ยามดอกวสันต์ผลิบาน 84 ทำความรู้จัก

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 84 ทำความรู้จัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กงมามากระแอมไอเสียงหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

อาจูพลันหมดความอดทนขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เป็นเพราะข้าเกิดมาในจวนของเหลียงกั๋วกง จึงไม่สามารถผูกมิตรกับใครเลยอย่างนั้นหรือ”

 

 

กงมามารู้สึกลำบากใจ

 

 

โจวเสาจิ่นเข้าใจเรื่องราวได้ในทันใด

 

 

ไม่แปลกใจที่นางจะแสดงออกได้อย่างมั่นใจและใจกว้าง ที่แท้ก็เป็นคุณหนูใหญ่จากจวนของเหลียงกั๋วกงนี่เอง

 

 

หากว่านางจำไม่ผิด เหลียงกั๋วกงไม่มีอนุ มีเพียงบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวหนึ่งคน ทั้งหมดล้วนเกิดจากภรรยาเอก บุตรชายน่าจะเป็นจูคุณ หรือจูเผิงจวี่ผู้นั้น ส่วนบุตรสาวก็น่าจะเป็นจูจูผู้นี้

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “น้อยครั้งนักที่จะพบเห็นคนใช้แซ่มาตั้งเป็นชื่อด้วย”

 

 

อาจูหัวเราะร่า พลางกล่าว “เดิมทีข้าชื่อ จู ที่มาจากคำว่าเจินจูของไข่มุก ต่อมาข้าเห็นว่าชื่อนี้ไม่ค่อยดีนัก จึงเปลี่ยนเป็น จู ที่มาจากคำว่าจูหงของสีแดงเลือดหมู ซึ่งฟังแล้วไพเราะกว่า จู ที่มาจากคำว่าเจินจูใช่หรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้า “ช่างมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก”

 

 

“ข้าก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน!” อาจูกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ไม่เอ่ยถึงเรื่องของการมาเป็นแขกที่จวนอีก ทำให้โจวเสาจิ่นถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกออกมาลมหายใจหนึ่ง

 

 

มีบ่าวรับใช้ผ่านมา พอเห็นพวกนางก็ร้อง ไอ้โหยว ออกมาเสียงหนึ่ง พลางกล่าว “คุณหนูสิบเจ็ด นายหญิงผู้เฒ่ากำลังตามหาพวกท่านอยู่เจ้าค่ะ!”

 

 

“หาพวกข้าหรือ” โจวเสาจิ่นชี้ที่หน้าอกของตนเอง

 

 

บ่าวรับใช้พยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวว่า ทางด้านโน้นนางมีสามคนแล้วแต่ยังขาดอีกหนึ่ง จึงให้ข้าตามหาคุณหนูตระกูลโจวทั้งสองท่าน หรือไม่ก็ตามหาคุณหนูอาจู…”

 

 

ทั้งหมดต่างก็ตาเบิกโพรงอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

 

 

คุณหนูสิบเจ็ดเอ่ยถามบ่าวรับใช้ผู้นั้นว่า “เป็นไพ่หม่าเตี้ยวหรือไพ่ไม้ไผ่หรือ”

 

 

บ่าวรับใช้ผู้นั้นเอ่ยตอบยิ้มๆ ว่า “ไพ่ไม้ไผ่เจ้าค่ะ”

 

 

คุณหนูสิบเจ็ดเอ่ยถามสองพี่น้องตระกูลโจวว่า “พวกเจ้าเล่นเป็นหรือไม่” จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าเล่นไม่เป็น เมื่อก่อนล้วนเป็นพี่สิบหกของข้าที่เล่นเป็นเพื่อนนายหญิงผู้เฒ่า”

 

 

“ข้าก็ไม่ได้เหมือนกัน!” อาจูโพล่งขึ้นมา “ข้านั่งนิ่งๆ ไม่ได้…”

 

 

โจวเสาจิ่นนั้นเล่นไม่เป็น

 

 

จากความทรงจำของนางแล้ว พี่สาวเล่นเป็น

 

 

นางหวังให้พี่สาวสามารถคว้าโอกาสครั้งนี้ สร้างความประทับใจต่อนายหญิงผู้เฒ่าสักเล็กน้อย ต่อไปจะได้มีเรื่องให้พูดคุยกับคุณหนูสิบห้าของตระกูลกู้ผู้นั้นได้ง่ายในภายภาคหน้า

 

 

โจวเสาจิ่นหันมองไปที่พี่สาว

 

 

โจวชูจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ไอ้ครั้นจะว่าเล่นเป็นข้าก็พอจะเล่นได้ เพียงแต่ว่าเล่นได้ไม่ค่อยดีนัก…”

 

 

คุณหนูสิบเจ็ดและอาจูต่างก็ราวกับได้ปลดปล่อยภาระอันหนักอึ้งลง คุณหนูสิบเจ็ดถึงขั้นดึงมือโจวชูจิ่นเอาไว้แล้วออกเดิน “ไม่เป็นถึงจะดี…หากเล่นไม่เป็นเจ้าก็สามารถแพ้ได้…นายหญิงผู้เฒ่าของพวกข้านั้น เฮ้อ ฝีมือดียิ่งนัก…หากเจ้าเอาชนะนางได้ นางจะไม่พอใจ แต่หากเจ้าแสร้งทำเป็นยอมแพ้นาง แล้วเกิดถูกนางจับได้ขึ้นมา ก็ยังจะไม่พอใจอีก…เล่นไม่เป็น นับว่าพอดีเลย!”

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจ ให้บ่าวรับใช้ผู้นั้นส่งคนไปแจ้งหยวนซื่อกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน จากนั้นถึงค่อยติดตามโจวชูจิ่นและคนอื่นๆ ไปหานายหญิงผู้เฒ่า

 

 

อาจูแอบอยู่ตรงประตูไม่ยอมเข้าไปด้านใน

 

 

นางกล่าวกับโจวเสาจิ่นและคุณหนูสิบเจ็ดว่า “ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่…อีกสักพักพวกเราค่อยไปจับผีเสื้อในสวนดอกไม้ก็แล้วกัน”

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

อาจูกล่าวอย่างขัดเขินขึ้นว่า “ทุกครั้งที่นายหญิงผู้เฒ่าเจอข้าก็มักจะให้ข้าเล่นไพ่เป็นเพื่อนนาง…”

 

 

ถึงแม้ว่าเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน โจวเสาจิ่นก็พอจะมองออกว่า อาจูเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยกระฉับกระเฉิงผู้หนึ่ง ตามวัยของนางแล้ว ให้นางอยู่เล่นไพ่เป็นเพื่อนผู้อาวุโส ย่อมต้องรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน

 

 

โจวเสาจิ่นและพี่สาวหัวเราะขึ้นมาอย่างเข้าใจดี แล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับคุณหนูสิบเจ็ด

 

 

โต๊ะสำรับไพ่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้ว นายหญิงผู้เฒ่ากำลังนั่งพลิกไพ่เล่นอยู่คนเดียวที่หน้าโต๊ะไพ่ที่ปูเอาไว้ด้วยผ้าสักหลาดสีแดง เมื่อเห็นพวกนางเดินเข้ามา ก็ดีใจเป็นอย่างมาก เอ่ยกับฮูหยินที่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหูโจวสีเทาและกระโปรงจีบสีขาวผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายว่า “เจ้าไปได้ ตอนนี้ข้ามีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว…” จากนั้นหันไปยิ้มตาหยีให้โจวเสาจิ่นพลางกวักมือเรียก “หลานรอง มานั่งข้างๆ ข้าตรงนี้”

 

 

โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “นายหญิงผู้เฒ่า ข้าเล่นไพ่ไม่เป็นเจ้าค่ะ! พี่สาวของข้าจะเล่นเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ!”

 

 

“เช่นนั้นหรือ!” นายหญิงผู้เฒ่าค่อนข้างจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่ไม่นานก็ยินดีขึ้นมาอีกครั้ง แล้วให้ฮูหยินผู้นั้นกับโจวชูจิ่น “พวกเจ้าทุกคนก็นั่งลงเถอะ พวกเราอาศัยตอนที่พวกนางกำลังฟังคำสอนอยู่นี้เล่นอีกสักสองสามตา เดี๋ยวพอการแสดงจบลง พวกเจ้าทั้งหมดต่างก็ต้องกลับไปกันแล้ว”

 

 

ทั้งสองคนต่างก็ยิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” จากกนั้นก็นั่งลง

 

 

มีสาวใช้อีกผู้หนึ่งยกม้านั่งเข้าให้มาให้โจวเสาจิ่นกับคุณหนูสิบเจ็ด

 

 

ส่วนผู้เล่นไพ่อีกคนหนึ่งเป็นสาวใช้ผู้หนึ่ง ดูแล้วอายุน่าจะประมาณยี่สิบกว่าปีแล้ว คุณหนูสิบเจ็ดลอบกระซิบบอกนางว่า “นี่คือสาวใช้ข้างกายของท่านย่าทวดของข้า”

 

 

โจวเสาจิ่นก็คาดเดาเอาไว้เช่นนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจมานั่งเล่นไพ่เป็นเพื่อนนายหญิงผู้เฒ่าได้

 

 

เหมียวมามานั่งอยู่ด้านหลังของนายหญิงผู้เฒ่าช่วยนายหญิงผู้เฒ่าดูไพ่

 

 

คุณหนูสิบเจ็ดชี้ไปที่ฮูหยินผู้นั้นและกระซิบข้างหูของโจวเสาจิ่นว่า “…คือท่านอาของข้า อาวุโสเป็นลำดับที่สิบสาม หลังจากที่ท่านอาเขยเสียชีวิต ท่านย่าทวดของข้าก็รับท่านอาสิบสามกลับมา พวกเราพี่น้องล้วนเรียนหนังสือกับนาง”

 

 

เป็นเลี่ยวจางอิงอีกผู้หนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นถอนหายใจอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้

 

 

ทันใดนั้นนายหญิงผู้เฒ่าที่กำลังเล่นไพ่อยู่ก็กล่าวกับโจวชูจิ่นขึ้นมาว่า “คุณชายสี่เพิ่งจะมาเมื่อสักครู่นี้เอง พวกเจ้ารู้เรื่องหรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้ได้ในทันทีว่าคนที่นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวถึงนั้นคือเฉิงฉือ ส่วนโจวชูจิ่นนั้นผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เข้าใจ จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “พวกข้าดูคุณหนูสิบหกปักปิ่นอยู่ด้านหน้า จึงไม่ทราบว่าท่านน้าฉือเข้ามาแล้ว เขามาด้วยเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ยิ้มจนตาหยี พลางกล่าว “เขาได้ยินคำพูดเพ้อเจ้อของข้า แล้วก็คิดเอาใจใส่ ช่วยหาคู่สมรสหลังความตายให้เหนียงที่สิบเก้าของพวกข้า…”

 

 

ท่านน้าฉือ…แนะนำคู่สมรสหลังความตายให้ผู้อื่น…

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนเองเกือบจะทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่

 

 

โจวชูจิ่นยิ่งแล้วใหญ่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก

 

 

พี่น้องทั้งสองอดไม่ได้ที่จะแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่ากลับไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องพวกนี้ ยังคงกล่าวต่อไปว่า “อีกฝ่ายก็เป็นผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง เสียชีวิตตอนอายุได้สิบเก้า ทางบ้านค่อนข้างมีฐานะ ยังวางแผนที่จะรับบุตรชายบุญธรรมผู้หนึ่งมาจุดธูปให้พวกเขา…”

 

 

ท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างมาก

 

 

พี่น้องตระกูลโจวไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้เลยแม้สักประโยค

 

 

เหนียงที่สิบสามตระกูลกู้จึงกล่าวเสียงอ่อนโยนขึ้นมาว่า “ทุกครั้งที่ท่านย่าได้พบกับน้าของพวกเจ้าก็มักจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา…เนื่องจากนางชรามากแล้ว พวกข้าก็ได้แต่ปล่อยให้นางได้ทำในสิ่งที่ทำให้นางมีความสุข”

 

 

โจวเสาจิ่นแสดงออกว่าเข้าใจเป็นอย่างดี

 

 

แต่การที่ท่านน้าฉือช่วยทำเรื่องเช่นนี้…ไม่ว่าอย่างไรนางก็รู้สึกราวกับว่าจะไม่สบายเสียให้ได้

 

 

อาจูหันมากวักมือเรียกพวกนางอยู่ด้านนอกหน้าต่าง

 

 

โจวเสาจิ่นกับคุณหนูสิบเจ็ดนั่งต่ออีกพักหนึ่ง ก็หาข้ออ้างหลบออกมา

 

 

อาจูหัวเราะคิกพลางกล่าว “พวกเราไปที่สวนดอกไม้กันเถอะ”

 

 

วันนี้มีแขกมาที่ตระกูลกู้เป็นจำนวนมาก หนึ่งในจำนวนนี้ยังมีอู๋เป่าจางอยู่ด้วย ทำให้นางรู้สึกต้องระแวดระวังอยู่ในใจ อีกทั้งยังมีคนที่แสดงออกว่าต้องการเป็นมิตรอย่างคุณหนูซุนเช่นนั้นอีก หากไปที่สวนดอกไม้ ใครจะรู้ว่าจะได้พบกับผู้ใดอีกบ้าง

 

 

นางจึงกล่าวว่า “ไม่สู้พวกเรานั่งคุยกันอยู่ในลานนี้น่าจะดีกว่า?”

 

 

เช่นนี้เวลาพี่สาวต้องการตามหานางก็จะได้ไม่ต้องลำบาก

 

 

เพียงแค่มองก็ทราบได้ว่าอาจูเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นด้วยสักเท่าไหร่ ขอเพียงมีคนอยู่เป็นเพื่อนด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ดีทั้งนั้น

 

 

นางรีบตอบรับในทันที

 

 

โจวเสาจิ่นจึงหันไปมองที่คุณหนูสิบเจ็ด

 

 

ลักษณะนิสัยของคุณหนูสิบเจ็ดก็เป็นคนสบายๆ ยิ่งนัก จึงยิ้มพลางขานรับในทันทีว่า “ได้สิ! เช่นนั้นข้าจะให้พวกสาวใช้ยกเก้าอี้ไม้ไผ่เข้ามาให้พวกเรา ต้มน้ำชาสักหม้อ และนำผลไม้มาขึ้นโต๊ะอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”

 

 

อาจูกล่าว “ดี” ไม่หยุด

 

 

โจวเสาจิ่นจึงนึกถึงเฉิงเจียขึ้นมา พลางกล่าว “ข้ามีญาติผู้พี่สาวผู้หนึ่ง นิสัยคล้ายคลึงกับอาจูยิ่งนัก ถ้ามีโอกาสข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกัน”

 

 

“ได้สิๆ!” อาจูยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า

 

 

หลังจากที่สาวใช้นำน้ำชาและของว่างขึ้นโต๊ะแล้ว คุณหนูสิบเจ็ดก็เล่าเรื่องที่เฉิงฉือช่วยแนะนำคู่สมรสหลังความตายให้กับท่านอาที่สิบเก้าที่เสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อยของตนเองให้อาจูฟัง

 

 

อาจูอุทานขึ้นมาว่า “เฉิงจื่อชวนช่างมีความสามารถจริงๆ! ราวกับว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ยากเย็นสำหรับเขาเลยอย่างไรอย่างนั้น”

 

 

เฉิงฉือมีสมญานามว่าจื่อชวน

 

 

เนื่องจากอาจูทราบสมญานามของเขา ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้จักเขา ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาบ้าง

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “เจ้ารู้จักท่านน้าฉือหรือ”

 

 

“อื้ม!” อาจูยิ้มพลางกล่าว “มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ชายของข้าอยากไปเที่ยวที่แม่น้ำฉินไหว ท่านพ่อของข้าทราบเรื่องก็ไม่อนุญาต แต่พอพี่ชายของข้าบอกว่าเป็นการร่วมทางไปกับเฉิงจื่อชวน ท่านพ่อของข้าก็อนุญาตในทันที เมื่อท่านแม่ของข้าทราบเรื่อง ก็กล่าวกับมามาข้างกายว่า ข้าก็ว่าเหตุใดเผิงจวี่เปลี่ยนใจไปแม่น้ำฉินไหว แต่ทำไมถึงไม่แอบไปเงียบๆ ยังบอกนายท่านกั๋วกงให้ทราบด้วย ทีแท้ก็เพราะอาศัยชื่อเสียงของนายท่านสี่ตระกูลเฉิงนี่เอง!” นางวาดลวดลายและน้ำเสียงเลียนแบบท่าทางการพูดของฮูหยินของเหลียงกั๋วกง กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ในเวลานั้นข้าจึงทดเก็บเอาไว้ในใจ รอจนกระทั่งพี่ชายกลับมา จึงวิ่งไปดูถึงประตูใหญ่ ถึงแม้ว่าจะหล่อเหล่าสู้พี่ชายข้าไม่ได้ แต่เป็นคนที่ดียิ่งนัก เป็นมิตร อีกทั้งยังใจเย็นยิ่ง ไม่เคยอารมณ์เสียเลย ไม่เหมือนพี่ชายของข้า ที่มักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าอยากจะเอาข้าไปทิ้ง หรือไม่ก็ให้ข้าไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ห้องบรรพชน…”

 

 

โจวเสาจิ่นคิดถึงท่าทางของเฉิงฉือแล้วก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

 

 

นางเองก็รู้สึกว่าเฉิงฉือเป็นคนที่อ่อนโยนมากผู้หนึ่ง

 

 

“อย่างไรก็ตาม” อาจูเท้าคางพลางกล่าว “เรื่องสมรสหลังความตายนั้น…ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน” นางเอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าว่า หากข้าขอให้ท่านน้าของเจ้าช่วยพาข้าไปดูเรื่องสนุกๆ ด้วย เขาจะตอบรับหรือไม่”

 

 

“น่าจะไม่หรอกกระมัง” โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าว “พวกเราเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าสนุก แต่สำหรับคนที่ต้องมาจัดงานสมรสหลังความตายจากทั้งสองครอบครัวคงจะสะเทือนใจเป็นอย่างมาก การที่ไปดูอย่างไม่เอาใจใส่เช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าเป็นการไม่ค่อยให้เกียรติเท่าไหร่นัก!”

 

 

คุณหนูสิบเจ็ดกล่าวอย่างเห็นด้วยว่า “ข้าได้ยินคนในจวนพูดกันว่า ท่านอาสิบเก้าเป็นคนที่ฉลาดยิ่งนัก ท่านปู่ของข้าเคยกล่าวมากกว่าหนึ่งครั้งว่า ถ้าท่านอาสิบเก้าเป็นเด็กผู้ชายก็คงจะดี ตอนที่ท่านอาสิบเก้าเสียชีวิต ท่านย่าของข้าราวกับแก่ลงไปในเวลาเพียงข้ามคืนเดียว…”

 

 

อาจูพยักหน้า แต่ก็อดที่จะกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “ถึงเวลานั้นข้าจะให้คนลองถามเฉิงจื่อชวนดู เขาอาจจะยอมพาข้าไปด้วยก็เป็นได้”

 

 

คุณหนูสิบเจ็ดไม่เห็นด้วย

 

 

อาจูมองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้ทั้งหมดต่างก็อยู่ไกลออกไป จึงขยับมาพูดอยู่ด้านหน้าของทั้งสองคนว่า “อีกไม่กี่วันท่านพ่อของข้าก็จะพาพี่ชายของข้าเข้าเมืองหลวงแล้ว!”

 

 

โจวเสาจิ่นกับคุณหนูสิบเจ็ดต่างก็ไม่ใช่หญิงสาวจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป จึงทราบกฎที่ว่าหากไร้ซึ่งคำสั่งขององค์ฮ่องเต้ขุนนางศักดินาผู้ครองเมืองไม่อาจเข้าเมืองหลวงได้ ทั้งสองคนจึงประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

อาจูจึงกล่าวว่า “ข้าได้ยินท่านแม่ของข้ากล่าวว่า มีขันทีผู้หนึ่งนามว่าหลิวหย่งเป็นขันทีปิ๋งปี่อยู่ในกรมพิธีการ พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าขันทีปิ๋งปี่นี้ทำหน้าที่อะไร ก็คือช่วยเป็นที่ปรึกษาแด่องค์ฮ่องเต้ บรรดาข้าราชบริพารในราชสำนักล้วนแล้วแต่ต้องดูสีหน้าของเขา…หลังจากที่เขาได้เป็นขันทีปิ๋งปี่ ก็กราบทูลองค์ฮ่องเต้ว่า ขุนนางศักดินาผู้ครองเมืองแต่ละเมืองต่างก็ไม่ได้มาเข้าเฝ้าที่เมืองหลวงเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว เกรงว่าองค์ฮ่องเต้จะไม่รู้จักบรรดาบุตรชายคนรุ่นหลังของขุนนางศักดินาที่เติบโตขึ้น ดังนั้นองค์ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ขุนนางศักดินาของแต่ละเมืองทยอยกันไปเข้าเฝ้าที่เมืองหลวง ท่านพ่อกับพี่ชายของข้าถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแรก จะออกเดินทางในเดือนเก้า ท่านแม่ของข้าบอกว่า ท่านพ่อของข้าคิดว่า กิจการการค้าของตระกูลเฉิงที่อยู่ที่จิงเฉิงนั้นค้าขายได้ใหญ่โตยิ่งนัก ท่านน้าของเจ้าย่อมต้องมีความสนิทสนมกับข้าราชบริพารน้อยใหญ่ในราชสำนักเป็นอย่างดี จึงอยากจะเชิญให้ท่านน้าของเจ้าออกเดินทางไปด้วยกัน…แต่ก็ไม่ได้ให้เขาต้องทำอะไร ขอเพียงให้เขาเมื่อพบเจอเรื่องอะไรก็ให้นำมารายงานท่านพ่อของข้า เพื่อที่ท่านพ่อของข้าได้เตรียมตัวเอาไว้สักหน่อย…”

 

 

นี่เกรงว่าคงจะไม่ดีกระมัง

 

 

สิ่งที่องค์ฮ่องเต้สั่งห้ามมากที่สุดคือการที่ข้าราชบริพารในราชสำนักผูกมิตรกับขุนนางศักดินา เช่นเดียวกันกับที่สั่งห้ามไม่ให้ขุนนางศักดินาผูกมิตรกับเจ้าหน้าทีข้าราชบริพารในพื้นที่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลเฉิงนั้นมีทั้งคนที่รับใช้อยู่ในราชสำนัก และยังเป็นตระกูลเก่าแก่ที่สืบทอดกันมากว่าร้อยปีของจินหลิง…เป็นไปได้หรือไม่ว่า ที่ตระกูลเฉิงถูกตรวจสอบทั้งตระกูลในชาติก่อนนั้น จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย?

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “กิจการการค้าของตระกูลเฉิงที่จิงเฉิงออกจะใหญ่โตปานนั้น น่าจะเป็นเพราะความทุ่มเทของท่านลุงใหญ่จิงมากกว่ากระมัง คงจะไม่เกี่ยวข้องกับท่านน้าฉือมากสักเท่าไหร่?”

 

 

อาจูชะงักงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

 

 

ราวกับว่านางพูดอะไรที่น่าขบขันเป็นอย่างมากก็ไม่ปาน

 

 

หัวเราะจนตัวบิดตัวงอ

 

 

คุณหนูสิบเจ็ดเองก็หัวเราะด้วย แต่ก็ยังดีกว่าอาจูเล็กน้อย โดยนางใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปากเอาไว้ยามที่หัวเราะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด