ’ นั้น เขากำลังกัดฟันกรอด ๆ ด้วยความโมโหเต็มอก พู่กันถึงกับสั่นไหวเหมือนอารมณ์ที่ไม่คงที่ และแทบจะลมจับด้วยความโมโห แต่ใครจะรู้เล่าว่าบางทีจิ่นอ๋องอาจสัมผัสได้ถึงความสับสนและโมโหในใจเหล่านั้น?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+