ยามดอกวสันต์ผลิบาน 385 หวาดกลัว

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 385 หวาดกลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ทั้งที่เป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไม่ยอมที่จะลองดูสักหน่อย ให้โอกาสตัวเองสักครั้งหนึ่งเลยหรือ” เฉิงฉือเอ่ยถามเสียงเบา

โจวเสาจิ่นก้มหน้าก้มตาลง ปฏิเสธคำแนะนำของเขาด้วยความเงียบ

เฉิงฉือถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง พลางลุกขึ้นยืน “ข้าเข้าใจแล้ว”

เตรียมจะกล่าวขอตัวลา

โจวเสาจิ่นดึงแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้อย่างร้อนรน

คำว่าเข้าใจแล้วของท่านน้าฉือ ที่ผ่านมาล้วนมิใช่การเห็นด้วย แต่ในใจยังคงยืนยันเช่นเดิมต่างหาก

“ข้า…ข้าไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” นางมองเขา นัยน์ตาเผยแววขอร้องออกมา “ท่านรับปากว่าจะให้ข้าถือศีลอยู่ในบ้าน ข้าจะเชื่อฟัง หากรู้สึกว่าปฏิบัติต่อไปไม่ไหว ก็จะไม่เป็นแม่ชีแล้ว”

ก่อนจะออกบวช ต้องถือศีลอยู่ที่บ้านก่อนสักสองสามปี ซึ่งก็ต้องเคร่งครัดในระเบียบปฏิบัติไม่ต่างจากคนที่จะแต่งงาน รอให้จิตใจสงบไม่รู้สึกเสียใจภายหลังได้แล้ว ถึงจะปลงผมออกบวชได้

ถึงเวลานั้นย่อมไม่อาจเสียใจภายหลังได้แล้ว

นางทราบความคิดของท่านน้าฉือดี

กลัวว่านางจะไม่รู้ถึงความยากลำบากของการออกบวชแล้วจะอดทนต่อไปไม่ได้

เฉิงฉือจะทำใจปล่อยให้นางออกบวชจริงๆ ได้อย่างไร!

เขามองเส้นผมดำเงางามนุ่มลื่นดุจเส้นไหมของนาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าก็ยังคงลูบศีรษะนางเบาๆ กล่าวเสียงค่อยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ลองถือศีลอยู่ที่บ้านไปก่อน”

โจวเสาจิ่นยิ้มออกมา

เหมือนกับดวงตะวันที่แย้มใบหน้าออกมาจากก้อนเมฆที่แตกซ่านกระเซ็น แย้มยิ้มอย่างสดใสและแพรวแพรว ภายในห้องราวกับดูสดใสตามไปด้วย

ในใจของเฉิงฉือเองก็รู้สึกเบิกบานตามขึ้นมาด้วย

เอาเถิดๆ

ก็มิใช่ว่าจะเลี้ยงดูนางไม่ได้

นางยอมถือศีลอยู่ในบ้านก็ถือศีลอยู่ในบ้านก็แล้วกัน ขอเพียงนางมีความสุขก็พอ

รอให้ถึงวันใดที่อยากแต่งงานแล้ว ค่อยหาคู่ครองดีๆ ให้นางสักคนก็ยังไม่สาย

ถึงแม้เจี้ยหยวนอายุน้อยจะไม่ได้พบเห็นได้บ่อยๆ แต่จิ้นซื่ออายุน้อยก็ใช่ว่าจะไม่มี

หากไม่ได้จริงๆ แต่งให้จวี่เหรินสักคน เขาช่วยกำกับดูแลดีๆ สักสองสามปี สอบจิ้นซื่อให้ได้ก็ได้แล้ว

เฉิงฉือถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับส่ายศีรษะ เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องกินยาแล้ว และก็ไม่ต้องแสร้งป่วยแล้วด้วย ดูเอาเถิดทำให้มารดาเลี้ยงของเจ้าตกใจแทบแย่ ต่อไปห้ามทำเสมือนกับว่าตัวเองไม่สำคัญเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่”

โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้า

รู้สึกเพียงว่าฟ้าหลังฝนนั้นไม่ว่าอะไรก็ช่างดีไปหมด

เห็นได้ชัดว่าเรื่องพวกนี้ยังไงก็ต้องไปหาท่านน้าฉือให้ช่วย!

นางไปส่งเฉิงฉือที่ประตูอย่างเบิกบานใจ

ทว่าเฉิงฉือกลับยืนนิ่งอยู่ข้างประตู กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องส่งข้าแล้ว หลี่มามาคนข้างกายของมารดาเลี้ยงของเจ้าผู้นั้นยังรออยู่ในลานบ้านเพื่อต้มยาให้เจ้าอยู่!”

โจวเสาจิ่นหน้าแดง

เฉิงฉือยิ้ม เดินออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ

แสงเรืองรองยามโพล้เพล้อาบทั่วท้องฟ้า สะท้อนแสงสีแดงทั่วทั้งลานบ้านผืนน้อย ในอากาศเจือกลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้า ยังมีดอกพุทธรักษาที่กำลังบานสะพรั่งอย่างเบิกบานนั่นอีก ทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกเงียบและสงบขึ้นมาในทันใด

เฉิงฉืออดไม่ได้หันศีรษะกลับมา

โจวเสาจิ่นกำลังยืนมองส่งเขาอยู่ที่ปากประตู

นางพิงอยู่ตรงขอบประตู มองเขาด้วยหยาดน้ำตาร่วงหล่น สีหน้าดูสิ้นหวังและเป็นทุกข์ ประหนึ่งกล้วยไม้บริสุทธิ์ที่กำลังจะสิ้นใจตายต้นหนึ่ง ที่งดงามแต่ก็เศร้าสร้อย ทว่าเมื่อมองเห็นเขาก็ยืดกายยืนตรงขึ้นมาในทันที เผยรอยยิ้มงดงามออกมา ราวกับกำลังบอกเขาว่า ข้าไม่เป็นไร ท่านไปเถิด ไม่ต้องเป็นห่วง อยู่ก็ไม่ปาน…

ทันใดนั้นหัวใจของเฉิงฉือราวกับถูกบีบอัดจนแน่นไปหมด

เขานึกถึงอาการหวาดกลัวและกระวนกระวายของนางตอนเจอนางครั้งแรกที่ศาลาซานจือ นึกถึงอากับกิริยาการวางพู่กันในมือลงอย่างระมัดระวังตอนเจอนางเป็นครั้งที่สอง นึกถึงรอยยิ้มขัดเขินของนางตอนอยู่บนเรือ นึกถึงร่างประหนึ่งลูกปักษาที่เริงร่าอยู่บนหาดทรายของแม่น้ำเฉียนถัง นึกถึงนางที่คุยใหญ่คุยโตตอนที่ดึงหมากกลับไป…เขาราวกับมองเห็นดอกไม้ดอกหนึ่ง ที่กำลังเบ่งบานอย่างเงียบๆ อยู่ในอุ้งมือของเขา แต่ก็ดูเศร้าสร้อยคล้ายจะเหี่ยวเฉาในอีกไม่ช้า

นี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการหรือ

นี่คือการปกป้องที่เขาให้นางอย่างนั้นหรือ

เฉิงฉือหมุนกาย ก้าวเท้ายาวเดินตรงไปหาโจวเสาจิ่น

สายลมเป่าผ่านใบหูของเขา เสียงชีพจรดังตุบตุบดุจตีกลอง

“เสาจิ่น!” เขาคว้าร่างอันนุ่มนิ่มของเด็กสาวผู้นั้น กดนางกับบานประตู

แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องทะลุเข้ามาทางช่องหน้าต่างลายหกเหลี่ยมที่แปะกระดาษสีขาวเอาไว้ เครื่องประดับทองบนศีรษะของนางเปล่งประกายระยิบระยับเรืองรอง

เขาครอบครองริมฝีปากของนางอย่างฮึกเหิม มือลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่แม้ยังไม่เจริญเต็มที่ทว่าก็งดงามหยดย้อยนั้นไปด้วย

โจวเสาจิ่นบื้อใบ้ไปแล้ว

ท่านน้าฉือกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

เขาทำกับตนเช่นนี้ได้อย่างไร

เหมือนกับเฉิงสวี่…

หยดน้ำตาจึงไหลลงมาเป็นสายไม่หยุด

แต่ว่าก็ไม่เหมือนกับตอนเฉิงสวี่…

ตอนเฉิงสวี่นั้น นางดิ้นรนสุดชีวิต ทั้งเตะและต่อยทุกทาง

ท่านน้าฉือกอดนางเอาไว้ นางไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

แม้กระทั่งตอนที่เขาละเลียดไปตามริมฝีปากของนาง นางก็ล้วนไม่กล้ากัดเขา…ยังมีมือของเขาอีก ที่เกือบจะสอดเข้าไปในสาบเสื้อของนางอยู่แล้ว…ฝ่ามือร้อนเป็นไฟประหนึ่งจะเผาไหม้แล้วก็ไม่ปาน แม้จะมีเสื้อผ้าขวางกั้นไว้นางก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุนั้น…ทำให้นางอับอายจนอยากจะเป็นลมล้มพับลงไปเสีย…

ท่านน้าฉือทำกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร

นางสะอื้นไห้ออกมา

ริมฝีปากชมพูดุจกลีบดอกไม้หอมหวานและบอบบางนุ่มละมุน ร่างอรชรแบบบาง โค้งเว้าเป็นภูเขาลูกคลื่น

เดิมทีเป็นเพียงความอยากลองพิสูจน์ดูสักครั้งหนึ่งเท่านั้น ทว่าเฉิงฉือกลับไม่อาจปลดปล่อยตัวเองออกจากความหลงใหลนี้ได้ อยากได้มากยิ่งขึ้นไปอีก

ริมฝีปากและฟันที่คละเคล้า นวลเนื้อที่นุ่มละมุน ทำให้เลือดลมของเขาร้อนรุ่มและเดือดพล่านคล้ายกับหินหนืดที่กำลังเดือดปุดปุด…กระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ คล้ายเสียงทารกของโจวเสาจิ่น เขาถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา

ตนหลงเข้าไปติดกับแล้วจริงๆ!

เฉิงฉือยิ้มอย่างขมเฝื่อน ค่อยๆ ปล่อยโจวเสาจิ่นอย่างช้าๆ

นัยน์ตาดำที่เปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำตาของนาง ดูชุ่มชื้นแวววาวคล้ายกับหินอัคนีสีนิล ริมฝีปากที่ผ่านการจูบมานั้นบวมแดงเล็กน้อย ดูประหนึ่งดอกไม้บานเต็มที่

ร่างกายของเขาเริ่มเรียกร้องขึ้นมาอีกครั้ง

เฉิงฉือหัวเราะกับตัวเอง เอ่ยถามนางเสียงนุ่มว่า “กลัวหรือไม่”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าโดยไม่ลังเล

นางไม่อยากให้ท่านน้าฉือกลายเป็นเช่นนี้ นางอยากให้ท่านน้าฉือเป็นเหมือนเมื่อก่อน ที่ดูเหมือนจะทนไม่ได้ทว่าก็ยังคงหัวเราะขบขันนาง ที่ดูเหมือนว่าโกรธมากทว่าก็ยังคงอดทนเหน็บแหนมเย้าหยอกนาง ฟังนางพูดและพูดคุยหัวเราะกับนาง…นางไม่อยากให้ตัวเองและท่านน้าฉือเปลี่ยนเป็นเช่นนี้

“แต่ถ้าหากข้าชื่นชอบเล่า” เฉิงฉือถามนางเสียงต่ำ มองนางด้วยสายตาเร่าร้อนประหนึ่งแสงอาทิตย์ในฤดูร้อน

นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

แน่นอนว่าย่อมปฏิบัติกับเขาไม่เหมือนกับที่ทำกับเฉิงสวี่

แต่นางก็ไม่อยากให้เขาทำเช่นนี้กับตน

จะทำอย่างไรดี

โจวเสาจิ่นต่อสู้กับตัวเองอยู่ในใจ ร้อนใจจนมือบิดเข้าหากัน

“ช่างเป็นเด็กโง่ผู้หนึ่งจริงๆ” เฉิงฉือยิ้ม ประคองดวงหน้าของนางเอาไว้ โฉบลงไปครอบครองริมฝีปากของนางอีกครั้ง

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้าง

มิใช่ว่านางบอกไปแล้วว่านางกลัวหรอกหรือ เหตุใดท่านน้าฉือยังจะทำเช่นนี้กับนางอยู่อีก

หยาดน้ำตาของโจวเสาจิ่นไหลลงมาอีกครั้ง

“ไม่อนุญาตให้ร้องไห้!” น้ำเสียงของเฉิงฉือทั้งอบอุ่นและเจือความหนักแน่นอย่างไม่ยอมให้ขัดขืนเอาไว้

โจวเสาจิ่นตกใจรีบหยุดร้องไห้

นางกลัวว่าจะทำให้เฉิงฉือเดือดดาล จะดีร้ายตอนนี้เฉิงฉือก็เพียงประคองดวงหน้าของนางเอาไว้เท่านั้น ถ้าหากเขาเกิดโมโหขึ้นมา ไม่สนใจอะไรอีก แล้วสอดมือเข้ามาในสาบเสื้อของนางเหมือนเมื่อครู่นี้ล่ะก็…นางต้องอับอายจนจะตายให้ได้เป็นแน่แล้ว!

เฉิงฉือถอนหายใจไม่หยุด

เด็กโง่ผู้นี้ เวลานี้มิใช่ว่าควรจะเตะเขาให้แรงหรือไม่ก็ต่อยตีเขาอย่างสุดชีวิตหรอกหรือ เขาไม่ให้นางร้องไห้ นางก็อดทนเอาไว้ไม่ร้องไห้แล้วจริงๆ!

เฉิงฉืออดไม่ได้ก้มหน้าลงแนบหน้าผากของตัวเองเข้ากับหน้าผากของนาง กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ข้าดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

ดีถึงขั้นที่นางไม่ให้โอกาสซ่งมู่เลยแม้แต่นิดเดียว!

ดีถึงขั้นที่นางไม่ชอบคนที่เติบโตมาด้วยกันอย่างเฉิงอี้และไม่ชอบคนที่ทั้งอายุน้อยและหล่อเหลาอย่างซ่งมู่!

ดีถึงขั้นที่นางยอมรับการเอาเปรียบจากเขาโดยที่ไม่กล้าผลักเขาออก!

“อะไรหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าว ไม่เข้าใจที่เขาเอ่ยมา

มุมปากของเฉิงฉือค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นมา กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ในอ้อมแขน กอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ให้แน่นจนแนบอยู่ในอ้อมกอด เป็นการกอดที่ราวกับต้องการจะรีดนางให้แบนแนบเข้าไปอยู่ในร่างกายของตน กระซิบกล่าวที่ข้างหูของนางว่า “ข้าดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

***

ลำแสงโพล้เพล้ค่อยๆ เลือนหายไป

เฉิงฉือนั่งสนทนากับโจวชูจิ่นอยู่ในห้องโถง “…กวนเกอน่าจะครบหนึ่งร้อยวันในวันที่ยี่สิบสองเดือนห้ากระมัง ฮูหยินใหญ่เลี่ยวจะมาถึงจิงเฉิงเมื่อใดหรือ เมื่อนางมาถึงแล้ว ญาติพี่น้องของตระกูลเลี่ยวคงจะมาเยี่ยมนางเป็นแน่ ถึงเวลานั้นเกรงว่าการที่ฮูหยินและเสาจิ่นพักอยู่ที่นี่คงไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไรนัก ข้าว่ามิสู้ให้พวกนางย้ายไปที่บ้านของข้า ข้ามีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ที่ประตูเฉาหยาง ข้าจะย้ายไปอยู่ที่ประตูเฉาหยางแทน เวลาคนตระกูลเลี่ยวมาเยี่ยมเยียนก็จะได้น่าดูกว่า ถ้าหากฮูหยินต้องการดูแลเจ้า ก็ให้นั่งเกี้ยวมาหาทุกวันก็ได้แล้ว เจ้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว อยู่บ้านเดิมให้เกียรติบ้านสามี อยู่บ้านสามีก็ต้องให้เกียรติบ้านเดิมถึงจะถูก!”

ความหมายโดยนัยก็คือ ตระกูลโจวมิใช่ตระกูลยากจนต่ำต้อย ต่อให้เป็นฮูหยินและน้องสาวที่มาดูแลนาง ก็ควรจะพักอยู่ที่บ้านของตัวเอง กินข้าวของบ้านตัวเอง ไม่ควรจะต้องมาอาศัยเรื่องเล็กน้อยของตระกูลเลี่ยว

คำพูดประโยคนี้ช่างกล่าวได้ตรงกับสิ่งที่โจวชูจิ่นคิดอยู่ในใจ

หลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นเดินทางไกลมาดูแลนางตอนอยู่เดือน สำหรับผู้อื่นผู้อื่นล้วนรู้สึกซาบซึ้งจนขอบคุณอย่างไรก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นการที่หลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นอาศัยอยู่ที่ซอยอวี๋ซู่ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว แต่ถ้าหากมองจากตระกูลเลี่ยวแล้ว จะต้องมีการพูดดูถูกดูแคลนว่าตระกูลโจวของพวกนางช่างตื้นเขิน ปากบอกว่าเข้าเมืองหลวงมาดูแลนางตอนอยู่เดือน ทว่าของที่กินกลับเป็นของตระกูลเลี่ยว บ้านที่พักอยู่ก็เป็นของตระกูลเลี่ยว ยังมีค่ากินค่าอยู่ของบ่าวไพร่อีก ก็เพียงเป็นการพูดเอาหน้าเท่านั้น

นางหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างอับอายว่า “ท่านน้าฉือ ทำให้ท่านต้องเห็นเรื่องน่าอับอายแล้วเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือสีหน้าสงบ เอ่ยว่า “เรื่องงานแต่งของเจ้าเป็นพี่ใหญ่ของข้าที่ทาบทามให้ หากกล่าวว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย เช่นนั้นก็เป็นความผิดของพี่ใหญ่ของข้า คำพูดเช่นนี้จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงแล้ว ข้าว่าช่วงนี้เจ้าเลือกวันมาสักวันหนึ่ง แล้วให้ฮูหยินและเสาจิ่นย้ายออกไป ข้าพิจารณาดูแล้วฮูหยินใหญ่เลี่ยวน่าจะเร่งเดินทางมาถึงจิงเฉิงให้ทันฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ในเมื่อตัดสินใจว่าจะย้ายออกไปแล้ว ก็หลีกเลี่ยงการพานพบกับฮูหยินใหญ่เลี่ยวเสียจะดีกว่า”

โจวชูจิ่นเองก็คิดว่าแม่สามีของนางน่าจะเร่งเดินทางมาถึงจิงเฉิงให้ทันฉลองเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างเช่นกัน หลายวันมานี้นางกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะนำเอาเรือนปีกตะวันตกที่ใช้เป็นห้องเก็บของนั้นออกมาจัดให้แม่สามีพัก

“เช่นนั้นก็รบกวนท่านน้าฉือแล้วเจ้าค่ะ!” นางเป็นสตรีที่เด็ดขาดผู้หนึ่ง บอกว่าทำก็คือทำ รีบสั่งให้สาวใช้เด็กนำปฏิทินเข้ามาให้ในทันที เลือกวันที่แปดเดือนสี่เป็นวันย้ายออก

เฉิงฉือกลับกล่าวขึ้นว่า “วันที่แปดเดือนสี่เป็นวันสรงน้ำองค์พระโพธิสัตว์ เสาจิ่นน่าจะต้องจุดธูปไหว้พระ เลือกวันอื่นก่อนหน้านี้สักหน่อยจะดีกว่า”

โจวชูจิ่นอดหัวเราะออกมาไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ไม่แปลกที่เสาจิ่นจะชื่นชอบท่านน้าฉือมากที่สุด!”

คนที่มากประสบการณ์อย่างเฉิงฉือ ได้ยินถ้อยคำเช่นนี้ก็หูแดงก่ำไปหมดอย่างช่วยไม่ได้

ทั้งสองคนเลือกวันที่หกเดือนสี่เป็นวันย้ายบ้าน

หลี่ซื่อรอพบเฉิงฉืออยู่ด้านนอก

นี่ช่างตรงกับที่กล่าวว่ามาได้เร็วมิสู้มาได้ถูกจังหวะ

ทั้งสองคนเชิญหลี่ซื่อเข้ามาสนทนากันในห้องโถง

ในมือของหลี่ซื่อยังคงถือเทียบยาที่ท่านหมอหลวงเขียนให้เอาไว้ เอ่ยขึ้นอย่างหนักใจว่า “เหตุใดถึงบอกว่าไม่ต้องต้มยาแล้วหรือ มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นใช่หรือไม่ ทางด้านของนายท่าน ต้องส่งจดหมายไปแจ้งสักฉบับหรือไม่”

โจวชูจิ่นและเฉิงฉือนั้นผู้หนึ่งลุกขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย ส่วนอีกผู้หนึ่งก็นั่งกระแอมไอเบาๆ ให้ลำคอโล่งอย่างอยู่ไม่สุข แต่โจวชูจิ่นยิ่งแล้วใหญ่ผลักเรื่องนี้ไปให้เฉิงฉืออย่างไม่ลังเล เอ่ยขึ้นว่า “เป็นความคิดของท่านน้าฉือ เขาอยากให้พวกท่านย้ายออกไปในช่วงวันสองวันนี้…”

นางเล่าแผนการของเฉิงฉือให้หลี่ซื่อฟัง

แม้หลี่ซื่อจะรู้สึกว่าการต้องนั่งเกี้ยวมาที่นี่ทุกวันจะไม่สะดวกนัก แต่เรื่องที่แยกกันอยู่กับฮูหยินใหญ่เลี่ยวได้ก็เป็นเรื่องที่ดียิ่ง จึงตอบตกลงยิ้มๆ

เฉิงฉือกลับยังกังวลเรื่องเทียบยาที่อยู่ในมือหลี่ซื่อ กล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ลืมบอกท่านไป หมอหลวงเฉาคิดว่าเสาจิ่นเพียงหงุดง่ายเกินไปเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เป็นข้าที่รู้สึกว่ายานั้นสามในสิบส่วนก็คือพิษทั้งนั้น หากไม่กินได้ก็ไม่ต้องกินจะดีที่สุด จึงปรึกษากับต้ากูไหน่ไนว่าให้เสาจิ่นหยุดยาสักสองสามวันก่อน ดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากันอีกที”

หลี่ซื่อคิดว่าในเมื่อคนเป็นจิ้นซื่อขั้นสองอย่างเฉิงฉือผู้นี้กล่าวเช่นนี้ และโจวชูจิ่นเองก็เห็นดีด้วยแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว จึงไม่กล่าวอะไรอีก เพียงกำชับให้หลี่มามานำเทียบยาไปเก็บให้ดี หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าเวลาต้องใช้ขึ้นมากลับหาไม่เจอเสียแล้ว แล้วเริ่มหารือกับโจวชูจิ่นเรื่องย้ายไปอยู่ซอยอวี๋เฉียน

……………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด