ยามดอกวสันต์ผลิบาน 205 ก้อนอิฐ

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 205 ก้อนอิฐ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉิงฉือกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว คุณหนูรองไปหาจี๋อิ๋งด้วยเรื่องอะไร”

ไหวซานกล่าว “ข้าจะให้ป้าซางไปดักฟังดูขอรับ”

เฉิงฉือไม่ได้กล่าวอะไร

นัยน์ตาของไหวซานเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ออกจากห้องข้างไป

เฉิงฉือนึกถึงการพบปะกับเซียวเจิ้นไห่และเจี่ยงชิ่นเช้าเมื่อวาน

เรื่องที่จี๋อิ๋งกลับมาอยู่กับเขา และขอให้เขาช่วยปกป้องนั้นผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่คนภายในกลุ่มเดินสมุทรต้องรู้อย่างแน่นอน แต่เจี่ยงชิ่นกลับทำท่าเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงกับบอกใบ้เขาว่า ตระกูลเจียวต้องการเป็นใหญ่เพียงผู้เดียวในกลุ่มเดินสมุทร คนในกลุ่มเดินสมุทรไม่พอใจมานานแล้ว ตอนนี้บุตรชายคนเดียวของพวกเขาถูกคนบั่นแขนขาด คนในกลุ่มเดินสมุทรต่างรู้สึกสะใจเล็กน้อย นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าทั้งสามตระกูลจะสนิทสนมกันประหนึ่งครอบครัวเดียวกัน แต่ก็ไม่อาจเอาเรื่องส่วนตัวมาทำลายกฎของกลุ่มเดินสมุทรได้ หากตระกูลเจียวทำเกินไป อีกตระกูลหนึ่งนั้นเจี่ยงชิ่นไม่อาจตัดสินใจให้ได้ แต่ตระกูลเจี่ยงจะยืนอยู่ข้างเดียวกับเขาอย่างแน่นอน ต่อให้ตระกูลเจี่ยงไม่อาจขัดแย้งกับตระกูลเจียวซึ่งๆ หน้าได้ แต่การแอบแทงข้างหลังตระกูลเจียวกลับไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

เป็นที่รู้กันดีว่าในกลุ่มเดินสมุทรนั้นมีสามตระกูลใหญ่ร่วมกันเป็นเจ้าของ เป็นเรื่องที่แรกเริ่มเดิมทีคนสามคนตกลงร่วมกันก่อตั้งกลุ่มเดินสมุทรขึ้นมา แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว สามตระกูลใหญ่สืบทอดกันมาถึงวันนี้ เพื่อผลประโยชน์แล้ว ชื่อเสียงไม่ได้เหนียวแน่นดังแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว การที่เจี่ยงชิ่นกล่าวออกมาเช่นนี้ได้ แสดงว่ารอยบาดหมางของทั้งสามตระกูลได้บาดลงลึกแล้ว เรื่องจะหันหลังให้แก่กันนั้นจึงเป็นเรื่องของเวลาว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ทำลายตระกูลเซียวได้หรือไม่

เพียงทำให้ตระกูลเซียวสูญเงินอย่างเดียวยังไม่เพียงพอไปเขย่าฐานรากของตระกูลเซียวได้ วิธีที่ดีที่สุดคือรอให้ถึงเวลาที่เซียวเจิ้นไห่ถลุงเงินส่วนใหญ่ของตระกูลเซียวจนหมดแล้วมีคนกระโดดออกมาตั้งคำถามกับความสามารถของเซียวเจิ้นไห่…

ขณะที่เขากำลังคิดคำนวณอยู่ในใจ ไหวซานเดินเข้ามา กล่าวรายงานยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองให้แม่นางจี๋อิ๋งช่วยคิดหาวิธีไปเอาอิฐจากเจดีย์เหลยเฟิงกลับมาให้นางสักสองสามก้อนขอรับ”

เฉิงฉือประหลาดใจ ถามขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

ไหวซานเล่าเรื่องเล่าที่ว่าอิฐจากเจดีย์เหลยเฟิงให้บุตรได้ที่ตนฟังมาจากป้าซางให้เฉิงฉือฟัง

เฉิงฉือประหลาดใจมากยิ่งขึ้น ถามขึ้นว่า “คุณหนูรองอยากได้มันไปทำไม”

ปีนี้นางเพิ่งจะอายุสิบสามปี ยังเร็วไปกว่าจะถึงวัยออกเรือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้กำเนิดบุตรชายหญิง

ไหวซานเองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “บางทีอาจอยากเอาไปให้ญาติสักคนก็เป็นได้ขอรับ”

เฉิงฉือคิดถึงโจวเจิ้นที่ตอนนี้ยังไม่มีบุตรชาย

เขากล่าว “นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย จี๋อิ๋งคงไม่ได้ตอบรับกระมัง”

“ไม่ขอรับ” ไหวซานกล่าว “เจี่ยงชิ่นมาที่นี่ ในกลุ่มเดินสมุทรไม่รู้ว่ามีตากี่คู่คอยจับจ้องเมืองหังโจวอยู่ แม่นางจี๋อิ๋งไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นขอรับ” จากนั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ช่วงนี้แม่นางจี๋อิ๋งรู้ความขึ้นมาก ขยันฝึกยุทธ์ทุกเช้าค่ำเลยขอรับ”

เฉิงฉือพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจมากนัก สั่งการไหวซานว่า “เช่นนั้นเจ้าหาวิธีไปเอาอิฐกลับมาให้คุณหนูรองสักสองสามก้อนก็แล้วกัน อย่างไรก็ตาม อิฐนี้ไม่ใช่ว่าต้องไปเอาด้วยตัวเองถึงจะได้ผลหรอกหรือ”

“ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ” ไหวซานกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะไปบอกป้าซาง ให้นางไปถามดูสักหน่อย ถ้าหากว่าต้องไปเอาด้วยตัวเอง ข้าว่าไม่สู้ให้คุณหนูรองเขียนจดหมายไปให้ไต้เท้าโจวสักฉบับจะดีกว่า”

เฉิงฉือเห็นด้วย กล่าวขึ้นว่า “เจ้าถือโอกาสบอกป้าซางด้วยว่า พรุ่งนี้พวกเราจะไปดูปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง นอกจากจับตาดูฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ให้นางช่วยดูคุณหนูรองด้วย อย่าให้กระแสน้ำพัดเอาคนไปได้ ท่าทางบอบบางประหนึ่งดอกติงเซียงเช่นนั้นของนาง หากถูกพัดตกลงในแม่น้ำแล้วเกรงว่าอาจจะหาตัวไม่เจอเลยด้วยซ้ำ…

ไหวซานยิ้มพลางเดินไปหาป้าซาง

ป้าซางประหลาดใจ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่สนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

ไหวซานกล่าว “ที่ผ่านมาไม่ว่านายท่านสี่จะทำอะไรก็ต้องทำให้ดีทุกเรื่อง ท่านดูเขาดูแลกิจการของซอยจิ่วหรูประไร ยังมีผู้ใดทำได้ดีกว่าเขาอีกหรือ”

“นั่นก็ใช่” ป้าซางกล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อตอนนี้นายท่านสี่ยอมให้ฮูหยินผู้เฒ่าพาคุณหนูรองร่วมทางมาด้วย ย่อมต้องดูแลคุณหนูรองให้ดี” กล่าวอีกว่า “ข้าจะไปถามคุณหนูรองดูสักหน่อย จะได้หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ว่านายท่านสี่อุตส่าห์ทำความดีแต่กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ดี”

ไหวซานหลุดยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ไม่ใช่คนที่ให้ค่ากับความดีพวกนี้”

ป้าซางกล่าวเจื้อยแจ้วว่า “บุรุษอย่างพวกเจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ นี่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ นั่นก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แล้วผลเป็นอย่างไร ครั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะข้าพูดออกมาต่อหน้าตระกูลจี้ นายท่านใหญ่ของตระกูลจี้จะเอะใจถึงแผนการของตระกูลเจียวได้อย่างไร แล้วนายท่านสี่จะปราบพยศตระกูลจี้ได้อย่างง่ายดายเพียงนั้นได้อย่างไร บางครั้งก็ต้องพูดให้มากสักหน่อย…”

“ก็ได้ๆๆ” ไหวซานยอมแพ้ “ท่านอยากพูดอะไรก็ไปพูดเถิด”

ป้าซางยิ้มร่าพลางเดินไปยังที่ๆ โจวเสาจิ่นพำนักอยู่

โจวเสาจิ่นถูกจี๋อิ๋งปฏิเสธ กำลังอยู่ในช่วงหดหู่ใจด้วยไม่มีคนให้ไปขอความช่วยเหลือได้ พอได้ยินว่าซางหมัวมัวคนข้างกายของเฉิงฉือมาขอพบ นางเบิกตาโพลงอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “นางมาทำอะไรหรือ”

ปี้เถาส่ายศีรษะพลางกล่าว “ข้าดูท่าทางแล้วไม่เหมือนกับคนที่มีเรื่องด่วนอะไรเจ้าค่ะ”

“เชิญนางไปนั่งดื่มชาที่ห้องรับรอง” โจวเสาจิ่นคิดถึงว่านางเป็นคนรับใช้อยู่ข้างกายเฉิงฉือ จึงปฏิบัติต่อนางอย่างพิถีพิถันมากขึ้น “ข้าเปลี่ยนชุดแล้วจะตามไป”

ปี้เถาถอยออกไป

โจวเสาจิ่นรวบผมเป็นมวยที่ท้ายทอยง่ายๆ มวยหนึ่ง สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่งแล้วออกไปพบป้าซาง

ป้าซางมองเสื้อผ้าธรรมดาๆ ที่สวมใส่อยู่บนร่างของโจวเสาจิ่น มันไม่เพียงไม่ทำให้โจวเสาจิ่นดูหมองลง ในทางตรงกันข้ามกลับเพิ่มเสน่ห์ขึ้นมาอีกเล็กน้อย จึงอดทอดถอนใจไม่ได้

คุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้ช่างมีหน้าตางดงามจริงๆ ไม่อย่างนั้นคุณชายใหญ่คงไม่คะนึงหาอย่างไม่ลืมเลือนเช่นนี้ เมื่อหลายวันก่อนยังเขียนจดหมายกลับมาให้คนไปสืบเรื่องของโจวเสาจิ่นอยู่เลย

นางยิ้มพลางคำนับโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “แม่นางจี๋อิ๋งบอกว่าท่านอยากจะนำอิฐที่เจดีย์เหลยเฟิงกลับไปก้อนหนึ่ง นายท่านสี่จึงให้ข้ามาสอบถามดูว่า อิฐนี้ต้องให้ท่านไปเอาด้วยตัวเองหรือให้ใครไปเอาให้ก็ได้เจ้าคะ”

ปัญหาข้อนี้โจวเสาจิ่นเองก็ยังไม่เคยคิดอย่างถี่ถ้วนมาก่อน

อย่างไรก็ตาม เฉิงฉืออนุญาตให้นางนำอิฐจากเจดีย์เหลยเฟิงกลับไปได้ก้อนหนึ่ง นางจึงยินดีเป็นอย่างมาก รีบให้ชุนหว่านรินชาให้ป้าซาง ส่วนตนเดินไปหาฮูหยินหวัง

ฮูหยินหวังนอนพักผ่อนไปแล้ว พอทราบวัตถุประสงค์ของโจวเสาจิ่น ก็ถามขึ้นอย่างงัวเงียว่า “พรุ่งนี้พวกเราต้องไปที่แม่น้ำเฉียนถังแล้ว…ฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตให้ส่งคนไปเจดีย์เหลยเฟิงแล้วหรือเจ้าคะ”

“ไม่ใช่ฮูหยินผู้เฒ่า” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างเกรงใจเล็กน้อยว่า “เป็นนายท่านสี่ที่อนุญาตแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นเล่าเรื่องความกังวลของป้าซางให้ฮูหยินหวังฟัง

ฮูหยินหวังตกใจจนทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ไหนเลยจะยังมีอาการงัวเงียอีก รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ว่าจะไปเอาด้วยตัวเองหรือให้คนไปเอาให้ ความศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงเดิม พระพุทธองค์ล้วนทราบดี ย่อมอำนวยพรให้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าใครไปเอาก็เหมือนกันนั่นเอง!

โจวเสาจิ่นกลับไปบอกป้าซางอย่างดีอกดีใจ

ป้าซางยิ้มพลางกล่าวขอตัวลา

โจวเสาจิ่นดีใจเป็นอย่างมาก พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงเป็นเวลานานกว่าจะหลับลงได้

วันรุ่งขึ้นพอลืมตาตื่นขึ้น ก็เห็นอิฐสองก้อนที่ป้าซางส่งมาให้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

อิฐสีเขียวอ่อนผ่านแดดผ่านลมฝนมานานจึงเปลี่ยนเป็นเก่าคร่ำครึไปบ้าง ทว่ายังคงสภาพสี่เหลี่ยมเอาไว้และยังดูงดงามเช่นเดิม

โจวเสาจิ่นสั่งให้ชุนหว่านใช้ผ้าไหมห่อแล้วนำไปเก็บไว้ในหีบ จากนั้นถึงได้ไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว

พักผ่อนมาหนึ่งวัน สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี เรียกให้โจวเสาจิ่นมากินมื้อเช้าด้วยกัน “วันนี้ที่ห้องครัวมีโจ๊กข้าวฟ่างน้ำแกงไก่ปลิงทะเล ข้าได้ยินว่าเป็นของหายาก จึงให้คนตักมาให้เล็กน้อย หากเจ้ารู้สึกไม่คุ้นเคย ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้…ข้าคิดว่า พวกเขาน่าจะยังมีโจ๊กขาว โจ๊กผักไป่เหอ และโจ๊กผักใบเขียวด้วย”

“ข้ารับโจ๊กอย่างเดียวกับท่านก็แล้วกันเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นนั่งลง ชิมโจ๊กไปคำหนึ่ง

ถามว่าอร่อยหรือไม่ก็บอกได้ว่าอร่อย เพียงแต่ว่านางไม่ค่อยคุ้นกับปลิงทะเลที่ใส่มาในโจ๊กเท่านั้น

ฮูหยินหวังที่ให้การรับรองอยู่ข้างๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “โจ๊กข้าวฟ่างน้ำแกงไก่ปลิงทะเลนี้ช่วยบำรุงเลือดลม เหมาะให้คนที่มีอายุกับบุรุษวัยฉกรรจ์รับประทานเป็นที่สุด คุณหนูรองไม่จำเป็นต้องฝืนเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นพลันตระหนักได้ว่าโจ๊กนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับเฉิงฉือเป็นการเฉพาะ

นางยิ้มอย่างขัดเขินแล้วฝืนกินโจ๊กให้หมด

เฉิงฉือให้คนมาถามว่าออกเดินทางได้หรือยัง

ข้าวของต่างๆ จัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปขึ้นเกี้ยว

วันนี้พวกเขาจะพักที่บ้านพักของนายท่านจงตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเจียงหนาน

แสงแดดของพระอาทิตย์ยามเช้าในฤดูใบไม้ร่วงทั้งอบอุ่นและสดชื่น โจวเสาจิ่นจึงเลิกผ้าม่านขึ้นมองออกไปด้านนอกอยู่บ่อยครั้ง

ควันขดม้วนลอยละล่องขึ้นมาจากปล่องครัว เด็กเลี้ยงวัวบนหลังวัว ยังมีเสียงหัวเราะกังวานใสของสตรีที่ทุบตีซักเสื้อผ้าอยู่ตรงริมน้ำ ทั้งหมดต่างทำให้นางรู้สึกสงบและอบอุ่น

เมื่อใกล้เที่ยง เกี้ยวของพวกเขาก็จอดลงตรงบ้านพักของตระกูลจง

บ้านพักหลังนั้นมีขนาดใหญ่เพียงสามหลัง ทว่ากำแพงสีขาวหลังคาสีดำ ดอกไม้ต้นไม้เต็มสวน โดยเฉพาะทางเดินสองข้างทางประดับตกแต่งตามฤดูกาลด้วยดอกเบญจมาศแต่ละสี บรรยากาศดูเจริญหูเจริญตายิ่งนัก

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีที่นี่เป็นบ้านที่ปู่ทวดของนายท่านใหญ่จงมาพักอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต แม่น้ำเฉียนถังห่างจากที่นี่ไปเพียงไม่ถึงระยะการยิงสองลูกศรเท่านั้น เขาได้ยินว่าท่านกำลังจะมา ไม่ว่าอย่างไรก็ให้ข้าพาท่านมาพักที่นี่สักสองวันให้ได้ ข้าเห็นว่าอีกหลายวันกว่าพวกเราจะเดินทางกลับจินหลิง อีกทั้งที่นี่ก็เงียบสงบ จึงตอบรับคำเชิญของเขาขอรับ”

“ที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางมองสำรวจไปรอบๆ กล่าวขึ้นว่า “ทำให้นายท่านใหญ่จงต้องลำบากแล้ว เจ้าขอบคุณเขาแทนข้าด้วย”

เฉิงฉือยิ้มพลางขานรับว่า “ขอรับ” โจวเสาจิ่นถูกจัดให้พักอยู่ที่ห้องข้างทางด้านตะวักตกของฮูหยินผู้เฒ่ากัว

หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยและพักผ่อนไปครู่หนึ่งแล้ว เฉิงฉือพาโจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปดูสวนด้านหลัง “…ที่นั่นมีศาลาเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง ยืนอยู่ที่นั่นจะมองเห็นปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำเฉียนถังได้ เพียงแต่ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ตระการตาเท่าไปชมอยู่ข้างแม่น้ำก็เท่านั้น ข้าคิดว่าวันแรกพวกเราลองชมอยู่ที่ศาลานี้ก่อน หากท่านสนใจอยากไปจริงๆ วันรุ่งขึ้นพวกเราค่อยไปชมที่ข้างแม่น้ำก็แล้วกัน พวกเรายังมีเวลาอีกมาก”

ใครจะรู้ว่าพวกนางยังไม่ทันได้ออกจากประตู พ่อบ้านใหญ่ของตระกูลจงก็นำเทียบเชิญเข้ามา บอกว่าพรุ่งนี้เช้าฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลจงอยากพาสะใภ้และหลานสาวอีกสองสามคนมาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองเฉิงฉือ

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “พรุ่งนี้เป็นวันที่สิบแปดเดือนแปดพอดี ข้าว่ารอให้ผ่านพรุ่งนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!”

ฉินจื่อผิงนำความกลับออกไปแจ้ง

พวกเขาทั้งกลุ่มเดินไปยังศาลา ณ สวนด้านหลัง

ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ถึงจะเป็นวันดีของการชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง แต่ระลอกคลื่นที่กระทบฝั่ง เสียงคลื่นดังติดต่อกันระลอกแล้วระลอกเล่า ความตระการตาของปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำเฉียนถังเริ่มมีให้เห็นแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “พรุ่งนี้พวกเราไปชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงข้างแม่น้ำก็แล้วกัน ยืนดูอยู่ที่นี่ ประหนึ่งการเกาบรรเทาอาการคันจากนอกรองเท้าอย่างไรอย่างนั้น ไหนเลยจะสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ตระการตาของแม่น้ำเฉียนถังได้”

เฉิงฉือขานรับยิ้มๆ ว่า “ขอรับ” แล้วสั่งการให้ฉินจื่อผิงไปเตรียมของที่จำเป็นสำหรับเดินทางไปข้างนอก

พวกเขานั่งฟังเสียงคลื่นพลางคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปอยู่ในศาลา กระทั่งพระอาทิตย์ลับขุนเขาแล้ว พวกเขาถึงได้กลับเข้ามาที่ห้องพัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปเปลี่ยนชุด

โจวเสาจิ่นใช้โอกาสนี้กล่าวกับเฉิงฉือว่า “ท่านน้าฉือ ขอบคุณท่านมาก ข้าได้รับอิฐจากเจดีย์เหลยเฟิงแล้วเจ้าค่ะ”

รอนางกลับจินหลิงแล้ว จะต้องหาทางตอบแทนท่านน้าฉือให้ได้อย่างแน่นอน

เฉิงฉือพยักหน้าน้อยๆ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หวังว่าเจดีย์เหลยเฟิงจะไม่ถล่มลงมาด้วยเรื่องในครั้งนี้ก็พอ! ไม่อย่างนั้นคงถือเป็นบาปของข้าเสียแล้ว!”

โจวเสาจิ่นตะลึงงันไปกว่าครู่ใหญ่ถึงเข้าใจว่าเฉิงฉือพูดอะไรไปบ้าง

นางหน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีอยู่นั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เดินออกมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าดูแล้วแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ก็งดงามยิ่งนัก ประเดี๋ยวกินมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว พวกเราไปเดินเล่นในสวนกันดีหรือไม่”

โจวเสาจิ่นและเฉิงฉือตอบรับด้วยความยินดี

ทว่าฉินจื่อผิงกลับวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน

…………………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยามดอกวสันต์ผลิบาน 205 ก้อนอิฐ

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 205 ก้อนอิฐ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉิงฉือกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว คุณหนูรองไปหาจี๋อิ๋งด้วยเรื่องอะไร”

ไหวซานกล่าว “ข้าจะให้ป้าซางไปดักฟังดูขอรับ”

เฉิงฉือไม่ได้กล่าวอะไร

นัยน์ตาของไหวซานเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ออกจากห้องข้างไป

เฉิงฉือนึกถึงการพบปะกับเซียวเจิ้นไห่และเจี่ยงชิ่นเช้าเมื่อวาน

เรื่องที่จี๋อิ๋งกลับมาอยู่กับเขา และขอให้เขาช่วยปกป้องนั้นผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่คนภายในกลุ่มเดินสมุทรต้องรู้อย่างแน่นอน แต่เจี่ยงชิ่นกลับทำท่าเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงกับบอกใบ้เขาว่า ตระกูลเจียวต้องการเป็นใหญ่เพียงผู้เดียวในกลุ่มเดินสมุทร คนในกลุ่มเดินสมุทรไม่พอใจมานานแล้ว ตอนนี้บุตรชายคนเดียวของพวกเขาถูกคนบั่นแขนขาด คนในกลุ่มเดินสมุทรต่างรู้สึกสะใจเล็กน้อย นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าทั้งสามตระกูลจะสนิทสนมกันประหนึ่งครอบครัวเดียวกัน แต่ก็ไม่อาจเอาเรื่องส่วนตัวมาทำลายกฎของกลุ่มเดินสมุทรได้ หากตระกูลเจียวทำเกินไป อีกตระกูลหนึ่งนั้นเจี่ยงชิ่นไม่อาจตัดสินใจให้ได้ แต่ตระกูลเจี่ยงจะยืนอยู่ข้างเดียวกับเขาอย่างแน่นอน ต่อให้ตระกูลเจี่ยงไม่อาจขัดแย้งกับตระกูลเจียวซึ่งๆ หน้าได้ แต่การแอบแทงข้างหลังตระกูลเจียวกลับไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

เป็นที่รู้กันดีว่าในกลุ่มเดินสมุทรนั้นมีสามตระกูลใหญ่ร่วมกันเป็นเจ้าของ เป็นเรื่องที่แรกเริ่มเดิมทีคนสามคนตกลงร่วมกันก่อตั้งกลุ่มเดินสมุทรขึ้นมา แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว สามตระกูลใหญ่สืบทอดกันมาถึงวันนี้ เพื่อผลประโยชน์แล้ว ชื่อเสียงไม่ได้เหนียวแน่นดังแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว การที่เจี่ยงชิ่นกล่าวออกมาเช่นนี้ได้ แสดงว่ารอยบาดหมางของทั้งสามตระกูลได้บาดลงลึกแล้ว เรื่องจะหันหลังให้แก่กันนั้นจึงเป็นเรื่องของเวลาว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ทำลายตระกูลเซียวได้หรือไม่

เพียงทำให้ตระกูลเซียวสูญเงินอย่างเดียวยังไม่เพียงพอไปเขย่าฐานรากของตระกูลเซียวได้ วิธีที่ดีที่สุดคือรอให้ถึงเวลาที่เซียวเจิ้นไห่ถลุงเงินส่วนใหญ่ของตระกูลเซียวจนหมดแล้วมีคนกระโดดออกมาตั้งคำถามกับความสามารถของเซียวเจิ้นไห่…

ขณะที่เขากำลังคิดคำนวณอยู่ในใจ ไหวซานเดินเข้ามา กล่าวรายงานยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองให้แม่นางจี๋อิ๋งช่วยคิดหาวิธีไปเอาอิฐจากเจดีย์เหลยเฟิงกลับมาให้นางสักสองสามก้อนขอรับ”

เฉิงฉือประหลาดใจ ถามขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

ไหวซานเล่าเรื่องเล่าที่ว่าอิฐจากเจดีย์เหลยเฟิงให้บุตรได้ที่ตนฟังมาจากป้าซางให้เฉิงฉือฟัง

เฉิงฉือประหลาดใจมากยิ่งขึ้น ถามขึ้นว่า “คุณหนูรองอยากได้มันไปทำไม”

ปีนี้นางเพิ่งจะอายุสิบสามปี ยังเร็วไปกว่าจะถึงวัยออกเรือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้กำเนิดบุตรชายหญิง

ไหวซานเองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “บางทีอาจอยากเอาไปให้ญาติสักคนก็เป็นได้ขอรับ”

เฉิงฉือคิดถึงโจวเจิ้นที่ตอนนี้ยังไม่มีบุตรชาย

เขากล่าว “นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย จี๋อิ๋งคงไม่ได้ตอบรับกระมัง”

“ไม่ขอรับ” ไหวซานกล่าว “เจี่ยงชิ่นมาที่นี่ ในกลุ่มเดินสมุทรไม่รู้ว่ามีตากี่คู่คอยจับจ้องเมืองหังโจวอยู่ แม่นางจี๋อิ๋งไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นขอรับ” จากนั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ช่วงนี้แม่นางจี๋อิ๋งรู้ความขึ้นมาก ขยันฝึกยุทธ์ทุกเช้าค่ำเลยขอรับ”

เฉิงฉือพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจมากนัก สั่งการไหวซานว่า “เช่นนั้นเจ้าหาวิธีไปเอาอิฐกลับมาให้คุณหนูรองสักสองสามก้อนก็แล้วกัน อย่างไรก็ตาม อิฐนี้ไม่ใช่ว่าต้องไปเอาด้วยตัวเองถึงจะได้ผลหรอกหรือ”

“ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ” ไหวซานกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะไปบอกป้าซาง ให้นางไปถามดูสักหน่อย ถ้าหากว่าต้องไปเอาด้วยตัวเอง ข้าว่าไม่สู้ให้คุณหนูรองเขียนจดหมายไปให้ไต้เท้าโจวสักฉบับจะดีกว่า”

เฉิงฉือเห็นด้วย กล่าวขึ้นว่า “เจ้าถือโอกาสบอกป้าซางด้วยว่า พรุ่งนี้พวกเราจะไปดูปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง นอกจากจับตาดูฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ให้นางช่วยดูคุณหนูรองด้วย อย่าให้กระแสน้ำพัดเอาคนไปได้ ท่าทางบอบบางประหนึ่งดอกติงเซียงเช่นนั้นของนาง หากถูกพัดตกลงในแม่น้ำแล้วเกรงว่าอาจจะหาตัวไม่เจอเลยด้วยซ้ำ…

ไหวซานยิ้มพลางเดินไปหาป้าซาง

ป้าซางประหลาดใจ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่สนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

ไหวซานกล่าว “ที่ผ่านมาไม่ว่านายท่านสี่จะทำอะไรก็ต้องทำให้ดีทุกเรื่อง ท่านดูเขาดูแลกิจการของซอยจิ่วหรูประไร ยังมีผู้ใดทำได้ดีกว่าเขาอีกหรือ”

“นั่นก็ใช่” ป้าซางกล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อตอนนี้นายท่านสี่ยอมให้ฮูหยินผู้เฒ่าพาคุณหนูรองร่วมทางมาด้วย ย่อมต้องดูแลคุณหนูรองให้ดี” กล่าวอีกว่า “ข้าจะไปถามคุณหนูรองดูสักหน่อย จะได้หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ว่านายท่านสี่อุตส่าห์ทำความดีแต่กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ดี”

ไหวซานหลุดยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ไม่ใช่คนที่ให้ค่ากับความดีพวกนี้”

ป้าซางกล่าวเจื้อยแจ้วว่า “บุรุษอย่างพวกเจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ นี่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ นั่นก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แล้วผลเป็นอย่างไร ครั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะข้าพูดออกมาต่อหน้าตระกูลจี้ นายท่านใหญ่ของตระกูลจี้จะเอะใจถึงแผนการของตระกูลเจียวได้อย่างไร แล้วนายท่านสี่จะปราบพยศตระกูลจี้ได้อย่างง่ายดายเพียงนั้นได้อย่างไร บางครั้งก็ต้องพูดให้มากสักหน่อย…”

“ก็ได้ๆๆ” ไหวซานยอมแพ้ “ท่านอยากพูดอะไรก็ไปพูดเถิด”

ป้าซางยิ้มร่าพลางเดินไปยังที่ๆ โจวเสาจิ่นพำนักอยู่

โจวเสาจิ่นถูกจี๋อิ๋งปฏิเสธ กำลังอยู่ในช่วงหดหู่ใจด้วยไม่มีคนให้ไปขอความช่วยเหลือได้ พอได้ยินว่าซางหมัวมัวคนข้างกายของเฉิงฉือมาขอพบ นางเบิกตาโพลงอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “นางมาทำอะไรหรือ”

ปี้เถาส่ายศีรษะพลางกล่าว “ข้าดูท่าทางแล้วไม่เหมือนกับคนที่มีเรื่องด่วนอะไรเจ้าค่ะ”

“เชิญนางไปนั่งดื่มชาที่ห้องรับรอง” โจวเสาจิ่นคิดถึงว่านางเป็นคนรับใช้อยู่ข้างกายเฉิงฉือ จึงปฏิบัติต่อนางอย่างพิถีพิถันมากขึ้น “ข้าเปลี่ยนชุดแล้วจะตามไป”

ปี้เถาถอยออกไป

โจวเสาจิ่นรวบผมเป็นมวยที่ท้ายทอยง่ายๆ มวยหนึ่ง สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่งแล้วออกไปพบป้าซาง

ป้าซางมองเสื้อผ้าธรรมดาๆ ที่สวมใส่อยู่บนร่างของโจวเสาจิ่น มันไม่เพียงไม่ทำให้โจวเสาจิ่นดูหมองลง ในทางตรงกันข้ามกลับเพิ่มเสน่ห์ขึ้นมาอีกเล็กน้อย จึงอดทอดถอนใจไม่ได้

คุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้ช่างมีหน้าตางดงามจริงๆ ไม่อย่างนั้นคุณชายใหญ่คงไม่คะนึงหาอย่างไม่ลืมเลือนเช่นนี้ เมื่อหลายวันก่อนยังเขียนจดหมายกลับมาให้คนไปสืบเรื่องของโจวเสาจิ่นอยู่เลย

นางยิ้มพลางคำนับโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “แม่นางจี๋อิ๋งบอกว่าท่านอยากจะนำอิฐที่เจดีย์เหลยเฟิงกลับไปก้อนหนึ่ง นายท่านสี่จึงให้ข้ามาสอบถามดูว่า อิฐนี้ต้องให้ท่านไปเอาด้วยตัวเองหรือให้ใครไปเอาให้ก็ได้เจ้าคะ”

ปัญหาข้อนี้โจวเสาจิ่นเองก็ยังไม่เคยคิดอย่างถี่ถ้วนมาก่อน

อย่างไรก็ตาม เฉิงฉืออนุญาตให้นางนำอิฐจากเจดีย์เหลยเฟิงกลับไปได้ก้อนหนึ่ง นางจึงยินดีเป็นอย่างมาก รีบให้ชุนหว่านรินชาให้ป้าซาง ส่วนตนเดินไปหาฮูหยินหวัง

ฮูหยินหวังนอนพักผ่อนไปแล้ว พอทราบวัตถุประสงค์ของโจวเสาจิ่น ก็ถามขึ้นอย่างงัวเงียว่า “พรุ่งนี้พวกเราต้องไปที่แม่น้ำเฉียนถังแล้ว…ฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตให้ส่งคนไปเจดีย์เหลยเฟิงแล้วหรือเจ้าคะ”

“ไม่ใช่ฮูหยินผู้เฒ่า” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างเกรงใจเล็กน้อยว่า “เป็นนายท่านสี่ที่อนุญาตแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นเล่าเรื่องความกังวลของป้าซางให้ฮูหยินหวังฟัง

ฮูหยินหวังตกใจจนทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ไหนเลยจะยังมีอาการงัวเงียอีก รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ว่าจะไปเอาด้วยตัวเองหรือให้คนไปเอาให้ ความศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงเดิม พระพุทธองค์ล้วนทราบดี ย่อมอำนวยพรให้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าใครไปเอาก็เหมือนกันนั่นเอง!

โจวเสาจิ่นกลับไปบอกป้าซางอย่างดีอกดีใจ

ป้าซางยิ้มพลางกล่าวขอตัวลา

โจวเสาจิ่นดีใจเป็นอย่างมาก พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงเป็นเวลานานกว่าจะหลับลงได้

วันรุ่งขึ้นพอลืมตาตื่นขึ้น ก็เห็นอิฐสองก้อนที่ป้าซางส่งมาให้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

อิฐสีเขียวอ่อนผ่านแดดผ่านลมฝนมานานจึงเปลี่ยนเป็นเก่าคร่ำครึไปบ้าง ทว่ายังคงสภาพสี่เหลี่ยมเอาไว้และยังดูงดงามเช่นเดิม

โจวเสาจิ่นสั่งให้ชุนหว่านใช้ผ้าไหมห่อแล้วนำไปเก็บไว้ในหีบ จากนั้นถึงได้ไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว

พักผ่อนมาหนึ่งวัน สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี เรียกให้โจวเสาจิ่นมากินมื้อเช้าด้วยกัน “วันนี้ที่ห้องครัวมีโจ๊กข้าวฟ่างน้ำแกงไก่ปลิงทะเล ข้าได้ยินว่าเป็นของหายาก จึงให้คนตักมาให้เล็กน้อย หากเจ้ารู้สึกไม่คุ้นเคย ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้…ข้าคิดว่า พวกเขาน่าจะยังมีโจ๊กขาว โจ๊กผักไป่เหอ และโจ๊กผักใบเขียวด้วย”

“ข้ารับโจ๊กอย่างเดียวกับท่านก็แล้วกันเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นนั่งลง ชิมโจ๊กไปคำหนึ่ง

ถามว่าอร่อยหรือไม่ก็บอกได้ว่าอร่อย เพียงแต่ว่านางไม่ค่อยคุ้นกับปลิงทะเลที่ใส่มาในโจ๊กเท่านั้น

ฮูหยินหวังที่ให้การรับรองอยู่ข้างๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “โจ๊กข้าวฟ่างน้ำแกงไก่ปลิงทะเลนี้ช่วยบำรุงเลือดลม เหมาะให้คนที่มีอายุกับบุรุษวัยฉกรรจ์รับประทานเป็นที่สุด คุณหนูรองไม่จำเป็นต้องฝืนเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นพลันตระหนักได้ว่าโจ๊กนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับเฉิงฉือเป็นการเฉพาะ

นางยิ้มอย่างขัดเขินแล้วฝืนกินโจ๊กให้หมด

เฉิงฉือให้คนมาถามว่าออกเดินทางได้หรือยัง

ข้าวของต่างๆ จัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปขึ้นเกี้ยว

วันนี้พวกเขาจะพักที่บ้านพักของนายท่านจงตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเจียงหนาน

แสงแดดของพระอาทิตย์ยามเช้าในฤดูใบไม้ร่วงทั้งอบอุ่นและสดชื่น โจวเสาจิ่นจึงเลิกผ้าม่านขึ้นมองออกไปด้านนอกอยู่บ่อยครั้ง

ควันขดม้วนลอยละล่องขึ้นมาจากปล่องครัว เด็กเลี้ยงวัวบนหลังวัว ยังมีเสียงหัวเราะกังวานใสของสตรีที่ทุบตีซักเสื้อผ้าอยู่ตรงริมน้ำ ทั้งหมดต่างทำให้นางรู้สึกสงบและอบอุ่น

เมื่อใกล้เที่ยง เกี้ยวของพวกเขาก็จอดลงตรงบ้านพักของตระกูลจง

บ้านพักหลังนั้นมีขนาดใหญ่เพียงสามหลัง ทว่ากำแพงสีขาวหลังคาสีดำ ดอกไม้ต้นไม้เต็มสวน โดยเฉพาะทางเดินสองข้างทางประดับตกแต่งตามฤดูกาลด้วยดอกเบญจมาศแต่ละสี บรรยากาศดูเจริญหูเจริญตายิ่งนัก

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีที่นี่เป็นบ้านที่ปู่ทวดของนายท่านใหญ่จงมาพักอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต แม่น้ำเฉียนถังห่างจากที่นี่ไปเพียงไม่ถึงระยะการยิงสองลูกศรเท่านั้น เขาได้ยินว่าท่านกำลังจะมา ไม่ว่าอย่างไรก็ให้ข้าพาท่านมาพักที่นี่สักสองวันให้ได้ ข้าเห็นว่าอีกหลายวันกว่าพวกเราจะเดินทางกลับจินหลิง อีกทั้งที่นี่ก็เงียบสงบ จึงตอบรับคำเชิญของเขาขอรับ”

“ที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางมองสำรวจไปรอบๆ กล่าวขึ้นว่า “ทำให้นายท่านใหญ่จงต้องลำบากแล้ว เจ้าขอบคุณเขาแทนข้าด้วย”

เฉิงฉือยิ้มพลางขานรับว่า “ขอรับ” โจวเสาจิ่นถูกจัดให้พักอยู่ที่ห้องข้างทางด้านตะวักตกของฮูหยินผู้เฒ่ากัว

หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยและพักผ่อนไปครู่หนึ่งแล้ว เฉิงฉือพาโจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปดูสวนด้านหลัง “…ที่นั่นมีศาลาเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง ยืนอยู่ที่นั่นจะมองเห็นปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำเฉียนถังได้ เพียงแต่ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ตระการตาเท่าไปชมอยู่ข้างแม่น้ำก็เท่านั้น ข้าคิดว่าวันแรกพวกเราลองชมอยู่ที่ศาลานี้ก่อน หากท่านสนใจอยากไปจริงๆ วันรุ่งขึ้นพวกเราค่อยไปชมที่ข้างแม่น้ำก็แล้วกัน พวกเรายังมีเวลาอีกมาก”

ใครจะรู้ว่าพวกนางยังไม่ทันได้ออกจากประตู พ่อบ้านใหญ่ของตระกูลจงก็นำเทียบเชิญเข้ามา บอกว่าพรุ่งนี้เช้าฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลจงอยากพาสะใภ้และหลานสาวอีกสองสามคนมาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองเฉิงฉือ

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “พรุ่งนี้เป็นวันที่สิบแปดเดือนแปดพอดี ข้าว่ารอให้ผ่านพรุ่งนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!”

ฉินจื่อผิงนำความกลับออกไปแจ้ง

พวกเขาทั้งกลุ่มเดินไปยังศาลา ณ สวนด้านหลัง

ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ถึงจะเป็นวันดีของการชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง แต่ระลอกคลื่นที่กระทบฝั่ง เสียงคลื่นดังติดต่อกันระลอกแล้วระลอกเล่า ความตระการตาของปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำเฉียนถังเริ่มมีให้เห็นแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “พรุ่งนี้พวกเราไปชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงข้างแม่น้ำก็แล้วกัน ยืนดูอยู่ที่นี่ ประหนึ่งการเกาบรรเทาอาการคันจากนอกรองเท้าอย่างไรอย่างนั้น ไหนเลยจะสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ตระการตาของแม่น้ำเฉียนถังได้”

เฉิงฉือขานรับยิ้มๆ ว่า “ขอรับ” แล้วสั่งการให้ฉินจื่อผิงไปเตรียมของที่จำเป็นสำหรับเดินทางไปข้างนอก

พวกเขานั่งฟังเสียงคลื่นพลางคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปอยู่ในศาลา กระทั่งพระอาทิตย์ลับขุนเขาแล้ว พวกเขาถึงได้กลับเข้ามาที่ห้องพัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปเปลี่ยนชุด

โจวเสาจิ่นใช้โอกาสนี้กล่าวกับเฉิงฉือว่า “ท่านน้าฉือ ขอบคุณท่านมาก ข้าได้รับอิฐจากเจดีย์เหลยเฟิงแล้วเจ้าค่ะ”

รอนางกลับจินหลิงแล้ว จะต้องหาทางตอบแทนท่านน้าฉือให้ได้อย่างแน่นอน

เฉิงฉือพยักหน้าน้อยๆ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หวังว่าเจดีย์เหลยเฟิงจะไม่ถล่มลงมาด้วยเรื่องในครั้งนี้ก็พอ! ไม่อย่างนั้นคงถือเป็นบาปของข้าเสียแล้ว!”

โจวเสาจิ่นตะลึงงันไปกว่าครู่ใหญ่ถึงเข้าใจว่าเฉิงฉือพูดอะไรไปบ้าง

นางหน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีอยู่นั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เดินออกมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าดูแล้วแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ก็งดงามยิ่งนัก ประเดี๋ยวกินมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว พวกเราไปเดินเล่นในสวนกันดีหรือไม่”

โจวเสาจิ่นและเฉิงฉือตอบรับด้วยความยินดี

ทว่าฉินจื่อผิงกลับวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน

…………………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+