ยามดอกวสันต์ผลิบาน 376 มาเยือน

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 376 มาเยือน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คำพูดของไหวซานกล่าวออกมาอย่างสุภาพ แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นย่อมไม่อาจเสียมารยาทได้ นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านน้าฉืองานยุ่ง เกรงว่าคงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ในช่วงนี้”

“ใช่แล้วขอรับ!” ไหวซานแลกเปลี่ยนบทสนทนากับนาง “โชคดีที่นายท่านของพวกข้ามิได้เป็นคนพิถีพิถันมากมายขนาดนั้น…”

ยังไม่พิถีพิถันอีกหรือ

โจวเสาจิ่นนึกถึงชามข้าวที่เฉิงฉือใช้กินข้าว จอกน้ำชาที่เขาใช้ดื่มน้ำ และกลิ่นน้ำหอมที่อยู่บนตัวเขา…รู้สึกว่าเฉิงฉือไม่ได้พิถีพิถัน เขาดูเหมือนใช้ทุกอย่างที่ดีที่สุดต่างหาก

ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ ชิงเฟิงก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เช็ดเหงื่อบนหน้าผากอย่างลวกๆ แล้วทำความเคารพโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง หันไปกล่าวกับไหวซานว่า “ท่านอา นายท่านสี่ต้องการดูภาพขุนเขาและลำธารที่นำกลับมาจากเมืองไคเฟิงเมื่อคราวก่อนภาพนั้น ข้าจำได้ว่าเก็บเอาไว้ในหีบที่ติดป้ายอักษร ‘หยิน’ หีบนั้น จำต้องให้ท่านไปเปิดหีบให้ขอรับ”

โจวเสาจิ่นไม่รอให้ไหวซานเอ่ยปากก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นก่อนว่า “ท่านรีบไปเถิด! ข้ารออยู่ที่นี่ก็ได้แล้ว”

ไหวซานมองโจวเสาจิ่นอย่างขออภัยครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ตอนข้าเข้าไปจะเร่งนายท่านสี่ให้อีกครั้ง”

เขามีเรื่องอยู่ในใจ จะมาคุยกับนางดีๆ ได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านเองก็มิต้องรีบร้อน หากนายท่านสี่ยังไม่ว่าง ท่านออกมาบอกข้าสักคำก็พอ ข้าค่อยมาเยี่ยมใหม่วันอื่นก็ได้”

ไหวซานขานรับคำยิ้มๆ ออกจากห้องรับแขกไปพร้อมกับชิงเฟิง

โจวเสาจิ่นจึงมองสำรวจภายในห้องไปเรื่อยๆ อยู่ครู่ใหญ่

ห้องรับแขกนี้ช่างไร้ซึ่งชีวิตชีวาเสียจริงๆ แม้แต่กาและจอกน้ำชาสักใบก็ไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระถางต้นไม้ดอกไม้สำหรับใช้ต้อนรับแขกเลย

หากให้นางมาตกแต่ง จะให้ดีที่สุดคือจะปูตั่งด้วยผ้าและหมอนอิงสีแดงสดใสชุดใหม่ ใช้ชุดน้ำชากระเบื้องเคลือบลายบุปผาและสกุณาสีสันสดใส และวางดอกไม้สดตามฤดูกาลเอาไว้บนโต๊ะน้ำชาสักสองสามกระถาง ห้องนี้ก็จะดูมีชีวิตขึ้นมาในทันใดแล้ว…

นางครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจ ถอยออกไปจนถึงปากประตูอย่างอดไม่ได้ อยากรู้ว่าความคิดของตัวเองดีหรือไม่

ทันใดนั้นผ้าม่านตรงประตูก็ถูกยกขึ้น มีคนเดินเข้ามา

โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก

ชุนหว่านที่มาเป็นเพื่อนโจวเสาจิ่นรีบก้าวออกไปขวางอยู่ตรงหน้าโจวเสาจิ่น ตะโกนถามว่า “เป็นผู้ใดกัน ถึงกับเดินเพ่นพ่านเข้ามาในเรือนชั้นในได้!”

อีกฝ่ายเป็นคุณชายอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้หนึ่ง ยังพาบ่าวชายที่ยังเป็นเด็กมาด้วยผู้หนึ่ง เขาสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวสีน้ำเงินไพลินลายเมฆมงคลสีม่วง เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าขาวกระจ่างใสก็พลันขึ้นสีแดงเรื่อ รีบก้มศีรษะลงโค้งคำนับให้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “มิทราบว่ามีแขกสตรีอยู่ในนี้ ล่วงเกินแล้ว ขอให้อาคันตุกะสตรีอภัยให้ด้วย ข้าจะออกไปบัดเดี๋ยวนี้”

ขณะที่กล่าว ก็หมุนกายเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วออกไป

บ่าวชายเด็กผู้นั้นกลับมองโจวเสาจิ่นด้วยความสงสัยใคร่รู้ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็อ้าปากกว้างขึ้นมาในทันที ดั่งเห็นอะไรที่น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่งก็ไม่ปาน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้วิ่งออกไปจากห้องรับแขกอย่างรวดเร็วดุจควัน

ชุนหว่านจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนู พวกเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ! นายท่านสี่ทางด้านนี้ไม่มีนายหญิงดูแลเรื่องในบ้าน เกรงว่ามีแขกมาก็คงไม่ได้สังเกตอะไรขนาดนั้น จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่อาจจะมีคนเข้ามาชนคุณหนูอีก”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าหดหู่ไร้ชีวิตชีวา

แม้นท่านน้าฉือจะดีกับนาง แต่ก็ไม่ได้เก็บนางเอาไปใส่ใจ ไม่อย่างนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่านางมาแล้ว ทว่าคำบอกกล่าวตักเตือนสักคำก็ไม่มี ปล่อยให้แขกเดินเพ่นพ่านไปทั่วเช่นนี้

หัวใจของนางราวกับถูกบีบเค้น รู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาเล็กน้อย

ก็เหมือนกับที่ซอยจิ่วหรู ดูเหมือนกับว่าคนรับใช้ข้างกายเฉิงฉือก็น้อยเช่นนี้ พวกนางออกจากประตูมาแล้ว แต่กลับไม่เห็นคนเฝ้าเวรยามแม้แต่คนเดียว โจวเสาจิ่นจำต้องอาศัยประสบการณ์เดินไปยังทิศทางของเรือนใต้ที่น่าจะเป็นที่ตั้งของห้องหนังสือ

เมื่อออกจากประตูชั้นในแล้ว ในที่สุดพวกนางก็เห็นสตรีออกเรือนแล้วผู้หนึ่งเดินผ่านทางมา

โจวเสาจิ่นสอบถามจนชัดเจนแล้วว่านางเป็นบ่าวที่เฉิงฉือซื้อมาใหม่ จึงให้นางไปแจ้งข่าวไหวซาน

ดวงหน้าของบ่าวผู้นั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ มองนางนานครู่หนึ่งถึงได้ขานรับคำยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วไปหาไหวซาน

โจวเสาจิ่นไม่มีแม้แต่อารมณ์จะรอไหวซานอยู่ตรงนี้แล้ว นางเอ่ยกับชุนหว่านอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าจะไปรอในเกี้ยว เจ้ารั้งอยู่ตรงนี้เพื่อแจ้งไหวซานสักคำก็แล้วกัน!”

ชุนหว่านเองก็รู้สึกว่าวันนี้ซอยอวี๋เฉียนเสียมารยาทเกินไปแล้ว ลอบบ่นอยู่ในใจ ได้ยินเช่นนั้นย่อมเห็นด้วยอย่างยิ่งเป็นธรรมดา เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นคุณหนูไปนั่งในเกี้ยวก่อนเถิดเจ้าค่ะ! ยืนอยู่ตรงนี้หากมีคนพุ่งเข้ามาชนอีกคงไม่ดีแน่แล้ว”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า กำลังจะขึ้นเกี้ยว หลั่งเย่ว์ถือถาดน้ำชาวิ่งเข้ามา “คุณหนูรอง คุณหนูรองขอรับ! ท่านจะไปแล้วหรือขอรับ นายท่านสี่กลัวว่าท่านนั่งอยู่ที่นั่นลำพังแล้วจะเบื่อหน่าย จึงให้ข้าไปชงชามาให้ท่านเป็นพิเศษ ท่านดูสิขอรับ นี่เป็นชาต้าหงเผาชั้นเลิศที่ท่านชื่นชอบเป็นที่สุด เมื่อวานคนของสิบสามห้างใช้ม้าเร็วนำมาส่งให้ นายท่านสี่ยังไม่ได้ชิมก็ให้ข้าเอามาให้ท่านดื่มก่อนแล้วขอรับ…”

ต่อให้เป็นเช่นนั้น โจวเสาจิ่นก็ไม่ดีใจ

นางกล่าวด้วยอารมณ์หดหู่ว่า “ขอบใจเจ้าแล้วหลั่งเย่ว์ ช่วยกล่าวขอบคุณท่านน้าฉือแทนข้าด้วย เพียงแต่ว่าข้าออกมานานแล้ว พี่สาวกำลังรอข้ากลับไปอยู่ ข้าเองก็ต้องไปช่วยดูแลหลานชายตัวน้อยด้วย ข้าไม่รอท่านน้าฉือแล้วก็แล้วกัน อีกสองสามวันข้าค่อยมาเยี่ยมท่านน้าฉือใหม่”

โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างจริงใจ หลั่งเย่ว์จึงไม่อาจรั้งนางเอาไว้อีก ส่งนางขึ้นเกี้ยวแล้วกลับไปรายงานเฉิงฉือ

เฉิงฉือกำลังถกเรื่องการจัดการแม่น้ำเหลืองของเมืองไคเฟิงกับนายท่านผู้เฒ่าซ่งอยู่ ได้ยินแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้

เสาจิ่นมีนิสัยอ่อนโยนว่าง่าย เวลามาหาเขาล้วนไม่เคยรีบร้อนจากไปเลย ยามเขายุ่งอยู่นางก็มักจะหาอะไรให้ตัวเองทำไปก่อน แล้ววันนี้นางเป็นอะไรไป?

หรือว่ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรต้องการขอความช่วยเหลือจากเขา แต่รอไม่ได้เลยต้องหาวิธีอื่น?

แต่เมื่อวานตอนที่ซางมามามาที่นี่ก็ไม่ได้เอ่ยถึงอะไรเลยนี่นา

หรือว่าอาจจะมีเรื่องอะไรที่แม้แต่ซางมามาก็ไม่รู้?

พอเขาคิดเช่นนี้แล้วก็รู้สึกร้อนรนนั่งไม่ติดที่เล็กน้อย นายท่านผู้เฒ่าซ่งพูดอะไรไปบ้างก็ไม่เข้าหูเขาเลยสักนิด ได้แต่ “อืมอืม” ไปหลายครั้ง กระทั่งสัมผัสได้ว่าภายในห้องพลันไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ ขึ้นมาชั่วขณะอย่างผิดปกติ เงยหน้าขึ้นมาเห็นสายตาตกตะลึงของนายท่านผู้เฒ่าซ่ง เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองใจลอยไปชั่วขณะ รีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน”

นายท่านผู้เฒ่าซ่งไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเขาพักกันครู่หนึ่งก็แล้วกัน รอให้เจ้าขจัดความยุ่งเหยิงในใจแล้วค่อยคุยกันต่อ”

ตนแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งขนาดนั้นเชียวหรือ

ชั่วขณะนั้นเฉิงฉือรู้สึกประหม่าเล็กน้อย กล่าวอะไรเรื่อยเปื่อยไปสองสามประโยค แล้วก็เรียกไหวซานเข้ามาคุยกันตรงทางเดินจริงๆ

นายท่านผู้เฒ่าซ่งกรุ่นโกรธจนเอาแต่เบิกดวงตากว้างไม่หยุด

เขาอยากให้เฉิงฉือมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการถกเรื่องการจัดการแม่น้ำเหลืองกับเขา มิใช่ให้เขาทิ้งเรื่องที่อยู่ในมือตอนนี้ไปสนใจเรื่องจุกจิกเล็กน้อยเหล่านั้น

นี่คือสะพานที่เขาสร้างขึ้นมาให้เฉิงฉือ

ถ้าหากวิธีการที่พวกเขาถกกันมาใช้ได้ผล เขาก็จะได้แนะนำเฉิงฉือให้บุตรชายของตัวเอง ให้เฉิงฉือไปดูแลการจัดการน้ำที่กรมโยธา ด้วยภูมิหลังของเฉิงฉือ อีกทั้งยังมีความสามารถจริงๆ อย่างมากสองปี ย่อมจะเติบโตสูงขึ้นไปในกรมโยธาได้อย่างแน่นอน ซึ่งย่อมจะได้รับการเคารพจากผู้คนมากกว่าการที่คนน่าชื่นชมและเป็นถึงจิ้นซื่อขั้นสองผู้หนึ่งอย่างเขาจะเอาแต่คลุกคลีอยู่กับพวกพ่อค้าเหล่านั้นทั้งวันมิใช่หรือ นอกจากนี้หากจัดการเรื่องแม่น้ำได้ ก็ถือเป็นความโชคดีของปวงประชาด้วย!

นายท่านผู้เฒ่าซ่งวางจอกชาลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างแรง เอ่ยกับบ่าวชายเด็กจากบ้านของตัวเองที่รับใช้อยู่ภายในห้องว่า “คุณชายใหญ่เล่า ข้าให้เจ้าไปเรียกเขาเข้ามาช่วย เขาวิ่งไปเพ่นพ่านที่ไหนอีกแล้ว”

บ่าวชายเด็กผู้นั้นก็คือคนที่ได้พบกับโจวเสาจิ่นในห้องรับแขกเมื่อครู่นั่นเอง

สีหน้าของเขาเคร่งขึ้น ขานตอบว่า “ข้าจะไปตามหาคุณชายใหญ่บัดเดี๋ยวนี้ขอรับ” ทว่าในใจกลับอดพึมพำไม่ได้ว่า ก่อนหน้านี้นายท่านให้คุณชายใหญ่เขียนความเรียงอยู่ในบ้าน ท่านบอกว่าอยากพาคุณชายใหญ่ออกมาหาประสบการณ์สักครั้ง พอคุณชายใหญ่ออกมาแล้ว ท่านกลับให้คุณชายใหญ่คอยรับใช้ฝนหมึกอยู่ตรงนี้ เรื่องฝนหมึกก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะคุณชายใหญ่เป็นหลาน ท่านเป็นปู่ นั่นก็ถือเป็นความกตัญญู! แต่คุณชายใหญ่เพิ่งจะฝนหมึกเสร็จ ท่านกลับไม่ชอบใจว่าคุณชายใหญ่อยู่ตรงนี้แล้วเกะกะขึ้นมาอีก ให้คุณชายใหญ่ออกไปเดินเล่นในลาน นี่คุณชายใหญ่เพิ่งออกไป ก็ให้เขาไปเรียกคุณชายใหญ่กลับมาอีก โดยบอกว่าไม่ว่าอย่างไร ที่นี่ก็เป็นเรือนชั้นใน ไปเดินเพ่นพ่านตามใจชอบเช่นนี้ไม่ดีนัก เขารีบไปเรียกคุณชายใหญ่กลับมาอย่างรีบร้อน นายท่านผู้เฒ่ากลับให้คุณชายใหญ่รออยู่ด้านนอก ตอนนี้คุณชายใหญ่รออยู่ด้านนอก นายท่านผู้เฒ่าก็หาว่าคุณชายใหญ่ไปเดินเพ่นพ่านไปทั่วอีก…นายท่านผู้เฒ่าช่างเอาใจยากจริงๆ! ไม่แปลกที่เวลาฮูหยินเห็นนายท่านผู้เฒ่าล้วนตามใจไม่กล้าว่ากล่าวอะไรมากสักประโยค

บ่าวชายเด็กไปเชิญคุณชายใหญ่ของตระกูลซ่ง หรือก็คือซ่งมู่เข้ามา

นายท่านผู้เฒ่าซ่งจึงหยิบภาพแผนที่ธรณีวิทยายื่นส่งให้ซ่งมู่หนึ่งแผ่น เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าลองดูให้ละเอียด ดูว่าดูเข้าใจหรือไม่”

ซ่งมู่ไม่กล้าชักช้า นั่งลงมาดูแผนที่แผ่นนั้นอย่างละเอียด

อารมณ์ของเฉิงฉือกลับวุ่นวายเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้

เขาถามไหวซานว่า “ไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวอะไรเลยจริงๆ หรือ แล้วสีหน้าเป็นอย่างไรบ้าง สีหน้าดูเบิกบานมีความสุขเหมือนเมื่อก่อน หรือว่าดูร้อนรนเป็นอย่างมาก?”

เรื่องนี้เขาจะรู้ได้อย่างไร

ไหวซานรู้สึกสับสนงงงวยเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เป็นหลั่งเย่ว์ที่รับใช้อยู่ในห้องรับแขกขอรับ”

หลั่งเย่ว์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมองไหวซานอย่างขัดเคืองครั้งหนึ่ง ครุ่นคิดกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ เล็กน้อยว่า “คุณหนูรองดูไม่ค่อยเบิกบานสักเท่าไรขอรับ เมื่อก่อนยามเจอข้ามักจะยิ้มแย้ม แต่ครั้งนี้ไม่ค่อยยิ้มสักเท่าใดนัก…ส่วนพี่สาวชุนหว่านดูเหมือนจะมีอาการกรุ่นโกรธเล็กน้อยขอรับ…”

จริงด้วย เด็กน้อยเคยเคืองโกรธเขาที่ไหนกัน

เกรงว่าอารมณ์ของสาวใช้ผู้นั้นต่างหากที่เป็นสิ่งปกติ!

เขาถามหลั่งเย่ว์ว่า “ตอนที่คุณหนูรองมาถึงก็เป็นเช่นนั้นหรือว่าเพิ่งจะเป็นเช่นนั้นตอนจะเดินทางกลับ?”

หลั่งเย่ว์ส่ายศีรษะ กล่าวเสียงเบาว่า “ตอนที่คุณหนูรองมาถึงท่านอาไหวซานเป็นคนไปให้การต้อนรับขอรับ…”

ไหวซานมองหลั่งเยว์อย่างเยียบเย็นครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ตอนมาถึงคุณหนูรองยังดูเบิกบานมีความสุขดีขอรับ ยังบอกว่าให้ข้าค่อยๆ ไปพูดกับท่าน หากท่านกำลังยุ่งอยู่จริงๆ นางค่อยมาใหม่วันหลัง จากนั้นข้าก็ไปช่วยชิงเฟิงหาของแล้วขอรับ…”

ไม่ว่าจะหนึ่งคนหรือสองคนล้วนไม่มีใครช่วยให้คลายความกังวลได้เลย

ถ้าหากซางมามาอยู่ที่นี่ด้วยก็คงจะดี

เฉิงฉือรู้สึกวุ่นวายใจ เอ่ยขึ้นว่า “คนในบ้านหลังนี้น้อยเกินไปแล้ว ไปหาคนมาดูแลเรือนชั้นในให้ข้าสักคนหนึ่ง จะให้ดีที่สุดควรจะเป็นสตรีออกเรือนแล้วอายุสักสี่สิบปี”

เด็กสาวอายุน้อยมักชอบมากเรื่อง ชอบช่วยจัดแจงนั่นจัดแจงนี่ให้เขาตามอำเภอใจ

ไหวซานขานรับคำ

เฉิงฉือกลับไม่มีอารมณ์จะถกเรื่องที่ค้างคากับนายท่านผู้เฒ่าซ่งต่อแล้ว เขาอยากจะไล่นายท่านผู้เฒ่าซ่งกลับไปโดยเร็ว แต่นายท่านผู้เฒ่าซ่งอยู่จิงเฉิงอย่างโดดเดี่ยวมาเป็นเวลานาน ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบสหายต่างวัยที่พูดคุยกันถูกคอทุกเรื่องอย่างเฉิงฉือได้สักคนหนึ่ง จะไล่เขากลับไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร ไม่ว่าเฉิงฉือจะพูดอย่างไร เขาก็ยืนกรานว่าต้องการให้เฉิงฉือเสนอวิธีจัดการแม่น้ำเหลืองของเมืองไคเฟิงออกมา เฉิงฉือโกรธจนได้แต่กล่าวออกมาตรงๆ ว่า “วันนี้ข้ามีธุระ ไม่อาจกระทำเรื่องนี้ได้จริงๆ พวกเราค่อยมาถกกันใหม่วันอื่นนะขอรับ”

นายท่านผู้เฒ่าซ่งเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่า

ปฏิเสธที่จะจากไป

กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ได้ หลายวันมานี้ข้าไม่ค่อยได้นอนหลับดีๆ นัก เจ้ามอบเรือนรับรองให้ข้าพักผ่อนสักหลังก็แล้วกัน แล้วพวกเราค่อยมาถกกันต่อในวันพรุ่งนี้”

องค์ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะเรียกคนทำงานเข้าพบเพื่อสอบถามถึงเรื่องนี้ในวันมะรืนนี้แล้ว ถ้าหากคิดวิธีออกมาก่อนได้ เช่นนั้นก็จะช่วยได้ทันเวลาพอดี ไม่แน่ว่าองค์ฮ่องเต้อาจจะทรงรับฟังก็เป็นได้

ถึงเวลานั้นเฉิงฉือก็ไม่ต้องเป็นเสือไร้อำนาจไม่เป็นที่จดจำเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้ว

ย่อมดีกว่าการมัดเขาไว้จนเขาสลัดตัวออกไปไม่ได้

เฉิงฉือยอมถอยให้หนึ่งก้าว ให้คนไปจัดเตรียมเรือนรับรองให้นายท่านผู้เฒ่าซ่ง

ซ่งมู่อับอายจนหน้าแดงก่ำประหนึ่งจะหลั่งโลหิตออกมาได้ เขากล่าวขออภัยเฉิงฉือด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ท่านปู่ของข้าเป็นคนจิงโจว ที่นั่นน้ำท่วมมิได้เก็บเกี่ยวเป็นสิบปี ท่านปู่ได้รับความขมขื่นจากอุทกภัยมาตั้งแต่เด็ก ความปรารถนาเดียวในชีวิตนี้คือหวังจะแก้ไขปัญหาอุทกภัยได้ ให้ชาวประชาไม่ต้องกลายเป็นคนไร้บ้านหรือต้องสูญเสียเลือดเนื้อ ขอให้ท่านอาอย่าได้เคืองโกรธ แต่ได้โปรดช่วยทำให้ความตั้งใจดีของท่านปู่ในเรื่องนี้บรรลุผลด้วยเถิดขอรับ”

เฉิงฉืออดไม่ได้ลอบมองสำรวจหลานชายของนายท่านผู้เฒ่าซ่งผู้นี้อย่างจริงจังไปครั้งหนึ่ง

……………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด