ยามดอกวสันต์ผลิบาน 111 เข้าดำรงตำแหน่ง

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 111 เข้าดำรงตำแหน่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้าไม่ไปจริงๆ หรือ!” โจวเจิ้นหยอกเย้าบุตรสาวคนเล็ก

 

 

“ไม่ไปจริงๆ เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นยืนยันหนักแน่น “ท่านพาพี่สาวไปเถิดเจ้าค่ะ!”

 

 

จริงๆ แล้วโจวชูจิ่นอยากไปอยู่บ้าง แต่พอโจวเสาจิ่นไม่ไป นางจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจไม่ไปด้วยเช่นกัน

 

 

“ท่านพี่” โจวเสาจิ่นพยายามโน้มน้าวให้โจวชูจิ่นออกไปเดินเล่นดูสักหน่อย “ไม่ง่ายเลยกว่าที่ท่านพ่อจะได้กลับมาหนหนึ่ง ต่อไปคงไม่อาจมีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว ข้าไม่ชอบออกจากบ้านไปที่ไกลขนาดนั้นจริงๆ ท่านออกไปเที่ยวกับท่านพ่อให้สนุกเถิดนะเจ้าคะ! หากท่านไม่วางใจ ข้าจะไปพูดกับท่านพ่อให้พาฮูหยินไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ท่านคงจะวางใจลงได้แล้วใช่หรือไม่”

 

 

“ไปกับนางมีอะไรให้เล่นสนุกได้หรือ” โจวชูจิ่นกระซิบกล่าว

 

 

“นางกำลังตั้งครรภ์ ย่อมไม่สามารถเดินตามท่านพ่อได้เป็นแน่ เวลาที่นางพักผ่อนอยู่ในห้อง ท่านก็ตามท่านพ่อไปดูนั่นดูนี่ ท่านเองก็จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับข้าด้วย” โจวเสาจิ่นช่วยโจวชูจิ่นจัดเตรียมข้าวของสำหรับออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง โจวชูจิ่นทานคำรบเร้าของนางไม่ไหว บวกกับในใจก็ปรารถนาอยากออกไปข้างนอกกับบิดาด้วยจริงๆ ดังนั้นจึงพาหลี่ซื่อไปด้วย นางกำชับย้ำกับโจวเสาจิ่นกว่าพันรอบ ถึงได้วางใจและขึ้นรถม้าไป

 

 

โจวเสาจิ่นหันไปโบกไม้โบกมือให้พี่สาวอย่างกระฉับกระเฉง กระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวออกจากประตูใหญ่ไปแล้ว นางถึงได้หมุนตัวกลับเข้าบ้านไป

 

 

ชุนหว่านเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนู พวกเราจะทำงานเย็บปักอยู่ในบ้านจริงๆ หรือเจ้าคะ”

 

 

“ย่อมเป็นเช่นนั้นจริงๆ!” โจวเสาจิ่นเย้าหยอกชุนหว่าน นำกระดาษออกมากางลงบนโต๊ะหนังสือ

 

 

นางรับปากว่าจะร่างแบบสำหรับผ้าคลุมเด็กทารกให้กับบุตรที่ยังไม่เกิดของเฉิงเซียว คำนวณเวลาแล้ว อีกหนึ่งเดือนเฉิงเซียวก็น่าจะครบกำหนดคลอดแล้ว นางเองก็ต้องเร่งมือร่างแบบออกมาให้เร็วหน่อย คนจากโรงตัดเย็บก็จะได้เริ่มงานเย็บปักได้เร็วขึ้นด้วย

 

 

ชุนหว่านค่อนข้างจะไม่เชื่อ แต่โจวเสาจิ่นกลับนั่งอยู่ในบ้านโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลาจุดโคมไฟ โจวชูจิ่นก็กลับมาพร้อมกับโจวเจิ้น นางถึงได้บีบนวดหัวไหล่แล้ววางพู่กันลง

 

 

โจวเจิ้นพาโจวชูจิ่นไปวัดจีหมิงที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตีนเขาจีหมิงมา

 

 

“งดงามตระการตายิ่งนัก!” เห็นได้ชัดว่าโจวชูจิ่นค่อนข้างมีความสุข “ว่ากันว่ากว้างใหญ่กว่าวัดเป้าเอินเสียอีก…เจ้าเองก็ควรจะไปดูสักครั้ง…ข้ายังได้เห็นพระพุทธรูปกวนอิมองค์ที่ประทับหันหน้าไปทางทิศเหนือองค์นั้นด้วย โคลงสองบรรทัดบนแท่นวางพระพุทธรูปเขียนเอาไว้ว่า  ถามองค์พระโพธิสัตว์ว่าเหตุใดถึงนั่งกลับหัว ยกย่องสรรพสัตว์ที่ไม่ยอมกลับหัว …ท่านลุงที่ไปกับท่านพ่อด้วยกล่าวว่า นอกจากวัดจีหมิงแล้ว ก็มีเพียงวัดหลงซิ่งที่เจิ้งติ้งเท่านั้นที่มีพระพุทธรูปขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่หนึ่งองค์ที่คล้ายๆ กับองค์นี้…”

 

 

นางเล่าประสบการณ์ที่พบเห็นตอนไปเขาจีหมิงให้น้องสาวฟัง

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ ขณะฟัง รู้สึกว่าวันนี้ตนก็ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่บ้างเหมือนกัน กล่าวคือ นางร่างภาพเด็กน้อยวิ่งเล่นสำหรับทำผ้าคลุมเด็กทารกให้บุตรของเฉิงเซียวเสร็จแล้ว รอกลับไปก็สามารถนำไปมอบให้หยวนซื่อได้แล้ว

 

 

หลี่ซื่อกลับไม่ค่อยรื่นเริงนัก

 

 

โจวเจิ้นและผู้อื่นต่อบทกลอน ชื่นชมความงามของทิวทัศน์กัน แต่นางกลับทำได้เพียงนั่งรออยู่ในห้องข้างภายในวัดเท่านั้น

 

 

เป็นโจวชูจิ่นที่สามารถติดตามออกไปดูนั่นดูนี่ทั่วทุกที่

 

 

ยังดีที่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาโจวเจิ้นก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวกับสหายอีก มีแต่พาหลี่ซื่อ โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นออกไปเยี่ยมเยียนสหายบางคนแทนเท่านั้น

 

 

โจวเสาจิ่นถึงได้รู้ว่าบิดามีสหายสนิทอยู่ในเมืองจินหลิงเป็นจำนวนไม่น้อยเลย

 

 

เป็นเช่นนี้อยู่ไม่กี่วันก็ถึงวันที่หก

 

 

ลำดับแรกโจวเจิ้นไปกล่าวอำลาที่ซอยจิ่วหรูก่อน ตอนเที่ยงนั่งล้อมวงทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวหนึ่งมื้อ จากนั้นช่วงบ่ายก็เริ่มจัดเก็บข้าวของ

 

 

โจวเสาจิ่นมองไปที่ต้นซีฝู่ไห่ถัง[1]ที่อยู่บริเวณหน้าบันไดที่มารดาปลูกขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างฝืนใจ

 

 

ในใจของโจวชูจิ่นเองก็เต็มไปด้วยความเศร้าที่ต้องแยกจากกัน นางโอบไหล่ของน้องสาวเอาไว้ มองตามสายตาของน้องสาวไปที่กิ่งก้านและใบที่อุดมสมบูรณ์ของต้นซีฝู่ไห่ถังต้นนั้น นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน

 

 

ตกกลางคืน โจวเจิ้นเรียกบุตรสาวทั้งสองคนไปที่ห้องหนังสือ ปรารถนาจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่เมื่อมองบุตรสาวคนโตที่รู้ความและบุตรสาวคนเล็กที่เชื่อฟังแล้ว กลับไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี จึงชงชาด้วยตัวเองกาหนึ่ง จากนั้นชวนโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นชิมชาด้วยกัน

 

 

ในวันที่เจ็ดวันนั้นฟ้ายังไม่ทันได้สว่าง โคมไฟที่บ้านตระกูลโจวก็ถูกจุดขึ้นอย่างสว่างไสวแล้ว

 

 

หลี่ฉางกุ้ยสั่งการป้ารับใช้และบ่าวชายเคลื่อนย้ายสัมภาระของโจวเจิ้นสองสามีภรรยา หม่าฟู่ซานตรวจตราความเรียบร้อยของรถม้าให้โจวเจิ้นอยู่ในโรงม้า ส่วนภรรยาของหม่าฟู่ซานช่วยโจวเสาจิ่นสองพี่น้องเก็บข้าวของ

 

 

อาหารต่างๆ สำหรับเดินทางได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว กระทั่งโจวเจิ้นรับมื้อเช้าเสร็จ เฉิงเหมี่ยนกับเฉิงอี๋ก็มาถึง

 

 

พวกเขามาเพื่อส่งโจวเจิ้น

 

 

ทั้งสามคนคุยกันอยู่ในลานได้สักพักหนึ่ง สหายของโจวเจิ้นอีกหลายคนก็ตามมาสมทบด้วย

 

 

ทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน กระทั่งได้เวลาออกเดินทาง

 

 

รถม้าจอดรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่ หม่าฟู่ซานเข้ามาเชิญโจวเจิ้นไปขึ้นรถม้า

 

 

หลังจากที่โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นส่งหลี่ซื่อขึ้นรถม้าไปแล้ว โจวเจิ้นสนทนากับคนที่มาส่งอีกหลายประโยค จากนั้นก็ขึ้นรถม้าที่หลี่ซื่อนั่งอยู่ ส่วนเฉิงเหมี่ยนกับโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ขึ้นเกี้ยวไปส่งพวกเขาออกจากเมือง

 

 

หลังจากที่โจวเจิ้นกล่าวล่ำลาสหายหลายคนเสร็จแล้ว กำชับกับบุตรสาวทั้งสองว่า “หากมีเรื่องอะไรให้เขียนจดหมายมาบอกข้า เงินไม่พอใช้ก็ให้บอกหม่าฟู่ซาน ห้ามให้ตัวเองต้องลำบากเป็นอันขาด รอให้ข้าจัดการทางโน้นได้เข้าที่เข้าทางแล้ว หากเวลาเอื้ออำนวย พวกเจ้าก็ไปอยู่กับข้าสักพัก”

 

 

โจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

หลี่ซื่อรีบกล่าวปลอบโยนว่า “คุณหนูทั้งสองท่านอย่าร้องไห้อีกเลยหน้าจะเลอะเอาได้ รอให้ผ่านไปสักพักแล้วไปเที่ยวที่เป่าติ้งกัน”

 

 

สองพี่น้องตระกูลโจวพยักหน้า ยืนมองจนรถม้าของโจวเจิ้นและมารดาเลี้ยงค่อยๆ ไกลออกไปแล้ว ทั้งสองถึงได้กลับเข้าเมืองจินหลิงพร้อมกับเฉิงเหมี่ยน เฉิงอี๋และสหายอีกหลายคนของโจวเจิ้น

 

 

เฉิงอี๋มียศเป็นจวี่เหริน อีกทั้งยังเป็นผู้ดูแลสำนักศึกษาตระกูลเฉิง ในจินหลิงก็ถือได้ว่ามีชื่อเสียงประมาณหนึ่ง นอกจากนี้สหายของโจวเจิ้นเหล่านี้ก็เป็นผู้มีการศึกษา มีสองคนที่คุ้นเคยกับเฉิงอี๋เป็นอย่างดี ส่วนอีกหลายคนที่เหลือบางคนมีโอกาสได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งหรือบางคนก็เพียงเคยได้ยินชื่อของเฉิงอี๋มาก่อนเท่านั้น แต่เมื่อมีโจวเจิ้นเป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์ ไม่นานทุกคนต่างก็สนิทสนมกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เฉิงอี๋จึงเชิญพวกเขาไปดื่มสุรากันที่หอเจียงตง

 

 

ทุกคนจึงไม่เกรงใจอีก ต่างตอบรับอย่างชื่นมื่น

 

 

เฉิงเหมี่ยนต้องไปส่งโจวเสาจิ่นสองพี่น้องกลับซอยจิ่วหรู จึงยิ้มพลางกล่าวขออภัยพวกเขา “…ครั้งหน้าข้าจะเป็นเจ้ามือเอง”

 

 

ทุกคนต่างไม่ยินยอม คะยั้นคะยอให้เขารีบไปรีบกลับ “…พวกข้าจะรอเจ้ามาก่อนแล้วค่อยเปิดสุรา”

 

 

เฉิงเหมี่ยนไม่มีทางเลือก จึงรับปากว่าหลังจากที่ส่งสองพี่น้องตระกูลโจวเสร็จแล้วจะเร่งตามไปที่หอเจียงตง ถึงสามารถเลี่ยงออกมาได้ด้วยประการฉะนี้

 

 

โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม

 

 

เฉิงเหมี่ยนยิ้มพลางลูบศีรษะของนาง

 

 

เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียง ยังไม่ทันจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่ได้ยินข่าวคราวแล้วก็มาหาโดยมีฮูหยินใหญ่เหมี่ยนช่วยประคองเอาไว้

 

 

“ในที่สุดก็กลับมากันแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าดึงมือของสองพี่น้องขึ้นมาสำรวจซ้ายขวา กล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ฮูหยินใหม่เป็นมิตรกับผู้อื่นหรือไม่ พวกเจ้าไปอยู่ที่ตระกูลโจวคุ้นเคยหรือไม่ โดยปกติห้องครัวทำกับข้าวอะไรบ้าง วันนี้ได้ทานมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง…” ทำเสมือนกับว่าพวกนางจากไปเป็นแปดปีสิบปี หรือไม่ก็ถูกแม่เลี้ยงรังแกมาก็ไม่ปาน

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกอบอุ่นใจยิ่ง หัวเราะร่าพลางกอดแขนของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “พวกเราสบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าคิดถึงท่านยายกับท่านป้าใหญ่เป็นอย่างมากเท่านั้น”

 

 

“ดูเจ้าเด็กคนนี้ รู้จักหลอกล่อผู้อื่นแล้ว!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวยิ้มๆ มุมปากยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

ไม่แปลกใจที่ชาติก่อนฝานหลิวซื่อมักจะสอนนางให้ทำปากหวานเสียบ้าง น่าเสียดายที่ชาติก่อนนางรู้สึกว่านั่นเป็นการประจบประแจง จึงไม่สนใจฟังเลยแม้สักประโยค หลังจากที่เชื่อฟังคำพูดของฝานหลิวซื่อในชีวิตนี้แล้ว ก็เห็นว่าสามารถเย้าแหย่ให้ท่านป้าใหญ่เบิกบานใจได้จริง เมื่อท่านป้าใหญ่เบิกบานใจ คนที่รับใช้อยู่ข้างกายนางต่างก็ผ่อนคลาย บรรยากาศโดยรอบก็สดใสขึ้นมา และปฏิบัติกับพวกนางสองพี่น้องอย่างเอาใจใส่มากขึ้นตามไปด้วย

 

 

ดูแล้วบางครั้งก็ต้องทำปากให้หวานขึ้นมาสักหน่อย

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางชงชาอวิ๋นหลินให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนด้วยตัวเอง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจิบไปคำหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ไม่เลว คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันเพียงไม่กี่วัน เสาจิ่นของพวกเราชงชาเป็นแล้ว”

 

 

“เรียนมาจากท่านพ่อเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพลางกล่าว “ท่านพ่อยังให้นำกลับมาด้วยอีกหลายห่อ บอกว่าให้นำมามอบให้ท่านยาย ท่านป้าใหญ่ ท่านลุงและพวกพี่ชายเจ้าค่ะ ข้าจัดใส่ห่อเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวจะให้คนนำไปส่งให้นะเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า

 

 

เฉิงเจียเองก็มาหาด้วยเช่นกัน

 

 

“เจ้ากลับไปตั้งหลายวัน” นางต่อว่า “แต่กลับไม่ชวนข้าไปนั่งเล่นที่บ้านเจ้าบ้างเลย!”

 

 

โจวเสาจิ่นร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าติดตามท่านพ่อของข้าไปเยี่ยมเยียนผู้อื่นทุกวัน ไหนเลยจะมีเวลาชวนเจ้ามานั่งเล่นที่บ้าน! หากเจ้าอยากไปจริงๆ วันที่หนึ่งเดือนสิบข้ากับพี่สาวจะกลับไปกราบไหว้บรรพชนที่บ้าน ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยตามพวกข้าไปด้วยก็แล้วกัน”

 

 

“เจ้าต้องพูดคำไหนเป็นคำนั้นด้วย!” นางต้องการเกี่ยวก้อยสัญญากับโจวเสาจิ่น

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่นๆ ต่างหัวเราะลั่นขึ้นมา หัวเราะจนเฉิงเจียหน้าแดง

 

 

เห็นว่าพวกนางยังต้องจัดเก็บข้าวของ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงนั่งอยู่เพียงครู่เดียวแล้วก็กลับออกไป ให้พวกนางไปทานมื้อเย็นที่เรือนเจียซู่ในตอนเย็น ทั้งยังกล่าวอีกว่า “หลายเจียก็อย่าเพิ่งรีบกลับ ประเดี๋ยวก็มาด้วยกันเถิด”

 

 

เฉิงเจียตอบรับอย่างยินดี เดินไปส่งฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่ประตูพร้อมกับโจวเสาจิ่นสองพี่น้อง

 

 

โจวชูจิ่นทิ้งสัมภาระเอาไว้เกลื่อนห้องอย่างไม่สนใจ ไปเร่งพวกป้ารับใช้ให้ช่วยกันเคลื่อนย้ายดอกไม้แทน

 

 

เฉิงเจียเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “นี่คืออะไร เอามาจากเรือนตระกูลโจวหรือ พวกเจ้าคงจะอยู่ที่นี่อีกไม่นานแล้ว ต้นไม้ย้ายที่อยู่อาจทำให้ตาย ส่วนคนได้เปลี่ยนที่อยู่ทำให้มีชีวิตชีวาขึ้น เช่นนั้นจะย้ายดอกไม้มาด้วยทำไม”

 

 

ด้วยเหตุนี้ทั้งๆ ที่อยู่มานานาหลายปีขนาดนี้ แต่โจวเสาจิ่นกลับไม่เคยตกแต่งเรือนหว่านเซียงที่ตนอาศัยอยู่เลย

 

 

“เป็นดอกไม้ที่ท่านแม่ของข้าทิ้งเอาไว้ให้” ทันใดนั้นนางก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “หลังจากที่พี่สาวของข้าแต่งงานออกเรือนแล้ว จะนำไปที่ตระกูลเลี่ยวด้วย”

 

 

โจวชูจิ่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร…”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่รอให้พี่สาวได้พูดจนจบก็กล่าวตัดบทพี่สาวขึ้นมาก่อนว่า “มีอะไรที่เป็นไม่ได้กันเจ้าคะ! หากอยู่ในมือท่าน ท่านย่อมดูแลดอกไม้พวกนี้ได้ดีกว่าข้าเป็นแน่”

 

 

ถึงแม้ว่านางจะปลูกดอกไม้เก่งกว่าพี่สาว แต่พี่สาวกลับมีใจดูแลเอาใจใส่มากกว่านาง

 

 

นางจับมือของพี่สาวเอาไว้แน่น กล่าวขึ้นว่า “สำหรับเรื่องนี้ก็เอาตามนี้ก็แล้วกัน หลังจากที่ข้าแต่งงานแล้ว ดอกไม้พวกนี้ก็น่าจะสามารถแบ่งไปปลูกได้แล้ว ถึงเวลานั้นท่านพี่ก็อย่าลืมแบ่งมาให้ข้าสักสองสามกระถางก็แล้วกันนะเจ้าคะ”

 

 

“เสาจิ่น” นัยน์ตาของโจวชูจิ่นแดงเล็กน้อย

 

 

เฉิงเจียที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ “โจวเสาจิ่น เจ้านี่สุดยอดไปเลย…กล่าวถึงเรื่องแต่งงานขึ้นมาโดยที่หน้าไม่แดงเลยแม้แต่นิดเดียว!”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่กล่าวอะไร

 

 

วันรุ่งขึ้น นางหยิบใบชาสองห่อพร้อมกับภาพร่างเด็กน้อยวิ่งเล่นสำหรับทำผ้าคลุมเด็กทารกให้บุตรของเฉิงเซียวไปที่เรือนหานปี้ซาน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางให้เฝ่ยชุ่ยรับใบชาเอาไว้ แล้วถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ของนางในช่วงนี้ขึ้นมา

 

 

โจวเสาจิ่นตอบคำถามแล้วคำถามเล่าอย่างนอบน้อม

 

 

เจินจูวิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณชายใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบกล่าวขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดเขาถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ ไม่ใช่บอกว่าเดือนแปดถึงจะกลับมาหรอกหรือ”

 

 

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เจินจูกล่าวยิ้มๆ “ข้าเห็นสีหน้าของคุณชายใหญ่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูกระฉับกระเฉงยิ่งกว่าตอนจากไปอีกเจ้าค่ะ เป็นไปได้ว่าทางโน้นอาจจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็เลยกลับมาให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อยเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพนักหน้าอย่างสงสัย

 

 

โจวเสาจิ่นหลบไปที่ห้องพระ

 

 

ปี้อวี้ยกน้ำชาและของว่างมาให้นาง

 

 

เห็นบนโต๊ะของนางมีภาพวาดแผ่นหนึ่งกางเอาไว้ จึงโน้มศีรษะเข้ามาดู “นี่คือ…ภาพเด็กน้อยวิ่งเล่น วาดได้งดงามมากจริงๆ…ในมือของเด็กทุกคนต่างถือจี้หยกเอาไว้หนึ่งชิ้น…ดูเหมือนกับว่าจี้หยกนี้ยังมีลวดลายอีกด้วย…”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นลายจอมยุทธ์ได้รับการแต่งตั้ง กำลังของานรื่นเริง”

 

 

“งดงามจริงๆ เจ้าค่ะ!” ปี้อวี้กล่าวชื่นชมไปหลายประโยค

 

 

โจวเสาจิ่นถามปี้อวี้ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสนทนากับคุณชายใหญ่อยู่หรือ”

 

 

ปี้อวี้ยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

โจวเสาจิ่นรีบม้วนภาพร่างแล้วส่งให้ปี้อวี้ “เจ้าช่วยข้านำไปมอบให้ฮูหยินหยวนที ข้าจะกลับไปก่อนแล้ว” จากนั้นก็รีบออกไปจากเรือนหานปี้ซานอย่างรีบร้อนโดยไม่สนใจคำคะยั้นคะยอให้รั้งอยู่ก่อนของปี้อวี้อีก

 

 

…………………………………………………………………..

 

 

 

 

[1]  ต้นซีฝู่ไห่ถัง  (西府海棠) ต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ออกดอกคล้ายๆ กับดอกซากุระ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด