วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน 927 สายเลือดตระกูลหนาน

Now you are reading วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน Chapter 927 สายเลือดตระกูลหนาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จากนั้นขมวดคิ้วอีกครั้งและกุมหน้าผากของตัวเอง

กู้ซือเฉียนรีบจับที่ที่เธอจับไว้ด้วยความประหม่า และเสียงของเขาก็ตึงเครียด

“เธอเป็นอะไร? ปวดหัวเหรอ? หรือว่ามีตรงไหนไม่สบายอีก?”

เฉียวฉีมองเขาอย่างว่างเปล่า

สักพักก็ส่ายหัว “ไม่มี เมื่อกี้ปวดขมับ ก็เลยปวดหัว แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”

เธอพูดแล้วหันไปมองรอบๆ

เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่เต็มห้อง ทุกคนยังเฝ้าอยู่ในห้องนั่งเล่นด้านนอก พอได้ยินว่าเธอฟื้นแล้ว ทุกคนก็รีบเข้ามา แต่เพราะเธอเพิ่งฟื้น เธอจึงไม่สามารถเสียงดังได้จึงได้แต่มองดูทุกคน

เฉียวฉีมองดูพวกเขาอย่างว่างเปล่าแล้วถาม: “ทุกคนเป็นอะไรกัน? ทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่? มองฉันทำไมกัน?”

จิ่งหนิงขมวดคิ้วและไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่เธอรู้สึกได้ลึกๆ ว่าเฉียวฉีดูไม่ปกติ

ในวินาทีถัดมา จึงได้เห็นเธอก้มลงมองตัวเอง

แล้วดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นทันใด

“เอ๊ะ? ทำไมฉันถึงสวมชุดเจ้าสาว? กู้ซือเฉียน ชุดแต่งงานของเราไม่มาไม่ใช่เหรอ? คุณบอกว่าดีไซเนอร์Emilyต้องปรับขนาด และจัดส่งชุดได้ในสัปดาห์หน้า”

สีหน้าของกู้ซือเฉียนเปลี่ยนไป

ดวงตาจมลงอย่างรวดเร็ว

ลองชุด แก้ชุด นั่นมันเรื่องเมื่อครึ่งเดือนก่อน

ดังนั้น ความทรงจำของเธอย้อนกลับไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนงั้นเหรอ?

เขาทำหน้าเครียด แต่น่าประหลาดใจที่เขาไม่ได้บอกความจริงในทันที แต่ลูบหน้าเฉียวฉีเบา ๆ

จากนั่นก็สั่งลุงโอ “ดูแลคุณนายก่อน”

พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

รอยเท้าของชายผู้นั้นเหมือนลมกระโชกแรง และตัวหายวับไป

เฉียวฉีตกตะลึง มองไปที่ลุงโอ และในที่สุดก็จับจ้องไปที่จิ่งหนิงที่อยู่ไม่ไกล

สีหน้าดีใจ

“หนิงหนิง เธอมาได้ยังไง? แถมยังมีลู่จิ่งเซินอีก พวกเธอกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงกลับมาเร็วแบบนี้ล่ะ? งานแต่งงานของฉันกับซือเฉียนยังไม่ถึงเลยนะ พวกเธอมาเที่ยวก่อนเหรอ หรือว่าตั้งใจมาเยี่ยมพวกเราล่ะ?”

หัวใจของทุกคนจมลง จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น?

เธอ…จู่ ๆ ก็สูญเสียความทรงจำ?

จิ่งหนิงกระชับนิ้วแน่นและเดินเข้าไป

นั่งลงข้างๆ เธอ ยิ้มเล็กน้อยและพูด: “ใช่แล้วล่ะ พวกเรามาเที่ยว พอรู้ว่าเธอกับซือเฉียนอยู่ที่นี่ก็เลยรีบตามมาเยี่ยมเธอไง”

ขณะที่เธอพูด เธอค่อยๆ ม้วนผมของเฉียวฉีและถามด้วยความเป็นห่วง: “เธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างรึเปล่า? ถ้าหากไม่สบายตรงไหน จะบอกพวกเรานะ เข้าใจไหม?”

ต่อให้เฉียวฉีจะเพิ่งฟื้นและสมองเธอยังตื้อๆ อยู่ ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกผิดปกติแล้ว

ที่สุดแล้วเธอแค่สูญเสียความทรงจำ ไม่ได้กลายเป็นคนโง่

เธอมองจิ่งหนิงและหันไปมองดูคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ที่มีสีหน้าเป็นกังวลเหมือนกันหมด จึงถามขึ้น: “นี่เกิด…เรื่องอะไรกับฉันเหรอ?”

ที่ห้องด้านข้าง

กู้ซือเฉียนมองดูชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโชฟาอย่างเย็นชา

“พูดมา เธอเป็นอะไรกันแน่?”

หนานมู่หรงนั่งจิบชาอย่างสบาย ๆ ไม่รีบร้อน

หลังจากดื่มชาหมดไปแก้วหนึ่งจึงได้เงยหน้ามองเขาและยิ้มเล็กน้อย

“ฉันกล้าพูด แต่นายกล้าเชื่อรึเปล่าล่ะ?”

กู้ซือเฉียนขมวดคิ้วแน่น

หนานมู่หรงพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย: “อาการป่วยของเธอในตอนนี้ ไม่ใช่ความจำเสื่อม แต่เพราะสมองของเธอตีบทำให้สูญเสียความทรงจำระยะสั้น เมื่อกี้ฉันก็บอกไปแล้วว่าเธอเป็นโรคทางพันธุกรรม โรคแบบนี้จะปรากฏอาการอย่างฉับพลันเมื่อถึงอายุประมาณหนึ่ง จากนั้นอวัยวะภายในร่างกายก็จะแก่ลงอย่างรวดเร็วสิบเท่าหรือร้อยเท่า เธอจะต้องกินยาตามเวลาเท่านั้นเพื่อควบคุมอาการไว้ชั่วคราว อาการของเธอในตอนนี้เกิดจากการที่ไม่ได้กินยาตามเวลา ดังนั้นจึงได้เกิดอาการกำเริบ”

กู้ซือเฉียนมีสีหน้าเคร่งเครียด

“นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?”

หนานมู่หหรงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่มันกวนประสาทไม่น้อย

“เพราะร่างกายของเธอเหมือนกับฉัน มีสายเลือดตระกูลหนานไงล่ะ”

เมื่อพูดคำนี้ไป ทุกคนต่างก็ตกใจ

หนานมู่หรงหรี่ตาและมองเขาอย่างลึกซึ้งยากจะคาดเดา “เป็นไง? คิดไม่ถึงใช่ไหมล่ะ? นายแต่งงานกับเธอแล้ว แต่กลับยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเมียตัวเอง กู้ซือเฉียน ต้องบอกเลยนะว่านายประมาทเกินไปในเรื่องนี้”

กู้ซือเฉียนมีสีหน้ามืดมน

ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความตึงเครียด

เขามองไปที่หนานมู่หรงแล้วถามเสียงขรึม: “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เล่ามา!”

หนานมู่หรงกลับลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มและพูด: “ฉันรู้แค่นี้แหละ ส่วนเรื่องรายละเอียด เดือนหน้าตระกูลหนานจะจัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ หากนายกล้ามา ก็จะมีคนบอกนายเอง”

เขาพูดจบก็เดินจากไป

ฉินเยว่และคนอื่นๆ หยุดเขาทันที ในท่าทางนั้น เพียงกู้ซือเฉียนออกคำสั่งก็ดูเหมือนเขาจะจัดการได้ในพริบตา

อย่างไรก็ตาม กู้ซือเฉียนได้แต่กำหมัดแน่น

ครู่หนึ่งจึงพูดเสียมเข้ม: “ปล่อยเขาไป!”

ฉินเย่วและพวกจึงได้ปล่อยเขาไปอย่างไม่เต็มใจนัก

หนานมู่หรงยิ้มแล้วพาหลินเยว่เอ๋อร์ออกจากงานไป

ภายในห้องเงียบลง ลู่จิ่งเซินเดินเข้ามาและตบบ่าของเขา

การสื่อสารอย่างเงียบ ๆ ระหว่างผู้ชายถือได้ว่าเป็นคำสัญญาและเป็นแรงบันดาลใจที่ลึกที่สุด

จิ่งหนิงและกลุ่มเพื่อนอยู่พูดคุยกับเฉียวฉีครู่หนึ่ง

ถึงแม้ว่าตอนนี้เฉียวฉีจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตน แต่เธอก็ไม่กล้าพูดออกมา และเธอก็ไม่ดื้อรั้นที่จะถาม

เพียงแต่ระหว่างคิ้วที่บอบบางนั้นยังมีความเศร้าโศกจาง ๆ แสดงว่าไม่ใช่ว่าเธอจะไม่คิดอะไรเลยเสียทีเดียว เพียงแค่เก็บมันเอาไว้ก่อนเท่านั้น

ผ่านไปสักพักใหญ่ กู้ซือเฉียนจึงเดินเข้ามาจากด้านนอก

และยังมีลู่จิ่งเซินและพวกเดินตามเขาเข้ามา

ลู่จิ่งเซินส่งสายตาให้จิ่งหนิง จิ่งหนิงจึงพูดกับเฉียวฉี: “พวกเธอสองคนคุยกันก่อนนะ ฉันขอตัว”

เฉียวฉีพยักหน้า

จิ่งหนิงจึงได้ออกไปพร้อมกับลู่จิ่งเซิน

เมื่อทุกคนออกไป ภายในห้องที่ใหญ่มากๆ จึงเหลือเพียงแค่กู้ซือเฉียนและเฉียวฉี

เฉียวฉียังคงสวมชุดเจ้าสาวและนั่งอยู่บนเตียง เหมือนกับตอนที่เธอออกมาเมื่อเช้านี้ สดชื่นและสวยงามน่าทึ่ง

แต่สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือ ตอนนี้สีหน้าเธอตอนนี้ซีดเผือด มันซีดขาวจนแทบจะขาวกว่าชุดเจ้าสาวเสียอีก

กู้ซือเฉียนเดินเข้าไปและนั่งลงข้างเธอ

“ซือเฉียน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? บอกฉันสิ”

ตอนนี้ไม่มีคนอื่น เฉียวฉีจึงไม่จำเป็นต้องแกล้งทำอีกต่อไป และมองเขาที่มีสายตาที่เป็นกังวล

กู้ซือเฉียนมองดูเธออย่างลึกซึ้งโดยไม่พูดอะไร

เฉียวฉีกลับอ่านความเศร้าและเจ็บปวดได้จากในดวงตาของเขา

ใจเธอจมลงหนักหนาถามอย่างแผ่วเบา: “เกี่ยวกับฉันใช่ไหม? ฉัน…ป่วยใช่ไหม?”

สุดท้ายปัญหามันเกี่ยวกับตัวเธอ เธอไม่ได้โง่ โดยพื้นฐานแล้วเธอพอจะเดาได้

กู้ซือเฉียนไม่ได้ปฏิเสธ

เฉียวฉีกำนิ้วแน่นและถามอีก: “โรคอะไรคะ?”

กู้ซือเฉียนตอบ: “ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่เมื่อครู่หมอบอกแล้วว่าเธอสุขภาพแข็งแรงดี คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ไม่ต้องห่วงนะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน 927 สายเลือดตระกูลหนาน

Now you are reading วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน Chapter 927 สายเลือดตระกูลหนาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จากนั้นขมวดคิ้วอีกครั้งและกุมหน้าผากของตัวเอง

กู้ซือเฉียนรีบจับที่ที่เธอจับไว้ด้วยความประหม่า และเสียงของเขาก็ตึงเครียด

“เธอเป็นอะไร? ปวดหัวเหรอ? หรือว่ามีตรงไหนไม่สบายอีก?”

เฉียวฉีมองเขาอย่างว่างเปล่า

สักพักก็ส่ายหัว “ไม่มี เมื่อกี้ปวดขมับ ก็เลยปวดหัว แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”

เธอพูดแล้วหันไปมองรอบๆ

เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่เต็มห้อง ทุกคนยังเฝ้าอยู่ในห้องนั่งเล่นด้านนอก พอได้ยินว่าเธอฟื้นแล้ว ทุกคนก็รีบเข้ามา แต่เพราะเธอเพิ่งฟื้น เธอจึงไม่สามารถเสียงดังได้จึงได้แต่มองดูทุกคน

เฉียวฉีมองดูพวกเขาอย่างว่างเปล่าแล้วถาม: “ทุกคนเป็นอะไรกัน? ทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่? มองฉันทำไมกัน?”

จิ่งหนิงขมวดคิ้วและไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่เธอรู้สึกได้ลึกๆ ว่าเฉียวฉีดูไม่ปกติ

ในวินาทีถัดมา จึงได้เห็นเธอก้มลงมองตัวเอง

แล้วดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นทันใด

“เอ๊ะ? ทำไมฉันถึงสวมชุดเจ้าสาว? กู้ซือเฉียน ชุดแต่งงานของเราไม่มาไม่ใช่เหรอ? คุณบอกว่าดีไซเนอร์Emilyต้องปรับขนาด และจัดส่งชุดได้ในสัปดาห์หน้า”

สีหน้าของกู้ซือเฉียนเปลี่ยนไป

ดวงตาจมลงอย่างรวดเร็ว

ลองชุด แก้ชุด นั่นมันเรื่องเมื่อครึ่งเดือนก่อน

ดังนั้น ความทรงจำของเธอย้อนกลับไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนงั้นเหรอ?

เขาทำหน้าเครียด แต่น่าประหลาดใจที่เขาไม่ได้บอกความจริงในทันที แต่ลูบหน้าเฉียวฉีเบา ๆ

จากนั่นก็สั่งลุงโอ “ดูแลคุณนายก่อน”

พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

รอยเท้าของชายผู้นั้นเหมือนลมกระโชกแรง และตัวหายวับไป

เฉียวฉีตกตะลึง มองไปที่ลุงโอ และในที่สุดก็จับจ้องไปที่จิ่งหนิงที่อยู่ไม่ไกล

สีหน้าดีใจ

“หนิงหนิง เธอมาได้ยังไง? แถมยังมีลู่จิ่งเซินอีก พวกเธอกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงกลับมาเร็วแบบนี้ล่ะ? งานแต่งงานของฉันกับซือเฉียนยังไม่ถึงเลยนะ พวกเธอมาเที่ยวก่อนเหรอ หรือว่าตั้งใจมาเยี่ยมพวกเราล่ะ?”

หัวใจของทุกคนจมลง จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น?

เธอ…จู่ ๆ ก็สูญเสียความทรงจำ?

จิ่งหนิงกระชับนิ้วแน่นและเดินเข้าไป

นั่งลงข้างๆ เธอ ยิ้มเล็กน้อยและพูด: “ใช่แล้วล่ะ พวกเรามาเที่ยว พอรู้ว่าเธอกับซือเฉียนอยู่ที่นี่ก็เลยรีบตามมาเยี่ยมเธอไง”

ขณะที่เธอพูด เธอค่อยๆ ม้วนผมของเฉียวฉีและถามด้วยความเป็นห่วง: “เธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างรึเปล่า? ถ้าหากไม่สบายตรงไหน จะบอกพวกเรานะ เข้าใจไหม?”

ต่อให้เฉียวฉีจะเพิ่งฟื้นและสมองเธอยังตื้อๆ อยู่ ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกผิดปกติแล้ว

ที่สุดแล้วเธอแค่สูญเสียความทรงจำ ไม่ได้กลายเป็นคนโง่

เธอมองจิ่งหนิงและหันไปมองดูคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ที่มีสีหน้าเป็นกังวลเหมือนกันหมด จึงถามขึ้น: “นี่เกิด…เรื่องอะไรกับฉันเหรอ?”

ที่ห้องด้านข้าง

กู้ซือเฉียนมองดูชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโชฟาอย่างเย็นชา

“พูดมา เธอเป็นอะไรกันแน่?”

หนานมู่หรงนั่งจิบชาอย่างสบาย ๆ ไม่รีบร้อน

หลังจากดื่มชาหมดไปแก้วหนึ่งจึงได้เงยหน้ามองเขาและยิ้มเล็กน้อย

“ฉันกล้าพูด แต่นายกล้าเชื่อรึเปล่าล่ะ?”

กู้ซือเฉียนขมวดคิ้วแน่น

หนานมู่หรงพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย: “อาการป่วยของเธอในตอนนี้ ไม่ใช่ความจำเสื่อม แต่เพราะสมองของเธอตีบทำให้สูญเสียความทรงจำระยะสั้น เมื่อกี้ฉันก็บอกไปแล้วว่าเธอเป็นโรคทางพันธุกรรม โรคแบบนี้จะปรากฏอาการอย่างฉับพลันเมื่อถึงอายุประมาณหนึ่ง จากนั้นอวัยวะภายในร่างกายก็จะแก่ลงอย่างรวดเร็วสิบเท่าหรือร้อยเท่า เธอจะต้องกินยาตามเวลาเท่านั้นเพื่อควบคุมอาการไว้ชั่วคราว อาการของเธอในตอนนี้เกิดจากการที่ไม่ได้กินยาตามเวลา ดังนั้นจึงได้เกิดอาการกำเริบ”

กู้ซือเฉียนมีสีหน้าเคร่งเครียด

“นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?”

หนานมู่หหรงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่มันกวนประสาทไม่น้อย

“เพราะร่างกายของเธอเหมือนกับฉัน มีสายเลือดตระกูลหนานไงล่ะ”

เมื่อพูดคำนี้ไป ทุกคนต่างก็ตกใจ

หนานมู่หรงหรี่ตาและมองเขาอย่างลึกซึ้งยากจะคาดเดา “เป็นไง? คิดไม่ถึงใช่ไหมล่ะ? นายแต่งงานกับเธอแล้ว แต่กลับยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเมียตัวเอง กู้ซือเฉียน ต้องบอกเลยนะว่านายประมาทเกินไปในเรื่องนี้”

กู้ซือเฉียนมีสีหน้ามืดมน

ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความตึงเครียด

เขามองไปที่หนานมู่หรงแล้วถามเสียงขรึม: “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เล่ามา!”

หนานมู่หรงกลับลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มและพูด: “ฉันรู้แค่นี้แหละ ส่วนเรื่องรายละเอียด เดือนหน้าตระกูลหนานจะจัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ หากนายกล้ามา ก็จะมีคนบอกนายเอง”

เขาพูดจบก็เดินจากไป

ฉินเยว่และคนอื่นๆ หยุดเขาทันที ในท่าทางนั้น เพียงกู้ซือเฉียนออกคำสั่งก็ดูเหมือนเขาจะจัดการได้ในพริบตา

อย่างไรก็ตาม กู้ซือเฉียนได้แต่กำหมัดแน่น

ครู่หนึ่งจึงพูดเสียมเข้ม: “ปล่อยเขาไป!”

ฉินเย่วและพวกจึงได้ปล่อยเขาไปอย่างไม่เต็มใจนัก

หนานมู่หรงยิ้มแล้วพาหลินเยว่เอ๋อร์ออกจากงานไป

ภายในห้องเงียบลง ลู่จิ่งเซินเดินเข้ามาและตบบ่าของเขา

การสื่อสารอย่างเงียบ ๆ ระหว่างผู้ชายถือได้ว่าเป็นคำสัญญาและเป็นแรงบันดาลใจที่ลึกที่สุด

จิ่งหนิงและกลุ่มเพื่อนอยู่พูดคุยกับเฉียวฉีครู่หนึ่ง

ถึงแม้ว่าตอนนี้เฉียวฉีจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตน แต่เธอก็ไม่กล้าพูดออกมา และเธอก็ไม่ดื้อรั้นที่จะถาม

เพียงแต่ระหว่างคิ้วที่บอบบางนั้นยังมีความเศร้าโศกจาง ๆ แสดงว่าไม่ใช่ว่าเธอจะไม่คิดอะไรเลยเสียทีเดียว เพียงแค่เก็บมันเอาไว้ก่อนเท่านั้น

ผ่านไปสักพักใหญ่ กู้ซือเฉียนจึงเดินเข้ามาจากด้านนอก

และยังมีลู่จิ่งเซินและพวกเดินตามเขาเข้ามา

ลู่จิ่งเซินส่งสายตาให้จิ่งหนิง จิ่งหนิงจึงพูดกับเฉียวฉี: “พวกเธอสองคนคุยกันก่อนนะ ฉันขอตัว”

เฉียวฉีพยักหน้า

จิ่งหนิงจึงได้ออกไปพร้อมกับลู่จิ่งเซิน

เมื่อทุกคนออกไป ภายในห้องที่ใหญ่มากๆ จึงเหลือเพียงแค่กู้ซือเฉียนและเฉียวฉี

เฉียวฉียังคงสวมชุดเจ้าสาวและนั่งอยู่บนเตียง เหมือนกับตอนที่เธอออกมาเมื่อเช้านี้ สดชื่นและสวยงามน่าทึ่ง

แต่สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือ ตอนนี้สีหน้าเธอตอนนี้ซีดเผือด มันซีดขาวจนแทบจะขาวกว่าชุดเจ้าสาวเสียอีก

กู้ซือเฉียนเดินเข้าไปและนั่งลงข้างเธอ

“ซือเฉียน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? บอกฉันสิ”

ตอนนี้ไม่มีคนอื่น เฉียวฉีจึงไม่จำเป็นต้องแกล้งทำอีกต่อไป และมองเขาที่มีสายตาที่เป็นกังวล

กู้ซือเฉียนมองดูเธออย่างลึกซึ้งโดยไม่พูดอะไร

เฉียวฉีกลับอ่านความเศร้าและเจ็บปวดได้จากในดวงตาของเขา

ใจเธอจมลงหนักหนาถามอย่างแผ่วเบา: “เกี่ยวกับฉันใช่ไหม? ฉัน…ป่วยใช่ไหม?”

สุดท้ายปัญหามันเกี่ยวกับตัวเธอ เธอไม่ได้โง่ โดยพื้นฐานแล้วเธอพอจะเดาได้

กู้ซือเฉียนไม่ได้ปฏิเสธ

เฉียวฉีกำนิ้วแน่นและถามอีก: “โรคอะไรคะ?”

กู้ซือเฉียนตอบ: “ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่เมื่อครู่หมอบอกแล้วว่าเธอสุขภาพแข็งแรงดี คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ไม่ต้องห่วงนะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+