ศพ 349 ข่าวที่ไม่คาดคิด

Now you are reading ศพ Chapter 349 ข่าวที่ไม่คาดคิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 349 ข่าวที่ไม่คาดคิด

ฉู่ยเฉิงจึงวางแผนเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ดูเหมือนผมจะคิดมากไปเอง

และฉู่ยเฉิงจึงกลับพูดกับผมขึ้นมาว่า “คือใช่ ปกตินายทํางานอะไรเหรอ ? ทําไมถึงมากับกองถ่ายละ ?

หรือนายทํางานทั่วไปในกองถ่ายเหรอ ?”

ผมคลี่ยิ้มอย่างขมขื่น ตัวผมไม่สนใจทํางานยกของแบกของพวกนั้นเลยสักนิด

“ไม่ใช่ ฉันมีเพื่อนอยู่ในกองถ่ายน่ะ วันนี้พวกเขาจะเริ่มเปิดกล้อง ฉันก็เลยตามมาด้วย ปกติฉันเปิดร้านขายของเกี่ยวกับงานศพ พวกขายธูปเทียน กระดาษเงินกระดาษทองอะไรพวกนั้น !” ผมพูดพร้อมรอยยิ้ม

ฉู่ยเฉิงจิงทําปากมุ่ย “อือก็ดีนิ ถือเป็นงานที่เข้ากับสายงานอยู่ แต่อาจารย์ของฉันกลับไม่ชอบให้ฉันทํางานนี้ ฉันอยากจะออกไปล่าผีอย่างเดียว สุดท้ายท่านกลับให้ฉันไปเรียนมหาลัย แถมยังบอกให้เรียนด้านการเงินอีกด้วย ไม่อย่างงั้นจะไม่สอนวิชาให้ฉัน !”

ฉู่ยเฉิงจิงทําหน้าเศร้า และยังดูค่อนข้างโมโหด้วย แต่เธอก็ดูน่ารักอยู่พอสมควร

ในเวลาเดียวกัน ผมเกิดสงสัยในตัวฉู่ยเฉิงจิงขึ้นมา

ผมพูดต่อ “คือใช่แล้ว สํานักเหมาชานของพวกเธอเป็นยังไงเหรอ ? เป็นเหมือนที่เขาว่ากันไหม จะต้องฝึกวิชาอย่างยากลําบากอยู่บนเขาทุกวัน”

พอฉู่ยเฉิงจิงได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็กลอกตาให้ผมทันที “เฮ้อ ! ฝึกโหดที่ไหนละ พวกอาจารย์ของฉัน อยากจะไปออกทริปทุกวัน รับสมัครนักท่องเที่ยวกันว่าเล่น”

“ออกทริป รับนักท่องเที่ยว” ผมงงในทันที

ฉู่ยเฉิงจิงเห็นผมไม่เข้าใจ เลยกลอกตาให้ผมอีกรอบ “นายคงดูทีวีเยอะไปละซิ พวกอาจารย์และศิษย์พี่ศิษย์น้องของฉัน อยู่บนเขาน้อยมาก พวกเขาส่วนใหญ่จะมีงานของตัวเอง แค่กลับขึ้นไปบนเขาตามเวลาที่นัดหมายเอาไว้เท่านั้น”

“นอกจากผู้อาวุโสแล้ว ปกติพวกอาจารย์หรือพวกลุงพวกนั้น ก็รับผิดชอบดูแลตามจุดชมวิว พัฒนาและใช้ประโยชน์จากพวกมัน……”

ฉู่ยเฉิงจิงยังพูดต่อ ผลลัพธ์คําพูดของเธอ กลับทําให้ความประทับใจที่ผมมีต่อสํานักเหมาชานหายไปทันที

ก็ผมคิดแบบนั้นนิ! พวกนี้เป็นสํานักเต๋า และยังเป็นสํานักที่ก่อตั้งมาหลายร้อยปี

นักพรตที่อยู่ในนั้นก็น่าจะฝึกหนักทุกวัน หรือไม่ก็ลงเขามาหาประสบการณ์ ล่าปีศาจกําจัดสิ่งชั่วร้ายซิ

สุดท้ายละ ฉู่ยเฉิงจิงกลับบอกผมว่า มันไม่ใช่ แบบนั้นเลยสักนิด

ปกติชีวิตของพวกเขาไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา ต้องเรียนหนังสือ และทํางานกันทั้งนั้น

และอาจารย์ของฉู่ยเฉิงจิงก็บังคับให้ฉู่ยเฉิงจิงเรียนหนังสือ แถมยังสร้างเป้าหมายบางอย่างให้เธอ

เมื่อเธอไต่มาถึงระดับไหนแล้ว เขาก็จะสอนวิชาในระดับนั้นให้

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็เหมือนโดนทําลายความทรงจําทันที

ให้ตายเถอะ ตอนนี้จะเป็นนักพรตมันต้องการอะไรสูงขนาดนี้เลยเหรอ

ฉู่ยเฉิงจิงเห็นผมทําหน้าตกใจอย่างแรง จึงพูดกับผมด้วยเสียงดูถูก “เลิกอึ้งได้แล้ว ตอนนี้นักต่างๆก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ บางสํานัก ยังทําธุรกิจในอินเตอร์เน็ตด้วยนะ เช่นดูดวงในอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่ทําช่องในยูทูปก็มี ! บางคนถึงกับไปเป็นนายทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ จนสามารถจดทะเบียนบริษัทได้เลย”

“พระเจ้า ! มันมาไกลถึงขนาดนี้เลยเหรอ ?” ผมทําหน้าตกใจ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านักพรตที่คอยปราบสิ่งชั่วร้าย ตอนนี้จะเริ่มหารายได้จากอินเตอร์เน็ต

ฉู่ยเฉิงจิงแกะเม็ดแตงโมต่อ “อ๋อ ! ไกลมาก แต่ความจริงเป็นแบบนี้ เราจะทําอะไรได้”

ฉู่ยเฉิงจิงทําหน้าไม่ใส่ใจ แต่ผมกลับกําลังย่อยข้อมูลพวกนี้อย่างช้าๆ

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับศิษย์สําหนักใหญ่ๆ และเป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่าตอนนี้สํานักต่างๆ เปลี่ยนไปยังไงบ้าง

แต่พอลองมาคิดให้ดี ผมก็พบว่าที่ฉู่ยเฉิงจิงพูดมาก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่เหมือนกัน

ตอนนี้สังคมกําลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ยุคสมัยนี้ เป็นยุคของโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อเรื่องภูติผี

และสังคมก็ยิ่งมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ภูติผีปีศาจที่ชั่วร้ายก็มีเหลือไม่มากแล้ว

และงานที่ตกยุคอย่างพวกเรา หากไม่เปลี่ยนแปลง หรือทํางานอื่นเพิ่ม เพื่อหารายได้เข้ากระเป๋า

ก็อย่าว่าแต่จะสืบทอดวิชาให้ใครเลย แม้แต่อยากจะกินให้อิ่มท้อง ก็อาจเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ํา

พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็หันไปมองฉู่ยเฉิงจิงอีกครั้ง พอคิดได้ว่าเธอกําลังเรียนหนังสืออยู่ ผมก็ถามเธอว่า

“ใช่แล้วฉู่ยเฉิงจิง เธอเรียนอยู่ที่ไหนเหรอ ? ฉันมีเพื่อนคนนึ่งกําลังเรียนอยู่ปีหนึ่ง เขาก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายเหมือนกัน !”

“โห ! จริงเหรอ ? ฉันเรียนอยู่ที่มหาลัยชิงฉือ เพื่อนนายเรียนที่ไหนเหรอ ?” ฉู่ยเฉิงจิงดูอยากรู้อยากเห็นมาก

พอผมได้ยินว่าเป็นมหาลัยชิงฉือ ก็ใจสั่นทันที

ดีจริงๆ มหาลัยชิงฉือก็อยู่ข้างๆมหาลัยชิงชาน หรือจะพูดอีกอย่างคือฉู่ยเฉิงจิงกับหยางเฉ่วอยู่ใกล้กันสุดๆ

“ฮ่าๆๆ เพื่อนของฉันคนนั้นอยู่มหาลัยข้างเธอ มหาลับชิงชาน !” ผมหัวเราะลั่น

“โอ้ มหาลัยชิงชาน มหาลัยศิลปะอะนะ ! เพื่อนนายชื่ออะไร ผู้ชายหรือผู้หญิง น่าจะผู้ชายซินะ

หล่อไหม หล่อกว่านายหรือเปล่า ?” ฉู่ยเฉิงจิง พูดอย่างตื่นเต้น ดวงตาเบิกกว้างยิงคําถามใส่ผมเป็นชุด

ผมหัวเราะ “ฮ่าๆๆ” แล้วย่นหน้า “ผู้หญิงน่ะ อยู่ปีหนึ่ง รอให้เปิดเทอมแล้ว ฉันจะแนะนําให้เธอรู้จัก !

ชื่อว่าหยางเฉ่ว”

ผมพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ผมเพิ่งพูดจบ ท่าทีของฉู่ยเฉิงจิงก็แข็งทื่อในทันที เธอพูดด้วยความตกใจ

“นายพูดว่าใครนะ ?”

“หยางเฉ่วไง ทําไมมีอะไรเหรอ ?” ผมเริ่มสงสัย เห็นท่าทีของฉู่ยเฉิงจิงแปลกไป

หรือว่าพวกเธอรู้จักกัน ผมเดาในใจ !

“หยางเฉ่วศิษย์น้องเก้าสํานักหวูดังคนนั้นนะเหรอ” ฉู่ยเฉิงจิง

แต่พอผมได้ยินคําพูดนี้ กลับทําหน้านิ่งในทันที

ศิษย์น้องเก้าสํานักหวี่ยังงั้นเหรอ หยางเฉ่ว บอกว่าบ้านตัวเองอยู่ที่ถือเยี่ยนจริงๆนั่นแหละ มันอยู่ห่างจากสํานักหวู่ยังไม่มากนัก แต่ศิษย์น้องเก้าคืออะไร

ฉู่ยเฉิงจิงเห็นผมเงียบ เธอเลยถามต่อทันที “คนที่ผิวขาวเว่อร์ หุ่นดีๆ หน้าอกใหญ่กว่าฉัน ! และยังสูงกว่าฉันอีกนิดหน่อย นายรอเดี๋ยวนะ !”

หลังจากพูดจบ ฉู่ยเฉิงจิงก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลังจากนั้นก็ค้นโทรศัพท์อยู่นานสองนาน สุดท้ายก็กดรูปหนึ่งขึ้นมา “ใช่เธอไหม ?”

ผมทําหน้าตกใจ จากนั้นก็รีบมองเข้าไปทันที

ผมเห็นเพียงในรูปนั้นมีผู้หญิงใส่ชุดเขียว ม้วยผมขึ้น ในมือถือแล้ว มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

เธอยืนอยู่บนยอดเขาที่ทะเลหมอก มองไปแล้วดูสง่างามมาก

แต่ ตอนที่ผมเห็นหน้าของผู้หญิงคนนี้ชัดๆ ผมกลับอดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้

ไม่ว่าชุดนี้จะแตกต่างออกไปยังไง แต่ใบหน้านั้นกลับเป็นหยางเฉ่วชัดๆ

“ใช่เธอหรือเปล่า ?” ฉู่ยเฉิงจิงถามต่อ

“อ๋อ ! ใช่ เธอไปเอารูปนี้มาจากไหน ?” ผมถามด้วยความสงสัย ในเวลาเดียวกันก็กําลังตกใจกับสถานะฐานะอีกอย่างของหยางเฉ่ว

เธอเป็นศิษย์ของสํานักหวู่ตั้ง สํานักหวู่ตั้งก็คือ สํานักที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งบนโลกนี้

ถึงว่าทําไมหยางเฉ่วถึงได้มีวิชาร้ายกาจแบบนั้น ถ้าเธอเป็นศิษย์ของสํานักหวู่ตั้งจริงๆ งั้นมันก็สมเหตุสมผลแล้วละ

ในฐานะสํานักใหญ่ที่มีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน วิชาที่ส่งต่อๆกันมา ก็ต้องทรงพลังเป็นธรรมดา

พอฉู่ยเฉิงจิงได้ยินผมตอบกลับแบบนั้น ก็อดตกใจไม่ได้ เธอบ่นพึมพําขึ้นมาทันที ที่แท้พี่เฉ่วก็เรียนอยู่มหาวิทยาลัยศิลปะชิงชานนี่เอง

“พวกเธอรู้จักกันเหรอ ?” ผมถามด้วยความสงสัย

ฉู่ยเฉิงจิงกลับหัวเราะ ฮ่าๆ และพยักหน้า “คือ รู้จัก สํานักเหมาชานของพวกเรากับสํานักหวู่ตั้งติดต่อกันมายาวนาน ในแต่ละปีจะมีการประชุมแลกเปลี่ยน ศิษย์รุ่นสามขึ้นไปต้องไปร่วมงานกันหมดทุกคน

และอาจารย์สามของฉันก็ชอบเธอมาก มาก มากเลยละ! รูปนี้ ก็เป็นรูปโปรไฟล์ของอาจารย์สามของฉันเอง”

หลังจากพูดจบ ฉู่ยเฉิงจิงก็ให้ผมดูแชทของเธอ

ทันใดนั้นผมก็พบว่ามีคนใช้รูปของหยางเฉ่วตั้ง โปรไฟล์จริงๆ แถมชื่อยังงี่เง่าสุดๆ “ฝังรักที่เสี่ยวเฉ่วเฉ่ว”

พอเห็นสิ่งนี้ ผมก็รู้สึกอึดอัดสุดๆ ขนลุกแล้วลุกอีก

ชื่อนี้มันน่าขยะแขยงเกินไป แถมยังฮาดคอสุดๆ ไม่รู้ว่าอาจารย์สามที่นุ่ยเฉิงจึงพูดถึง เป็นพวกอินดี้หรือเปล่า

ฉู่ยเฉิงจิงกลับหัวเราะคิคิคิ เธอส่งข้อความเสียงให้ “ฝังรักที่เสี่ยวเฉิวเฉ่ว” “อาจารย์สาม ตอนนี้ฉันรู้แล้วนะว่าพี่เฉวเรียนอยู่ที่ไหนอยากรู้ ไหม ?”

น้ําเสียงของฉู่ยเฉิงจิงฟังดูหวานมาก และขี้เล่นมาก

แต่ผมกลับคิดไม่ถึงเลย ว่าจู่ๆฉู่ยเฉิงจิงศิษย์สํานักเหมาชานคนนี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับหยางเฉ่วด้วย

สิ่งที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นคือ หยางเฉ่วเป็นคนใน สํานักใหญ่ศิษย์สํานักหวู่ตั้ง…..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ศพ 349 ข่าวที่ไม่คาดคิด

Now you are reading ศพ Chapter 349 ข่าวที่ไม่คาดคิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 349 ข่าวที่ไม่คาดคิด

ฉู่ยเฉิงจึงวางแผนเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ดูเหมือนผมจะคิดมากไปเอง

และฉู่ยเฉิงจึงกลับพูดกับผมขึ้นมาว่า “คือใช่ ปกตินายทํางานอะไรเหรอ ? ทําไมถึงมากับกองถ่ายละ ?

หรือนายทํางานทั่วไปในกองถ่ายเหรอ ?”

ผมคลี่ยิ้มอย่างขมขื่น ตัวผมไม่สนใจทํางานยกของแบกของพวกนั้นเลยสักนิด

“ไม่ใช่ ฉันมีเพื่อนอยู่ในกองถ่ายน่ะ วันนี้พวกเขาจะเริ่มเปิดกล้อง ฉันก็เลยตามมาด้วย ปกติฉันเปิดร้านขายของเกี่ยวกับงานศพ พวกขายธูปเทียน กระดาษเงินกระดาษทองอะไรพวกนั้น !” ผมพูดพร้อมรอยยิ้ม

ฉู่ยเฉิงจิงทําปากมุ่ย “อือก็ดีนิ ถือเป็นงานที่เข้ากับสายงานอยู่ แต่อาจารย์ของฉันกลับไม่ชอบให้ฉันทํางานนี้ ฉันอยากจะออกไปล่าผีอย่างเดียว สุดท้ายท่านกลับให้ฉันไปเรียนมหาลัย แถมยังบอกให้เรียนด้านการเงินอีกด้วย ไม่อย่างงั้นจะไม่สอนวิชาให้ฉัน !”

ฉู่ยเฉิงจิงทําหน้าเศร้า และยังดูค่อนข้างโมโหด้วย แต่เธอก็ดูน่ารักอยู่พอสมควร

ในเวลาเดียวกัน ผมเกิดสงสัยในตัวฉู่ยเฉิงจิงขึ้นมา

ผมพูดต่อ “คือใช่แล้ว สํานักเหมาชานของพวกเธอเป็นยังไงเหรอ ? เป็นเหมือนที่เขาว่ากันไหม จะต้องฝึกวิชาอย่างยากลําบากอยู่บนเขาทุกวัน”

พอฉู่ยเฉิงจิงได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็กลอกตาให้ผมทันที “เฮ้อ ! ฝึกโหดที่ไหนละ พวกอาจารย์ของฉัน อยากจะไปออกทริปทุกวัน รับสมัครนักท่องเที่ยวกันว่าเล่น”

“ออกทริป รับนักท่องเที่ยว” ผมงงในทันที

ฉู่ยเฉิงจิงเห็นผมไม่เข้าใจ เลยกลอกตาให้ผมอีกรอบ “นายคงดูทีวีเยอะไปละซิ พวกอาจารย์และศิษย์พี่ศิษย์น้องของฉัน อยู่บนเขาน้อยมาก พวกเขาส่วนใหญ่จะมีงานของตัวเอง แค่กลับขึ้นไปบนเขาตามเวลาที่นัดหมายเอาไว้เท่านั้น”

“นอกจากผู้อาวุโสแล้ว ปกติพวกอาจารย์หรือพวกลุงพวกนั้น ก็รับผิดชอบดูแลตามจุดชมวิว พัฒนาและใช้ประโยชน์จากพวกมัน……”

ฉู่ยเฉิงจิงยังพูดต่อ ผลลัพธ์คําพูดของเธอ กลับทําให้ความประทับใจที่ผมมีต่อสํานักเหมาชานหายไปทันที

ก็ผมคิดแบบนั้นนิ! พวกนี้เป็นสํานักเต๋า และยังเป็นสํานักที่ก่อตั้งมาหลายร้อยปี

นักพรตที่อยู่ในนั้นก็น่าจะฝึกหนักทุกวัน หรือไม่ก็ลงเขามาหาประสบการณ์ ล่าปีศาจกําจัดสิ่งชั่วร้ายซิ

สุดท้ายละ ฉู่ยเฉิงจิงกลับบอกผมว่า มันไม่ใช่ แบบนั้นเลยสักนิด

ปกติชีวิตของพวกเขาไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา ต้องเรียนหนังสือ และทํางานกันทั้งนั้น

และอาจารย์ของฉู่ยเฉิงจิงก็บังคับให้ฉู่ยเฉิงจิงเรียนหนังสือ แถมยังสร้างเป้าหมายบางอย่างให้เธอ

เมื่อเธอไต่มาถึงระดับไหนแล้ว เขาก็จะสอนวิชาในระดับนั้นให้

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็เหมือนโดนทําลายความทรงจําทันที

ให้ตายเถอะ ตอนนี้จะเป็นนักพรตมันต้องการอะไรสูงขนาดนี้เลยเหรอ

ฉู่ยเฉิงจิงเห็นผมทําหน้าตกใจอย่างแรง จึงพูดกับผมด้วยเสียงดูถูก “เลิกอึ้งได้แล้ว ตอนนี้นักต่างๆก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ บางสํานัก ยังทําธุรกิจในอินเตอร์เน็ตด้วยนะ เช่นดูดวงในอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่ทําช่องในยูทูปก็มี ! บางคนถึงกับไปเป็นนายทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ จนสามารถจดทะเบียนบริษัทได้เลย”

“พระเจ้า ! มันมาไกลถึงขนาดนี้เลยเหรอ ?” ผมทําหน้าตกใจ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านักพรตที่คอยปราบสิ่งชั่วร้าย ตอนนี้จะเริ่มหารายได้จากอินเตอร์เน็ต

ฉู่ยเฉิงจิงแกะเม็ดแตงโมต่อ “อ๋อ ! ไกลมาก แต่ความจริงเป็นแบบนี้ เราจะทําอะไรได้”

ฉู่ยเฉิงจิงทําหน้าไม่ใส่ใจ แต่ผมกลับกําลังย่อยข้อมูลพวกนี้อย่างช้าๆ

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับศิษย์สําหนักใหญ่ๆ และเป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่าตอนนี้สํานักต่างๆ เปลี่ยนไปยังไงบ้าง

แต่พอลองมาคิดให้ดี ผมก็พบว่าที่ฉู่ยเฉิงจิงพูดมาก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่เหมือนกัน

ตอนนี้สังคมกําลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ยุคสมัยนี้ เป็นยุคของโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อเรื่องภูติผี

และสังคมก็ยิ่งมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ภูติผีปีศาจที่ชั่วร้ายก็มีเหลือไม่มากแล้ว

และงานที่ตกยุคอย่างพวกเรา หากไม่เปลี่ยนแปลง หรือทํางานอื่นเพิ่ม เพื่อหารายได้เข้ากระเป๋า

ก็อย่าว่าแต่จะสืบทอดวิชาให้ใครเลย แม้แต่อยากจะกินให้อิ่มท้อง ก็อาจเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ํา

พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็หันไปมองฉู่ยเฉิงจิงอีกครั้ง พอคิดได้ว่าเธอกําลังเรียนหนังสืออยู่ ผมก็ถามเธอว่า

“ใช่แล้วฉู่ยเฉิงจิง เธอเรียนอยู่ที่ไหนเหรอ ? ฉันมีเพื่อนคนนึ่งกําลังเรียนอยู่ปีหนึ่ง เขาก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายเหมือนกัน !”

“โห ! จริงเหรอ ? ฉันเรียนอยู่ที่มหาลัยชิงฉือ เพื่อนนายเรียนที่ไหนเหรอ ?” ฉู่ยเฉิงจิงดูอยากรู้อยากเห็นมาก

พอผมได้ยินว่าเป็นมหาลัยชิงฉือ ก็ใจสั่นทันที

ดีจริงๆ มหาลัยชิงฉือก็อยู่ข้างๆมหาลัยชิงชาน หรือจะพูดอีกอย่างคือฉู่ยเฉิงจิงกับหยางเฉ่วอยู่ใกล้กันสุดๆ

“ฮ่าๆๆ เพื่อนของฉันคนนั้นอยู่มหาลัยข้างเธอ มหาลับชิงชาน !” ผมหัวเราะลั่น

“โอ้ มหาลัยชิงชาน มหาลัยศิลปะอะนะ ! เพื่อนนายชื่ออะไร ผู้ชายหรือผู้หญิง น่าจะผู้ชายซินะ

หล่อไหม หล่อกว่านายหรือเปล่า ?” ฉู่ยเฉิงจิง พูดอย่างตื่นเต้น ดวงตาเบิกกว้างยิงคําถามใส่ผมเป็นชุด

ผมหัวเราะ “ฮ่าๆๆ” แล้วย่นหน้า “ผู้หญิงน่ะ อยู่ปีหนึ่ง รอให้เปิดเทอมแล้ว ฉันจะแนะนําให้เธอรู้จัก !

ชื่อว่าหยางเฉ่ว”

ผมพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ผมเพิ่งพูดจบ ท่าทีของฉู่ยเฉิงจิงก็แข็งทื่อในทันที เธอพูดด้วยความตกใจ

“นายพูดว่าใครนะ ?”

“หยางเฉ่วไง ทําไมมีอะไรเหรอ ?” ผมเริ่มสงสัย เห็นท่าทีของฉู่ยเฉิงจิงแปลกไป

หรือว่าพวกเธอรู้จักกัน ผมเดาในใจ !

“หยางเฉ่วศิษย์น้องเก้าสํานักหวูดังคนนั้นนะเหรอ” ฉู่ยเฉิงจิง

แต่พอผมได้ยินคําพูดนี้ กลับทําหน้านิ่งในทันที

ศิษย์น้องเก้าสํานักหวี่ยังงั้นเหรอ หยางเฉ่ว บอกว่าบ้านตัวเองอยู่ที่ถือเยี่ยนจริงๆนั่นแหละ มันอยู่ห่างจากสํานักหวู่ยังไม่มากนัก แต่ศิษย์น้องเก้าคืออะไร

ฉู่ยเฉิงจิงเห็นผมเงียบ เธอเลยถามต่อทันที “คนที่ผิวขาวเว่อร์ หุ่นดีๆ หน้าอกใหญ่กว่าฉัน ! และยังสูงกว่าฉันอีกนิดหน่อย นายรอเดี๋ยวนะ !”

หลังจากพูดจบ ฉู่ยเฉิงจิงก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลังจากนั้นก็ค้นโทรศัพท์อยู่นานสองนาน สุดท้ายก็กดรูปหนึ่งขึ้นมา “ใช่เธอไหม ?”

ผมทําหน้าตกใจ จากนั้นก็รีบมองเข้าไปทันที

ผมเห็นเพียงในรูปนั้นมีผู้หญิงใส่ชุดเขียว ม้วยผมขึ้น ในมือถือแล้ว มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

เธอยืนอยู่บนยอดเขาที่ทะเลหมอก มองไปแล้วดูสง่างามมาก

แต่ ตอนที่ผมเห็นหน้าของผู้หญิงคนนี้ชัดๆ ผมกลับอดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้

ไม่ว่าชุดนี้จะแตกต่างออกไปยังไง แต่ใบหน้านั้นกลับเป็นหยางเฉ่วชัดๆ

“ใช่เธอหรือเปล่า ?” ฉู่ยเฉิงจิงถามต่อ

“อ๋อ ! ใช่ เธอไปเอารูปนี้มาจากไหน ?” ผมถามด้วยความสงสัย ในเวลาเดียวกันก็กําลังตกใจกับสถานะฐานะอีกอย่างของหยางเฉ่ว

เธอเป็นศิษย์ของสํานักหวู่ตั้ง สํานักหวู่ตั้งก็คือ สํานักที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งบนโลกนี้

ถึงว่าทําไมหยางเฉ่วถึงได้มีวิชาร้ายกาจแบบนั้น ถ้าเธอเป็นศิษย์ของสํานักหวู่ตั้งจริงๆ งั้นมันก็สมเหตุสมผลแล้วละ

ในฐานะสํานักใหญ่ที่มีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน วิชาที่ส่งต่อๆกันมา ก็ต้องทรงพลังเป็นธรรมดา

พอฉู่ยเฉิงจิงได้ยินผมตอบกลับแบบนั้น ก็อดตกใจไม่ได้ เธอบ่นพึมพําขึ้นมาทันที ที่แท้พี่เฉ่วก็เรียนอยู่มหาวิทยาลัยศิลปะชิงชานนี่เอง

“พวกเธอรู้จักกันเหรอ ?” ผมถามด้วยความสงสัย

ฉู่ยเฉิงจิงกลับหัวเราะ ฮ่าๆ และพยักหน้า “คือ รู้จัก สํานักเหมาชานของพวกเรากับสํานักหวู่ตั้งติดต่อกันมายาวนาน ในแต่ละปีจะมีการประชุมแลกเปลี่ยน ศิษย์รุ่นสามขึ้นไปต้องไปร่วมงานกันหมดทุกคน

และอาจารย์สามของฉันก็ชอบเธอมาก มาก มากเลยละ! รูปนี้ ก็เป็นรูปโปรไฟล์ของอาจารย์สามของฉันเอง”

หลังจากพูดจบ ฉู่ยเฉิงจิงก็ให้ผมดูแชทของเธอ

ทันใดนั้นผมก็พบว่ามีคนใช้รูปของหยางเฉ่วตั้ง โปรไฟล์จริงๆ แถมชื่อยังงี่เง่าสุดๆ “ฝังรักที่เสี่ยวเฉ่วเฉ่ว”

พอเห็นสิ่งนี้ ผมก็รู้สึกอึดอัดสุดๆ ขนลุกแล้วลุกอีก

ชื่อนี้มันน่าขยะแขยงเกินไป แถมยังฮาดคอสุดๆ ไม่รู้ว่าอาจารย์สามที่นุ่ยเฉิงจึงพูดถึง เป็นพวกอินดี้หรือเปล่า

ฉู่ยเฉิงจิงกลับหัวเราะคิคิคิ เธอส่งข้อความเสียงให้ “ฝังรักที่เสี่ยวเฉิวเฉ่ว” “อาจารย์สาม ตอนนี้ฉันรู้แล้วนะว่าพี่เฉวเรียนอยู่ที่ไหนอยากรู้ ไหม ?”

น้ําเสียงของฉู่ยเฉิงจิงฟังดูหวานมาก และขี้เล่นมาก

แต่ผมกลับคิดไม่ถึงเลย ว่าจู่ๆฉู่ยเฉิงจิงศิษย์สํานักเหมาชานคนนี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับหยางเฉ่วด้วย

สิ่งที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นคือ หยางเฉ่วเป็นคนใน สํานักใหญ่ศิษย์สํานักหวู่ตั้ง…..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+