ยามดอกวสันต์ผลิบาน 269 ย้ายบ้าน

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 269 ย้ายบ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ต้มจืดเต้าหูรวมมิตร หมูสับก้อนต้มซีอิ๊ว หน่อไม้ตุ๋น กุ้งผัดใบชาหลงจิ่ง ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน และต้มจืดลูกชิ้นปลา…กับข้าวเต็มโต๊ะ โดยมากล้วนเป็นอาหารรสจืด และก็เป็นอาหารที่โจวเสาจิ่นชอบกินด้วย โดยเฉพาะหมูสับก้อนต้มซีอิ๊วจานนั้น แต่ละลูกขนาดใหญ่เท่าจอกชาเล็ก ซึ่งเป็นแบบที่นางมักจะบอกให้ห้องครัวเล็กของเรือนหว่านเซียงทำให้นาง

นี่ตั้งใจทำให้นางเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ

“ฮูหยินผู้เฒ่า…” โจวเสาจิ่นถือตะเกียบไว้ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่งสัญญาณให้เจินจูที่ดูแลเติมกับข้าวอยู่ข้างๆ คีบหมูสับก้อนต้มซีอิ๊วลูกหนึ่งวางในชามของโจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อไปเจ้ายังต้องอยู่ที่เรือนหานปี้ซานไปอีกหลายปี ชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร เจ้าต้องเอ่ยปากบอกข้าถึงจะถูก หาไม่แล้วคนที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนก็จะเป็นตัวเจ้าเอง เข้าใจหรือไม่”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มพลางชี้ไปที่ชามของนาง กล่าวเสียงนุ่มว่า “รีบกินเถิด! ข้ายังให้ในครัวทำขนมวุ้นใสให้ด้วย หลังจากวันนี้ไป เจ้าอยากกินอะไรก็เขียนรายการอาหารส่งไปที่ห้องครัวได้เลย ประเดี๋ยวข้าจะไปดูที่เรือนฝูชุ่ยพร้อมเจ้าด้วย! ไม่รู้ว่าพวกนางเก็บกวาดเป็นอย่างไรบ้าง”

“ห้องหับเก็บกวาดได้สะอาดยิ่งนักเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “พวกชุนหว่านนำข้าวของออกมาจัดวางเสร็จตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะได้ไปเดินย่อยเป็นเพื่อนท่านพอดีด้วยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ

นางเลี้ยงหลานสาวมากับมือถึงสามคน เฉิงเจิงระมัดระวัง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่เคยให้นางต้องเป็นห่วง เฉิงเซียวเก็บอารมณ์เก่ง มีอะไรก็มักจะเก็บเอาไว้ในใจ ส่วนเฉิงเซิงมีชีวิตชีวา แต่ก็มีชีวิตชีวามากเกินไป บางครั้งเสียงดังจนนางปวดหัวไปหมด โจวเสาจิ่นกลับอยู่ตรงกลางระหว่างพวกนางสามคน กำลังพอดี

ไม่อ้าปากพูดเวลากิน เวลานอนก็เข้านอนตามเวลา

หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปที่เรือนฝูชุ่ย

เครื่องเรือนลงน้ำมันเงาสีดำ ฉากกั้นแขวนผ้าม่านทำจากผ้าไหมหังโจวสีเขียวเข้ม แจกันกระเบื้องสีขาวนวล จอกชาเคลือบหลากสี หน้าโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ข้างหน้าต่างยังวางแจกันปากแคบหรู่เหยาปักดอกอวี้หลานเอาไว้ด้วย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจเล็กน้อย

แจกันสีขาวนวลและจอกชาเคลือบหลากสีพวกนั้นเพิ่งจะเป็นที่นิยมในสองปีมานี้เอง คนรุ่นเก่าไม่ชอบที่พวกมันไม่มีรายละเอียด เรียบง่ายเกินไปหรือไม่ก็ตามสมัยนิยมเกินไป แต่คนรุ่นหลังกลับชอบที่พวกมันดูสดใสมีชีวิตชีวา

ถึงแม้นางจะสั่งให้สื่อมามารับรองโจวเสาจิ่นให้ดี ทว่าก็ไม่ได้บอกว่าต้องรับรองอย่างไร ตามสายตาของสื่อมามาแล้ว เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าน่าจะไปเปิดคลังเก็บของแล้วหยิบเอาเครื่องกระเบื้องเคลือบหลากสี และกระถางเผิงจิ่งหยกที่ค่อนข้างมีค่าออกมารับรองแขกมากกว่า

ของตกแต่งที่ดูสุขุมทว่าไม่ขาดความสดใสเช่นนี้ไม่มีทางเป็นการออกแบบของสื่อมามาไปได้

แต่อยู่ต่อหน้าโจวเสาจิ่นเช่นนี้นางไม่อาจถามอะไรมากได้

หลังจากนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของเรือนฝูชุ่ยได้ครู่หนึ่งแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ลุกขึ้นขอตัว

โจวเสาจิ่นไปส่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวจนถึงหน้าประตูถึงได้หมุนตัวกลับ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงียบมาตลอดทางจนกลับมาถึงเรือนหลัก

สื่อมามาที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นว่าเมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังดีๆ อยู่ แต่พอไปดูที่พักของโจวเสาจิ่นแล้วอารมณ์ก็ดูหดหู่ลงเล็กน้อย นางอดไม่สบายใจไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเจินจูประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นเรียบร้อยแล้ว นางจึงรีบรับเอาน้ำชาที่สาวใช้เด็กยกเข้ามา แล้วยกไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยตัวเอง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจิบชาไปคำหนึ่ง สั่งให้เจินจูและคนอื่นๆ ออกไป ถามนางว่า “ที่พักของคุณหนูรองนั้น เจ้าเป็นคนจัดเตรียมด้วยตัวเองหรือ”

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง

สื่อมามารู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่ง

เริ่มแรกนางเองก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ฉินจื่อผิงบอกว่า นี่เป็นความคิดของนายท่านสี่ นางก็เลยปล่อยให้พวกเขาไปจัดการตามที่ต้องการ

“มิใช่เจ้าค่ะ” สื่อมามากล่าวยิ้มๆ “เป็นความคิดของพ่อบ้านฉินคนข้างกายของนายท่านสี่เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขมวดคิ้วมุ่น ให้สื่อมามาออกไป นั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังเงียบๆ ครู่หนึ่ง ถึงได้เรียกเจินจูเข้ามาปรนนิบัตินางพักผ่อน

โจวเสาจิ่นกลับนอนกลิ้งอยู่บนเตียงอย่างมีความสุข

เตียงหลังนี้นางก็ชอบมากเช่นกัน

เป็นเตียงเคลือบเงาขนาดเล็ก หัวเตียงมีลิ้นชักเล็กๆ จำนวนมาก ทำให้วางของได้มากมาย

ยังมีแผ่นรองเตียงนุ่น ปูทับเอาไว้หลายชั้น เมื่อเอนตัวนอนลงไปแล้วนุ่มยิ่งนัก ราวกับนอนอยู่บนปุยเมฆ ไม่เหมือนเตียงที่เรือนหว่านเซียง ค่อนข้างแข็ง ถึงแม้จะบอกว่านอนแล้วดีต่อสุขภาพ แต่นางชื่นชอบเตียงนุ่มๆ มากกว่า ชาติก่อนหลังจากที่นางย้ายไปอยู่บ้านสวนที่ต้าซิ่งแล้วก็ให้คนยัดนุ่นทำแผ่นรองเตียงสี่ชั้น แล้วปูทั้งหมดลงบนตั่งนอน

ชุนหว่านเห็นแล้วก็ปิดปากหัวเราะไม่หยุด พลางกล่าว “คุณหนูรอง ดอกไม้ที่ท่านทิ้งไว้ที่เรือนหว่านเซียงนั้นต้องการให้ย้ายมาที่นี่หรือไม่เจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยขึ้นมา

เดิมทีนางคิดเอาไว้ว่า ดอกไม้เป็นอะไรที่เปราะบาง หลังจากพี่สาวแต่งงานแล้วหากนางได้อยู่ที่เรือนเจียซู่ต่อ ก็ยังไม่ต้องไปเคลื่อนย้ายดอกไม้เหล่านั้น แต่ถ้าได้ตามหลี่ซื่อกลับไปที่เป่าติ้ง นางย้ายพวกมันออกจากซอยจิ่วหรูก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควร

แต่ตอนนี้ นางเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน ของบางอย่างยังอยู่ที่เรือนหว่านเซียง เมื่อครู่ท่านยายยังบอกให้นางกลับไปพักที่เรือนหว่านเซียงบ้างอยู่เลย หากยังไม่ทันไรนางก็ไปย้ายของออกจากเรือนหว่านเซียงแล้ว…ย่อมทำให้คนรู้สึกว่าไม่แยแสผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ คงจะย้ายดอกไม้พวกนั้นกลับไปที่ถนนผิงเฉียวตั้งแต่แรกไปแล้ว

มาพูดเรื่องนี้เอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว

“คงได้แต่ต้องหาโอกาสค่อยๆ ไปเคลื่อนย้ายออกมาทีละนิดในวันข้างหน้าแล้ว” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก

ชุนหว่านรับคำยิ้มๆ พลางช่วยโจวเสาจิ่นถอดปิ่นปักผม

โจวเสาจิ่นนอนหลับสนิทตลอดคืนโดยไม่ฝันอะไรเลยจนถึงเช้า

มีความเคลื่อนไหวมาจากทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว

นางจึงรีบลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้า

ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูใจเย็นๆ เจ้าค่ะ! ตอนที่ท่านยังไม่ตื่นแม่นางเจินจูได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่ามาบอกว่าให้ท่านไม่ต้องไปคารวะยามเช้าก็ได้ ทุกเช้ายามซื่อเจิ้ง[1]ไปสวดพระธรรมเป็นเพื่อนนางที่ห้องพระสองม้วนก็พอเจ้าค่ะ”

“จะให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” โจวเสาจิ่นยังคงเร่งให้ชุนหว่านรีบช่วยนางล้างหน้าและแต่งตัว

ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็ถามแม่นางปี้อวี้กับแม่นางเจินจูแล้ว บอกว่าเมื่อก่อนตอนที่คุณหนูเซิงอยู่ก็เป็นเช่นนี้ ยังบอกอีกว่า หลายปีมานี้บางครั้งฮูหยินผู้เฒ่าตื่นเช้ามาก็มักจะเอนกายนอนครุ่นคิดอะไรอยู่บนเตียงไปกว่าครึ่งค่อนวัน คาดว่านางเองก็ไม่อยากให้มีใครไปรบกวนเช่นกัน ข้าว่าคุณหนูรองเองก็ควรจะทำตามที่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการโดยไปสวดพระธรรมเป็นเพื่อนนางที่ห้องพระวันละสองม้วนก็พอเจ้าค่ะ”

เพิ่งจะมาถึง ก็ไม่รู้ว่าคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นจริงหรือเท็จ แต่ในเมื่อปี้อวี้และเจินจูต่างพูดเช่นนี้ นางก็ทำตามอย่างเชื่อฟังก็แล้วกัน

โจวเสาจิ่นจึงผ่อนคลายลงมา

ชุนหว่านหยิบรายการอาหารสีแดงสดเหลือบทองมาให้นาง “คุณหนูรอง ท่านดูสิเจ้าคะ! นี่เป็นรายการอาหารที่ในครัวส่งมาให้ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้ บอกว่านี่เป็นรายการอาหารที่จัดเตรียมกันตามปกติ พวกเราอยากกินอะไรก็ให้ทำเครื่องหมายลงบนรายการอาหารนี้ก็ได้แล้ว แต่ถ้ามีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษแล้วไม่มีอยู่ในรายการอาหารใบนี้ ก็ให้ท่านส่งคนไปบอกที่ห้องครัว พวกเขาจะเปลี่ยนรายการอาหารมาให้เจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นเปิดดู เต้าฮวยทรงเครื่องกับขนมวุ้นใสที่นางชอบล้วนอยู่ในรายการอาหารแล้ว

นางถือรายการอาหารเอาไว้พลางดูอย่างอดไม่ได้

แม้แต่รอยยับย่นสักรอยก็ไม่มี เห็นได้ชัดว่าเป็นของใหม่

นี่ไม่น่าจะเป็นของที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจัดเตรียมมาให้หรอกกระมัง

แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่อมจะดูแลนางเป็นอย่างดี แต่นางอายุมากแล้ว ไม่น่าจะคิดละเอียดจนถึงข้อนี้ได้

หรือว่าจะเป็นสื่อมามา?

แต่แจกันสีขาวนวลและจอกชาเคลือบหลากสีพวกนั้นน่าจะเป็นของที่ซื้อมาใหม่ทั้งหมด นางไม่น่าจะมีอำนาจมากถึงเพียงนั้นถึงจะถูก

หรือว่า…จะเป็นท่านน้าฉือ!

แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้!

ท่านน้าฉือไม่อยู่บ้าน นางย้ายเข้ามาอยู่แล้วเขาก็ยังไม่รู้เลย นอกจากนี้สาเหตุที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตกลงให้นางย้ายเข้ามาที่นี่เร็วถึงเพียงนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเกิดเรื่องของเฉิงอี้ขึ้นอย่างกะทันหัน…ไม่รู้ว่าตอนนั้นเฉิงอี้พูดอะไรกับจี๋อิ๋งไปบ้าง ถึงกับทำให้จี๋อิ๋งโกรธมากจนเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ โชคดีที่คนที่โดนตีเป็นเฉิงอี้ หากเป็นคนจากจวนรอง จวนสามหรือว่าจวนห้าล่ะก็ ต่อให้จี๋อิ๋งจะเป็นสาวใช้ของท่านน้าฉือ ต่อให้จี๋อิ๋งจะไม่ผิด แต่ก็เกรงว่าคงไม่ปล่อยไปเช่นนี้แน่

รอให้จี๋อิ๋งกลับมาแล้วนางต้องเตือนจี๋อิ๋งสักหน่อยถึงจะถูก

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ในใจ หลังจากรับมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังถือแว่นตาเอนกายอ่านหนังสืออยู่บนตั่งหลัวฮั่น

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ให้ข้าอ่านให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”

ชาติก่อน นางเห็นมู่อี๋เหนียงอ่านหนังสือให้มารดาของหลินซื่อเซิ่งอยู่บ่อยๆ มารดาหลินที่แต่เดิมไม่เห็นด้วยให้หลินซื่อเซิ่งรับมู่อี๋เหนียงมาเป็นอนุภรรยาก็ค่อยๆ ถูกมู่อี๋เหนียงจับจนอยู่หมัดด้วยประการฉะนี้

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า ยื่นหนังสือส่งให้โจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นเพียงมองก็เห็นว่าเป็นหนังสือบันทึกการเดินทาง ตัวเองก็รู้สึกสนใจขึ้นมา นั่งอ่านอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นมา

น้ำเสียงของนางอ่อนหวานแล้วก็ไม่ขาดความอ่อนโยน น่าฟังยิ่งนัก

ลำแสงของยามเช้าตกกระทบอยู่บนเรือนร่างของนาง ราวกับร่างของนางถูกย้อมด้วยละอองสีทองเอาไว้หนึ่งชั้นก็ไม่ปาน ท่าทางเงียบสงบนั้นยิ่งทำให้นางดูสง่างามมากกว่ายามปกติ

นับว่าเป็นคนงามผู้หนึ่งจริงๆ!

ไม่รู้ว่าผู้ใดจะมีวาสนาได้สู่ขอนางไปเป็นภรรยา!

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบชื่นชมอยู่ในใจครั้งหนึ่ง

สื่อมามาเดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า

โจวเสาจิ่นรีบหยุดเสียงลง วางหนังสือลงแล้วลุกขึ้น เอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ข้าจะไปชงชามาให้ท่านใหม่นะเจ้าคะ”

“ไม่ต้องแล้ว ชายังร้อนอยู่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวจบ ก็ถามสื่อมามาว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร”

ความหมายก็คือไม่จำเป็นต้องปิดบังโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้มองนางเป็นคนนอก

สื่อมามากลับรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ กล่าวขึ้นว่า “จวนเหลียงกั๋วกงส่งเทียบยินดีมาให้แล้วเจ้าค่ะ”

งานแต่งของจูเผิงจวี่ผู้เป็นซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงกับคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลิวถูกกำหนดให้ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนห้า

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าช่วยไปเตรียมของขวัญให้ข้าสองชิ้น ชิ้นหนึ่งส่งไปที่จวนเหลียงกั๋วกง ส่วนอีกชิ้นส่งไปที่ตระกูลหลิว แต่ละจวนส่งไปยี่สิบเหลี่ยงก็พอ!”

น้อยขนาดนี้เชียว!

ตอนที่ซือเซียงออกเรือน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังมอบเงินให้ซือเซียงเป็นสินติดตัวถึงยี่สิบเหลี่ยงแล้ว

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวขึ้นว่า “จวนเหลียงกั๋วกงกับตระกูลหลิวล้วนไปมาหาสู่กับตระกูลเฉิงอยู่บ่อยๆ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างน้าฉือของเจ้ากับซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงก็ไม่เลว ซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงแต่งภรรยาอีกครั้ง น้าฉือของเจ้าย่อมต้องมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้อย่างแน่นอน ส่วนของข้าก็เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น แต่น้าฉือของเจ้ากับตระกูลหลิวไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน อีกทั้งตระกูลหลิวก็เป็นการแต่งบุตรสาวออกไป น้าฉือของเจ้ายังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่มีภรรยา จึงไม่จำเป็นต้องมอบของขวัญเจ้าสาวให้กับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิว ข้าออกหน้าทำเป็นพิธีให้ครั้งหนึ่งก็พอแล้ว”

โจวเสาจิ่นน้อมรับการสั่งสอน

ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะร่า ลุกขึ้นเตรียมตัวจะไปสวดพระธรรมที่ห้องพระ

โจวเสาจิ่นปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปลี่ยนชุด

ทันใดนั้นก็มีเสียงอึกทึกดังเข้ามาจากด้านนอกครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับมีสีหน้าเคร่งขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอะไรเจินจูก็เลิกผ้าม่านขึ้นออกไปแล้ว กระทั่งเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจบลง นางก็ย้อนกลับเข้ามาอย่างร้อนรน กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เป็นฮูหยินใหญ่เวิ่นของจวนห้า ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร ได้มามาข้างกายประคองเข้ามาด้วยอาการร้องไห้ฟูมฟายเจ้าค่ะ”

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่งไม่น่าดูแล้ว

เจินจูเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านจะไปห้องพระก่อนหรือไม่เจ้าคะ นี่ก็ถึงเวลาสวดพระธรรมแล้วเจ้าค่ะ”

นี่เป็นการให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลบออกไปก่อน

เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะได้ตอบอะไร ฮูหยินใหญ่เวิ่นก็ยื่นศีรษะพรวดเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวพร้อมกับกอดขาฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมา “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ! หลานเวิ่นของท่าน เขา…เขาจะฆ่าข้าเจ้าค่ะ!”

…………………………………………………………

[1] ยามซื่อเจิ้ง เวลาสิบนาฬิกา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยามดอกวสันต์ผลิบาน 269 ย้ายบ้าน

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 269 ย้ายบ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ต้มจืดเต้าหูรวมมิตร หมูสับก้อนต้มซีอิ๊ว หน่อไม้ตุ๋น กุ้งผัดใบชาหลงจิ่ง ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน และต้มจืดลูกชิ้นปลา…กับข้าวเต็มโต๊ะ โดยมากล้วนเป็นอาหารรสจืด และก็เป็นอาหารที่โจวเสาจิ่นชอบกินด้วย โดยเฉพาะหมูสับก้อนต้มซีอิ๊วจานนั้น แต่ละลูกขนาดใหญ่เท่าจอกชาเล็ก ซึ่งเป็นแบบที่นางมักจะบอกให้ห้องครัวเล็กของเรือนหว่านเซียงทำให้นาง

นี่ตั้งใจทำให้นางเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ

“ฮูหยินผู้เฒ่า…” โจวเสาจิ่นถือตะเกียบไว้ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่งสัญญาณให้เจินจูที่ดูแลเติมกับข้าวอยู่ข้างๆ คีบหมูสับก้อนต้มซีอิ๊วลูกหนึ่งวางในชามของโจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อไปเจ้ายังต้องอยู่ที่เรือนหานปี้ซานไปอีกหลายปี ชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร เจ้าต้องเอ่ยปากบอกข้าถึงจะถูก หาไม่แล้วคนที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนก็จะเป็นตัวเจ้าเอง เข้าใจหรือไม่”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มพลางชี้ไปที่ชามของนาง กล่าวเสียงนุ่มว่า “รีบกินเถิด! ข้ายังให้ในครัวทำขนมวุ้นใสให้ด้วย หลังจากวันนี้ไป เจ้าอยากกินอะไรก็เขียนรายการอาหารส่งไปที่ห้องครัวได้เลย ประเดี๋ยวข้าจะไปดูที่เรือนฝูชุ่ยพร้อมเจ้าด้วย! ไม่รู้ว่าพวกนางเก็บกวาดเป็นอย่างไรบ้าง”

“ห้องหับเก็บกวาดได้สะอาดยิ่งนักเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “พวกชุนหว่านนำข้าวของออกมาจัดวางเสร็จตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะได้ไปเดินย่อยเป็นเพื่อนท่านพอดีด้วยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ

นางเลี้ยงหลานสาวมากับมือถึงสามคน เฉิงเจิงระมัดระวัง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่เคยให้นางต้องเป็นห่วง เฉิงเซียวเก็บอารมณ์เก่ง มีอะไรก็มักจะเก็บเอาไว้ในใจ ส่วนเฉิงเซิงมีชีวิตชีวา แต่ก็มีชีวิตชีวามากเกินไป บางครั้งเสียงดังจนนางปวดหัวไปหมด โจวเสาจิ่นกลับอยู่ตรงกลางระหว่างพวกนางสามคน กำลังพอดี

ไม่อ้าปากพูดเวลากิน เวลานอนก็เข้านอนตามเวลา

หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปที่เรือนฝูชุ่ย

เครื่องเรือนลงน้ำมันเงาสีดำ ฉากกั้นแขวนผ้าม่านทำจากผ้าไหมหังโจวสีเขียวเข้ม แจกันกระเบื้องสีขาวนวล จอกชาเคลือบหลากสี หน้าโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ข้างหน้าต่างยังวางแจกันปากแคบหรู่เหยาปักดอกอวี้หลานเอาไว้ด้วย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจเล็กน้อย

แจกันสีขาวนวลและจอกชาเคลือบหลากสีพวกนั้นเพิ่งจะเป็นที่นิยมในสองปีมานี้เอง คนรุ่นเก่าไม่ชอบที่พวกมันไม่มีรายละเอียด เรียบง่ายเกินไปหรือไม่ก็ตามสมัยนิยมเกินไป แต่คนรุ่นหลังกลับชอบที่พวกมันดูสดใสมีชีวิตชีวา

ถึงแม้นางจะสั่งให้สื่อมามารับรองโจวเสาจิ่นให้ดี ทว่าก็ไม่ได้บอกว่าต้องรับรองอย่างไร ตามสายตาของสื่อมามาแล้ว เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าน่าจะไปเปิดคลังเก็บของแล้วหยิบเอาเครื่องกระเบื้องเคลือบหลากสี และกระถางเผิงจิ่งหยกที่ค่อนข้างมีค่าออกมารับรองแขกมากกว่า

ของตกแต่งที่ดูสุขุมทว่าไม่ขาดความสดใสเช่นนี้ไม่มีทางเป็นการออกแบบของสื่อมามาไปได้

แต่อยู่ต่อหน้าโจวเสาจิ่นเช่นนี้นางไม่อาจถามอะไรมากได้

หลังจากนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของเรือนฝูชุ่ยได้ครู่หนึ่งแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ลุกขึ้นขอตัว

โจวเสาจิ่นไปส่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวจนถึงหน้าประตูถึงได้หมุนตัวกลับ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงียบมาตลอดทางจนกลับมาถึงเรือนหลัก

สื่อมามาที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นว่าเมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังดีๆ อยู่ แต่พอไปดูที่พักของโจวเสาจิ่นแล้วอารมณ์ก็ดูหดหู่ลงเล็กน้อย นางอดไม่สบายใจไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเจินจูประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นเรียบร้อยแล้ว นางจึงรีบรับเอาน้ำชาที่สาวใช้เด็กยกเข้ามา แล้วยกไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยตัวเอง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจิบชาไปคำหนึ่ง สั่งให้เจินจูและคนอื่นๆ ออกไป ถามนางว่า “ที่พักของคุณหนูรองนั้น เจ้าเป็นคนจัดเตรียมด้วยตัวเองหรือ”

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง

สื่อมามารู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่ง

เริ่มแรกนางเองก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ฉินจื่อผิงบอกว่า นี่เป็นความคิดของนายท่านสี่ นางก็เลยปล่อยให้พวกเขาไปจัดการตามที่ต้องการ

“มิใช่เจ้าค่ะ” สื่อมามากล่าวยิ้มๆ “เป็นความคิดของพ่อบ้านฉินคนข้างกายของนายท่านสี่เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขมวดคิ้วมุ่น ให้สื่อมามาออกไป นั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังเงียบๆ ครู่หนึ่ง ถึงได้เรียกเจินจูเข้ามาปรนนิบัตินางพักผ่อน

โจวเสาจิ่นกลับนอนกลิ้งอยู่บนเตียงอย่างมีความสุข

เตียงหลังนี้นางก็ชอบมากเช่นกัน

เป็นเตียงเคลือบเงาขนาดเล็ก หัวเตียงมีลิ้นชักเล็กๆ จำนวนมาก ทำให้วางของได้มากมาย

ยังมีแผ่นรองเตียงนุ่น ปูทับเอาไว้หลายชั้น เมื่อเอนตัวนอนลงไปแล้วนุ่มยิ่งนัก ราวกับนอนอยู่บนปุยเมฆ ไม่เหมือนเตียงที่เรือนหว่านเซียง ค่อนข้างแข็ง ถึงแม้จะบอกว่านอนแล้วดีต่อสุขภาพ แต่นางชื่นชอบเตียงนุ่มๆ มากกว่า ชาติก่อนหลังจากที่นางย้ายไปอยู่บ้านสวนที่ต้าซิ่งแล้วก็ให้คนยัดนุ่นทำแผ่นรองเตียงสี่ชั้น แล้วปูทั้งหมดลงบนตั่งนอน

ชุนหว่านเห็นแล้วก็ปิดปากหัวเราะไม่หยุด พลางกล่าว “คุณหนูรอง ดอกไม้ที่ท่านทิ้งไว้ที่เรือนหว่านเซียงนั้นต้องการให้ย้ายมาที่นี่หรือไม่เจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยขึ้นมา

เดิมทีนางคิดเอาไว้ว่า ดอกไม้เป็นอะไรที่เปราะบาง หลังจากพี่สาวแต่งงานแล้วหากนางได้อยู่ที่เรือนเจียซู่ต่อ ก็ยังไม่ต้องไปเคลื่อนย้ายดอกไม้เหล่านั้น แต่ถ้าได้ตามหลี่ซื่อกลับไปที่เป่าติ้ง นางย้ายพวกมันออกจากซอยจิ่วหรูก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควร

แต่ตอนนี้ นางเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน ของบางอย่างยังอยู่ที่เรือนหว่านเซียง เมื่อครู่ท่านยายยังบอกให้นางกลับไปพักที่เรือนหว่านเซียงบ้างอยู่เลย หากยังไม่ทันไรนางก็ไปย้ายของออกจากเรือนหว่านเซียงแล้ว…ย่อมทำให้คนรู้สึกว่าไม่แยแสผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ คงจะย้ายดอกไม้พวกนั้นกลับไปที่ถนนผิงเฉียวตั้งแต่แรกไปแล้ว

มาพูดเรื่องนี้เอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว

“คงได้แต่ต้องหาโอกาสค่อยๆ ไปเคลื่อนย้ายออกมาทีละนิดในวันข้างหน้าแล้ว” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก

ชุนหว่านรับคำยิ้มๆ พลางช่วยโจวเสาจิ่นถอดปิ่นปักผม

โจวเสาจิ่นนอนหลับสนิทตลอดคืนโดยไม่ฝันอะไรเลยจนถึงเช้า

มีความเคลื่อนไหวมาจากทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว

นางจึงรีบลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้า

ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูใจเย็นๆ เจ้าค่ะ! ตอนที่ท่านยังไม่ตื่นแม่นางเจินจูได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่ามาบอกว่าให้ท่านไม่ต้องไปคารวะยามเช้าก็ได้ ทุกเช้ายามซื่อเจิ้ง[1]ไปสวดพระธรรมเป็นเพื่อนนางที่ห้องพระสองม้วนก็พอเจ้าค่ะ”

“จะให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” โจวเสาจิ่นยังคงเร่งให้ชุนหว่านรีบช่วยนางล้างหน้าและแต่งตัว

ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็ถามแม่นางปี้อวี้กับแม่นางเจินจูแล้ว บอกว่าเมื่อก่อนตอนที่คุณหนูเซิงอยู่ก็เป็นเช่นนี้ ยังบอกอีกว่า หลายปีมานี้บางครั้งฮูหยินผู้เฒ่าตื่นเช้ามาก็มักจะเอนกายนอนครุ่นคิดอะไรอยู่บนเตียงไปกว่าครึ่งค่อนวัน คาดว่านางเองก็ไม่อยากให้มีใครไปรบกวนเช่นกัน ข้าว่าคุณหนูรองเองก็ควรจะทำตามที่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการโดยไปสวดพระธรรมเป็นเพื่อนนางที่ห้องพระวันละสองม้วนก็พอเจ้าค่ะ”

เพิ่งจะมาถึง ก็ไม่รู้ว่าคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นจริงหรือเท็จ แต่ในเมื่อปี้อวี้และเจินจูต่างพูดเช่นนี้ นางก็ทำตามอย่างเชื่อฟังก็แล้วกัน

โจวเสาจิ่นจึงผ่อนคลายลงมา

ชุนหว่านหยิบรายการอาหารสีแดงสดเหลือบทองมาให้นาง “คุณหนูรอง ท่านดูสิเจ้าคะ! นี่เป็นรายการอาหารที่ในครัวส่งมาให้ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้ บอกว่านี่เป็นรายการอาหารที่จัดเตรียมกันตามปกติ พวกเราอยากกินอะไรก็ให้ทำเครื่องหมายลงบนรายการอาหารนี้ก็ได้แล้ว แต่ถ้ามีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษแล้วไม่มีอยู่ในรายการอาหารใบนี้ ก็ให้ท่านส่งคนไปบอกที่ห้องครัว พวกเขาจะเปลี่ยนรายการอาหารมาให้เจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นเปิดดู เต้าฮวยทรงเครื่องกับขนมวุ้นใสที่นางชอบล้วนอยู่ในรายการอาหารแล้ว

นางถือรายการอาหารเอาไว้พลางดูอย่างอดไม่ได้

แม้แต่รอยยับย่นสักรอยก็ไม่มี เห็นได้ชัดว่าเป็นของใหม่

นี่ไม่น่าจะเป็นของที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจัดเตรียมมาให้หรอกกระมัง

แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่อมจะดูแลนางเป็นอย่างดี แต่นางอายุมากแล้ว ไม่น่าจะคิดละเอียดจนถึงข้อนี้ได้

หรือว่าจะเป็นสื่อมามา?

แต่แจกันสีขาวนวลและจอกชาเคลือบหลากสีพวกนั้นน่าจะเป็นของที่ซื้อมาใหม่ทั้งหมด นางไม่น่าจะมีอำนาจมากถึงเพียงนั้นถึงจะถูก

หรือว่า…จะเป็นท่านน้าฉือ!

แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้!

ท่านน้าฉือไม่อยู่บ้าน นางย้ายเข้ามาอยู่แล้วเขาก็ยังไม่รู้เลย นอกจากนี้สาเหตุที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตกลงให้นางย้ายเข้ามาที่นี่เร็วถึงเพียงนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเกิดเรื่องของเฉิงอี้ขึ้นอย่างกะทันหัน…ไม่รู้ว่าตอนนั้นเฉิงอี้พูดอะไรกับจี๋อิ๋งไปบ้าง ถึงกับทำให้จี๋อิ๋งโกรธมากจนเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ โชคดีที่คนที่โดนตีเป็นเฉิงอี้ หากเป็นคนจากจวนรอง จวนสามหรือว่าจวนห้าล่ะก็ ต่อให้จี๋อิ๋งจะเป็นสาวใช้ของท่านน้าฉือ ต่อให้จี๋อิ๋งจะไม่ผิด แต่ก็เกรงว่าคงไม่ปล่อยไปเช่นนี้แน่

รอให้จี๋อิ๋งกลับมาแล้วนางต้องเตือนจี๋อิ๋งสักหน่อยถึงจะถูก

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ในใจ หลังจากรับมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังถือแว่นตาเอนกายอ่านหนังสืออยู่บนตั่งหลัวฮั่น

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ให้ข้าอ่านให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”

ชาติก่อน นางเห็นมู่อี๋เหนียงอ่านหนังสือให้มารดาของหลินซื่อเซิ่งอยู่บ่อยๆ มารดาหลินที่แต่เดิมไม่เห็นด้วยให้หลินซื่อเซิ่งรับมู่อี๋เหนียงมาเป็นอนุภรรยาก็ค่อยๆ ถูกมู่อี๋เหนียงจับจนอยู่หมัดด้วยประการฉะนี้

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า ยื่นหนังสือส่งให้โจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นเพียงมองก็เห็นว่าเป็นหนังสือบันทึกการเดินทาง ตัวเองก็รู้สึกสนใจขึ้นมา นั่งอ่านอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นมา

น้ำเสียงของนางอ่อนหวานแล้วก็ไม่ขาดความอ่อนโยน น่าฟังยิ่งนัก

ลำแสงของยามเช้าตกกระทบอยู่บนเรือนร่างของนาง ราวกับร่างของนางถูกย้อมด้วยละอองสีทองเอาไว้หนึ่งชั้นก็ไม่ปาน ท่าทางเงียบสงบนั้นยิ่งทำให้นางดูสง่างามมากกว่ายามปกติ

นับว่าเป็นคนงามผู้หนึ่งจริงๆ!

ไม่รู้ว่าผู้ใดจะมีวาสนาได้สู่ขอนางไปเป็นภรรยา!

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบชื่นชมอยู่ในใจครั้งหนึ่ง

สื่อมามาเดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า

โจวเสาจิ่นรีบหยุดเสียงลง วางหนังสือลงแล้วลุกขึ้น เอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ข้าจะไปชงชามาให้ท่านใหม่นะเจ้าคะ”

“ไม่ต้องแล้ว ชายังร้อนอยู่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวจบ ก็ถามสื่อมามาว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร”

ความหมายก็คือไม่จำเป็นต้องปิดบังโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้มองนางเป็นคนนอก

สื่อมามากลับรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ กล่าวขึ้นว่า “จวนเหลียงกั๋วกงส่งเทียบยินดีมาให้แล้วเจ้าค่ะ”

งานแต่งของจูเผิงจวี่ผู้เป็นซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงกับคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลิวถูกกำหนดให้ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนห้า

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าช่วยไปเตรียมของขวัญให้ข้าสองชิ้น ชิ้นหนึ่งส่งไปที่จวนเหลียงกั๋วกง ส่วนอีกชิ้นส่งไปที่ตระกูลหลิว แต่ละจวนส่งไปยี่สิบเหลี่ยงก็พอ!”

น้อยขนาดนี้เชียว!

ตอนที่ซือเซียงออกเรือน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังมอบเงินให้ซือเซียงเป็นสินติดตัวถึงยี่สิบเหลี่ยงแล้ว

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวขึ้นว่า “จวนเหลียงกั๋วกงกับตระกูลหลิวล้วนไปมาหาสู่กับตระกูลเฉิงอยู่บ่อยๆ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างน้าฉือของเจ้ากับซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงก็ไม่เลว ซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงแต่งภรรยาอีกครั้ง น้าฉือของเจ้าย่อมต้องมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้อย่างแน่นอน ส่วนของข้าก็เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น แต่น้าฉือของเจ้ากับตระกูลหลิวไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน อีกทั้งตระกูลหลิวก็เป็นการแต่งบุตรสาวออกไป น้าฉือของเจ้ายังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่มีภรรยา จึงไม่จำเป็นต้องมอบของขวัญเจ้าสาวให้กับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิว ข้าออกหน้าทำเป็นพิธีให้ครั้งหนึ่งก็พอแล้ว”

โจวเสาจิ่นน้อมรับการสั่งสอน

ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะร่า ลุกขึ้นเตรียมตัวจะไปสวดพระธรรมที่ห้องพระ

โจวเสาจิ่นปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปลี่ยนชุด

ทันใดนั้นก็มีเสียงอึกทึกดังเข้ามาจากด้านนอกครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับมีสีหน้าเคร่งขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอะไรเจินจูก็เลิกผ้าม่านขึ้นออกไปแล้ว กระทั่งเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจบลง นางก็ย้อนกลับเข้ามาอย่างร้อนรน กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เป็นฮูหยินใหญ่เวิ่นของจวนห้า ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร ได้มามาข้างกายประคองเข้ามาด้วยอาการร้องไห้ฟูมฟายเจ้าค่ะ”

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่งไม่น่าดูแล้ว

เจินจูเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านจะไปห้องพระก่อนหรือไม่เจ้าคะ นี่ก็ถึงเวลาสวดพระธรรมแล้วเจ้าค่ะ”

นี่เป็นการให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลบออกไปก่อน

เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะได้ตอบอะไร ฮูหยินใหญ่เวิ่นก็ยื่นศีรษะพรวดเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวพร้อมกับกอดขาฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมา “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ! หลานเวิ่นของท่าน เขา…เขาจะฆ่าข้าเจ้าค่ะ!”

…………………………………………………………

[1] ยามซื่อเจิ้ง เวลาสิบนาฬิกา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+