ยามดอกวสันต์ผลิบาน 413 วันเทศกาล

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 413 วันเทศกาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โจวชูจิ่นไม่มีทางเลือก ได้แต่กำชับนางว่า “เจ้าอยู่ในบ้านตามลำพังต้องระวังประตูเอาไว้ให้ดี ต่อให้ใครมาก็อย่าเปิดประตูชั้นใน มีเรื่องอะไรก็ส่งฝานฉีกับพ่อบ้านเซี่ยงไปทำแทน ห้ามออกไปเองโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะยามที่ทุกคนออกไปดูงานรื่นเริงกันหมดเช่นนี้ ยิ่งเป็นเวลาที่คนก่ออาชญากรรมทำผิดกฎหมายเหล่านั้นออกมา เด็กน้อยหายตัวไป เด็กสาวถูกลักพาตัว ส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นในเวลานี้ เจ้าต้องระวังด้วย…”

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม รอให้พี่สาวพูดเสร็จก็กล่าวว่า “หลายวันก่อนตอนที่ข้าออกไปข้างนอกกับพี่สาวเจิงท่านก็ใช้ถ้อยคำนี้ย้ำเตือนข้าไปคำรบหนึ่งแล้ว ท่านวางใจเถิด ข้าจะไม่ออกไปที่ใดเลยเจ้าค่ะ ข้างนอกมีคนจอแจพลุกพล่านขนาดนั้น ออกไปแล้วมีอะไรดีหรือ ท่านพากวนเกอไปชมงานแข่งเรือมังกรอย่างสบายใจเถิด! ข้าขอหลบอยู่ในนี้! แต่ท่านต้องระวังกวนเกอสักหน่อย อย่าพาไปที่ที่มีคนแออัด เขายังอายุน้อย ทนลำบากเช่นนั้นไม่ได้หรอก พี่สาวเจิงจองห้องส่วนตัวไว้ที่เหลาสุรา หากรู้สึกร้อนเกินไป ท่านก็ขอยืมห้องนางเพื่อพักผ่อนสักหน่อย อย่าได้รู้สึกขลาดอาย แล้วอดทนเอาไว้ตลอด ท่านเป็นผู้ใหญ่ ยังพอทนได้ แต่กวนเกอยังเล็ก…” กล่าวถึงประโยคสุดท้าย ก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี จึงกล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ท่านก็ฝากกวนเกอไว้กับข้าที่นี่เถอะ! ข้าจะช่วยดูแลเขาให้ท่านเอง”

คราวนี้ถึงตาโจวชูจิ่นหัวเราะขึ้นมาบ้าง กล่าวว่า “ข้าเป็นพี่สาวหรือเจ้าเป็นพี่สาวกันแน่ เจ้าถึงสั่งสอนข้าแทนอย่างนี้!”

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านพี่ ที่ข้าพูดไปล้วนเป็นคำพูดจากใจ ท่านฝากกวนเกอกับข้าที่นี่เถอะเจ้าค่ะ! แม่สามีของท่านอยากจะออกไปดูงานรื่นเริง หากท่านไม่ไปด้วยก็คงไม่ดี แต่ก็มิอาจให้กวนเกอทนลำบากไปด้วยได้ ท่านกลับไปปรึกษากับพี่สามี ทางที่ดีที่สุดคือฝากกวนเกอไว้กับข้าที่นี่เจ้าค่ะ!”

เด็กน้อยยังไม่ครบร้อยวันเลยนะ!

โจวชูจิ่นอดลังเลขึ้นมาไม่ได้

นางกลับไปแล้วก็ปรึกษากับเลี่ยวเส้าถัง

เลี่ยวเส้าถังก็รู้สึกลำบากใจกับเรื่องนี้เหมือนกันพอดี เมื่อได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ลำบากน้องรองช่วยพวกเราดูแลดีกว่า ประเดี๋ยววันหลังพวกเราค่อยเชิญนางมาเที่ยวที่บ้านแล้วกัน”

โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “โชคดีที่น้องรองมาจิงเฉิง ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีจริงๆ!” ขณะที่นางกล่าวอยู่นั้น จู่ๆ ก็อยากรั้งโจวเสาจิ่นไว้ให้อยู่จิงเฉิงต่อไป หากทำเช่นนี้ประการแรกจะได้หลีกเลี่ยงคุณชายหวงหรือคุณชายไป๋อะไร อีกทั้งจะได้ไหว้วานญาติพี่น้องเหล่านั้นในจิงเฉิงช่วยหาคู่หมั้นที่ดีสักคนหนึ่งให้น้องสาว ประการที่สามพี่น้องยังช่วยดูแลซึ่งกันและกันได้อีกด้วย ยิ่งกว่านั้นท่านน้าฉือยังมอบเรือนหลังหนึ่งให้เสาจิ่น หากว่าเสาจิ่นอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ให้นางอยู่ที่นี่ ถ้าหากอยากจะอยู่อย่างเงียบๆ ก็ใช้ชีวิตตามลำพัง ไม่รู้ว่ามีอิสรเสรีมากเพียงใด แม้แต่นางที่ออกเรือนไปแล้ว เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย

นางจึงเล่าความคิดของตนให้เลี่ยวเส้าถังฟัง

เลี่ยวเส้าถังเองก็คิดว่าดี ตอบว่า “จวนเป่าติ้งยังมีวงสังคมที่ค่อนข้างแคบ หากคุยเรื่องแต่งงานในเมืองหลวง ตระกูลฟาง ตระกูลหลี่ หรือตระกูลหมิ่น ไม่ว่าตระกูลใดก็นับเป็นตระกูลบัณฑิตเก่าแก่กว่าร้อยปี ย่อมดีกว่าแต่งงานกับตระกูลเล็กตระกูลน้อยเหล่านั้น”

ช่างตระกูลหมิ่นนั่นไปเถอะ!

โจวชูจิ่นสบถเย็นในใจ

คิดว่าตระกูลฟางก็ไม่เลว

ในบรรดาลูกหลานมีผู้โดดเด่นมากมาย

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว นางก็นึกถึงซ่งมู่

น่าเสียดายจริงๆ

เป็นโจวเสาจิ่นที่ไร้วาสนานี้

นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ท่านไปพูดกับท่านพ่อของข้าเถิดเจ้าค่ะ!”

นี่หมายความว่าต้องการยกความดีความชอบให้กับเขา!

เลี่ยวเส้าถังโอบกอดภรรยาเบาๆ ยิ้มพลางตอบว่า “ข้าจะเขียนจดหมายถึงพ่อภรรยาก็แล้วกัน!”

โจวชูจิ่นหยักมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มพลางกล่าวว่า “ทางด้านท่านแม่ ท่านก็ไปบอกนางสักหน่อยนะเจ้าคะ”

“เข้าใจแล้ว!” เลี่ยวเส้าถังตอบเสียงดัง

ตกเย็น เขาก็แจ้งเรื่องที่จะฝากกวนเกอให้โจวเสาจิ่นดูแลชั่วคราวในเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างให้ฮูหยินใหญ่เลี่ยวฟัง

ฮูหยินใหญ่เลี่ยวหน้าแดงเรื่อ

นางไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกอย่างนี้มาหลายปีแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าจะลืมกวนเกอไปได้ ต้องรู้ว่า ตอนนี้พวกเขามิได้อยู่ที่เจิ้นเจียง ขอเพียงบอกว่าจะไปชมการแข่งขันเรือมังกร ไม่ว่าเมื่อไรก็จองห้องส่วนตัวห้องหนึ่งที่เหลาสุราริมแม่น้ำให้พวกนางพักผ่อนได้

แต่พูดเรื่องนี้ตอนนึ้ก็สายเกินไปเสียแล้ว

พวกลูกๆ เพื่อให้นางมีความสุขถึงได้จัดเตรียมการเที่ยวครั้งนี้ขึ้นมา

นางรีบกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณน้องภรรยารองของเจ้าแทนข้าด้วย วันหลังก็เชิญนางมาเที่ยวเล่นที่บ้านแล้วกัน”

แม่สามีตอบรับแล้วก็ดี

โจวชูจิ่นยิ้มพลางพูดถึงโจวเสาจิ่นในแง่ดีสองสามประโยค กระทั่งถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ครั้นแสงสีขาวจับขอบฟ้าก็นำสิ่งของที่กวนเกอใช้เป็นประจำและพาบ่าวรับใช้ไปฝากกวนเกอที่ซอยอวี๋เฉียนพร้อมกับฮูหยินใหญ่เลี่ยว

โจวเสาจิ่นรับกวนเกอมาอย่างระมัดระวัง รับปากซ้ำและซ้ำเล่าว่าจะดูแลกวนเกอให้ดี

ฮูหยินใหญ่เลี่ยวก็กล่าวขอบคุณติดๆ กันไม่หยุด เมื่อมองท้องฟ้าที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ จึงปฏิเสธไม่รับประทานมื้อเช้าที่ซอยอวี๋เฉียนอย่างสุภาพ หลังจากหลี่ซื่อกับโจวโย่วจิ่นเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็มุ่งไปทะเลสาบสือช่าไห่ด้วยกัน

โจวเสาจิ่นมองดูดวงหน้าขาวเนียนละเอียดน้อยๆ ของกวนเกอ ก็รู้สึกใจละลาย

นางหยิกหน้าน้อยๆ ของเขา ตอนแรกกวนเกอหัวเราะร่า ทว่าเพียงครู่เดียวกลับแผดเสียงร้องไห้จ้าขึ้นมา

โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งโหยง รีบตะโกนเรียกแม่นมของกวนเกอ

แม่นมเดินปรี่เข้ามา พอเห็นกวนเกอแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “กวนเกอหิวแล้วเจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แล้วยื่นเด็กน้อยให้แม่นม

เนื่องจากในบ้านไม่มีผู้ใด แม่นมจึงนั่งอยู่ข้างๆ ให้นมเด็กน้อย

โจวเสาจิ่นเห็นเขาดูดนมเอาดูดนมเอา ก็อดคลี่ยิ้มพลางลูบศีรษะของเด็กน้อยไม่ได้

จากนั้นก็ให้บ่าวรับใช้นำผ้าลายเสือ ตุ๊กตารูปคน และตุ๊กตาล้มลุกที่นางบอกให้ไปซื้อมาจากตลาดเมื่อสองสามวันก่อนมา เตรียมจะเล่นกับกวนเกอ

ใครจะรู้ว่ากวนเกอกินนมเสร็จแล้วก็ผล็อยหลับไปทันที

โจวเสาจิ่นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

แม่นมรีบกล่าวขอโทษว่า “เนื่องจากวันนี้ต้องมาหาคุณหนูรองที่นี่ กวนเกอเลยตื่นเช้ากว่าปกติเจ้าค่ะ…”

เป็นธรรมดาที่เด็กน้อยอยากจะกินก็กินอยากจะนอนก็นอน!

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่มิใช่ความผิดของเจ้า เจ้าไม่ต้องขอโทษอะไรหรอก ปกติเขานอนบนเปลไกวหรือเตียงเตา? หากนอนบนเตียงเตา ก็วางเขาไว้ที่นี่แล้วกัน ข้าจะดูแลเขาเอง!”

เด็กทางตอนใต้นอนบนเปลไกว ส่วนเด็กทางตอนเหนือนอนบนเตียงเตา

“นอนบนเตียงเตาเจ้าค่ะ” ขณะที่แม่นมยิ้มกล่าวอยู่นั้น ก็มีสาวใช้เด็กที่รู้งานรู้การเข้ามาปูผ้ารองผืนหนึ่ง แม่นมวางเด็กน้อยบนผ้ารองอย่างเบาไม้เบามือ

จากนั้นโจวเสาจิ่นก็นั่งเย็บถุงเท้าให้เฉิงฉืออยู่ข้างๆ

เช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว นางยังคงใช้การเดินฝีเข็มแบบกากบาทเย็บถุงเท้าให้เฉิงฉือ สิ่งที่ต่างออกไปคือถุงเท้าผ้าไหมซงเจียงสีขาวราวหิมะนั้น นางใช้ด้ายสีเหลืองอำพัน สีเหลืองจำปา และสีแดงหงชาดตามลำดับในการเดินเข็ม ทั้งดูประณีตและภูมิฐาน ทำให้คนเห็นแล้วละสายตาไม่ได้เล็กน้อย

ท่านน้าฉือละเอียดลออถึงเพียงนั้น สิ่งของทุกอย่างล้วนต้องวิจิตรและพิถีพิถันยิ่ง ถุงเท้าเช่นนี้ เขาต้องชอบอย่างแน่นอน

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม

หากจะกล่าวว่าถุงเท้าที่ทำก่อนหน้านี้ให้กลิ่นอายคล้ายหลุดพ้นจากทางโลก ถุงเท้าที่ทำอยู่ตอนนี้คงจะให้กลิ่นอายละม้ายโลกที่คึกคักมีชีวิตชีวาก็ไม่ปาน

นางชอบท่านน้าฉือที่ใช้ชีวิตเหมือนปุถุชนในโลกนี้ ไม่ชอบท่านน้าฉือที่มีจิตใจแห้งผากราวกับนักบวชเลย

***

ทันทีที่เฉิงฉือก้าวเข้ามาในเรือนก็เห็นโจวเสาจิ่นกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ริมหน้าต่างในห้อง

แสงแดดยามเช้าละม้ายคล้ายประกายทองคำส่องลอดผ่านกิ่งไม้ต้นตั๊กแตนที่ตั้งตระหง่านทอดลงมากระทบบนพื้นที่ปูด้วยหินคราม เพิ่มความเงียบสงบหลายส่วนให้แก่โถงทางเดินที่ร่มเย็น โจวเสาจิ่นที่ขาวกระจ่างปานหิมะนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างอ่อนหวาน ละม้ายคล้ายหยกบริสุทธิ์ ทอแสงพร่างพราว ส่องสะท้อนในใจของเฉิงฉือโดยตรง

เฉิงฉือสืบเท้าเข้ามา

มีคนเห็นเขาเข้ามาแล้วร้องอุทานเบาๆ

โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมา สีหน้านั้นดูผ่อนคลาย จากนั้นนางก็เบิกตาโพลงแล้วนิ่งงัน กะพริบตาปริบๆ ราวกับถูกทำให้ตระหนกตกใจ

เฉิงฉือหัวเราะออกมา

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาถึงชอบมองนางแสดงสีหน้าท่าทางอย่างนี้ต่อหน้าตนเอง

ทำให้นางประหลาดใจและฉงนสงสัย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสามัญธรรมดาเพียงใดก็ทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมา

เฉิงฉือเร่งฝีเท้า

โจวเสาจิ่นเสมือนตื่นขึ้นจากภวังค์ในทันใด รอยยิ้มบนดวงหน้าของนางแย้มออกมาอย่างเฉิดฉันดุจดั่งดอกไม้ฤดูร้อน ทิ้งเข็มและด้ายลงไปแล้ววิ่งออกมา

“ท่านน้าฉือๆ…” น้ำเสียงของนางหวานหยดย้อยราวกับกำลังออดอ้อนระคนแง่งอนว่าเหตุใดเขาจึงทิ้งนางเอาไว้นานถึงเพียงนี้แล้วถึงกลับมาอย่างไรอย่างนั้น

เฉิงฉือคิดแล้วรู้สึกหวั่นไหว อยากจะอ้าแขนออกไปโอบกอดนางเหลือเกิน

แต่จู่ๆ นางกลับหยุดฝีก้าวหน้าธรณีประตูของห้องโถง นัยน์ตาแวววาวสุกใส กลับประดับรอยยิ้มเบิกบาน แก้มสีชมพูระเรื่อยิ่งคล้ายดอกกุหลาบ งดงามหยาดเยิ้มเหลือบรรยาย

“ท่านน้าฉือ!” นางเรียกเฉิงฉืออย่างอบอุ่น น้ำเสียงแต้มความนุ่มนวลเหลือคณา มือน้อยๆ ที่ขาวผุดผ่องและบอบบางคู่นั้นบิดเข้าหากันอย่างประหม่า

เฉิงฉือเพียงรู้สึกคล้ายเลือดลมพลุ่งพล่าน อยากจะนวดเคล้นเด็กน้อยเข้ากับตัวให้ได้

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กัดปลายลิ้นแล้วจึงสะกดใจที่สั่นระรัว

ซางมามาและคนอื่นๆ แสร้งทำเป็นไม่เห็นเฉิงฉือเข้ามา ทว่าพวกบ่าวรับใช้ของกวนเกอกลับเข้ามาคารวะเฉิงฉืออย่างลนลาน

เฉิงฉือเสมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบอย่างไรอย่างนั้น ไฟร้อนรุ่มในใจค่อยๆ มอดดับลง ระบายยิ้มอ่อนโยนและงามสง่า ยกมือทำสัญญาณให้บ่าวรับใช้ที่ทำความเคารพเขาให้ลุกขึ้นมา แล้วจึงสืบเท้าเข้าไปในห้องโถง ขณะเดินเข้าห้องชั้นในก็กล่าวไปด้วยว่า “ไฉนวันนี้เจ้าไม่ไปชมการแข่งขันเรือมังกรเล่า เจิงเจี่ยเอ๋อร์จองห้องส่วนตัวไว้สองห้องมิใช่หรือ นางมิได้ส่งเทียบเชิญให้เจ้าหรือ” ระหว่างที่เลิกผ้าม่านขึ้น ก็เห็นตุ๊กตาตัวน้อยๆ นอนอยู่บนเตียงเตา เสียงของเฉิงฉือชะงักงัน แล้วจึงเอ่ยถามว่า “นี่คือกวนเกอหรือ”

ท่านน้าฉือเดินทางนานถึงเพียงนี้ ทว่าเขากลับรู้เรื่องรอบตัวนางหมดทุกเรื่อง นางไม่ต้องเล่าอะไรให้เขาเลย เสมือนเขามิได้เดินทางแรมเดือน เพียงเพิ่งออกเดินทางไปเมื่อวานนี้เท่านั้นเอง

ในใจของโจวเสาจิ่นราวกับแม่น้ำที่ทำนบแตกพังลงมา คลื่นความปลาบปลื้มยินดีไหลท่วมท้นดวงใจของนางเป็นระลอกๆ

ในหัวของนางพร่าเลือน ไม่รู้ว่าควรตอบคำถามใดก่อนหลังดี จึงตอบไปอย่างกว้างๆ ว่า “ข้าไม่อยากออกไป ข้างนอกร้อนยิ่งนักเจ้าค่ะ ข้าอยู่บ้านทำถุงเท้า จากนั้นก็ให้กวนเกออยู่ที่นี่ ข้ากลัวว่าพี่สาวจะอดทนอดกลั้นเอาไว้ ไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากพี่สาวเจิง ถ้าหากกวนเกอตากแดดจนล้มป่วยจะทำอย่างไรเล่า”

ทว่าเฉิงฉือกลับเข้าใจความคิดของนางในทันที

เห็นท่าทางของกวนเกอตอนที่แม่นมอุ้มออกมาดูขาวหมดจดและแข็งแรงกว่าตอนที่เขาไปร่วมแสดงความยินดีในวันนั้นมาก เครื่องหน้าก็เริ่มเด่นชัดยิ่งขึ้น จึงโน้มกายลงแล้วใช้นิ้วมือจิ้มดวงหน้าแดงเรื่อน้อยๆ ของกวนเกอที่กำลังหลับพริ้มอยู่อย่างอดไม่ได้

กวนเกอหลับตาแน่นแล้วร้องไห้จ้าขึ้นมา

เฉิงฉืออึ้งงันเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่

ซางมามารีบพาแม่นมเข้ามาอุ้มกวนเกอออกไป

จากนั้นก็มีสาวใช้เด็กยกน้ำชาเข้ามา

เฉิงฉืออดรู้สึกขัดเขินเล็กน้อยไม่ได้ กล่าวว่า “ไม่คิดว่าเด็กน้อยจะร้องไห้ง่ายถึงเพียงนี้”

โจวเสาจิ่นผลิยิ้มในดวงตา ดูอ่อนโยนนุ่มนวลอย่างอธิบายไม่ได้ ตอบไปว่า “เขาเจ้าอารมณ์มากเลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าเพียงหยิกหน้าเขาหน่อยเดียว เขาก็ร้องไห้ยกใหญ่เลยเจ้าค่ะ!”

“จริงหรือ” เฉิงฉือนั่งลงหน้าเตียงเตาข้างหน้าต่าง เห็นในตะกร้าใบเล็กบนโต๊ะตัวเล็กมีถุงเท้าที่ยังเย็บไม่เสร็จคู่หนึ่ง และบนโต๊ะตัวเล็กยังวางถุงเท้าที่เย็บเสร็จแล้วสองสามคู่

สายตาของเขาหยุดชะงัก เอ่ยถามว่า “นี่เย็บให้ผู้ใดหรือ”

หรือว่าจะเป็นเลี่ยวเส้าถังกันนะ

เหตุเพราะเหตุการณ์ต่างๆ ในชาติที่แล้ว นางจึงเคารพนับถือเลี่ยวเส้าถังเป็นพิเศษเสมอมา

ครั้นความคิดนี้วาบผ่าน ในใจของเขาพลันไม่สบอารมณ์เล็กน้อย

เลี่ยวเส้าถังผู้นั้นช่างสั่งสมบุญวาสนาในชาติก่อนมาดีจริงๆ ในชีวิตนี้ไม่ต้องทำอะไรก็ทำให้โจวเสาจิ่นยกย่องเทิดทูนเขาแล้ว!

จู่ๆ เขาก็รู้สึกปวดแปลบในใจ แล้วรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนโจวเสาจิ่น จึงกล่าวขึ้นว่า “เขาไม่รู้เรื่องราวในชาติก่อนสักหน่อย เจ้าก็ไม่ต้องทำดีกับเขาขนาดนั้นหรอก หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเคลือบแคลงสงสัยอะไรขึ้นมา”

………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด