วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน 996 ขอความช่วยเหลือ

Now you are reading วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน Chapter 996 ขอความช่วยเหลือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คำพูดของเขานั้น ทำให้ทุกคนเงียบลง

สีหน้าของกู้ซือเฉียนดูแย่มาก

ในความเป็นจริงของก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าจะตอบตกลงหนานกงจิ่นแล้ว ว่าจะหาแผ่นหยกคัมภ์สวรรค์แทนเขา เพื่อมาแลกกับการที่ยาที่ยับยั้งโรคของเฉียวฉีได้

แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้อย่างสมบูรณ์ และมองหาวิธีอื่นที่จะช่วยเธออยู่เสมออยู่เสมอ

แต่ว่าตอนนี้ เชวซู่ได้ทำลายความหวังสุดท้ายของเขาแล้ว

จนถึงตอนนี้เขาถึงจะตระหนักได้ว่า โรคของเฉียวฉีนั้นไม่ธรรมดา

กู้ซือเฉียนมีสีหน้าที่หนักใจพร้อมกับถามว่า:“คุณเชว คุณทราบแหล่งที่มาของเซลล์ชนิดนี้ไหม?”

ในใจของเขาคิดว่า ถ้าหากพอทราบแหล่งที่มาแล้ว อาจจะสามารถหาวิธีรักษาก็ได้

แต่แล้ว เชวซู่กลับพยักหน้า

“ถ้าอยากรู้แหล่งที่มา ก็ควรไปถามคนของตระกูลหนาน นี่เป็นโรคทางพันธุกรรมของตระกูลหนานพวกเขา ตราบใดที่พวกเขามีเลือดเนื้อของตระกูลนี้อยู่ ก็ต้องมีโรคนี้แน่นอน ถ้าจะสืบแหล่งที่มา กลัวว่าต้องสืบย้อนกลับไปเรื่องเมื่อนานมาแล้ว”

ในขณะที่เขาพูดอยู่ ก็ได้ถอนหายใจอีกครั้ง

กู้ซือเฉียนตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วค่อยพยักหน้า

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว”

เขาหันกลับไปมองดูเฉียวฉี ดวงตาของทั้งสองก็จ้องมองกัน ต่างคนต่างมองเห็นร่องรอยของความห่วงใยและอาลัยอาวรณ์กัน

สิ่งที่กู้ซือเฉียนเป็นห่วงคือเฉียวฉีต้องคอยทนกับความทรมานและความเจ็บป่วยจากโรคนี้ตลอด แต่สิ่งที่เฉียวฉีเป็นห่วงคือเพราะเรื่องของเธอแล้วกู้ซือเฉียนได้ทำงานหนักเพื่อเธอ

เธอยิ้มเบาๆ

“คุณเชว ขอบคุณนะคะ พวกเรารับรู้แล้ว”

เธอยืนขึ้นในขณะที่กำลังพูดอยู่

ในใจลึกๆของจิ่งหนิงก็รู้สึกแย่เล็กน้อย และเดินไปหาเธอแล้วจับมือเธอไว้

“อย่าเสียใจไปเลย มันก็ยังมีวิธีอยู่ไม่ใช่หรือ?อย่างมากสุดก็แค่กินยา คุณดูหนานกงจิ่น แล้วคนในตระกูลหนานอีกมากมาย พวกเขาก็ใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าก็ยังไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือ?หนานกงจิ่นได้พูดแล้ว ว่าเพียงแค่กินยาตลอดเวลา ก็จะไม่เป็นอะไร”

เฉียวฉีพยักหน้า

ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดจะเป็นเรื่องจริง แต่ยังไงก็ต้องยอมรับ ว่าตราบใดที่เฉียวฉียังต้องกินยา กู้ซือเฉียนและเธอจะ ถูกควบคุมโดยคนอื่นเสมอ

กลัวว่าในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าหนานกงจิ่นจะพูดอะไร พวกเขาก็จะต้องทำอย่างนั้น

นี้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นกู้ซือเฉียนหรือจะเป็นเฉียวฉี ก็ไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้แน่นอน

ในขณะนั้น ดวงตาของ จิ่งหนิงก็สว่างขึ้นในทันใด

“เอ๊ะ ว่าแต่ คุณอาเชว คุณผสมยาเป็นไหม?”

เชวซู่เหลือบมองเธอ และถอนหายใจอย่างเย็นชา “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ?”

จิ่งหนิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ไหม เฉียวฉีต้องการยาชนิดหนึ่งเพื่อดูแลรักษาสุขภาพไว้ แต่เพราะว่ายาชนิดนี้มีแต่ตระกูลหนานเท่านั้นที่มี หากพวกเขาจำเป็นต้องกินยาจากคนในตระกูลหนานอยู่ตลอดล่ะก็ มันยากที่จะหลีกเลี่ยงจากการถูกควบคุมโดยผู้อื่น ไม่ก็รบกวนคุณมาช่วยหน่อย ช่วยดูส่วนผสมของยาตัวนี้ ถ้าจะให้ดีที่สุดคือสามารถผสมยาออกมาได้”

คำพูดเหล่านี้กลับทำให้ เฉียวฉีและกู้ซือเฉียนมีความคิดใหม่ขึ้นมา

ทั้งสองคนมองดูเชวซู่อย่างมีความหวัง

สีหน้าของเชวซู่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

อันที่จริง ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างจิ่งหนิงกับโม่ไฉ่เวยอยู่ เพียงเพราะรู้ว่าเธอเป็นคนในตระกูลหนาน เขาก็ไม่อยากจะสนใจอะไรแล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาก็ดูหนักหน่วงลงเล็กน้อย และเขาถามเฉียวฉีว่า:“ตราบใดที่พวกคุณช่วยคนในตระกูลนั้นอยู่ พวกเขาก็ต้องให้ยากับคุณเป็นเรื่องปกติ คุณจะมาขอร้องผมเพื่ออะไร?”

ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

เฉียวฉีตกตะลึง เธอไม่ได้โง่ ฟังออกทันทีว่าในคำพูดนั้นมีอีกคำซ่อนอยู่

เธอพูดด้วยความงุนงง:“คุณเชวดูเหมือนจะมีความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับตระกูลหนาน ขอถามหน่อยว่าคุณกับพวกเขาเคยมีความขัดแย้งหรือปัญหาอะไรมาก่อนหรือเปล่า?”

เชวซู่เยาะเย้ย“ก็ไม่ถึงขั้นมีปัญหาอะไร แต่ผมไม่ชอบสไตล์การกระทำของตระกูลหนานอย่างมาก ตระกูลที่เห็นชีวิตคนเป็นของเล่น จะมีอะไรดีล่ะ?”

ในที่สุดเฉียวฉีก็ฟังออก ที่แท้ก็เคยมีความขัดแย้งมาก่อน

เชวซู่นั้นไม่รู้เรื่องพัวพันอะไรเกี่ยวกับเธอและตระกูลหนาน เพียงแค่เห็นว่าเธอมีโรคชนิดนี้ ก็ตัดสินใจทันทีว่าเธอนั้นเป็นคนของตระกูลหนาน

เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า:“คุณเชว ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว ถึงในเลือดเนื้อของฉันจะไหลไปด้วยสายเลือดของตระกูลหนาน แต่กลับไม่ใช่คนพวกเดียวกันกับพวกเขา”

เธอพูดพลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ได้เล่าว่าตัวเธอเองรู้ได้ยังไงว่าตัวเองเป็นคนในตระกูลหนาน แล้วยังเล่าถึงเรื่องโดนคุกคามอย่างไร

อย่างว่าถ้าขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ต้องมีท่าทีที่ร้องขอความช่วยเหลือ เฉียวฉีไม่ได้โง่ เธอจะไม่แสร้งทำเป็นเหมือนผู้สูงส่ง เธอรู้ว่า ถ้าหากโลกนี้ยังมีคนที่สามารถก๊อบปี้ยาของเธอที่หนานกงจิ่นเป็นคนให้มานั้น งั้นเชวซู่ก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน

เธอก็เคยคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด คนของตระกูลหนานมีมากมาย จำนวนยาที่ต้องการมันเยอะมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะมีของในคลังตลอด มันต้องมีคนหนึ่งที่มีหน้าที่ช่วยพวกเขาผสมยาโดยเฉพาะ

ถ้าเช่นนี้แล้ว บนโลกใบนี้ มีหนึ่งคนที่สามารถผสมยาได้ งั้นก็ต้องมีคนที่เช่นกัน

ฉะนั้น พวกเขาไม่มีทางที่เอาความหวังไว้กับคนคนเดียว

พอคิดอย่างนี้แล้วเฉียวฉีพูดอย่างเคร่งขรึม:“ฉันก็คิดแบบคุณ ต่อต้านกับตระกูลหนานเช่นเดียวกัน แต่เพียงเพราะว่าชีวิตในตอนนี้อยู่ในกำมือของเขา จึงจำเป็นต้องแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามชั่วคราวพอถูไถให้รอดเท่านั้น หากคุณสามารถช่วยฉันแก้ปัญหานี้ได้ แน่นอนว่าพวกเราก็สามารถรอดพ้นจากการกำมือของพวกเขาได้”

เชวซู่มองดูเธออย่างลึกซึ้ง

“คุณพูดว่าพ่อของคุณหนีออกมา?”

เฉียวฉีพยักหน้า “ใช่”

“คุณมีหลักฐานอะไร มาแสดงตัวว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นความจริง?”

เฉียวฉีสำลัก

หลักฐานเหรอ?เธอจะไปมีหลักอะไรได้ล่ะ?

พ่อที่เธอยังไม่เคยเจอเลยสักครั้งนั้น ได้เสียไปนานแล้ว และแม่ของเธอก็เสียแล้วด้วย ปัจจุบันก็เหลือเพียงเธอคนเดียวในโลกใบนี้

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนานมู่หรงมาหาเธอ เธอก็คงไม่รับรู้ว่าตัวเธอเองนั้นมีสายเลือดของตระกูลนี้อยู่ด้วยซ้ำ

เธอขมวดคิ้วอย่างลึกซึ้ง

ทันใดนั้น จิ่งหนิงทนดูไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยปากพูดออกมา

“คุณอาเชว คุณเชื่อเฉียวฉีเถอะ ฉันสามารถเป็นพยานให้เธอได้ สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริงทุกประการ”

พอโม่ไฉ่เวยเห็นจิ่งหนิงพูดอย่างนี้แล้วก็ได้พูดตามว่า:“นั่นสิ อะซู่ ว่ากันว่าช่วยคนหนึ่งชีวิต ยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นอีก คุณก็ช่วยเธอหน่อยเถอะ ผมเห็นคุณเฉียวนั้นเป็นคนจิตใจดี ต้องเป็นคนดีอย่างแน่นอน เธอไม่หลอกพวกเรากันหรอก”

กู้ซือเฉียนก็ได้กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า:“หากว่าคุณเชวสามารถช่วยได้ หากคุณมีความต้องการใด ๆ ในอนาคต ตราบใดที่คุณเอ่ยปากพูดออกมา ผมตอบตกลงอย่างแน่นอน”

เชวซู่ได้เหลือบมองเขา

พูดอย่างเย็นชาและหยิ่งยโสว่า “พูดซะเหมือนผมช่วยคุณเพื่อหวังผลตอบแทนอะไรอย่างนั้นแหละ”

คำพูดของเขา ทำให้กู้ซือเฉียนสำลัก

แต่จิ่งหนิงกลับดีอกดีใจ เธอรู้ หากเชวซู่พูดถึงขั้นนี้แล้ว งั้นก็แสดงว่าตอบตกลงช่วยเขาแล้ว

เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า:“คุณอาเชว งั้นก็รบกวนคุณด้วยนะคะ”

พอพูดจบ ก็หันไปหาเฉียวฉี ให้เอาตัวยาออกมา

เพราะกลัวว่าเฉียวฉีจะล้มป่วยกะทันหัน ฉะนั้นกู้ซือเฉียนจึงให้เธอพกยาติดตัวไว้สองเม็ดตลอด และตอนนี้ ในตัวของเฉียวฉีนั้นมีอยู่อีกหนึ่งเม็ดพอดี

เธอหยิบยาออกมา และเห็นเม็ดยาเล็กๆ ซึ่งวางอยู่ในกล่องเล็กๆนั้น แสดงให้เห็นว่ามันมีค่าเพียงใดสำหรับพวกเขา

เชวซู่หยิบยาขึ้นมา เปิดดูและเห็นว่ามันเป็นยาเม็ดสีทองเล็ก ๆ เขาวางมันลงบนปลายจมูกและดมมัน คิ้วเริ่มขมวดขึ้นมาเล็กน้อย

ทุกคนต่างดูเขาและพากันกังวล คาดหวังให้เขาพูดผลสรุปออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน 996 ขอความช่วยเหลือ

Now you are reading วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน Chapter 996 ขอความช่วยเหลือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คำพูดของเขานั้น ทำให้ทุกคนเงียบลง

สีหน้าของกู้ซือเฉียนดูแย่มาก

ในความเป็นจริงของก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าจะตอบตกลงหนานกงจิ่นแล้ว ว่าจะหาแผ่นหยกคัมภ์สวรรค์แทนเขา เพื่อมาแลกกับการที่ยาที่ยับยั้งโรคของเฉียวฉีได้

แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้อย่างสมบูรณ์ และมองหาวิธีอื่นที่จะช่วยเธออยู่เสมออยู่เสมอ

แต่ว่าตอนนี้ เชวซู่ได้ทำลายความหวังสุดท้ายของเขาแล้ว

จนถึงตอนนี้เขาถึงจะตระหนักได้ว่า โรคของเฉียวฉีนั้นไม่ธรรมดา

กู้ซือเฉียนมีสีหน้าที่หนักใจพร้อมกับถามว่า:“คุณเชว คุณทราบแหล่งที่มาของเซลล์ชนิดนี้ไหม?”

ในใจของเขาคิดว่า ถ้าหากพอทราบแหล่งที่มาแล้ว อาจจะสามารถหาวิธีรักษาก็ได้

แต่แล้ว เชวซู่กลับพยักหน้า

“ถ้าอยากรู้แหล่งที่มา ก็ควรไปถามคนของตระกูลหนาน นี่เป็นโรคทางพันธุกรรมของตระกูลหนานพวกเขา ตราบใดที่พวกเขามีเลือดเนื้อของตระกูลนี้อยู่ ก็ต้องมีโรคนี้แน่นอน ถ้าจะสืบแหล่งที่มา กลัวว่าต้องสืบย้อนกลับไปเรื่องเมื่อนานมาแล้ว”

ในขณะที่เขาพูดอยู่ ก็ได้ถอนหายใจอีกครั้ง

กู้ซือเฉียนตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วค่อยพยักหน้า

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว”

เขาหันกลับไปมองดูเฉียวฉี ดวงตาของทั้งสองก็จ้องมองกัน ต่างคนต่างมองเห็นร่องรอยของความห่วงใยและอาลัยอาวรณ์กัน

สิ่งที่กู้ซือเฉียนเป็นห่วงคือเฉียวฉีต้องคอยทนกับความทรมานและความเจ็บป่วยจากโรคนี้ตลอด แต่สิ่งที่เฉียวฉีเป็นห่วงคือเพราะเรื่องของเธอแล้วกู้ซือเฉียนได้ทำงานหนักเพื่อเธอ

เธอยิ้มเบาๆ

“คุณเชว ขอบคุณนะคะ พวกเรารับรู้แล้ว”

เธอยืนขึ้นในขณะที่กำลังพูดอยู่

ในใจลึกๆของจิ่งหนิงก็รู้สึกแย่เล็กน้อย และเดินไปหาเธอแล้วจับมือเธอไว้

“อย่าเสียใจไปเลย มันก็ยังมีวิธีอยู่ไม่ใช่หรือ?อย่างมากสุดก็แค่กินยา คุณดูหนานกงจิ่น แล้วคนในตระกูลหนานอีกมากมาย พวกเขาก็ใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าก็ยังไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือ?หนานกงจิ่นได้พูดแล้ว ว่าเพียงแค่กินยาตลอดเวลา ก็จะไม่เป็นอะไร”

เฉียวฉีพยักหน้า

ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดจะเป็นเรื่องจริง แต่ยังไงก็ต้องยอมรับ ว่าตราบใดที่เฉียวฉียังต้องกินยา กู้ซือเฉียนและเธอจะ ถูกควบคุมโดยคนอื่นเสมอ

กลัวว่าในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าหนานกงจิ่นจะพูดอะไร พวกเขาก็จะต้องทำอย่างนั้น

นี้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นกู้ซือเฉียนหรือจะเป็นเฉียวฉี ก็ไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้แน่นอน

ในขณะนั้น ดวงตาของ จิ่งหนิงก็สว่างขึ้นในทันใด

“เอ๊ะ ว่าแต่ คุณอาเชว คุณผสมยาเป็นไหม?”

เชวซู่เหลือบมองเธอ และถอนหายใจอย่างเย็นชา “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ?”

จิ่งหนิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ไหม เฉียวฉีต้องการยาชนิดหนึ่งเพื่อดูแลรักษาสุขภาพไว้ แต่เพราะว่ายาชนิดนี้มีแต่ตระกูลหนานเท่านั้นที่มี หากพวกเขาจำเป็นต้องกินยาจากคนในตระกูลหนานอยู่ตลอดล่ะก็ มันยากที่จะหลีกเลี่ยงจากการถูกควบคุมโดยผู้อื่น ไม่ก็รบกวนคุณมาช่วยหน่อย ช่วยดูส่วนผสมของยาตัวนี้ ถ้าจะให้ดีที่สุดคือสามารถผสมยาออกมาได้”

คำพูดเหล่านี้กลับทำให้ เฉียวฉีและกู้ซือเฉียนมีความคิดใหม่ขึ้นมา

ทั้งสองคนมองดูเชวซู่อย่างมีความหวัง

สีหน้าของเชวซู่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

อันที่จริง ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างจิ่งหนิงกับโม่ไฉ่เวยอยู่ เพียงเพราะรู้ว่าเธอเป็นคนในตระกูลหนาน เขาก็ไม่อยากจะสนใจอะไรแล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาก็ดูหนักหน่วงลงเล็กน้อย และเขาถามเฉียวฉีว่า:“ตราบใดที่พวกคุณช่วยคนในตระกูลนั้นอยู่ พวกเขาก็ต้องให้ยากับคุณเป็นเรื่องปกติ คุณจะมาขอร้องผมเพื่ออะไร?”

ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

เฉียวฉีตกตะลึง เธอไม่ได้โง่ ฟังออกทันทีว่าในคำพูดนั้นมีอีกคำซ่อนอยู่

เธอพูดด้วยความงุนงง:“คุณเชวดูเหมือนจะมีความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับตระกูลหนาน ขอถามหน่อยว่าคุณกับพวกเขาเคยมีความขัดแย้งหรือปัญหาอะไรมาก่อนหรือเปล่า?”

เชวซู่เยาะเย้ย“ก็ไม่ถึงขั้นมีปัญหาอะไร แต่ผมไม่ชอบสไตล์การกระทำของตระกูลหนานอย่างมาก ตระกูลที่เห็นชีวิตคนเป็นของเล่น จะมีอะไรดีล่ะ?”

ในที่สุดเฉียวฉีก็ฟังออก ที่แท้ก็เคยมีความขัดแย้งมาก่อน

เชวซู่นั้นไม่รู้เรื่องพัวพันอะไรเกี่ยวกับเธอและตระกูลหนาน เพียงแค่เห็นว่าเธอมีโรคชนิดนี้ ก็ตัดสินใจทันทีว่าเธอนั้นเป็นคนของตระกูลหนาน

เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า:“คุณเชว ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว ถึงในเลือดเนื้อของฉันจะไหลไปด้วยสายเลือดของตระกูลหนาน แต่กลับไม่ใช่คนพวกเดียวกันกับพวกเขา”

เธอพูดพลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ได้เล่าว่าตัวเธอเองรู้ได้ยังไงว่าตัวเองเป็นคนในตระกูลหนาน แล้วยังเล่าถึงเรื่องโดนคุกคามอย่างไร

อย่างว่าถ้าขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ต้องมีท่าทีที่ร้องขอความช่วยเหลือ เฉียวฉีไม่ได้โง่ เธอจะไม่แสร้งทำเป็นเหมือนผู้สูงส่ง เธอรู้ว่า ถ้าหากโลกนี้ยังมีคนที่สามารถก๊อบปี้ยาของเธอที่หนานกงจิ่นเป็นคนให้มานั้น งั้นเชวซู่ก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน

เธอก็เคยคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด คนของตระกูลหนานมีมากมาย จำนวนยาที่ต้องการมันเยอะมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะมีของในคลังตลอด มันต้องมีคนหนึ่งที่มีหน้าที่ช่วยพวกเขาผสมยาโดยเฉพาะ

ถ้าเช่นนี้แล้ว บนโลกใบนี้ มีหนึ่งคนที่สามารถผสมยาได้ งั้นก็ต้องมีคนที่เช่นกัน

ฉะนั้น พวกเขาไม่มีทางที่เอาความหวังไว้กับคนคนเดียว

พอคิดอย่างนี้แล้วเฉียวฉีพูดอย่างเคร่งขรึม:“ฉันก็คิดแบบคุณ ต่อต้านกับตระกูลหนานเช่นเดียวกัน แต่เพียงเพราะว่าชีวิตในตอนนี้อยู่ในกำมือของเขา จึงจำเป็นต้องแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามชั่วคราวพอถูไถให้รอดเท่านั้น หากคุณสามารถช่วยฉันแก้ปัญหานี้ได้ แน่นอนว่าพวกเราก็สามารถรอดพ้นจากการกำมือของพวกเขาได้”

เชวซู่มองดูเธออย่างลึกซึ้ง

“คุณพูดว่าพ่อของคุณหนีออกมา?”

เฉียวฉีพยักหน้า “ใช่”

“คุณมีหลักฐานอะไร มาแสดงตัวว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นความจริง?”

เฉียวฉีสำลัก

หลักฐานเหรอ?เธอจะไปมีหลักอะไรได้ล่ะ?

พ่อที่เธอยังไม่เคยเจอเลยสักครั้งนั้น ได้เสียไปนานแล้ว และแม่ของเธอก็เสียแล้วด้วย ปัจจุบันก็เหลือเพียงเธอคนเดียวในโลกใบนี้

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนานมู่หรงมาหาเธอ เธอก็คงไม่รับรู้ว่าตัวเธอเองนั้นมีสายเลือดของตระกูลนี้อยู่ด้วยซ้ำ

เธอขมวดคิ้วอย่างลึกซึ้ง

ทันใดนั้น จิ่งหนิงทนดูไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยปากพูดออกมา

“คุณอาเชว คุณเชื่อเฉียวฉีเถอะ ฉันสามารถเป็นพยานให้เธอได้ สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริงทุกประการ”

พอโม่ไฉ่เวยเห็นจิ่งหนิงพูดอย่างนี้แล้วก็ได้พูดตามว่า:“นั่นสิ อะซู่ ว่ากันว่าช่วยคนหนึ่งชีวิต ยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นอีก คุณก็ช่วยเธอหน่อยเถอะ ผมเห็นคุณเฉียวนั้นเป็นคนจิตใจดี ต้องเป็นคนดีอย่างแน่นอน เธอไม่หลอกพวกเรากันหรอก”

กู้ซือเฉียนก็ได้กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า:“หากว่าคุณเชวสามารถช่วยได้ หากคุณมีความต้องการใด ๆ ในอนาคต ตราบใดที่คุณเอ่ยปากพูดออกมา ผมตอบตกลงอย่างแน่นอน”

เชวซู่ได้เหลือบมองเขา

พูดอย่างเย็นชาและหยิ่งยโสว่า “พูดซะเหมือนผมช่วยคุณเพื่อหวังผลตอบแทนอะไรอย่างนั้นแหละ”

คำพูดของเขา ทำให้กู้ซือเฉียนสำลัก

แต่จิ่งหนิงกลับดีอกดีใจ เธอรู้ หากเชวซู่พูดถึงขั้นนี้แล้ว งั้นก็แสดงว่าตอบตกลงช่วยเขาแล้ว

เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า:“คุณอาเชว งั้นก็รบกวนคุณด้วยนะคะ”

พอพูดจบ ก็หันไปหาเฉียวฉี ให้เอาตัวยาออกมา

เพราะกลัวว่าเฉียวฉีจะล้มป่วยกะทันหัน ฉะนั้นกู้ซือเฉียนจึงให้เธอพกยาติดตัวไว้สองเม็ดตลอด และตอนนี้ ในตัวของเฉียวฉีนั้นมีอยู่อีกหนึ่งเม็ดพอดี

เธอหยิบยาออกมา และเห็นเม็ดยาเล็กๆ ซึ่งวางอยู่ในกล่องเล็กๆนั้น แสดงให้เห็นว่ามันมีค่าเพียงใดสำหรับพวกเขา

เชวซู่หยิบยาขึ้นมา เปิดดูและเห็นว่ามันเป็นยาเม็ดสีทองเล็ก ๆ เขาวางมันลงบนปลายจมูกและดมมัน คิ้วเริ่มขมวดขึ้นมาเล็กน้อย

ทุกคนต่างดูเขาและพากันกังวล คาดหวังให้เขาพูดผลสรุปออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+