ยามดอกวสันต์ผลิบาน 204 ทะเลสาบซีหู

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 204 ทะเลสาบซีหู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็หัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “บุตรชายของข้ามีบุตรกันตั้งนานแล้ว หลานชายก็ยังไม่ได้แต่งงาน คงได้แต่รอให้วันข้างหน้าหากมีโอกาสค่อยกลับมาขอบุตรที่เจดีย์เหลยเฟิงใหม่แล้ว!”

ฮูหยินหวังเห็นว่าประจบประแจงไม่ขึ้น จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนมีวาสนา ย่อมมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ไหนเลยจะต้องไปขอบุตรที่เจดีย์เหลยเฟิงกันเจ้าคะ!”

โจวเสาจิ่นอยากไป

นางอยากไปอุ้มอิฐกลับไปให้พี่สาวสักก้อน

แต่เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่สนใจ นางที่เป็นหญิงสาวในห้องหอที่ยังไม่ได้ออกเรือนผู้หนึ่ง จึงไม่กล้าเอ่ยปาก

เรือเข้าจอดเทียบท่าใกล้กับตลิ่งที่อยู่ข้างๆ เจดีย์เหลยเฟิง

รอบๆ ยังมีเรือที่เหมือนกับเรือสำราญของพวกนางจอดอยู่อีกหลายลำ มุมเรือแขวนโคมไฟเอาไว้ มีแสงนวลลอดผ่านมาสลัวๆ สะท้อนแสงไปยังกิ่งต้นหลิวที่ห้อยตัวลงมาถึงผิวน้ำทั้งสองฟากฝั่ง เกิดเป็นเงาดำตะคุ่มๆ

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หันไปมองบนฝั่ง

เรือสำราญที่จอดอยู่ข้างๆ บ้างก็มีเสียงหัวเราะยามขับขานโคลงกลอนของบุรุษดังออกมาซ้ำๆ บ้างก็เป็นเสียงนุ่มละมุนละไมของสตรีดังเข้ามาให้ได้ยินไม่ขาดสาย มีเรือบางลำที่เพียงแล่นผ่านทะเลสาบมาเหมือนกับพวกนางเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่พึงใจก็รีบหลบออกไปในทันที

เนื่องจากพวกนางต้องรอเฉิงฉือ จึงจำต้องจอดเรือเทียบท่าเอาไว้

โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่ออย่างช่วยไม่ได้

มีเรือลำเล็กแล่นตรงมาทางพวกนาง

โจวเสาจิ่นเพ่งตามอง ที่แท้ก็เป็นเฉิงฉือกับไหวซาน

ไม่ใช่บอกว่าจะรออยู่ที่เจดีย์เหลยเฟิงหรอกหรือ

เหตุใดถึงมาจากที่อื่นได้เล่า

ยังไม่ทันที่โจวเสาจิ่นจะได้ครุ่นคิดอะไร เฉิงฉือก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนเรือสำราญแล้วอย่างรวดเร็ว

นางอดไม่ได้กะพริบตามองปริบๆ

ไม่ว่าจะมองอย่างไรเรือเล็กๆ ลำนั้นก็อยู่ห่างจากเรือสำราญไปประมาณสามฉื่อ…จะกระโดดข้ามมาได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้นเลยหรือ

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง

ไหวซานกลับแล่นเรือจากไป

นี่มันเหตุการณ์อะไรกัน

โจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยความสับสนมึนงง

จากนั้นเห็นนิ้วมือนิ้วหนึ่งสะบัดไปมาอยู่ตรงหน้านาง

เฉิงฉือกำลังยืนอยู่เบื้องหน้านางด้วยมุมปากยกยิ้ม

“มองอะไรอยู่หรือ” เขากล่าวเสียงอบอุ่น “ดูจนแน่นิ่งไปหมดแล้ว!”

“ไม่…ไม่ได้ดูอะไรเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นมีเรื่องอยากถามเฉิงฉือมากมาย ทว่ากลับไม่รู้จะเริ่มถามจากอะไรดี

เฉิงฉือกลับทำเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าในห้องโดยสาร ออกมานอกเรือทำไมหรือ ตรงนี้น้ำลึกยิ่งนัก ระวังจะตกลงไปในน้ำได้”

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและเป็นกันเอง ราวกับเพิ่งเดินออกมาจากห้องโดยสารที่อยู่ข้างๆ ทำให้โจวเสาจิ่นบังเกิดภาพลวงตาบางอย่าง ประหนึ่งว่าพวกเขายังอยู่บนเรือสำเภา แล้วเมื่อครู่เขาก็เพียงเดินเลี้ยวผ่านมาก็เท่านั้น

นางกล่าวขึ้นอย่างอึกๆ อักๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังกังวลว่าเหตุใดท่านยังมาไม่ถึง ข้าก็เลยออกมาดูสักหน่อยเจ้าค่ะ…ในเมื่อท่านมาถึงแล้ว พวกเราก็รีบกลับเข้าไปในห้องโดยสารเถิด! วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซื้อขนมไหว้พระจันทร์มาเป็นจำนวนมาก กล่าวว่าต้องการรอท่านน้าฉือกลับมากินด้วยกันเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พลางเดินเข้าไปในห้องโดยสารพร้อมนาง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นบุตรชายแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “รีบเข้ามานั่ง รอเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น!”

เฉิงฉือยิ้มให้อย่างอ่อนโยน นั่งลงข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามเขาอย่างรักใคร่ว่ากินข้าวเย็นมาแล้วหรือยัง กินข้าวกลางวันที่ไหน กินอะไรบ้าง ได้เจอสหายหรือยัง เหตุใดถึงไม่นัดสหายมานั่งล่องเรือด้วยกัน

เฉิงฉือตอบคำถามทีละข้อ “กินข้าวที่หอฟู่หยวนทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น ก็เป็นเพียงอาหารที่พบเห็นกันบ่อยๆ เท่านั้น อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ประมุขของหอฟู่หยวนมอบขนมไหว้พระจันทร์ให้แขกทุกคนที่ไปกินข้าวที่นั่นคนละหนึ่งจานเล็ก เดิมทีก็คิดจะชวนพวกเขามาร่วมด้วย แต่พอคิดว่าวันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ นัดคนมาร่วมด้วยเกรงว่าคงไม่ค่อยดีนัก หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จพวกเราก็เลยต่างคนต่างแยกย้ายกันไปขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ สั่งให้ปี้อวี้ช่วยเฉิงฉือเปลี่ยนชุด

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่าเฉิงฉือไม่ได้กล่าวความจริง

หลังจากที่เฉิงฉือเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงมาใหม่ เรือสำราญได้แล่นออกมาจากเจดีย์เหลยเฟิงแล้ว

เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้เป็นวันที่สิบห้าเดือนแปด เป็นเวลาที่พระจันทร์เต็มดวงและสว่างที่สุด พวกเราจึงได้ไปดูพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์อันเลื่องชื่อของทะเลสาบซีหูพอดี”

ฮูหยินหวังที่อยู่ข้างๆ กล่าวเห็นด้วยไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “พระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์นี้ไม่ใช่ว่าจะดูเมื่อไรก็ดูได้ โดยปกติแล้วเทศกาลเช่น เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง วันสารทจีน และวันที่สิบห้าเดือนแปด ทางการถึงจะจุดตะเกียงในเจดีย์ที่อยู่กลางน้ำ ปิดปากโพลงด้วยกระดาษบาง ให้ช่องโพลงนั้นสะท้อนแสงลงบนผิวน้ำ เกิดเป็นภาพทิวทัศน์ของพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรที่มาเมืองหังโจวหลายครั้งหลายหนแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ชมพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ ฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงก็ได้ดูแล้ว พวกเราเองก็ได้อาศัยวาสนาของฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางเดินออกจากห้องโดยสาร

เวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิททั้งหมดแล้ว ตะเกียงของเรือสำราญช่วยให้มองเห็นผิวน้ำได้ชัดแจ๋ว ทั้งสองริมฝั่งก็มีคนปล่อยโคมไฟ ชวนให้เด็กๆ ได้มองดูความครึกครื้น เสียงหัวเราะดังๆ ดับๆ ลอยไปตามผิวน้ำ

เฉิงฉือเชิญให้ฮูหยินหวังเล่าประวัติของพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง ส่วนตัวเองกลับถอยออกมาสองสามก้าว ยืนอยู่ด้านหลังของพวกนาง

โจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกประหลาดอย่างช่วยไม่ได้ มองสำรวจรอบๆ อย่างละเอียด

ก็เห็นเรือสำราญหลังคาสีเขียวหน้าต่างสีแดงใหม่ลำหนึ่งแล่นมาจากที่ๆ ไม่ไกลจากพวกนางไปทางทิศตะวันออก ภายในหน้าต่างกระจกใสนั้น มีคนรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกับอ้วนท้วมอีกผู้หนึ่งกำลังนั่งหันหน้าเข้ากันและดื่มกันอยู่

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หันกลับไปชำเลืองมองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง

คิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือก็กำลังหันมามองนางพอดี

สายตาของทั้งสองสบประสานกันพอดีกลางอากาศ

สีหน้าของเฉิงฉือดูใจดี หันมายิ้มให้นางพลางพยักหน้าน้อยๆ

โจวเสาจิ่นกลับหน้าแดงเถือกขึ้นมาเสมือนกับคนสอดรู้สอดเห็นที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา ก้มหน้าลงแล้วหมุนกายกลับไป

เฉิงฉืออดยกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากไม่ได้

ตอนเห็นโจวเสาจิ่นที่วัดหลิงอิ่นนั้น เขาตกใจมากจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้กลับดูเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนก็ไม่ปาน ไม่เพียงแสร้งทำเป็นไม่คยรู้จักเขาเท่านั้น ยังหันไปเรียกสตรีขายผลหลี่เพื่อซื้อผลหลี่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย…

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น

เซียวเจิ้นไห่!

อยู่ที่กวนวั่ยอวดดีจนเคยตัว

คิดว่าตัวเองมีภูเขาหนึ่งลูกแล้วจะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวผู้อื่น

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาสนใจที่ดินผืนนั้นของตระกูลเซียว ต่อให้ระหว่างพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน แต่ด้วยนิสัยโอหังของเซียงเจิ้นไห่ อย่างไรเขาก็ต้องสั่งสอนเซียวเจิ้นไห่เสียบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่ามีกลุ่มเดินสมุทรให้พึ่งแล้วจะช่วยให้เขาเดินอยู่บนเส้นทางในเจียงหนานได้!

สีหน้าของเฉิงฉือค่อยๆ เย็นชาขึ้น

เขานึกถึงตอนที่พบโจวเสาจิ่นที่วัดหลิงอิ่น

บนศีรษะปักเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมไข่มุกจากทางใต้อันประณีตและงดงาม น่ารักน่าเอ็นดู ประหนึ่งเด็กน้อยผู้หนึ่งก็ไม่ปาน อีกทั้งยังเชื่อฟังยิ่งนัก ว่าอะไรนางนางก็ตั้งใจฟังอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่เคยทำให้คนต้องรู้สึกกังวลใจ

เขารู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก ในใจรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย

ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นรู้สึกว่ามีลมเย็นพัดผ่านข้างกายแต่ไม่นานก็มลายหายไป

แต่นางก็ห่อไหล่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ชุนหว่านที่รับใช้อยู่ข้างๆ รีบกระซิบถามเสียงเบาว่า “คุณหนู ท่านรู้สึกหนาวหรือเจ้าคะ”

“ไม่เป็นไร” โจวเสาจิ่นเห็นฮูหยินหวังกำลังบอกเล่าวิธีการดูพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังอยู่ จึงกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “อาจเป็นเพราะลมในตอนกลางคืนเย็นเล็กน้อย อีกประเดี๋ยวก็คงจะดีเอง อย่าไปทำลายความสุขของฮูหยินผู้เฒ่า”

ชุนหว่านพยักหน้าพลางปิดปากลงเสีย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหันมาเรียกโจวเสาจิ่น “เจ้าเองก็เข้ามาดูด้วยกันเถิด ส่วนชายสี่นั้นพวกเราอย่าไปสนใจเขาเลย เขาได้มาหังโจวบ่อยๆ”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ท่านช่างลำเอียง เรื่องที่ข้าได้มาหังโจวบ่อยๆ กับการที่ท่านให้ข้าติดตามท่านมาเปิดโลกกับท่านด้วยเป็นคนละเรื่องกันขอรับ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงขยับที่ให้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ๆๆ วันนี้ข้าจะสอนเจ้าชมทิวทัศน์ด้วยก็แล้วกัน”

ทุกคนต่างหัวเราะร่า

เฉิงฉือจึงเดินเข้าไปท่ามกลางเสียงหัวเราะ ยืนดูอยู่ตรงนั้นกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ทิวทัศน์ไม่เลวเลยจริงๆ”

กระตุ้นให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะลั่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ หันไปกวักมือเรียกโจวเสาจิ่น “พวกเราอย่าไปสนใจเขาเลย”

โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

เฉิงฉือจึงขยับออกไปข้างๆ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้ไปที่พระจันทร์บนผิวน้ำให้โจวเสาจิ่นดู

โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น กลับเห็นไหวซานยืนอยู่ที่ท้ายเรืออย่างเงียบเชียบ

นางตกตะลึง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นว่า “เห็นหรือยัง เห็นพระจันทร์ทั้งห้าดวงแล้วหรือยัง”

โจวเสาจิ่นรีบดึงสติกลับมา มองไปตามทิศทางที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้

บนผิวน้ำมีพระจันทร์ห้าดวงจริงๆ ล้วนสว่างสุกใสราวหยก แยกไม่ออกเลยว่าดวงไหนเป็นพระจันทร์จริงๆ ที่อยู่บนฟ้า ดวงไหนเป็นแสงตะเกียงจากเจดีย์

ไม่แปลกที่ได้รับการขนานนามให้เป็นหนึ่งในสิบความงามของทะเลสาบซีหู

โจวเสาจิ่นรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก มองจี๋อิ๋งที่นัยน์ตาเผยความชื่นชมออกมาครั้งหนึ่ง แล้วก็มองฮูหยินผู้เฒ่ากัวครั้งหนึ่ง หมายจะกล่าวบางอย่างแต่ก็หยุดไป

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะอย่างเบิกบาน กล่าวกับสื่อมามาและคนอื่นๆ ว่า “พวกเจ้าก็มาดูเถิด! นานๆ ทีถึงจะได้ออกมาครั้งหนึ่ง”

ทุกคนต่างร้องเสียงดังออกมาอย่างยินดีเสียงหนึ่งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า”

ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแต้มไปด้วยรอยยิ้ม พาโจวเสาจิ่นเดินไปที่ห้องโดยสาร

หลังจากนั้นพวกเขาก็กินขนมไหว้พระจันทร์และดื่มเหล้าดอกกุ้ยฮวาอีกเล็กน้อย ตอนที่กลับถึงตัวเมืองนั้นท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ประตูเมืองก็เปิดออกแล้ว

โจวเสาจิ่นหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอน กระทั่งยามโพล้เพล้ถึงตื่นขึ้นมา

ชุนหว่านยิ้มพลางบอกนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เพิ่งตื่นเจ้าค่ะ ให้พี่สาวปี้อวี้มาแจ้งว่าวันนี้ให้ต่างคนต่างพักผ่อนอยู่ในห้องของตน พรุ่งนี้เช้าไปดูปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถังเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน ม่อยหลับไปอีกครู่หนึ่งถึงได้ค่อยๆ ตื่นเต็มตาขึ้นมา

ชุนหว่านยกอาหารเข้ามา

โจวเสาจิ่นกินโจ๊กไปเล็กน้อย และกินเค้กข้าวไปอีกสองสามชิ้น จากนั้นถามถึงฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นมา

ชุนหว่านกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าพักผ่อนไปอีกครั้งแล้ว มีแม่นางเฝ่ยชุ่ยกับแม่นางหมาเหน่าเฝ้าเวรยามอยู่สองคนเจ้าค่ะ”

เช่นนั้นก็ไม่ไปคารวะยามเย็นแล้วก็แล้วกัน

โจวเสาจิ่นบ้วนปากไปครั้งหนึ่ง จากนั้นเอนกายนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุ้ยฮวาลอยเข้ามาจากหน้าต่าง

โจวเสาจิ่นไม่ค่อยง่วง จึงคลุมผ้าแล้วดันหน้าต่างเปิดออก พบว่าแสงจันทร์ที่ตกกระทบอยู่ในสวนสว่างไสวกว่าเมื่อคืนเสียอีก

นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ชุนหว่าน จี๋อิ๋งนอนพักผ่อนไปแล้วหรือยัง”

“น่าจะยังกระมังคะ” ชุนหว่านไม่กล้ากล่าวอย่างมั่นใจนัก “ข้าเห็นห้องของจี๋อิ๋งยังจุดตะเกียงอยู่ แต่ไม่รู้ว่านางจะนอนพักผ่อนไปแล้วหรือยังเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปดูเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

ชุนหว่านขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ไปอย่างไม่เข้าใจ ช่วยโจวเสาจิ่นเปลี่ยนชุด แล้วเดินไปหาจี๋อิ๋ง

เฉิงฉือยังไม่นอน กำลังสนทนากับไหวซานอยู่ “…เซียวเจิ้นไห่คงเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว ฉะนั้นเมื่อวานถึงได้เปลี่ยนใจไปวัดหลิงอิ่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน โชคดีที่ฮูหยินหวังจัดให้ท่านแม่เข้าไปในวัดจากฝั่งถนนเซียงอวิ๋นทางประตูข้าง ตอนที่พบกับคุณหนูรอง คุณหนูรองก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จักพวกเราได้อย่างว่องไว เซียวเจิ้นไห่ผู้นี้ เกรงว่าคงปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว”

“นายท่านสี่” ไหวซานพลันกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ตอนนี้เซียวเจิ้นไห่ตกลงกับเจี่ยงชิ่นเรียบร้อยแล้ว ไม่ช้าก็เร็วท่าเรือเป่ยถังที่เทียนจินก็ทำให้เซียวเจิ้นไห่ล่มสลายลง แล้วท่านยังจะต้องทำเรื่องที่ไม่จำเป็นอีกหรือขอรับ ให้เขาเกิดและตายไปเองไม่ดีกว่าหรือ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้สึกขอบคุณท่านที่ช่วยเขาออกมาจากความทุกข์ยากนั้นแทนก็เป็นได้ ปกติท่านมักจะบอกอยู่เสมอว่า ทำอะไรต้องใช้สมองขบคิด การประจันหน้ากันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุด แล้วเหตุใดวันนี้ท่านถึงคิดว่าต้องการส่งเซียวเจิ้นไห่ผู้นั้นไปตายด้วย ไม่ใช่ว่าพวกเขาขจัดความกังวลและไประดมทุนที่ฉางโจวแล้วหรือขอรับ”

เฉิงฉือใจลอยไปครู่หนึ่ง

ความโกรธที่เขามีต่อเซียวเจิ้นไห่ในวันนี้รุนแรงมากเกินไปแล้วจริงๆ

วิธีการที่ไหวซานกล่าวมาต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่เขามักใช้อยู่บ่อยๆ

ที่เขาต้องแสร้งปฏิบัติกับเซียวเจิ้นไห่และเจี่ยงชิ่นอย่างสุภาพในวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะรอรับประโยชน์จากความขัดแย้งของผู้อื่นหรอกหรือ

เหตุใดพอเรื่องเข้ามาในหัวแล้ว สมองของเขากลับเกิดความคิดที่ไม่ได้ประโยชน์สักทางขึ้นมาได้

เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่น

ไหวซานเดินไปที่ประตูแล้วก็เดินกลับมา กล่าวขึ้นว่า “ป้าซางบอกว่า คุณหนูรองไปหาแม่นางจี๋อิ๋งที่ห้องขอรับ”

………………………………………..

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยามดอกวสันต์ผลิบาน 204 ทะเลสาบซีหู

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 204 ทะเลสาบซีหู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็หัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “บุตรชายของข้ามีบุตรกันตั้งนานแล้ว หลานชายก็ยังไม่ได้แต่งงาน คงได้แต่รอให้วันข้างหน้าหากมีโอกาสค่อยกลับมาขอบุตรที่เจดีย์เหลยเฟิงใหม่แล้ว!”

ฮูหยินหวังเห็นว่าประจบประแจงไม่ขึ้น จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนมีวาสนา ย่อมมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ไหนเลยจะต้องไปขอบุตรที่เจดีย์เหลยเฟิงกันเจ้าคะ!”

โจวเสาจิ่นอยากไป

นางอยากไปอุ้มอิฐกลับไปให้พี่สาวสักก้อน

แต่เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่สนใจ นางที่เป็นหญิงสาวในห้องหอที่ยังไม่ได้ออกเรือนผู้หนึ่ง จึงไม่กล้าเอ่ยปาก

เรือเข้าจอดเทียบท่าใกล้กับตลิ่งที่อยู่ข้างๆ เจดีย์เหลยเฟิง

รอบๆ ยังมีเรือที่เหมือนกับเรือสำราญของพวกนางจอดอยู่อีกหลายลำ มุมเรือแขวนโคมไฟเอาไว้ มีแสงนวลลอดผ่านมาสลัวๆ สะท้อนแสงไปยังกิ่งต้นหลิวที่ห้อยตัวลงมาถึงผิวน้ำทั้งสองฟากฝั่ง เกิดเป็นเงาดำตะคุ่มๆ

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หันไปมองบนฝั่ง

เรือสำราญที่จอดอยู่ข้างๆ บ้างก็มีเสียงหัวเราะยามขับขานโคลงกลอนของบุรุษดังออกมาซ้ำๆ บ้างก็เป็นเสียงนุ่มละมุนละไมของสตรีดังเข้ามาให้ได้ยินไม่ขาดสาย มีเรือบางลำที่เพียงแล่นผ่านทะเลสาบมาเหมือนกับพวกนางเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่พึงใจก็รีบหลบออกไปในทันที

เนื่องจากพวกนางต้องรอเฉิงฉือ จึงจำต้องจอดเรือเทียบท่าเอาไว้

โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่ออย่างช่วยไม่ได้

มีเรือลำเล็กแล่นตรงมาทางพวกนาง

โจวเสาจิ่นเพ่งตามอง ที่แท้ก็เป็นเฉิงฉือกับไหวซาน

ไม่ใช่บอกว่าจะรออยู่ที่เจดีย์เหลยเฟิงหรอกหรือ

เหตุใดถึงมาจากที่อื่นได้เล่า

ยังไม่ทันที่โจวเสาจิ่นจะได้ครุ่นคิดอะไร เฉิงฉือก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนเรือสำราญแล้วอย่างรวดเร็ว

นางอดไม่ได้กะพริบตามองปริบๆ

ไม่ว่าจะมองอย่างไรเรือเล็กๆ ลำนั้นก็อยู่ห่างจากเรือสำราญไปประมาณสามฉื่อ…จะกระโดดข้ามมาได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้นเลยหรือ

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง

ไหวซานกลับแล่นเรือจากไป

นี่มันเหตุการณ์อะไรกัน

โจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยความสับสนมึนงง

จากนั้นเห็นนิ้วมือนิ้วหนึ่งสะบัดไปมาอยู่ตรงหน้านาง

เฉิงฉือกำลังยืนอยู่เบื้องหน้านางด้วยมุมปากยกยิ้ม

“มองอะไรอยู่หรือ” เขากล่าวเสียงอบอุ่น “ดูจนแน่นิ่งไปหมดแล้ว!”

“ไม่…ไม่ได้ดูอะไรเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นมีเรื่องอยากถามเฉิงฉือมากมาย ทว่ากลับไม่รู้จะเริ่มถามจากอะไรดี

เฉิงฉือกลับทำเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าในห้องโดยสาร ออกมานอกเรือทำไมหรือ ตรงนี้น้ำลึกยิ่งนัก ระวังจะตกลงไปในน้ำได้”

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและเป็นกันเอง ราวกับเพิ่งเดินออกมาจากห้องโดยสารที่อยู่ข้างๆ ทำให้โจวเสาจิ่นบังเกิดภาพลวงตาบางอย่าง ประหนึ่งว่าพวกเขายังอยู่บนเรือสำเภา แล้วเมื่อครู่เขาก็เพียงเดินเลี้ยวผ่านมาก็เท่านั้น

นางกล่าวขึ้นอย่างอึกๆ อักๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังกังวลว่าเหตุใดท่านยังมาไม่ถึง ข้าก็เลยออกมาดูสักหน่อยเจ้าค่ะ…ในเมื่อท่านมาถึงแล้ว พวกเราก็รีบกลับเข้าไปในห้องโดยสารเถิด! วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซื้อขนมไหว้พระจันทร์มาเป็นจำนวนมาก กล่าวว่าต้องการรอท่านน้าฉือกลับมากินด้วยกันเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พลางเดินเข้าไปในห้องโดยสารพร้อมนาง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นบุตรชายแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “รีบเข้ามานั่ง รอเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น!”

เฉิงฉือยิ้มให้อย่างอ่อนโยน นั่งลงข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามเขาอย่างรักใคร่ว่ากินข้าวเย็นมาแล้วหรือยัง กินข้าวกลางวันที่ไหน กินอะไรบ้าง ได้เจอสหายหรือยัง เหตุใดถึงไม่นัดสหายมานั่งล่องเรือด้วยกัน

เฉิงฉือตอบคำถามทีละข้อ “กินข้าวที่หอฟู่หยวนทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น ก็เป็นเพียงอาหารที่พบเห็นกันบ่อยๆ เท่านั้น อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ประมุขของหอฟู่หยวนมอบขนมไหว้พระจันทร์ให้แขกทุกคนที่ไปกินข้าวที่นั่นคนละหนึ่งจานเล็ก เดิมทีก็คิดจะชวนพวกเขามาร่วมด้วย แต่พอคิดว่าวันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ นัดคนมาร่วมด้วยเกรงว่าคงไม่ค่อยดีนัก หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จพวกเราก็เลยต่างคนต่างแยกย้ายกันไปขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ สั่งให้ปี้อวี้ช่วยเฉิงฉือเปลี่ยนชุด

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่าเฉิงฉือไม่ได้กล่าวความจริง

หลังจากที่เฉิงฉือเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงมาใหม่ เรือสำราญได้แล่นออกมาจากเจดีย์เหลยเฟิงแล้ว

เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้เป็นวันที่สิบห้าเดือนแปด เป็นเวลาที่พระจันทร์เต็มดวงและสว่างที่สุด พวกเราจึงได้ไปดูพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์อันเลื่องชื่อของทะเลสาบซีหูพอดี”

ฮูหยินหวังที่อยู่ข้างๆ กล่าวเห็นด้วยไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “พระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์นี้ไม่ใช่ว่าจะดูเมื่อไรก็ดูได้ โดยปกติแล้วเทศกาลเช่น เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง วันสารทจีน และวันที่สิบห้าเดือนแปด ทางการถึงจะจุดตะเกียงในเจดีย์ที่อยู่กลางน้ำ ปิดปากโพลงด้วยกระดาษบาง ให้ช่องโพลงนั้นสะท้อนแสงลงบนผิวน้ำ เกิดเป็นภาพทิวทัศน์ของพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรที่มาเมืองหังโจวหลายครั้งหลายหนแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ชมพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ ฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงก็ได้ดูแล้ว พวกเราเองก็ได้อาศัยวาสนาของฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางเดินออกจากห้องโดยสาร

เวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิททั้งหมดแล้ว ตะเกียงของเรือสำราญช่วยให้มองเห็นผิวน้ำได้ชัดแจ๋ว ทั้งสองริมฝั่งก็มีคนปล่อยโคมไฟ ชวนให้เด็กๆ ได้มองดูความครึกครื้น เสียงหัวเราะดังๆ ดับๆ ลอยไปตามผิวน้ำ

เฉิงฉือเชิญให้ฮูหยินหวังเล่าประวัติของพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง ส่วนตัวเองกลับถอยออกมาสองสามก้าว ยืนอยู่ด้านหลังของพวกนาง

โจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกประหลาดอย่างช่วยไม่ได้ มองสำรวจรอบๆ อย่างละเอียด

ก็เห็นเรือสำราญหลังคาสีเขียวหน้าต่างสีแดงใหม่ลำหนึ่งแล่นมาจากที่ๆ ไม่ไกลจากพวกนางไปทางทิศตะวันออก ภายในหน้าต่างกระจกใสนั้น มีคนรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกับอ้วนท้วมอีกผู้หนึ่งกำลังนั่งหันหน้าเข้ากันและดื่มกันอยู่

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หันกลับไปชำเลืองมองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง

คิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือก็กำลังหันมามองนางพอดี

สายตาของทั้งสองสบประสานกันพอดีกลางอากาศ

สีหน้าของเฉิงฉือดูใจดี หันมายิ้มให้นางพลางพยักหน้าน้อยๆ

โจวเสาจิ่นกลับหน้าแดงเถือกขึ้นมาเสมือนกับคนสอดรู้สอดเห็นที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา ก้มหน้าลงแล้วหมุนกายกลับไป

เฉิงฉืออดยกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากไม่ได้

ตอนเห็นโจวเสาจิ่นที่วัดหลิงอิ่นนั้น เขาตกใจมากจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้กลับดูเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนก็ไม่ปาน ไม่เพียงแสร้งทำเป็นไม่คยรู้จักเขาเท่านั้น ยังหันไปเรียกสตรีขายผลหลี่เพื่อซื้อผลหลี่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย…

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น

เซียวเจิ้นไห่!

อยู่ที่กวนวั่ยอวดดีจนเคยตัว

คิดว่าตัวเองมีภูเขาหนึ่งลูกแล้วจะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวผู้อื่น

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาสนใจที่ดินผืนนั้นของตระกูลเซียว ต่อให้ระหว่างพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน แต่ด้วยนิสัยโอหังของเซียงเจิ้นไห่ อย่างไรเขาก็ต้องสั่งสอนเซียวเจิ้นไห่เสียบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่ามีกลุ่มเดินสมุทรให้พึ่งแล้วจะช่วยให้เขาเดินอยู่บนเส้นทางในเจียงหนานได้!

สีหน้าของเฉิงฉือค่อยๆ เย็นชาขึ้น

เขานึกถึงตอนที่พบโจวเสาจิ่นที่วัดหลิงอิ่น

บนศีรษะปักเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมไข่มุกจากทางใต้อันประณีตและงดงาม น่ารักน่าเอ็นดู ประหนึ่งเด็กน้อยผู้หนึ่งก็ไม่ปาน อีกทั้งยังเชื่อฟังยิ่งนัก ว่าอะไรนางนางก็ตั้งใจฟังอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่เคยทำให้คนต้องรู้สึกกังวลใจ

เขารู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก ในใจรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย

ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นรู้สึกว่ามีลมเย็นพัดผ่านข้างกายแต่ไม่นานก็มลายหายไป

แต่นางก็ห่อไหล่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ชุนหว่านที่รับใช้อยู่ข้างๆ รีบกระซิบถามเสียงเบาว่า “คุณหนู ท่านรู้สึกหนาวหรือเจ้าคะ”

“ไม่เป็นไร” โจวเสาจิ่นเห็นฮูหยินหวังกำลังบอกเล่าวิธีการดูพระจันทร์สะท้อนน้ำสามเจดีย์ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังอยู่ จึงกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “อาจเป็นเพราะลมในตอนกลางคืนเย็นเล็กน้อย อีกประเดี๋ยวก็คงจะดีเอง อย่าไปทำลายความสุขของฮูหยินผู้เฒ่า”

ชุนหว่านพยักหน้าพลางปิดปากลงเสีย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหันมาเรียกโจวเสาจิ่น “เจ้าเองก็เข้ามาดูด้วยกันเถิด ส่วนชายสี่นั้นพวกเราอย่าไปสนใจเขาเลย เขาได้มาหังโจวบ่อยๆ”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ท่านช่างลำเอียง เรื่องที่ข้าได้มาหังโจวบ่อยๆ กับการที่ท่านให้ข้าติดตามท่านมาเปิดโลกกับท่านด้วยเป็นคนละเรื่องกันขอรับ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงขยับที่ให้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ๆๆ วันนี้ข้าจะสอนเจ้าชมทิวทัศน์ด้วยก็แล้วกัน”

ทุกคนต่างหัวเราะร่า

เฉิงฉือจึงเดินเข้าไปท่ามกลางเสียงหัวเราะ ยืนดูอยู่ตรงนั้นกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ทิวทัศน์ไม่เลวเลยจริงๆ”

กระตุ้นให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะลั่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ หันไปกวักมือเรียกโจวเสาจิ่น “พวกเราอย่าไปสนใจเขาเลย”

โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

เฉิงฉือจึงขยับออกไปข้างๆ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้ไปที่พระจันทร์บนผิวน้ำให้โจวเสาจิ่นดู

โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น กลับเห็นไหวซานยืนอยู่ที่ท้ายเรืออย่างเงียบเชียบ

นางตกตะลึง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นว่า “เห็นหรือยัง เห็นพระจันทร์ทั้งห้าดวงแล้วหรือยัง”

โจวเสาจิ่นรีบดึงสติกลับมา มองไปตามทิศทางที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้

บนผิวน้ำมีพระจันทร์ห้าดวงจริงๆ ล้วนสว่างสุกใสราวหยก แยกไม่ออกเลยว่าดวงไหนเป็นพระจันทร์จริงๆ ที่อยู่บนฟ้า ดวงไหนเป็นแสงตะเกียงจากเจดีย์

ไม่แปลกที่ได้รับการขนานนามให้เป็นหนึ่งในสิบความงามของทะเลสาบซีหู

โจวเสาจิ่นรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก มองจี๋อิ๋งที่นัยน์ตาเผยความชื่นชมออกมาครั้งหนึ่ง แล้วก็มองฮูหยินผู้เฒ่ากัวครั้งหนึ่ง หมายจะกล่าวบางอย่างแต่ก็หยุดไป

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะอย่างเบิกบาน กล่าวกับสื่อมามาและคนอื่นๆ ว่า “พวกเจ้าก็มาดูเถิด! นานๆ ทีถึงจะได้ออกมาครั้งหนึ่ง”

ทุกคนต่างร้องเสียงดังออกมาอย่างยินดีเสียงหนึ่งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า”

ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแต้มไปด้วยรอยยิ้ม พาโจวเสาจิ่นเดินไปที่ห้องโดยสาร

หลังจากนั้นพวกเขาก็กินขนมไหว้พระจันทร์และดื่มเหล้าดอกกุ้ยฮวาอีกเล็กน้อย ตอนที่กลับถึงตัวเมืองนั้นท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ประตูเมืองก็เปิดออกแล้ว

โจวเสาจิ่นหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอน กระทั่งยามโพล้เพล้ถึงตื่นขึ้นมา

ชุนหว่านยิ้มพลางบอกนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เพิ่งตื่นเจ้าค่ะ ให้พี่สาวปี้อวี้มาแจ้งว่าวันนี้ให้ต่างคนต่างพักผ่อนอยู่ในห้องของตน พรุ่งนี้เช้าไปดูปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถังเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน ม่อยหลับไปอีกครู่หนึ่งถึงได้ค่อยๆ ตื่นเต็มตาขึ้นมา

ชุนหว่านยกอาหารเข้ามา

โจวเสาจิ่นกินโจ๊กไปเล็กน้อย และกินเค้กข้าวไปอีกสองสามชิ้น จากนั้นถามถึงฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นมา

ชุนหว่านกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าพักผ่อนไปอีกครั้งแล้ว มีแม่นางเฝ่ยชุ่ยกับแม่นางหมาเหน่าเฝ้าเวรยามอยู่สองคนเจ้าค่ะ”

เช่นนั้นก็ไม่ไปคารวะยามเย็นแล้วก็แล้วกัน

โจวเสาจิ่นบ้วนปากไปครั้งหนึ่ง จากนั้นเอนกายนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุ้ยฮวาลอยเข้ามาจากหน้าต่าง

โจวเสาจิ่นไม่ค่อยง่วง จึงคลุมผ้าแล้วดันหน้าต่างเปิดออก พบว่าแสงจันทร์ที่ตกกระทบอยู่ในสวนสว่างไสวกว่าเมื่อคืนเสียอีก

นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ชุนหว่าน จี๋อิ๋งนอนพักผ่อนไปแล้วหรือยัง”

“น่าจะยังกระมังคะ” ชุนหว่านไม่กล้ากล่าวอย่างมั่นใจนัก “ข้าเห็นห้องของจี๋อิ๋งยังจุดตะเกียงอยู่ แต่ไม่รู้ว่านางจะนอนพักผ่อนไปแล้วหรือยังเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปดูเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

ชุนหว่านขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ไปอย่างไม่เข้าใจ ช่วยโจวเสาจิ่นเปลี่ยนชุด แล้วเดินไปหาจี๋อิ๋ง

เฉิงฉือยังไม่นอน กำลังสนทนากับไหวซานอยู่ “…เซียวเจิ้นไห่คงเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว ฉะนั้นเมื่อวานถึงได้เปลี่ยนใจไปวัดหลิงอิ่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน โชคดีที่ฮูหยินหวังจัดให้ท่านแม่เข้าไปในวัดจากฝั่งถนนเซียงอวิ๋นทางประตูข้าง ตอนที่พบกับคุณหนูรอง คุณหนูรองก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จักพวกเราได้อย่างว่องไว เซียวเจิ้นไห่ผู้นี้ เกรงว่าคงปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว”

“นายท่านสี่” ไหวซานพลันกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ตอนนี้เซียวเจิ้นไห่ตกลงกับเจี่ยงชิ่นเรียบร้อยแล้ว ไม่ช้าก็เร็วท่าเรือเป่ยถังที่เทียนจินก็ทำให้เซียวเจิ้นไห่ล่มสลายลง แล้วท่านยังจะต้องทำเรื่องที่ไม่จำเป็นอีกหรือขอรับ ให้เขาเกิดและตายไปเองไม่ดีกว่าหรือ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้สึกขอบคุณท่านที่ช่วยเขาออกมาจากความทุกข์ยากนั้นแทนก็เป็นได้ ปกติท่านมักจะบอกอยู่เสมอว่า ทำอะไรต้องใช้สมองขบคิด การประจันหน้ากันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุด แล้วเหตุใดวันนี้ท่านถึงคิดว่าต้องการส่งเซียวเจิ้นไห่ผู้นั้นไปตายด้วย ไม่ใช่ว่าพวกเขาขจัดความกังวลและไประดมทุนที่ฉางโจวแล้วหรือขอรับ”

เฉิงฉือใจลอยไปครู่หนึ่ง

ความโกรธที่เขามีต่อเซียวเจิ้นไห่ในวันนี้รุนแรงมากเกินไปแล้วจริงๆ

วิธีการที่ไหวซานกล่าวมาต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่เขามักใช้อยู่บ่อยๆ

ที่เขาต้องแสร้งปฏิบัติกับเซียวเจิ้นไห่และเจี่ยงชิ่นอย่างสุภาพในวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะรอรับประโยชน์จากความขัดแย้งของผู้อื่นหรอกหรือ

เหตุใดพอเรื่องเข้ามาในหัวแล้ว สมองของเขากลับเกิดความคิดที่ไม่ได้ประโยชน์สักทางขึ้นมาได้

เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่น

ไหวซานเดินไปที่ประตูแล้วก็เดินกลับมา กล่าวขึ้นว่า “ป้าซางบอกว่า คุณหนูรองไปหาแม่นางจี๋อิ๋งที่ห้องขอรับ”

………………………………………..

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+