ลำนำบุปผาพิษ 2941 เทวาดับสูญ / บทที่ 2942 เทวาดับสูญ 2

Now you are reading ลำนำบุปผาพิษ Chapter 2941 เทวาดับสูญ / บทที่ 2942 เทวาดับสูญ 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บท​ที่​ ​2941​ ​เทวา​ดับสูญ

ใน​สมอง​คล้าย​การฉาย​ภาพยนตร์​ ​ฉาก​แล้ว​ฉาก​เล่า​แวบ​เข้ามา​ใน​สมอง

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​เหตุใด​จะ​ต้อง​เพิกถอน​ให้​ได้​เลย​?​ ​ข้า​รับประกัน​ว่า​จะ​ไม่​แพร่งพราย​ต่อ​ภายนอก​ ​และ​จะ​ไม่​ควบคุม​เจ้า​ด้วย​…​’

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​การเพิกถอน​สัมพันธ์​นี้​จะ​ถูก​สวรรค์​ลงทัณฑ์​ ​ต้อง​รับ​ทัณฑ์​อัสนี​ ​ข้า​อาจจะ​ไม่รอด​ก็ได้​…​’

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​ตี้ฝู​อี​ ​บังเอิญ​เหลือเกิน​ ​พวกเรา​พบกัน​อีกแล้ว​ ​ไม่รู้​ว่า​ข้า​จะ​ขอดื​่​ม.​.​’

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​มิสู​้​มาร​่ว​มดื​่​มด​้ว​ยกัน​สัก​หน​?​’

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​เจ้า​พก​สุรา​มา​หรือไม่​?​ ​ข้า​รู้สึก​ว่า​พวกเรา​สมควร​จะ​ดื่ม​สุรา​ส่งท้าย​กัน​…​’

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​หากว่า​ข้า​ถูก​ฟ้าผ่า​ตาย​ล่ะ​?​!​ ​เช่นนั้น​มิใช่​ว่า​อยาก​ดื่ม​ก็​ดื่ม​ไม่ได้​แล้ว​หรอก​หรือ​?​’

นาง​กล่าวว่า​…

ใน​สมอง​เขา​เกิด​เสียงดัง​หึ่งๆ​ ​ใน​สมอง​เต็มไปด้วย​วาจา​ที่นาง​เคย​กล่าว​ ​ไม่ลืม​เลือน​ไป​เลย​สัก​ประโยค​ ​ตอนนี้​ยิ่ง​แจ่มชัด​เสีย​จน​น่ากลัว​!

เขา​นึกถึง​ถ้อยคำ​ที่​ข้า​รับใช้​ที่​ถูก​ส่งตัว​ออก​ไป​สืบหา​เบาะแส​ของ​นาง​กลับมา​รายงาน​ขึ้น​มา​อีกครั้ง​ ​‘​นายท่าน​ ​ใน​ช่วง​หลาย​วัน​มานี​้​พระองค์เจ้า​เตร็ดเตร่​ไป​ตาม​หก​ภพ​ภูมิ​อยู่​ตลอด​ ​เข้าไป​ใน​เหลา​สุรา​ ​หอน​้ำ​ชา​สารพัด​แห่ง​ ​ทุกครั้ง​ล้วน​สั่งอาหาร​พิเศษ​ขึ้นชื่อ​มาโต​๊ะ​ใหญ่​ ​ชิม​ไป​อย่าง​ละไม​่​กี่​คำ​…​’

ตี้ฝู​อี​แทบจะ​ทะยาน​ออก​ไป​แล้ว​!​ ​ยาม​ที่​ก้าว​พ้น​ประตู​ ​ก็​สะดุด​ธรณีประตู​เข้า​ ​เกือบจะ​ล้มคว่ำ​แล้ว

เขา​ซวนเซ​อยู่​ครู่หนึ่ง​ถึง​ได้​ยืนมั่น​ ​จากนั้น​ก็​เหาะ​ทะยาน​ออก​ไป​ด้านนอก​ ​ความหวาดหวั่น​ใน​ใจ​ท่วม​ฟ้า​ท้น​ดิน​ ​แทบจะ​ท่วม​ทับ​เขา​แล้ว

อาจิ​่ว​!​ ​รอ​ข้า​นะ​ ​เจ้า​ห้าม​เป็น​อะไร​นะ​…

….

“​สวรรค์​ ​เกิด​อะไร​ขึ้น​?​ ​ตอนนี้​เป็น​เดือน​หก​นะ​ ​ทำไม​ใบไม้​ทั้งหมด​กลายเป็น​สีเหลือง​ไป​แล้ว​ล่ะ​?​!​ ​ร่วง​แล้ว​!​ ​ใบไม้​ทั้งหมด​ร่วง​แล้ว​!​”

“​พวก​เจ้า​ดู​สิ​…​ดู​ทะเลสาบ​แห่ง​นี้​สิ​!​ ​สวรรค์​ ​แห้งขอด​แล้ว​!​ ​น้ำ​ล่ะ​?​ ​น้ำ​ไป​ไหน​แล้ว​?​ ​นี่​คือ​ทะเลสาบ​หมื่น​ปี​ไม่​แห้งเหือด​นะ​!​”

“​ลมแรง​เหลือเกิน​!​ ​วิ่ง​เร็ว​!​ ​รีบ​วิ่ง​!​ ​นี่​คือ​ความ​พิโรธ​ของ​เทพยดา​ใช่ไหม​?​!​”

“​ฝนตก​!​ ​ฝนตก​แล้ว​!​ ​โอ้​องค์​เทพ​ ​เหตุใด​เป็น​ฝน​โลหิต​เล่า​?​!​”

ทันใดนั้น​ ​บุปผา​พลัน​ร่วงโรย​เป็น​โคลน​เลน​ ​ใบไม้​ร่วงหล่น​เป็น​ทิวแถว

ลมพายุ​ดุจ​คม​มีด​ ​ดัง​หวีดหวิว​ดุจ​ภูตผี​ร่ำไห้

ห้วยหนอง​คลอง​บึง​พลัน​แห้งเหือด​ใน​ชั่วพริบตา​ ​เผย​ให้​เห็น​ก้น​ทะเลสาบ​ที่​แตกระแหง

จากนั้น​ก็​มี​เมฆา​มืดทึบ​บดบัง​นภา​ ​สายพิรุณ​โปรยปราย​ดุจ​สาด​เท​ ​สี​พิรุณ​แดงฉาน​ ​ราวกับ​โลหิต​สด​ ​เสมือน​ท้อง​นภา​ก็​ร่ำไห้​อยู่​เช่นกัน​ ​ร่ำไห้​จน​น้ำตา​เป็น​สายโลหิต

ตี้ฝู​อี​เพิ่งจะ​ออกมา​จาก​แดน​น้ำแข็ง​ ​พลัน​มี​ภาพ​ปรากฏ​ขึ้น​มา​ใน​ห้วง​นิมิต

ผู้คน​ที่​หนี​ก็​หนี​ ​ที่​กรีดร้อง​ก็​กรีดร้อง​ ​ที่​หลบ​ก็​หลบ​ ​แต่ละคน​แตกตื่น​หวาดผวา​ ​ไม่เข้าใจ​ว่า​เกิด​อะไร​ขึ้น​กัน​แน่

ทุกคน​ต่าง​ตื่นตระหนก​ยิ่งนัก​ซ้ำ​ยัง​มีความรู้สึก​อยาก​จะ​ร่ำไห้​ขึ้น​มา​วูบ​หนึ่ง​ด้วย​ ​ความ​โศกเศร้า​อย่าง​มหันต์​ซัด​ตลบ​อยู่​ใน​ทรวงอก​ ​ผู้คน​มากมาย​หลั่ง​น้ำตา​อาบ​หน้า​อย่าง​หา​สาเหตุ​ไม่ได้

‘​นายท่าน​ ​แย่​แล้ว​ขอรับ​!​ ​ยอดเขา​เชิด​นภา​ของ​ภพ​เซียน​จู่ๆ​ ​ก็​ถล่ม​ลงมา​ขอรับ​!​’

‘​นายท่าน​ ​ไม่ทราบ​ว่า​เพราะเหตุใด​ ​ที่​ภพ​มาร​เกิด​ฝน​อุกกาบาต​ขึ้น​ ​บาดเจ็บ​ล้มตาย​กัน​นับไม่ถ้วน​เลย​ขอรับ​!​’

‘​นายท่าน​ ​เกิดเรื่อง​เลวร้าย​ครั้ง​ใหญ่​ขึ้น​แล้ว​ ​ภพ​มาร​เกิด​แผ่นดินไหว​ครั้ง​ใหญ่​ขึ้น​ ​สายนที​ไหล​ย้อน​ ​แผ่นดิน​แตกระแหง​ขอรับ​!​’

‘​นายท่าน​ ​จู่ๆ​ ​เหล่า​สัตว์ร้าย​ใน​ภพ​อสูร​ก็​ร้องไห้​โหยหวน​ขึ้น​มา​พร้อมกัน​ ​สะท้าน​ฟ้า​สะเทือน​ดิน​…​’

‘​นายท่าน​ ​ภพ​มนุษย์​…​’

ตี้ฝู​อี​ได้รับ​การ​รายงาน​จาก​ลูกน้อง​นับไม่ถ้วน​ที่​กระจาย​ตัว​อยู่​ทั่วทุกแห่ง​หน​ ​หก​ภพ​ภูมิ​ล้วน​ปรากฏ​นิมิต​ที่​ทำให้​ผู้คน​หวาดผวา​ ​จิตใจ​คน​ระส่ำ​ระ​ส่าย

ยาม​ที่​ลูกน้อง​เหล่านี้​รายงาน​ต่อ​เขา​ ​เขา​จะ​สงบนิ่ง​อยู่​ตลอด​ ​ทว่า​น้ำเสียง​กลับ​ทุ้ม​พร่า​ ​เสมือน​ฝืน​สะกด​กลั้น​ความรู้สึก​อยาก​จะ​ร่ำไห้​เอาไว้

โศกศัลย์​ ​บรรยากาศ​อัน​โศกศัลย์​กด​ทับ​ลงมา​อย่างหนัก​ ​แพร่กระจาย​ไป​ตาม​ฟ้า​ดิน

ฟ้า​ดิน​เปลี่ยนสี​ ​บรรพต​ ​นที​โศก​หมอง

ราวกับ​โลก​มาถึง​กาลอว​สาน​แล้ว

เบื้องหน้า​ตี้ฝู​อี​มืดมัว​ลง​เป็นพักๆ​ ​เท้า​ก็​เสมือน​ย่ำ​อยู่​บน​ปุยนุ่น

สายฝน​บน​นภา​โปรยปราย​ดุจ​สาด​เท​ ​บน​ท้องถนน​ไร้​ซึ่ง​ผู้คน​ ​ล้วน​หลบ​อยู่​ใน​อาคารบ้านเรือน​ ​เขา​เดิน​ย่ำ​อยู่​กลาง​สายฝน​ ​ไม่​หลบ​ไม่​เลี่ยง​เสมือน​โง่งม​ไป​แล้ว​ ​เพียง​พุ่ง​ทะยาน​ฝ่า​สายฝน​ไป​ประหนึ่ง​บ้าคลั่ง​…

ไม่มี​ผู้ใด​ทราบ​เบาะแส​ของ​เทพ​ผู้สร้าง​โลก​เลย​ ​เขา​ไม่รู้​เลย​ว่า​ควรจะ​ไป​ตามหา​นาง​ที่ไหน​…

————————————————————————————-

บท​ที่​ ​2942​ ​เทวา​ดับสูญ​ ​2

สิ่ง​ที่​เขา​ใช้​ติดต่อสื่อสาร​กับ​นาง​มี​เพียง​ยันต์​ถ่ายทอด​เสียง​อย่าง​เดียว​เท่านั้น​ ​แต่​ยันต์​ถ่ายทอด​เสียง​แผ่น​นั้น​ถูก​เขา​ทำลาย​ทิ้ง​ด้วยมือ​ตน​แล้ว​!

อาจิ​่ว​ ​เจ้า​อยู่​ที่ไหน​?

เจ้า​ไป​อยู่​ที่ไหน​กัน​แน่​…

จู่ๆ​ ​เขา​ก็​นึกถึง​สถานที่​แห่งหนึ​่ง​ขึ้น​มา​!​ ​พลัน​สาวเท้า​ ​พุ่ง​ทะยาน​ออก​ไป

….

แดน​ต้องห้าม​ของ​ทวยเทพ​ ​ไม่ได้​อยู่​ใน​สถานที่​ใด​ของ​หก​ภพ​ภูมิ​เลย

ที่นี่​คือ​ท้อง​นภา​สีคราม​เข้ม​ที่​เต็มไปด้วย​หมู่​ดาว

มีตำ​หนัก​แบบ​โบราณ​หลาย​หลัง​แขวนลอย​อยู่​ภายใต้​ท้อง​นภา​ดาษ​หมู่​ดาว​ ​และ​เมื่อ​เงยหน้า​มอง​ขึ้น​เหนือ​ตำหนัก​แล้ว​ ​ดูรา​วกับ​จะ​เอื้อมมือ​ไป​เด็ดดวง​ดาว​ลงมา​ได้

เมฆหมอก​ล่องลอย​อยู่​ใต้​ฝ่าเท้า​ ​ก้อน​หยก​เย็นยะเยือก​เล็กน้อย​ ​สถานที่​แห่ง​นี้​สำหรับ​กู้​ซีจิ​่ว​แล้ว​ ​เป็น​สถานที่​ที่​มีทิ​วทัศน​์​งดงาม​ยิ่ง​ ​และ​เป็น​สถานที่​ถือกำเนิด​ที่อยู่​ใน​ห้วง​ความทรงจำ​ของ​เธอ​ด้วย

ปีนั​้น​เธอ​ก็​ฟื้น​ขึ้น​มาที​่​นี่​ ​จากนั้น​ก็​ก้าว​ออก​ไป

สถานที่​แห่ง​นี้​ถึงแม้​จะ​งดงาม​มาก​ ​แต่​เธอ​ไม่​ยินดี​จะ​มา​เลย

สาเหตุ​ไม่ใช่​อื่นใด​ ​ที่นี่​สงบเงียบ​สนิท​ ​ไม่มี​ความ​เอะอะ​วุ่นวาย​ของ​โลกา​ ​ถึงขั้น​ที่​ไม่มี​แม้แต่​สายลม​ด้วยซ้ำ​ ​ราวกับ​ห้วงเวลา​ของ​ที่นี่​ถูก​หยุด​เอาไว้​ ​เงียบสงัด​จน​ทำให้​คน​หวาดกลัว​ ​รกร้าง​เสมือน​มาถึง​จุดสิ้นสุด​ของ​โลก​แล้ว

แต่​เธอ​ชอบ​ความ​ครึกครื้น​ ​ชอบเสียง​เอะอะ​วุ่นวาย​ของ​โลก​โลกีย์​ ​ไม่​ชมชอบ​สถานที่​ที่​ไร้​ซึ่ง​กลิ่นอาย​ของ​มนุษย์​เช่นนี้​ ​หากว่า​เป็นไปได้​ ​เธอ​ก็​ไม่​อยาก​กลับมา​ที่นี่​เลย​สักนิด

แต่​ตอนนี้​เธอ​หวนกลับ​มา​อีกครั้ง​ ​ฝืน​ประคอง​ลมหายใจ​เฮือกสุดท้าย​เพื่อ​กลับมา

เธอ​จะ​ต้อง​ขึ้นไป​ถึง​ยอด​ตำหนัก​ให้​ได้​ก่อนที่จะ​ดับขันธ์​ ​เข้าสู่​ค่าย​อาคม​วง​นั้น​ที่​จัดเรียง​ไว้​นาน​แล้ว​ ​ใช้​พลัง​เทพ​เฮือกสุดท้าย​ของ​เธอ​ควบคุม​ทุกอย่าง​ใน​หก​ภพ​ภูมิ

ค่าย​อาคม​ก็​เป็น​ค่าย​กลดา​รา​เช่นกัน​ ​เธอ​เดิน​โซซัดโซเซ​มาถึง​ริม​ขอบ​ค่าย​กลดา​รา​ ​จ้องมอง​ดวงดาว​ที่อยู่​ใจกลาง​สุด​ดวง​นั้น​ ​ถอนหายใจ​ออกมา​เบา​ๆ

สรรพสิ่ง​ใน​หก​ภพ​ภูมิ​เห็น​เพียง​ว่า​เธอ​เตร็ดเตร่​ล่องลอย​ไปมา​ใน​แดน​ธุลี​แดง​ ​ไม่สน​ใจ​เรื่องราว​ใน​ใต้​หล้า​เลย

กลับ​ไม่ทราบ​เลย​ว่า​เป็น​เพราะ​การ​คงอยู่​ของ​เธอ​ ​พลัง​ชีวิต​ของ​หก​ภพ​ภูมิ​ถึง​ยังคง​อยู่​ ​สรรพสิ่ง​ใน​หก​ภพ​ภูมิ​ถึง​สามารถ​เติบใหญ่​รุ่งเรือง​ ​สืบสาน​ไม่​สิ้นสุด​ได้

และ​ทันทีที่​เธอ​ดับขันธ์​ ​พลัง​ชีวิต​ของ​หก​ภพ​ภูมิ​จะ​เสียหาย​อย่างใหญ่หลวง​ ​บรรพต​ถล่ม​ปฐพี​แตกร้าว​เป็นเรื่อง​เล็ก​ ​ที่​เลวร้าย​คือ​ทั้ง​หก​ภพ​ภูมิ​อาจจะ​ย่อยยับ​ตาม​ไป​ด้วย

ดังนั้น​ก่อน​ดับขันธ์​เธอ​จะ​ต้อง​เข้าสู่​ค่าย​อาคม​นี้​ ​ให้​ค่าย​อาคม​นี้​ดูดซับ​พลัง​เทพ​เฮือกสุดท้าย​ของ​เธอ​แล้ว​ส่งคืน​สู่​หก​ภพ​ภูมิ​ ​ให้​หก​ภพ​ภูมิ​กลับ​สู่​สภาพ​ปกติ​ชั่วคราว​ ​ซื้อเวลา​ให้​ก่อนที่​เทพ​ผู้สร้าง​โลก​องค์​ใหม่​จะเข้า​รับช่วง​ต่อ​…

ดวงวิญญาณ​ของ​เธอ​จะ​กระจัดกระจาย​ไป​สู่​หก​ภพ​ภูมิ​ ​มอบ​ความชุ่มชื่น​ให้​แก่​ปวงประชา

และ​หลังจาก​ดับขันธ์​แล้ว​ ​จะ​ไม่มี​การ​เวียนว่าย​ตาย​เกิด​อีก

ศิลา​ดวงดาว​ข้าง​กาย​เปล่งแสง​วิบวับ​ ​เท้าเปล่า​เปลือย​ของ​เธอ​ย่าง​เข้าไป​ทีละ​ก้าว​ๆ​ ​ทุก​ก้าว​ราวกับ​เหยียบย่ำ​ลง​บน​คม​มีด​ ​และ​ทุก​จุด​ที่​เธอ​ย่าง​ผ่าน​ ​จะ​มีบ​งก​ชสี​โลหิต​ผลิบาน​แล้ว​พลัน​ร่วงหล่น​ไป​ทันที​…

กลาง​นภา​มีบ​งกช​โลหิต​ผลิบาน​ดอก​แล้ว​ดอก​เล่า​ ​โยก​ไหว​โอนเอน​ ​งดงาม​เป็น​ที่สุด​ ​แต่​ก็​เหน็บ​หนาว​เป็น​ที่สุด​เช่นกัน

ในที่สุด​ ​เธอ​ก็​เดิน​ไป​ถึง​จุด​ใจกลาง​แล้ว​ ​ตรง​ใจกลาง​มี​ศิลา​ที่​ดู​คล้าย​แท่น​บงกช​อยู่​ ​ส่องแสง​เรือง​ๆ​ ​อยู่​ตรงนั้น

เธอ​ไล้​นิ้ว​ลง​บน​แท่น​บงกช​เบา​ๆ​ ​พริ้ม​ตาลง​เล็กน้อย​ ​สุดท้าย​ก็​ยังคง​ดำเนิน​มาถึง​จุด​นี้​อยู่ดี

ปวงชน​รู้​เพียง​ว่า​เทพ​ผู้สร้าง​โลก​แข็งแกร่ง​ไร้​ใด​เทียม​ ​เปี่ยม​เมตตา​ต่อ​โลก​หล้า​ ​ทว่า​ไม่รู้​เลย​ว่า​อันที่จริง​แล้ว​เธอ​ก็​เป็น​แค่​เด็กสาว​คน​หนึ่ง​เท่านั้น

คน​ผู้​หนึ่ง​มา​อย่าง​เดียวดาย​ ​แล้ว​คน​ผู้​หนึ่ง​ก็​จากไป​อย่าง​เดียวดาย​…

อันที่จริง​ ​เธอ​ก็​ค่อนข้าง​หวาดกลัว​เช่นกัน​…

ใน​ช่วงเวลา​นี้​อยาก​ให้​มี​ใคร​สัก​คนที​่​ไว้ใจได้​มา​อยู่​เป็นเพื่อน​เธอ​ยิ่งนัก

แต่​เธอ​ถูก​ลิขิต​ให้​โดดเดี่ยว​ ​ถูก​ลิขิต​ให้​จบชีวิต​นี้​ลง​อย่าง​เดียวดาย​…

เธอ​เหลียว​มอง​รอบข้าง​ ​เม้ม​ริมฝีปาก​จิ้มลิ้ม​ที่​ซีดเซียว​จน​แทบ​ไร้​สี​เลือด​แล้ว​ ​จากนั้น​ก็​เหม่อมอง​ห้วง​นภา​อัน​ไกลโพ้น​ ​สถานที่​แห่ง​นี้​ไม่มี​ลม​เลย​ชัดๆ​ ​อุณหภูมิ​ก็​ไม่​ต่ำ​ ​ทว่า​เธอ​กลับ​รู้สึก​เหน็บ​หนาว​เข้าไป​ถึง​ใน​กระดูก​…

ตอนนี้​เธอ​ไม่ต้อง​จับชีพจร​ก็​รู้​ว่า​เลือด​ลม​ใน​ร่าง​เธอ​ยุ่งเหยิง​วุ่นวาย​ ​และ​เมื่อ​พลัง​เทพ​สูญสลาย​ไป​ ​เลือด​ลม​เธอ​จะ​ถูก​แช่แข็ง​ไป​ทีละ​ชุ​่น​ๆ​…

หนาว​จริงๆ​…

ถ้า​มี​ใคร​สัก​คน​มาก​อด​เธอ​ไว้​ใน​ช่วง​สุดท้าย​ได้​อีก​ก็​คงดี​…

จู่ๆ​ ​เธอ​ก็​นึกถึง​อ้อมกอด​ใน​ดินแดน​น้ำแข็ง​เมื่อ​ตอนนั้น​ขึ้น​มา​ ​อบอุ่น​และ​มั่นคง​ ​แฝงกลิ่น​หอมเย็น​จางๆ​ ​ไว้​ ​และ​ใน​ตอนนั้น​เขามอง​เธอ​ด้วย​รอยยิ้ม​ ​แววตา​เต็มไปด้วย​ความ​โอ๋​เอ็นดู​อัน​อบอุ่น​ ​ไม่มี​ความหงุดหงิด​เลย​สักนิด​…

————————————————————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลำนำบุปผาพิษ 2941 เทวาดับสูญ / บทที่ 2942 เทวาดับสูญ 2

Now you are reading ลำนำบุปผาพิษ Chapter 2941 เทวาดับสูญ / บทที่ 2942 เทวาดับสูญ 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บท​ที่​ ​2941​ ​เทวา​ดับสูญ

ใน​สมอง​คล้าย​การฉาย​ภาพยนตร์​ ​ฉาก​แล้ว​ฉาก​เล่า​แวบ​เข้ามา​ใน​สมอง

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​เหตุใด​จะ​ต้อง​เพิกถอน​ให้​ได้​เลย​?​ ​ข้า​รับประกัน​ว่า​จะ​ไม่​แพร่งพราย​ต่อ​ภายนอก​ ​และ​จะ​ไม่​ควบคุม​เจ้า​ด้วย​…​’

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​การเพิกถอน​สัมพันธ์​นี้​จะ​ถูก​สวรรค์​ลงทัณฑ์​ ​ต้อง​รับ​ทัณฑ์​อัสนี​ ​ข้า​อาจจะ​ไม่รอด​ก็ได้​…​’

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​ตี้ฝู​อี​ ​บังเอิญ​เหลือเกิน​ ​พวกเรา​พบกัน​อีกแล้ว​ ​ไม่รู้​ว่า​ข้า​จะ​ขอดื​่​ม.​.​’

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​มิสู​้​มาร​่ว​มดื​่​มด​้ว​ยกัน​สัก​หน​?​’

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​เจ้า​พก​สุรา​มา​หรือไม่​?​ ​ข้า​รู้สึก​ว่า​พวกเรา​สมควร​จะ​ดื่ม​สุรา​ส่งท้าย​กัน​…​’

นาง​กล่าวว่า​ ​‘​หากว่า​ข้า​ถูก​ฟ้าผ่า​ตาย​ล่ะ​?​!​ ​เช่นนั้น​มิใช่​ว่า​อยาก​ดื่ม​ก็​ดื่ม​ไม่ได้​แล้ว​หรอก​หรือ​?​’

นาง​กล่าวว่า​…

ใน​สมอง​เขา​เกิด​เสียงดัง​หึ่งๆ​ ​ใน​สมอง​เต็มไปด้วย​วาจา​ที่นาง​เคย​กล่าว​ ​ไม่ลืม​เลือน​ไป​เลย​สัก​ประโยค​ ​ตอนนี้​ยิ่ง​แจ่มชัด​เสีย​จน​น่ากลัว​!

เขา​นึกถึง​ถ้อยคำ​ที่​ข้า​รับใช้​ที่​ถูก​ส่งตัว​ออก​ไป​สืบหา​เบาะแส​ของ​นาง​กลับมา​รายงาน​ขึ้น​มา​อีกครั้ง​ ​‘​นายท่าน​ ​ใน​ช่วง​หลาย​วัน​มานี​้​พระองค์เจ้า​เตร็ดเตร่​ไป​ตาม​หก​ภพ​ภูมิ​อยู่​ตลอด​ ​เข้าไป​ใน​เหลา​สุรา​ ​หอน​้ำ​ชา​สารพัด​แห่ง​ ​ทุกครั้ง​ล้วน​สั่งอาหาร​พิเศษ​ขึ้นชื่อ​มาโต​๊ะ​ใหญ่​ ​ชิม​ไป​อย่าง​ละไม​่​กี่​คำ​…​’

ตี้ฝู​อี​แทบจะ​ทะยาน​ออก​ไป​แล้ว​!​ ​ยาม​ที่​ก้าว​พ้น​ประตู​ ​ก็​สะดุด​ธรณีประตู​เข้า​ ​เกือบจะ​ล้มคว่ำ​แล้ว

เขา​ซวนเซ​อยู่​ครู่หนึ่ง​ถึง​ได้​ยืนมั่น​ ​จากนั้น​ก็​เหาะ​ทะยาน​ออก​ไป​ด้านนอก​ ​ความหวาดหวั่น​ใน​ใจ​ท่วม​ฟ้า​ท้น​ดิน​ ​แทบจะ​ท่วม​ทับ​เขา​แล้ว

อาจิ​่ว​!​ ​รอ​ข้า​นะ​ ​เจ้า​ห้าม​เป็น​อะไร​นะ​…

….

“​สวรรค์​ ​เกิด​อะไร​ขึ้น​?​ ​ตอนนี้​เป็น​เดือน​หก​นะ​ ​ทำไม​ใบไม้​ทั้งหมด​กลายเป็น​สีเหลือง​ไป​แล้ว​ล่ะ​?​!​ ​ร่วง​แล้ว​!​ ​ใบไม้​ทั้งหมด​ร่วง​แล้ว​!​”

“​พวก​เจ้า​ดู​สิ​…​ดู​ทะเลสาบ​แห่ง​นี้​สิ​!​ ​สวรรค์​ ​แห้งขอด​แล้ว​!​ ​น้ำ​ล่ะ​?​ ​น้ำ​ไป​ไหน​แล้ว​?​ ​นี่​คือ​ทะเลสาบ​หมื่น​ปี​ไม่​แห้งเหือด​นะ​!​”

“​ลมแรง​เหลือเกิน​!​ ​วิ่ง​เร็ว​!​ ​รีบ​วิ่ง​!​ ​นี่​คือ​ความ​พิโรธ​ของ​เทพยดา​ใช่ไหม​?​!​”

“​ฝนตก​!​ ​ฝนตก​แล้ว​!​ ​โอ้​องค์​เทพ​ ​เหตุใด​เป็น​ฝน​โลหิต​เล่า​?​!​”

ทันใดนั้น​ ​บุปผา​พลัน​ร่วงโรย​เป็น​โคลน​เลน​ ​ใบไม้​ร่วงหล่น​เป็น​ทิวแถว

ลมพายุ​ดุจ​คม​มีด​ ​ดัง​หวีดหวิว​ดุจ​ภูตผี​ร่ำไห้

ห้วยหนอง​คลอง​บึง​พลัน​แห้งเหือด​ใน​ชั่วพริบตา​ ​เผย​ให้​เห็น​ก้น​ทะเลสาบ​ที่​แตกระแหง

จากนั้น​ก็​มี​เมฆา​มืดทึบ​บดบัง​นภา​ ​สายพิรุณ​โปรยปราย​ดุจ​สาด​เท​ ​สี​พิรุณ​แดงฉาน​ ​ราวกับ​โลหิต​สด​ ​เสมือน​ท้อง​นภา​ก็​ร่ำไห้​อยู่​เช่นกัน​ ​ร่ำไห้​จน​น้ำตา​เป็น​สายโลหิต

ตี้ฝู​อี​เพิ่งจะ​ออกมา​จาก​แดน​น้ำแข็ง​ ​พลัน​มี​ภาพ​ปรากฏ​ขึ้น​มา​ใน​ห้วง​นิมิต

ผู้คน​ที่​หนี​ก็​หนี​ ​ที่​กรีดร้อง​ก็​กรีดร้อง​ ​ที่​หลบ​ก็​หลบ​ ​แต่ละคน​แตกตื่น​หวาดผวา​ ​ไม่เข้าใจ​ว่า​เกิด​อะไร​ขึ้น​กัน​แน่

ทุกคน​ต่าง​ตื่นตระหนก​ยิ่งนัก​ซ้ำ​ยัง​มีความรู้สึก​อยาก​จะ​ร่ำไห้​ขึ้น​มา​วูบ​หนึ่ง​ด้วย​ ​ความ​โศกเศร้า​อย่าง​มหันต์​ซัด​ตลบ​อยู่​ใน​ทรวงอก​ ​ผู้คน​มากมาย​หลั่ง​น้ำตา​อาบ​หน้า​อย่าง​หา​สาเหตุ​ไม่ได้

‘​นายท่าน​ ​แย่​แล้ว​ขอรับ​!​ ​ยอดเขา​เชิด​นภา​ของ​ภพ​เซียน​จู่ๆ​ ​ก็​ถล่ม​ลงมา​ขอรับ​!​’

‘​นายท่าน​ ​ไม่ทราบ​ว่า​เพราะเหตุใด​ ​ที่​ภพ​มาร​เกิด​ฝน​อุกกาบาต​ขึ้น​ ​บาดเจ็บ​ล้มตาย​กัน​นับไม่ถ้วน​เลย​ขอรับ​!​’

‘​นายท่าน​ ​เกิดเรื่อง​เลวร้าย​ครั้ง​ใหญ่​ขึ้น​แล้ว​ ​ภพ​มาร​เกิด​แผ่นดินไหว​ครั้ง​ใหญ่​ขึ้น​ ​สายนที​ไหล​ย้อน​ ​แผ่นดิน​แตกระแหง​ขอรับ​!​’

‘​นายท่าน​ ​จู่ๆ​ ​เหล่า​สัตว์ร้าย​ใน​ภพ​อสูร​ก็​ร้องไห้​โหยหวน​ขึ้น​มา​พร้อมกัน​ ​สะท้าน​ฟ้า​สะเทือน​ดิน​…​’

‘​นายท่าน​ ​ภพ​มนุษย์​…​’

ตี้ฝู​อี​ได้รับ​การ​รายงาน​จาก​ลูกน้อง​นับไม่ถ้วน​ที่​กระจาย​ตัว​อยู่​ทั่วทุกแห่ง​หน​ ​หก​ภพ​ภูมิ​ล้วน​ปรากฏ​นิมิต​ที่​ทำให้​ผู้คน​หวาดผวา​ ​จิตใจ​คน​ระส่ำ​ระ​ส่าย

ยาม​ที่​ลูกน้อง​เหล่านี้​รายงาน​ต่อ​เขา​ ​เขา​จะ​สงบนิ่ง​อยู่​ตลอด​ ​ทว่า​น้ำเสียง​กลับ​ทุ้ม​พร่า​ ​เสมือน​ฝืน​สะกด​กลั้น​ความรู้สึก​อยาก​จะ​ร่ำไห้​เอาไว้

โศกศัลย์​ ​บรรยากาศ​อัน​โศกศัลย์​กด​ทับ​ลงมา​อย่างหนัก​ ​แพร่กระจาย​ไป​ตาม​ฟ้า​ดิน

ฟ้า​ดิน​เปลี่ยนสี​ ​บรรพต​ ​นที​โศก​หมอง

ราวกับ​โลก​มาถึง​กาลอว​สาน​แล้ว

เบื้องหน้า​ตี้ฝู​อี​มืดมัว​ลง​เป็นพักๆ​ ​เท้า​ก็​เสมือน​ย่ำ​อยู่​บน​ปุยนุ่น

สายฝน​บน​นภา​โปรยปราย​ดุจ​สาด​เท​ ​บน​ท้องถนน​ไร้​ซึ่ง​ผู้คน​ ​ล้วน​หลบ​อยู่​ใน​อาคารบ้านเรือน​ ​เขา​เดิน​ย่ำ​อยู่​กลาง​สายฝน​ ​ไม่​หลบ​ไม่​เลี่ยง​เสมือน​โง่งม​ไป​แล้ว​ ​เพียง​พุ่ง​ทะยาน​ฝ่า​สายฝน​ไป​ประหนึ่ง​บ้าคลั่ง​…

ไม่มี​ผู้ใด​ทราบ​เบาะแส​ของ​เทพ​ผู้สร้าง​โลก​เลย​ ​เขา​ไม่รู้​เลย​ว่า​ควรจะ​ไป​ตามหา​นาง​ที่ไหน​…

————————————————————————————-

บท​ที่​ ​2942​ ​เทวา​ดับสูญ​ ​2

สิ่ง​ที่​เขา​ใช้​ติดต่อสื่อสาร​กับ​นาง​มี​เพียง​ยันต์​ถ่ายทอด​เสียง​อย่าง​เดียว​เท่านั้น​ ​แต่​ยันต์​ถ่ายทอด​เสียง​แผ่น​นั้น​ถูก​เขา​ทำลาย​ทิ้ง​ด้วยมือ​ตน​แล้ว​!

อาจิ​่ว​ ​เจ้า​อยู่​ที่ไหน​?

เจ้า​ไป​อยู่​ที่ไหน​กัน​แน่​…

จู่ๆ​ ​เขา​ก็​นึกถึง​สถานที่​แห่งหนึ​่ง​ขึ้น​มา​!​ ​พลัน​สาวเท้า​ ​พุ่ง​ทะยาน​ออก​ไป

….

แดน​ต้องห้าม​ของ​ทวยเทพ​ ​ไม่ได้​อยู่​ใน​สถานที่​ใด​ของ​หก​ภพ​ภูมิ​เลย

ที่นี่​คือ​ท้อง​นภา​สีคราม​เข้ม​ที่​เต็มไปด้วย​หมู่​ดาว

มีตำ​หนัก​แบบ​โบราณ​หลาย​หลัง​แขวนลอย​อยู่​ภายใต้​ท้อง​นภา​ดาษ​หมู่​ดาว​ ​และ​เมื่อ​เงยหน้า​มอง​ขึ้น​เหนือ​ตำหนัก​แล้ว​ ​ดูรา​วกับ​จะ​เอื้อมมือ​ไป​เด็ดดวง​ดาว​ลงมา​ได้

เมฆหมอก​ล่องลอย​อยู่​ใต้​ฝ่าเท้า​ ​ก้อน​หยก​เย็นยะเยือก​เล็กน้อย​ ​สถานที่​แห่ง​นี้​สำหรับ​กู้​ซีจิ​่ว​แล้ว​ ​เป็น​สถานที่​ที่​มีทิ​วทัศน​์​งดงาม​ยิ่ง​ ​และ​เป็น​สถานที่​ถือกำเนิด​ที่อยู่​ใน​ห้วง​ความทรงจำ​ของ​เธอ​ด้วย

ปีนั​้น​เธอ​ก็​ฟื้น​ขึ้น​มาที​่​นี่​ ​จากนั้น​ก็​ก้าว​ออก​ไป

สถานที่​แห่ง​นี้​ถึงแม้​จะ​งดงาม​มาก​ ​แต่​เธอ​ไม่​ยินดี​จะ​มา​เลย

สาเหตุ​ไม่ใช่​อื่นใด​ ​ที่นี่​สงบเงียบ​สนิท​ ​ไม่มี​ความ​เอะอะ​วุ่นวาย​ของ​โลกา​ ​ถึงขั้น​ที่​ไม่มี​แม้แต่​สายลม​ด้วยซ้ำ​ ​ราวกับ​ห้วงเวลา​ของ​ที่นี่​ถูก​หยุด​เอาไว้​ ​เงียบสงัด​จน​ทำให้​คน​หวาดกลัว​ ​รกร้าง​เสมือน​มาถึง​จุดสิ้นสุด​ของ​โลก​แล้ว

แต่​เธอ​ชอบ​ความ​ครึกครื้น​ ​ชอบเสียง​เอะอะ​วุ่นวาย​ของ​โลก​โลกีย์​ ​ไม่​ชมชอบ​สถานที่​ที่​ไร้​ซึ่ง​กลิ่นอาย​ของ​มนุษย์​เช่นนี้​ ​หากว่า​เป็นไปได้​ ​เธอ​ก็​ไม่​อยาก​กลับมา​ที่นี่​เลย​สักนิด

แต่​ตอนนี้​เธอ​หวนกลับ​มา​อีกครั้ง​ ​ฝืน​ประคอง​ลมหายใจ​เฮือกสุดท้าย​เพื่อ​กลับมา

เธอ​จะ​ต้อง​ขึ้นไป​ถึง​ยอด​ตำหนัก​ให้​ได้​ก่อนที่จะ​ดับขันธ์​ ​เข้าสู่​ค่าย​อาคม​วง​นั้น​ที่​จัดเรียง​ไว้​นาน​แล้ว​ ​ใช้​พลัง​เทพ​เฮือกสุดท้าย​ของ​เธอ​ควบคุม​ทุกอย่าง​ใน​หก​ภพ​ภูมิ

ค่าย​อาคม​ก็​เป็น​ค่าย​กลดา​รา​เช่นกัน​ ​เธอ​เดิน​โซซัดโซเซ​มาถึง​ริม​ขอบ​ค่าย​กลดา​รา​ ​จ้องมอง​ดวงดาว​ที่อยู่​ใจกลาง​สุด​ดวง​นั้น​ ​ถอนหายใจ​ออกมา​เบา​ๆ

สรรพสิ่ง​ใน​หก​ภพ​ภูมิ​เห็น​เพียง​ว่า​เธอ​เตร็ดเตร่​ล่องลอย​ไปมา​ใน​แดน​ธุลี​แดง​ ​ไม่สน​ใจ​เรื่องราว​ใน​ใต้​หล้า​เลย

กลับ​ไม่ทราบ​เลย​ว่า​เป็น​เพราะ​การ​คงอยู่​ของ​เธอ​ ​พลัง​ชีวิต​ของ​หก​ภพ​ภูมิ​ถึง​ยังคง​อยู่​ ​สรรพสิ่ง​ใน​หก​ภพ​ภูมิ​ถึง​สามารถ​เติบใหญ่​รุ่งเรือง​ ​สืบสาน​ไม่​สิ้นสุด​ได้

และ​ทันทีที่​เธอ​ดับขันธ์​ ​พลัง​ชีวิต​ของ​หก​ภพ​ภูมิ​จะ​เสียหาย​อย่างใหญ่หลวง​ ​บรรพต​ถล่ม​ปฐพี​แตกร้าว​เป็นเรื่อง​เล็ก​ ​ที่​เลวร้าย​คือ​ทั้ง​หก​ภพ​ภูมิ​อาจจะ​ย่อยยับ​ตาม​ไป​ด้วย

ดังนั้น​ก่อน​ดับขันธ์​เธอ​จะ​ต้อง​เข้าสู่​ค่าย​อาคม​นี้​ ​ให้​ค่าย​อาคม​นี้​ดูดซับ​พลัง​เทพ​เฮือกสุดท้าย​ของ​เธอ​แล้ว​ส่งคืน​สู่​หก​ภพ​ภูมิ​ ​ให้​หก​ภพ​ภูมิ​กลับ​สู่​สภาพ​ปกติ​ชั่วคราว​ ​ซื้อเวลา​ให้​ก่อนที่​เทพ​ผู้สร้าง​โลก​องค์​ใหม่​จะเข้า​รับช่วง​ต่อ​…

ดวงวิญญาณ​ของ​เธอ​จะ​กระจัดกระจาย​ไป​สู่​หก​ภพ​ภูมิ​ ​มอบ​ความชุ่มชื่น​ให้​แก่​ปวงประชา

และ​หลังจาก​ดับขันธ์​แล้ว​ ​จะ​ไม่มี​การ​เวียนว่าย​ตาย​เกิด​อีก

ศิลา​ดวงดาว​ข้าง​กาย​เปล่งแสง​วิบวับ​ ​เท้าเปล่า​เปลือย​ของ​เธอ​ย่าง​เข้าไป​ทีละ​ก้าว​ๆ​ ​ทุก​ก้าว​ราวกับ​เหยียบย่ำ​ลง​บน​คม​มีด​ ​และ​ทุก​จุด​ที่​เธอ​ย่าง​ผ่าน​ ​จะ​มีบ​งก​ชสี​โลหิต​ผลิบาน​แล้ว​พลัน​ร่วงหล่น​ไป​ทันที​…

กลาง​นภา​มีบ​งกช​โลหิต​ผลิบาน​ดอก​แล้ว​ดอก​เล่า​ ​โยก​ไหว​โอนเอน​ ​งดงาม​เป็น​ที่สุด​ ​แต่​ก็​เหน็บ​หนาว​เป็น​ที่สุด​เช่นกัน

ในที่สุด​ ​เธอ​ก็​เดิน​ไป​ถึง​จุด​ใจกลาง​แล้ว​ ​ตรง​ใจกลาง​มี​ศิลา​ที่​ดู​คล้าย​แท่น​บงกช​อยู่​ ​ส่องแสง​เรือง​ๆ​ ​อยู่​ตรงนั้น

เธอ​ไล้​นิ้ว​ลง​บน​แท่น​บงกช​เบา​ๆ​ ​พริ้ม​ตาลง​เล็กน้อย​ ​สุดท้าย​ก็​ยังคง​ดำเนิน​มาถึง​จุด​นี้​อยู่ดี

ปวงชน​รู้​เพียง​ว่า​เทพ​ผู้สร้าง​โลก​แข็งแกร่ง​ไร้​ใด​เทียม​ ​เปี่ยม​เมตตา​ต่อ​โลก​หล้า​ ​ทว่า​ไม่รู้​เลย​ว่า​อันที่จริง​แล้ว​เธอ​ก็​เป็น​แค่​เด็กสาว​คน​หนึ่ง​เท่านั้น

คน​ผู้​หนึ่ง​มา​อย่าง​เดียวดาย​ ​แล้ว​คน​ผู้​หนึ่ง​ก็​จากไป​อย่าง​เดียวดาย​…

อันที่จริง​ ​เธอ​ก็​ค่อนข้าง​หวาดกลัว​เช่นกัน​…

ใน​ช่วงเวลา​นี้​อยาก​ให้​มี​ใคร​สัก​คนที​่​ไว้ใจได้​มา​อยู่​เป็นเพื่อน​เธอ​ยิ่งนัก

แต่​เธอ​ถูก​ลิขิต​ให้​โดดเดี่ยว​ ​ถูก​ลิขิต​ให้​จบชีวิต​นี้​ลง​อย่าง​เดียวดาย​…

เธอ​เหลียว​มอง​รอบข้าง​ ​เม้ม​ริมฝีปาก​จิ้มลิ้ม​ที่​ซีดเซียว​จน​แทบ​ไร้​สี​เลือด​แล้ว​ ​จากนั้น​ก็​เหม่อมอง​ห้วง​นภา​อัน​ไกลโพ้น​ ​สถานที่​แห่ง​นี้​ไม่มี​ลม​เลย​ชัดๆ​ ​อุณหภูมิ​ก็​ไม่​ต่ำ​ ​ทว่า​เธอ​กลับ​รู้สึก​เหน็บ​หนาว​เข้าไป​ถึง​ใน​กระดูก​…

ตอนนี้​เธอ​ไม่ต้อง​จับชีพจร​ก็​รู้​ว่า​เลือด​ลม​ใน​ร่าง​เธอ​ยุ่งเหยิง​วุ่นวาย​ ​และ​เมื่อ​พลัง​เทพ​สูญสลาย​ไป​ ​เลือด​ลม​เธอ​จะ​ถูก​แช่แข็ง​ไป​ทีละ​ชุ​่น​ๆ​…

หนาว​จริงๆ​…

ถ้า​มี​ใคร​สัก​คน​มาก​อด​เธอ​ไว้​ใน​ช่วง​สุดท้าย​ได้​อีก​ก็​คงดี​…

จู่ๆ​ ​เธอ​ก็​นึกถึง​อ้อมกอด​ใน​ดินแดน​น้ำแข็ง​เมื่อ​ตอนนั้น​ขึ้น​มา​ ​อบอุ่น​และ​มั่นคง​ ​แฝงกลิ่น​หอมเย็น​จางๆ​ ​ไว้​ ​และ​ใน​ตอนนั้น​เขามอง​เธอ​ด้วย​รอยยิ้ม​ ​แววตา​เต็มไปด้วย​ความ​โอ๋​เอ็นดู​อัน​อบอุ่น​ ​ไม่มี​ความหงุดหงิด​เลย​สักนิด​…

————————————————————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+