วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน 147 ช่วยเขาสืบ

Now you are reading วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน Chapter 147 ช่วยเขาสืบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่147 ช่วยเขาสืบ

“คืออย่างนี้ครับ ถังลั่วเหยาและหัวเหยาที่คุณแนะนำก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกว่าพวกเธอดีมาก ตอนนี้นักแสดงที่มีความสามารถทั้งที่อายุยังน้อยและยอมที่จะพยายามแบบนี้มีไม่มาก โดยเฉพาะหัวเหยา ความสามารถในการแสดงออกของเธอไม่เหมือนกับความสามารถที่นักแสดงอายุยังน้อยแบบนี้ควรจะมีเสียด้วยซ้ำ”

จิ่งหนิงฟังอย่างเงียบๆ แล้วก็ไม่ได้พูดแทรกด้วยเช่นกัน รอคำพูดต่อไปของเขา

จริงๆแล้วในใจเธอนั้นเข้าใจแล้วว่าเขาต้องการจะพูดอะไรออกมา

และเป็นอย่างที่คิดไว้ ได้ยินลู่หยั่นจือเอ่ยพูดขึ้นมา “《ตำนานรักข้ามพิภพ》อีกสองเดือนก็จะปิดกล้องแล้ว ผมมีเพื่อนอยู่คนนึง กำลังจะมีการถ่ายทำเรื่องใหม่อยู่พอดี เพียงแต่ว่าเขาเป็นผู้กำกับที่ยังวัยรุ่นอยู่เลยน่ะครับ ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรนัก การผลิตละครก็ไม่นับว่าใหญ่โตอะไรมากมายนัก แต่เขาชื่นชอบหัวเหยา อยากจะให้หัวเหยามารับบทแสดงเป็นนางเอก เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคุณกับหัวเหยามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน คุณพอใจช่วยพูดให้ได้ไหมครับ?”

จิ่งหนิงหัวเราะ

“ผู้กำกับลู่ นี่เป็นเรื่องดีนี่คะ ทำไมคุณไม่ไปบอกเหยาเหยาเองล่ะ? พวกคุณอยู่ที่กองถ่ายด้วยกันทั้งวันทั้งคืนเลยไม่ใช่หรือคะ? ควรจะมีโอกาสได้พูดสิ!”

ลู่หยั่นจือแสดงอาการลำบากใจออกมา

“เรื่องนี้…..ไม่ปิดบังคุณแล้วกันนะครับ ผมถามเธอแล้ว แต่เธอไม่ตกลง”

จิ่งหนิงอึ้งไปและรู้สึกแปลกใจขึ้นมา

เธอเข้าใจหัวเหยาดี ถึงแม้ว่าตอนนี้จะกลายเป็นนักแสดงหญิงยอดนิยมในวงการบันเทิง แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะปฏิบัติกับทุกคนเหมือนๆกัน แล้วก็ไม่ใช่คนประจบสอพลอที่จะดูถูกผู้กำกับคนใหม่ด้วย

เนื่องจากมีตระกูลหัวเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร และทีมงานของเธอเองก็เป็นพวกเรียบง่ายด้วยเช่นกัน ปกติแล้วจะเลือกละครก็ดูเพียงแค่ชอบหรือไม่ชอบ ไม่ได้ดูว่าการผลิตละครจะใหญ่หรือเปล่า

และนี่ลู่หยั่นจือกล้าที่จะแนะนำให้เธอ แสดงว่า ละครเรื่องนี้คงจะไม่เลวเลยเสียด้วยสิ

แต่หัวเหยากลับไม่ตอบตกลง นี่มันเป็นเรื่องน่าแปลกไปอยู่บ้าง

จิ่งหนิงพยักหน้าลงเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็คงจะไตร่ตรองของตัวเองแล้ว! ฉันเป็นเพียงแค่เพื่อนของเธอ คงจะไม่มีสิทธิไปตัดสินใจแทนเธอหรอกนะคะ เพราะฉะนั้นคุณมาหาฉันก็คงจะไม่มีประโยชน์อยู่ดี”

ลู่หยั่นจือรีบเอ่ยพูดขึ้นมา : “ผมรู้ครับ ผมเองก็ไม่ได้บังคับให้คุณต้องทำให้เธอตอบตกลงให้ได้ เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงช่วงสำคัญผมก็ยังอยากจะลองดูอีกครั้ง”

เขาถูมือของตัวเองเข้าหากันด้วยท่าทางที่ดูลำบากใจ “จริงๆแล้วเพื่อนผมคนนี้ อยากจะให้เธอมารับบทเป็นนักแสดงนำหญิงมากจริงๆครับ ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะให้คุณไปพูดให้เธอยอมรับบทนี้ เพียงแต่อยากจะรบกวนให้คุณช่วยไปสืบถึงสาเหตุที่เธอไม่รับเรื่องนี้ให้หน่อยได้ไหมครับ พวกเราจะได้แก้ปัญหากันให้ตรงจุด!”

จิ่งหนิงคิดดูแล้ว รู้สึกว่าก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไร ประกอบกับท่าทางที่จริงจังของลู่หยั่นจือ จึงตอบตกลงไป

แต่เธอเองก็เตือนเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน “ฉันบอกคุณเอาไว้ก่อนนะ ว่าฉันเพียงแค่จะช่วยคุณสืบถึงสาเหตุเท่านั้น ไม่ได้รับผิดชอบที่จะไปเกลี้ยกล่อมเธอ ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้วก็ยังไม่ได้เหมือนเดิม คุณอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน”

ลู่หยั่นจือรีบพยักหน้าตกลง หลังจากที่ทั้งสองคุยกันเสร็จแล้วนั้น เขาเอ่ยขอบคุณแล้วก็จากไป

ตอนที่จะไปนั้นก็ยังคงเอากล่องของขวัญกล่องนั้นวางเอาไว้บนโต๊ะ

จิ่งหนิงจึงต้องจำใจ แล้วโทรหาลู่จิ่งเซินเพื่อบอกเรื่องนี้กับเขา

แต่คิดไม่ถึงว่าลู่จิ่งเซินจะเพียงแค่หัวเราะออกมาแล้วบอกกับเธอ “ผมให้เขาเอามาเอง คุณรับไว้ก็พอ”

จิ่งหนิงพูดไม่ออก

แต่ในเมื่อเขาพูดมาเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีกเช่นกัน

หลังจากที่วางสายไปแล้ว เธอจึงโทรไปหาหัวเหยา นัดเธอตอนเย็นๆออกมาช้อปปิ้งและทานข้าวด้วยกัน

และหัวเหยาก็ตอบตกลง

ช่วงหกโมงเย็น หลังจากเลิกงานแล้ว จิ่งหนิงขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าที่นัดกับหัวเหยาไว้

ช่วงนี้หัวเหยาถ่ายทำละครตลอด ล้วนแต่ใช้เวลาอยู่ในกองถ่ายทั้งวัน แทบจะไม่ได้ออกมาเลย วันนี้ก็นับว่าเธอได้ออกมาผ่อนคลายเสียหน่อยแล้วกัน

เพียงแต่เมื่อพบกันแล้ว ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของจิ่งหนิงก็พบว่าหัวเหยาดูไม่มีชีวิตชีวาเท่าไรนัก สีหน้าซีดเซียว เธอดูอ่อนเพลียมาก

จิ่งหนิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง : “นี่เธอเป็นอะไรน่ะ? ถ่ายละครจนเหนื่อย หรือว่าเธอไม่สบาย?”

ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปเพื่อจะไปแตะที่หน้าผากของเธอ

แต่คาดไม่ถึงว่าหัวเหยาจะกลับเบี่ยงตัวออกไปเล็กน้อย แววตาปรากฏความรู้สึกผิดออกมาแวบหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น : “ไม่มีอะไรหรอก ไม่สบายนิดหน่อยน่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ถ่ายละครช่วงกลางคืนบ่อยด้วย!”

จิ่งหนิงจึงไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้าลงอย่างเข้าใจ

แต่ก็ยังอดที่จะเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ : “ต่อให้เหนื่อยก็ต้องดูแลสุขภาพตัวเองนะ ไม่ใช่ว่าเธอก็มีผู้ช่วยอยู่ด้วยหรอกใช่ไหม? ให้พวกเขาทำซุปที่บำรุงร่างกายให้สิ!”

หัวเหยาฝืนหัวเราะออกมา “ฉันให้ผู้ช่วยออกไปกันหมดแล้วล่ะ ตอนนี้นอกจากเสี่ยวเสว่แล้วก็ไม่มีใครคอยติดตามฉันแล้ว”

จิ่งหนิงอึ้งไปด้วยความรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก

อย่างที่รู้กันว่าเมื่อก่อนหัวเหยาไปถ่ายละครที่ไหนก็ล้วนแต่มีคนคอยตามไปปกป้องติดตามด้วยตลอด ราวกับเจ้าหญิงผู้เย่อหยิ่งอย่างไรอย่างนั้น

ถึงอย่างไรก็ตามเธอมีความสามารถและต้นทุนที่ดี คนภายนอกจึงไม่กล้าพูดอะไรมากด้วยเช่นกัน

แต่ตอนนี้ข้างกายเธอกลับมีเพียงแค่เสี่ยวเสว่คนเดียว จะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เลย!

หัวเหยาเห็นท่าทางที่ดูตกใจของเธอแล้ว จึงอดที่จะหัวเราะเยาะตัวเองออกมาไม่ได้

“แปลกใจใช่ไหม? จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก คนเราก็ต้องมีซักวันที่ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่แล้ว”

จิ่งหนิงตะลึงไปเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม : “เธอหมายความว่าอะไรน่ะ? เธอมีเรื่องกับคนที่บ้านมาใช่ไหม?”

หัวเหยาไม่ได้ปิดบัง จึงพยักหน้าลง

“ทำไมล่ะ?”

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าหัวเหยาจะไม่มีเจตนาที่จะเอ่ยพูดถึงเรื่องนี้เท่าไรนัก จึงส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก เรื่องไร้สาระน่ะ วันนี้ได้ออกมาผ่อนคลายทั้งที อย่าไปพูดถึงมันอีกเลยนะ เราไปช้อปปิ้งกันดีกว่า”

จิ่งหนิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้ว จึงทำได้เพียงพยักหน้าลง

ทั้งสองคนเดินช้อปปิ้งกันพักหนึ่ง ก็เลือกทานอาหารในร้านอาหารระดับสูงที่ตกแต่งร้านอย่างสวยงามร้านหนึ่ง

จิ่งหนิงเห็นสภาพที่ไม่ค่อยดีของเธอแล้ว จึงสั่งอาหารที่เธอชอบเป็นพิเศษมาให้

แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า อาหารที่เพิ่งจะถูกวางเสิร์ฟลงนั้น หัวเหยาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเสียแล้ว

“เธอเป็นอะไรน่ะ? ดูเหมือนเธอจะไม่สบายจริงๆแล้วนะ ให้ฉันไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนไหม?”

หัวเหยารีบโบกมือ แล้วฝืนยิ้มออกมา “ฉันไม่เป็นไร”

ในใจของจิ่งหนิงนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่เห็นท่าทางที่เด็ดเดี่ยวของเธอแล้วจึงคงจะยืนหยัดต่อไปได้ยาก

ผ่านไปไม่นาน อาหารทั้งหมดก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะทั้งหมด

หัวเหยามีรูปร่างที่ผอมบาง สูงเพรียว ทั้งยังดูสง่างาม แต่โดยส่วนตัวแล้วนับว่าเธอเป็นสัตว์ที่กินเนื้อน่ารักมาก เพียงแต่อุปสรรคนั้นอยู่ที่ว่าเธอจะต้องทำให้ตัวเองขึ้นกล้อง จึงต้องรักษารูปร่างของตัวเองเอาไว้ ดังนั้นปกติแล้วถึงได้ตั้งใจที่จะกินให้น้อย

ตรงจุดนี้ จิ่งหนิงที่โตมาด้วยกันกับเธอนั้นเข้าใจดีที่สุด

ดังนั้น อาหารที่เสิร์ฟมาแล้วนั้น จิ่งหนิงจึงคีบเนื้อวัวชิ้นนึงวางไว้ในชามของเธอ พลางคีบผักมาให้แล้วเอ่ยขึ้น : “เธอน่ะจะต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีๆนะ ถึงแม้ว่าถ่ายละครจะต้องรักษารูปร่างของตัวเอง แต่ก็อย่าไม่กินอะไรเลย วันนี้ออกมาก็ถือซะว่าเป็นวันหยุดกินให้เยอะๆหน่อย กินแค่มื้อเดียวคงไม่อ้วนเท่าไหร่หรอก วางใจได้!”

หัวเหยามองดูเนื้อที่อยู่ในชามชิ้นนั้น ก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อชิ้นนั้นขึ้นมา แล้วเอาเข้าปากไปอย่างยากลำบาก

แต่ยังไม่ทันได้เอาเข้าไปในปากเลยนั้น เพียงแค่ได้กลิ่นของเนื้อชิ้นนั้นแล้ว เธอกลับรู้สึกถึงความเปรี้ยวนี้ออกมาจากกระเพาะ

เธอรีบวางตะเกียบลง แล้วรีบเอ่ยพูดขึ้นมา “โทษทีนะ”

หลังจากนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องน้ำทันที

จิ่งหนิงที่ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบกลับมานั้น คนตรงหน้าก็หายตัวไปแล้ว

เธอนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างงงๆ ตกตะลึงไปไม่กี่วินาที ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบกลับมาว่าเกิดอะไรขึ้น

นี่ นี่….ปฏิกิริยาแบบนี้…..

ไม่หรอกมั้ง?!!!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด