ยามดอกวสันต์ผลิบาน 382 ปฏิเสธ

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 382 ปฏิเสธ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่งมู่นั่งเงียบๆ ไปครู่หนึ่ง ก็เห็นโจวเสาจิ่นเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้หนึ่งคน

เขายิ้มน้อยๆ พร้อมกับลุกขึ้นมา

กิริยาสงบนิ่ง มารยาทสง่างาม

ชุนหว่านอดไม่ได้มองเขาเพิ่มอีกสองสามครั้ง

ซ่งมู่สัมผัสได้ชัดเจนถึงความผิดปรกติของชุนหว่าน

หรือว่าที่คุณหนูรองตระกูลโจวเดินออกไปนี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พวกเขากำลังดูตัวกันอยู่นี้? ไม่อย่างนั้นสาวใช้ข้างกายที่เมื่อครู่ไม่ชำเลืองมองเขาเลยแม้แต่นิดเดียวนั้นจะมองเขาเช่นนี้ได้อย่างไร!

เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณหนูรองตระกูลโจวเสาจิ่นจะคิดอย่างไรบ้างเท่านั้น

หัวใจของเขารู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา ฉับพลันนั้นรู้สึกไม่กล้ามองโจวเสาจิ่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงเลือกที่จะหันไปมองชุนหว่านแทน

ชุนหว่านย่อกายทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อมตามโจวเสาจิ่น เผยรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา

ซ่งมู่ลอบถอนหายใจออกมายาวๆ ครั้งหนึ่ง สัมผัสได้ว่าดูเหมือนสถานการณ์จะเป็นผลดีต่อเขาอย่างไรอย่างนั้น หัวใจทั้งดวงจึงวางลงมาได้ หันไปมองโจวเสาจิ่นยิ้มๆ

สีหน้าของโจวเสาจิ่นยังคงซีดเซียวเล็กน้อย แต่ท่าทางกลับมาเป็นธรรมชาติดังเดิมแล้ว

นางนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ไม่มีบ่าวรับใช้อยู่ในลาน จึงสั่งการชุนหว่านว่า “ไปชงชามาให้คุณชายใหม่สักกาเถิด”

ชุนหว่านขานรับคำอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าค่ะ” แล้วหมุนกายออกไปที่ห้องน้ำชา

มุมปากของซ่งมู่ยกยิ้มขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่

โจวเสาจิ่นมองแล้วลอบถอนหายใจเงียบๆ ครั้งหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วเดินไปที่อ่างเลี้ยงปลา

ซ่งมู่จะสละที่นั่งให้นาง

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าเพียงมีเรื่องอยากคุยกับคุณชายซ่งสักสองสามประโยคเท่านั้น”

ถูกกั้นด้วยทางเดินเช่นนั้น ไม่ค่อยสะดวกนัก

เห็นได้ชัดว่าซ่งมู่เองก็เข้าใจแล้ว กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าขัดเขินเล็กน้อยว่า “เชิญคุณหนูรองกล่าวมาเถิด”

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เอ่ยถามขึ้นอย่างไตร่ตรองว่า “คุณชายทราบเจตนาของผู้ใหญ่หรือไม่เจ้าคะ”

สีหน้าของซ่งมู่พลันแดงก่ำจนคล้ายกับจะหลั่งโลหิตออกมาได้ พลางพยักหน้าน้อยๆ

“ก่อนข้ามาที่นี่ข้าไม่ทราบเรื่องมาก่อน” โจวเสาจิ่นกล่าวช้าๆ “หากข้ารู้ ข้าย่อมไม่มาอย่างแน่นอน…”

ซ่งมู่ตกตะลึงงัน ใบหน้าที่แดงก่ำนั้นค่อยๆ จางหายไป

โจวเสาจิ่นรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าจะไม่พูดก็ไม่ได้ “ข้ารู้ดีว่าเรื่องวิวาห์ของบุตรชายหญิงนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบิดามารดาและการทาบทามของพ่อสื่อแม่สื่อ แต่ในใจของข้ามีคนผู้หนึ่งอยู่แล้ว…มีเพียงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเขาเท่านั้น ข้าถึงจะไม่รู้สึกหวาดกลัว…ท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง…ถ่อมตัวระวังกิริยามารยาท อีกทั้งยังเป็นคนจิตใจดี ข้าจึงยิ่งไม่อาจหลอกลวงท่าน…เรื่องของพวกเราเป็นไปไม่ได้แล้ว ต่อไปท่านย่อมหาคนที่ดีกับท่านจริงๆ และให้เกียรติท่านอย่างจริงใจผู้นั้นพบอย่างแน่นอน…”

ซ่งมู่ราวกับถูกสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน

ในใจของข้ามีคนผู้หนึ่งอยู่แล้ว…มีเพียงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเขาเท่านั้น ข้าถึงจะไม่รู้สึกหวาดกลัว…

ในหัวของเขามีคำพูดสองประโยคนี้ไหลวนเวียนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นิ่งงันอย่างทึ่มทื่อไปครู่ใหญ่กว่าจะได้สติกลับคืนมา

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เขาพึมพำกล่าว ในใจสับสนวุ่นวายเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย มือเท้าชาไปหมดไม่รู้ว่าตนควรจะพูดหรือควรจะทำอะไรดี

โจวเสาจิ่นมองแล้วรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าใครที่ตั้งใจมาดูตัวด้วยความจริงใจทว่ากลับถูกฝ่ายหญิงปฏิเสธเช่นนี้ย่อมรู้สึกถูกหยามเกียรติอยู่แล้ว!

แต่นางไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไปเช่นนี้ได้

นางไม่คิดแต่งงานกับซ่งมู่ ตราบใดที่ตอนนี้นางยังรู้สึกคลุมเครือไม่ชัดเจนอยู่ เพราะครั้นทั้งสองตระกูลตกลงกันอย่างเป็นทางการแล้ว หากนางผิดคำพูด ไม่เพียงเป็นการทำร้ายซ่งมู่เท่านั้น ยังทำร้ายตระกูลโจวและตระกูลซ่งทั้งสองตระกูลรวมถึงเฉิงฉือที่ตั้งใจจัดเตรียมแผนการนี้ให้นางด้วย

แต่เหตุใดเขาถึงไม่บอกนางนะ

เขาอยากให้นางแต่งงานออกไปมากเพียงนั้นเชียวหรือ

โจวเสาจิ่นนึกถึงตรงนี้ ก็รู้สึกหัวใจแตกสลาย

นางไม่ควรชอบเฉิงฉือเลย

แต่เขาจะเห็นแก่ที่นางอายุยังน้อยอยู่ แล้วปล่อยให้นางอยู่ที่บ้านต่อไปอีกสักสองปีไม่ได้เลยหรือ

นี่เขาใช้มีดแทงตรงมาที่หน้าอกของนางชัดๆ

นางกล่าวเสียงเบาว่า “คุณชายซ่ง ข้าทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดต่อท่าน ท่านอยากจะทำเช่นไรกับข้าก็ได้ทั้งนั้น ทางด้านของนายท่านผู้เฒ่า ข้าจะไปกล่าวขอโทษเขาเอง ส่วนทางด้านของฮูหยิน ข้าก็จะไปกล่าวขอโทษด้วยเช่นกัน ข้าหวังว่าท่านจะไม่เคืองโกรธมากเกินไป ข้าไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ท่านต้องอับอาย หากข้าไม่พูดกับท่านให้ชัดเจนเสียแต่ตอนนี้ ต่อไปจะให้ข้าโกหกท่านไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ…”

เจ้ามั่นใจเพียงนั้นเชียวว่าข้าจะต้องชอบเจ้าแน่ๆ!

ซ่งมู่เดือดพล่านด้วยความโกรธ ยิ้มเย็นหมายจะถากถางโจวเสาจิ่นสักสองสามประโยค ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นใบหน้างดงามนั้นซีดเผือดและนองไปด้วยหยาดน้ำตา ทว่าก็เต็มไปด้วยความเสียใจอย่างสิ้นหวังเช่นกัน

เขาแข็งค้างไปชั่วขณะ

ซ่งมู่เติบโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยการแสดงออกทางสีหน้าเช่นนี้จากใบหน้าของผู้ใดมาก่อน

ราวกับว่าสิ้นใจด้วยความสิ้นหวังภายในหนึ่งลมหายใจได้ก็ไม่ปาน

เขาพูดตะกุกตะกักอย่างควบคุมไม่ได้ “ไม่ชอบก็แค่ไม่ชอบ เจ้า…เจ้าไม่เห็นจะต้องเป็นเช่นนี้…”

โจวเสาจิ่นอดทนเอาไว้น้ำตาถึงไม่ไหลออกมา

คนจิตใจดีมักจะถูกทำร้ายได้ง่าย แล้วก็มักจะให้อภัยผู้อื่นง่ายเช่นเดียวกัน!

“ข้าขอโทษๆ…” โจวเสาจิ่นเอ่ยซ้ำๆ “เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของข้าทั้งสิ้น…”

“ไม่เป็นไรๆ” ที่ผ่านมาไม่เคยมีสตรีมากล่าวขอโทษเขาเช่นนี้มาก่อน เขากล่าวขึ้นอย่างขัดเขินเล็กน้อยว่า “พวกเราพูดกันให้ชัดเจนก็ดีแล้ว…”

บนทางเดินมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ

ชุนหว่านยกน้ำชาเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม

โจวเสาจิ่นรีบหันหลังไปเช็ดน้ำตา

ซ่งมู่ไม่ได้กล่าวอะไร

ชุนหว่านวางน้ำชาและของว่างให้ซ่งมู่ใหม่อย่างเบามือเบาเท้า พร้อมกับครุ่นคิดว่าแค่ไปต้มน้ำชาเพียงหนึ่งกาเท่านั้น คุณหนูรองและคุณชายซ่งก็มายืนดูปลาด้วยกันเสียแล้ว นางถอยออกไปอย่างปิดความยินดีเอาไว้ไม่มิด

ซ่งมู่พลันรับรู้ได้ว่า เรื่องที่โจวเสาจิ่นปฏิเสธเขานั้น แม้แต่สาวใช้ข้างกายของนางก็ไม่รู้เรื่องด้วย

คนผู้นั้นเป็นใครกันนะ

เป็นคนที่ก็ชอบคุณหนูรองเหมือนกันหรือไม่

หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดยังมาขอให้มีการเกี่ยวดองครั้งนี้อยู่อีก?

หรือว่าบุรุษผู้นั้นจะเป็นคนไม่เอาไหน คุณหนูรองตระกูลโจวถูกหลอก?

หรือว่าจะเป็นเพราะครอบครัวของฝ่ายชายกับตระกูลโจวมีปัญหาขัดแย้งกัน ตระกูลโจวจึงไม่ยอมยกบุตรสาวให้แต่งกับเขา?

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องของคุณหนูรองตระกูลโจว ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา!

ในเมื่อคุณหนูรองตระกูลโจวทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ก็น่าจะรับผลราคาแพงที่จะตามมาได้กระมัง

จะว่าไปแล้ว การเกี่ยวดองในครั้งนี้เป็นท่านอาฉือที่เสนอขึ้นมาก่อน ตระกูลซ่งของพวกเขาได้รับความอับอายอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ด้วยนิสัยของบิดาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าจะช่วยหาตำแหน่งขุนนางให้ท่านอาฉือเลย ต่อไปจะต้องทำตัวเหินห่างกับท่านอาฉือเป็นแน่

จิตใจของซ่งมู่ค่อยๆ สงบลงมา

เขาลุกขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง ข้าจะไปดูว่าท่านปู่และท่านอาฉือคุยกันเสร็จหรือยัง”

โจวเสาจิ่นไหนเลยจะยังมีหน้าพูดอะไรได้อีก ยืนขึ้นอย่างนอบน้อม ย่อกายทำความเคารพ

ซ่งมู่ก้าวเท้ายาวเข้าไปในห้องโถง

ทว่ากลับหันศีรษะกลับมาอย่างห้ามไม่อยู่

แสงแดดของดวงตะวันในฤดูใบไม้ผลิสาดส่องอยู่บนร่างบอบบางอ่อนโยนดุจต้นหลิวของเด็กสาวผู้นั้น เป็นภาพย้อนแสงทำให้เห็นสีหน้าของนางไม่ชัดเจนนัก แต่ท่วงท่ากลับตั้งตรง ทำให้เขานึกถึงต้นฮว่าซู่[1]ที่เขาเห็นกลางทุ่งหิมะตอนที่ออกไปท่องเที่ยวกับบิดาในคราวนั้นขึ้นมา ดูสงบนิ่ง ทว่าก็มั่นคงและเข้มแข็ง

แล้วนางจะอธิบายกับตระกูลเฉิงว่าอย่างไร

ในเมื่อนางเป็นเพียงหลานสาวที่ไร้ซึ่งความสัมพันธ์ทางสายเลือดผู้หนึ่งของตระกูลเฉิงจวนสี่เท่านั้น!

ตระกูลเฉิงจะลงโทษนางอย่างไรบ้าง

ได้ยินมาว่าตระกูลที่เจียงหนานเหล่านั้นมักจะปฏิบัติกับเด็กสาวเช่นนางเหมือนกับเป็นหมูในอวยกันทั้งนั้น…

นางจะรู้หรือไม่ว่าตัวเองอาจจะต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายอย่างไรบ้าง

เท้าของซ่งมู่ราวกับถูกถ่วงด้วยเหล็ก รู้สึกยกไม่ขึ้นเล็กน้อย

เขาหมุนกายเดินกลับไปหาโจวเสาจิ่น

กล่าวกับตัวเองในใจว่า เขาไม่ได้คิดจะช่วยเหลือนาง เขาเพียงอยากรู้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร ผู้ที่ทำให้นางชื่นชอบจนกล้าที่จะพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย คล้ายกับแมลงเม่าที่บินเข้าหากองไฟเช่นนี้…เขาก็เพียงไม่อยากเห็นเด็กสาวผู้หนึ่งที่อายุน้อยยิ่งกว่าน้องสาวของเขาเสียอีกถูกผู้อื่นหลอกลวงก็เท่านั้น!

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง มองซ่งมู่ที่ยิ่งเดินก็ยิ่งใกล้นางเข้ามาเรื่อยๆ นั้นอย่างประหลาดใจ

ดวงตาดำตัดขาวชัดเจนของนางคู่นั้น กระจ่างใสแวววาวมากเสียจนคล้ายกับจะมองเห็นเงาร่างของเขาในนั้นได้

ซ่งมู่หันหน้าไปทางอื่น กล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้าเตรียมจะอธิบายให้ผู้ใหญ่ในบ้านฟังว่าอย่างไร”

“เอ๋!” ดวงตาของโจวเสาจิ่นเบิกกว้างยิ่งขึ้น

ซ่งมู่รู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “หรือเจ้าคิดจะบอกผู้ใหญ่ที่บ้านของเจ้าว่าในใจของเจ้ามีคนผู้หนึ่งอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่ชอบข้าอย่างนั้นหรือ หรือจะบอกว่าข้ามีข้อเสียอย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าก็เลยไม่อยากแต่งให้ข้าอย่างนั้นหรือ”

“มิใช่ๆ!” โจวเสาจิ่นเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา เอ่ยว่า “ข้าไม่มีทางลากท่านเข้ามาเกี่ยวด้วยอย่างแน่นอน ข้าจะบอกว่าเป็นข้าที่ไม่ดีเอง ไม่เหมาะสมกับท่าน!”

เขามิได้ถามถึงข้อนี้เสียหน่อย

ใบหน้าของซ่งมู่พลันดูเหยเกขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าเตรียมจะอธิบายว่าอย่างไร”

โจวเสาจิ่นกระดากอายเล็กน้อย

นางวางแผนจะกระทำไร้ยางอายกับเฉิงฉือ

ซ่งมู่มองแล้วสีหน้ามืดครึ้ม เอ่ยขึ้นว่า “คงมิใช่ว่าเจ้าไม่ได้คิดเอาไว้ว่าจะอธิบายกับผู้ใหญ่อย่างไรหรอกกระมัง”

โจวเสาจิ่นกระดากอาย

ซ่งมู่รู้สึกว่าเป็นตัวเองที่คิดเองเออเองไปผู้เดียวจริงๆ เหตุใดจึงคิดว่านางดูสงบนิ่งทว่าก็มั่นคงและเข้มแข็งไปได้

เขาเผยความกรุ่นโกรธออกมา

โจวเสาจิ่นจำต้องรีบเค้นสมองขบคิด กล่าวขึ้นว่า “ข้ายังไม่ทันได้ขบคิดเรื่องนี้ แต่ก็มิใช่ว่าไม่มีแผนอะไรเลย กล่าวคือ ข้าเป็นคนเจียงหนาน ไม่คุ้นเคยกับอากาศทางเหนือ จึงไม่อยากแต่งไปอยู่ที่ไกลๆ เป็นเหตุผลข้อหนึ่ง บิดาของข้าเป็นเพียงเจ้าเมืองขั้นสี่ ทว่าบิดาของท่านกลับเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ครอบครัวไม่เหมาะสมกัน ข้าไม่อยากแต่งให้ตระกูลชั้นสูงก็เป็นเหตุผลข้อหนึ่ง และข้ามีอุปนิสัยเชื่อฟังว่าง่าย ทว่าคุณชายกลับเป็นบุตรชายและหลานชายคนโต ข้าไม่มีความสามารถเป็นนายหญิงของตระกูลได้ก็เป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่ง…”

ที่แท้ผู้อื่นก็คิดเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วนี่เอง!

เขาช่างเป็นสุนัขที่พยายามจะจับหนูยุ่งเรื่องของผู้อื่นไม่เข้าเรื่องจริงๆ!

ซ่งมู่รู้สึกว่าตัวเองโง่งมเล็กน้อย

เขากล่าวหน้าเคร่งว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวลา!”

โจวเสาจิ่นกลับสัมผัสได้ถึงเจตนาดีของเขา เอ่ยขอบคุณเขาอย่างจริงใจ อีกทั้งยังกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “คุณชายช่างเที่ยงธรรม ข้าจะจดจำไปตลอดชีวิต ถ้าหากต่อไปคุณชายมีเรื่องอะไรที่ข้าช่วยได้ ขอเพียงให้บอกข้า ข้าจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถอย่างแน่นอน”

ตอนนี้ซ่งมู่อดทนเก็บเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เอ่ยถามขึ้นว่า “คนผู้นั้นเป็นผู้ใด”

“อะไรนะเจ้าคะ” ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร

ซ่งมู่จำต้องกล่าวขึ้นว่า “คนที่อยู่ในใจของเจ้าผู้นั้นคือผู้ใด ในเมื่อเจ้าถึงกับปฏิเสธข้าได้ แล้วเหตุใดถึงไม่คิดหาทางให้ได้อยู่ด้วยกันกับเขาผู้นั้นเล่า อย่างไรเจ้าต้องแต่งงาน ใช้ข้ออ้างหนึ่งครั้งบ้าง สองครั้งบ้างไปเช่นนี้ คิดว่าจะใช้เป็นครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ต่อไปเรื่อยๆ ได้อย่างนั้นหรือ”

“อยู่ด้วยกันอย่างนั้นหรือ!” โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวด้วยความสิ้นหวัง เจ็บปวดใจเหลือคณา “พวกข้าไม่อาจอยู่ด้วยกันได้…เป็นเพียงความฝันงมงายของข้าเท่านั้น…”

ซ่งมู่ตะลึงงัน

เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็รู้สึกว่าเช่นนี้ถึงจะสมเหตุสมผล

คนที่คุณหนูรองตระกูลโจวชอบไม่น่าจะเป็นคนไม่เอาไหน และนางก็ไม่น่าจะถูกผู้อื่นลวงหลอกด้วยถึงจะถูก

จะเป็นเพราะตระกูลมีปัญหาขัดแย้งกันอย่างนั้นหรือ

ซ่งมู่ไม่กล้าซักไซ้ถามต่อ กลัวว่าจะถามในสิ่งที่ไม่ควรถามเข้า

เขาเงียบงันไปครู่ใหญ่ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เช่นนั้นเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไป”

“คงจะบวชชีกระมัง” เดิมทีโจวเสาจิ่นคิดเพียงว่าจะครองตนเป็นผู้รักษาศีลอยู่ในบ้านผู้หนึ่งเท่านั้น แต่หลังจากที่ผ่านพ้นเรื่องนี้ไปแล้ว นางกลับรู้สึกไม่แน่ใจในทิศทางต่อจากนี้ของตัวเองเอาเสียเลย “แน่นอนว่าวัดทั่วไปนั้นคงไปอยู่ไม่ได้ และข้าเองก็ไปไม่ได้เช่นกัน…จะให้ดีที่สุดคือบริจาคเงินสร้างอารามของตระกูลขึ้นมาหลังหนึ่ง มีคนในตระกูลช่วยปกป้องดูแล…” เหมือนกับชาติที่แล้วนางขอ

เพียงแต่ว่าชาติก่อนเป็นบ้านไร่ของตระกูลหลิน หัวใจของนางราวขี้เถ้าที่มอดสนิท มีชีวิตโดดเดี่ยวภายใต้ร่มโพธิ์ของพระพุทธองค์ เพื่อให้พี่สาวสบายใจแล้ว จึงอดทนมีชีวิตต่อไปอย่างไร้ความหวังใดๆ

ชีวิตนี้หัวใจของนางมีคนผู้หนึ่ง ขอเพียงได้นึกถึงคนผู้นั้น ได้นึกถึงว่าเขาสุขสบายดี ได้นึกถึงว่าภรรยาของเขาจะเชื่อฟังและบุตรของเขาจะกตัญญู เพียงเท่านี้นางก็มีความสุข รู้สึกว่าชีวิตนี้มีอะไรให้เฝ้าฝันถึง มีความหวังต่อไปได้แล้ว

ชาติก่อนนางยังอดทนผ่านมาได้ นับประสาอะไรกับชาตินี้!

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ น้ำในดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ

……………………………………………………………..

[1] ต้นฮว่าซู่ (桦树) ต้นเบิร์ช (Birch)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด