เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] 291 สอนลูกชาย

Now you are reading เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] Chapter 291 สอนลูกชาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 291 สอนลูกชาย
ตอนที่ 291 สอนลูกชาย

หากมีเนื้อก็คงจะดี แต่ฤดูร้อนอากาศร้อน ไม่มีตู้เย็นอยู่ในบ้านก็ไม่สามารถเก็บรักษาเนื้อไว้ได้ ส่วนเนื้อตากแดดรมควันเย่ฉูฉู่ก็ไม่อยากรับประทาน จะให้รับประทานเนื้อในช่วงฝนตกหนักแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงรับประทานไส้ผัก

“ภรรยา สิ้นปีพวกเราซื้อตู้เย็นดีไหมครับ? เอาแบบตู้เล็ก ๆ ก็ได้ ผมลองถามราคาดูแล้ว ไม่กี่ร้อยหยวนเอง” จ้าวเหวินเทาคิดว่าน่าเสียดายไม่น้อยที่ไม่มีเนื้อสัตว์

“อย่าเลยค่ะ คุณดูสิไฟดับอีกแล้ว ถึงเวลานั้นถ้าไม่มีไฟฟ้า มีตู้เย็นไปก็เปล่าประโยชน์ แถมฤดูหนาวพวกเราก็ไม่ได้ใช้ตู้เย็นด้วย” เย่ฉูฉู่ดึงสายไฟดูแล้ว แต่ก็ไม่มีไฟฟ้า

โดยทั่วไปเมื่อมีลมกรรโชกแรงตอนฝนตกไฟฟ้าก็จะดับ จะให้ช่างไฟฟ้ามาซ่อมก็ต้องรอให้ลมและฝนหยุดก่อนถึงจะทำได้

จ้าวเหวินเทาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น ไฟฟ้าหยุดบ่อย ๆ ตู้เย็นต้องต่อไฟฟ้าตลอดถึงจะทำความเย็นได้ ถ้าไม่มีไฟฟ้าก็ไม่มีประโยชน์อะไร!

“ไฟฟ้านี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะเสถียรสักทีนะ” จ้าวเหวินเทากล่าว “ถ้าอยู่ในเมืองก็คงดี”

เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ฉันกลับคิดว่าในชนบทนี่แหละดี มีลานมีที่ดิน อยากกินอะไรก็ปลูกอันนั้น สบายใจดี อีกอย่างในเมืองแออัดขนาดนั้น สถานที่ทำอาหารกับห้องขับถ่ายก็ห่างกันแค่กำแพงกั้น ไม่เห็นมีอะไรดีเลย!”

จ้าวเหวินเทาบ่นถึงเรื่องในด้านนี้ของคนในเมืองให้เย่ฉูฉู่ฟังไม่น้อย สำหรับเธอแล้ว คนในเมืองต่างก็เป็นแค่ความสะอาดจอมปลอม!

“ชนบทของพวกเรา อย่างน้อย ๆ ห้องส้วมก็อยู่ห่าง อีกอย่าง คนสิบกว่าคนเบียดอยู่ในห้องเดียวกันแบบนั้น แค่คิดก็หายใจไม่ออกแล้ว ดูบ้านพวกเราสิ สัตว์เลี้ยงถูกย้ายออกไปแล้ว ลานขนาดใหญ่สองลานก็กว้างขวางมาก ไปอยู่ในเมืองจะมีสถานที่แบบนี้เหรอ? ต่อให้มีก็อยู่ที่ชานเมืองนั่นแหละ ที่แบบนั้นต่างจากชนบทตรงไหนกัน” เย่ฉูฉู่พูดพลางส่ายหน้า “อีกอย่าง ในเมืองมีคนเยอะมีรถเยอะ มีมลภาวะมีขยะ สถานที่แบบนั้นดีตรงไหน!”

จ้าวเหวินเทาประหลาดใจ “ว้าว ภรรยาทำไมคุณถึงรู้เรื่องเยอะขนาดนี้เนี่ย! เข้าใจเรื่องในเมืองมากกว่าผมอีกนะ”

“ก็แหงสิ ถึงฉันจะไม่เคยไปในเมืองมาก่อน แต่สิ่งที่ควรรู้ฉันก็รู้หมดนั่นแหละ” เย่ฉูฉู่มองเขาด้วยสายตาภาคภูมิใจ

จ้าวเหวินเทายิ้ม “คุณต้องได้ยินมาจากพี่สะใภ้สามแน่นอน ถูกไหม? ผมรู้อยู่แล้วล่ะ แล้วทำไมคุณไม่ถามพี่สะใภ้สามล่ะ ในเมื่อชนบทดีขนาดนี้ ทำไมหล่อนถึงไม่กลับมา?”

เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม “คุณอย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ฉันถามพี่สะใภ้สามแล้วว่าจะกลับมาไหม พี่สะใภ้บอกว่าจะกลับมา”

“หา?” จ้าวเหวินเทาชะงัก “คุณหมายความว่าพี่สะใภ้สามจะไม่อยู่ที่เมืองหลวง แต่จะกลับมาที่นี่เหรอ? เมื่อไหร่ล่ะ?”

เย่ฉูฉู่ส่ายหน้า “พี่สะใภ้สามบอกว่าหล่อนจะหาเงินที่เมืองหลวง หลังจากกลับมาก็จะเอาเงินมาลงทุนด้วย อนาคตก็จะกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นี่”

จ้าวเหวินเทามีดวงตาเป็นประกาย “หมายความว่ายังไง? กลับมาลงทุนอะไร? พี่สะใภ้จะทำอะไรเหรอ สถานที่ของพวกเราขายเสื้อผ้าแพง ๆ แบบนั้นไม่ออกหรอก”

“ฉันเองก็ถามแบบนี้เหมือนกัน แต่พี่สะใภ้สามบอกว่าก็ยังมีคุณอยู่ไม่ใช่เหรอ?” เย่ฉูฉู่พูดเคล้ารอยยิ้ม “พี่สะใภ้สามเชื่อในตัวคุณมากเลยนะ”

“มีผม? ผมทำได้แค่เลี้ยงกระต่ายนะ มากสุดก็ขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมจะทำอะไรได้?” จ้าวเหวินเทาส่ายหน้า

“พี่สะใภ้สามบอกว่าตอนนี้ยังมีเงินไม่พอ รอให้มีเงินมากพอค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำอะไร” ระหว่างที่เย่ฉูฉู่พูด เธอก็จัดการหั่นผักเสร็จเรียบร้อย คลุกเคล้าเข้าด้วยกันจนกลายเป็นไส้เกี๊ยวแล้ว

“รอให้มีเงินมากพอต้องรอถึงเมื่อไรล่ะ? ตอนแก่เหรอ ถึงเวลานั้นกลับมาก็ได้ใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายชีวิตจริง ๆ แล้วล่ะ ผมจะบอกอะไรให้นะ พี่สะใภ้สามของคุณช่างพูดสุด ๆ เลย คุณก็อย่าถูกคำพูดของพี่สะใภ้หลอกล่ะ” จ้าวเหวินเทาพูดกึ่งทีเล่นทีจริง

“พี่สะใภ้สามไปหลอกคุณตอนไหนคะ?” เย่ฉูฉู่ไม่พอใจ

จ้าวเหวินเทารีบยอมรับผิด ทั้งยังยิ้มพลางกล่าวขอโทษว่า “ภรรยา ผมก็แค่ล้อคุณเล่นเอง”

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขา แต่ก็ไม่ได้สืบสาวเอาความ

จ้าวเหวินเทากลับเก็บเอาไว้ในใจ เขารู้สึกสงสัยมากว่าโจวหมิ่นจะให้เขาทำอะไร คิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ออกว่ามีงานอะไรที่เหมาะสมจะให้โจวหมิ่นลงทุน เสื้อผ้าไม่ได้แน่นอน คนในชนบทเปลี่ยนชุดใหม่สามปี ใส่ชุดเก่าสามปี เย็บปะชุดใส่เพิ่มอีกสามปี หนึ่งชุดใส่ได้สิบกว่าปี กลับมาขายเสื้อผ้าคงขาดทุนตายเลย! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้าราคาแพงขนาดนั้น

หรือว่าจะเลี้ยงกระต่าย? เรื่องนี้กลับมีความเป็นไปได้ ถึงอย่างไรโจวหมิ่นก็เคยมีความคิดสนใจเกี่ยวกับกระต่ายอยู่เหมือนกัน เพราะหล่อนบอกว่าเป็นสิ่งที่ทำเงินได้มาก

“คุณไม่ต้องคิดแล้ว พี่สะใภ้สามบอกว่าตอนนี้ยังอยู่ในช่วงสะสมเงิน คุณคิดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” เย่ฉูฉู่อ่านความคิดของสามีออก

จ้าวเหวินเทาประหลาดใจ “นี่ ทำไมคุณถึงรู้ล่ะว่าผมกำลังคิดเรื่องนี้?”

“ฉันเป็นใครคะ คุณคิดอะไรฉันก็รู้หมดนั่นแหละ!” เย่ฉูฉู่พูดอย่างภาคภูมิใจ

จ้าวเหวินเทาถือโอกาสยื่นหน้าเข้ามา “ภรรยา งั้นคุณลองบอกผมสิ ตอนนี้ผมกำลังคิดอะไรอยู่?”

เย่ฉูฉู่ผลักหน้าของเขาออกไป “เลิกวุ่นวายได้แล้ว ลูกดูอยู่นะ!”

“กลัวอะไรล่ะ ผมก็กำลังวุ่นวายอยู่กับแม่ของเขา ไม่ได้ไปวุ่นวายกับคนอื่นสักหน่อย!” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างมีเหตุผลมาก

เย่ฉูฉู่ยิ้มอย่างเคือง ๆ

“ภรรยา คุณพูดไม่ออกแล้วสินะ ผมจะบอกอะไรให้ ผมกำลังคิดถึงคุณไงล่ะ!” จ้าวเหวินเทาแย้มยิ้ม

เย่ฉูฉู่เห็นลูกชายกำลังจ้องมองตาแป๋วมาทางนี้ เธอจึงกลอกตาใส่สามี จากนั้นเดินไปหยิบตะเกียบเตรียมห่อเกี๊ยว

จ้าวเหวินเทาหัวเราะหึๆ เขานวดแป้งเสร็จแล้วก็นำมาตัดเป็นชิ้น ลูกลิงก็เข้ามาจะลงมือช่วย แต่ถูกจ้าวเหวินเทาไล่ออกไป มันจึงแยกเขี้ยวใส่ แต่ท้ายที่สุดก็ไปหาเย่ฉูฉู่ให้ปลอบใจ เย่ฉูฉู่ดึงมันไปล้างมือ จากนั้นก็แบ่งแป้งและไส้ให้มันนิดหน่อย เพื่อให้มันได้ห่อด้วยตัวเอง

“ไฉไฉ แกห่อให้ดี ๆ นะ ห่อเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวฉันจะต้มให้กิน” เย่ฉูฉู่ปลอบมัน

ลูกลิงกลับไม่ยินดี มันส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ ทั้งยังลากเย่ฉูฉู่ให้ไปดูเตา แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการนำไปย่าง

เย่ฉูฉู่รู้สึกขำมาก “แกอยากกินแบบย่างเหรอ ได้ ๆ เดี๋ยวฉันจะย่างให้กินนะ”

“ยังจะเรื่องมากอีก!” จ้าวเหวินเทาหันไปพูดกับลูกลิงอย่างไม่สบอารมณ์

“มันก็เรียนรู้มาจากคุณนั่นแหละ” เย่ฉูฉู่หยิบจานใบเล็กออกมาหนึ่งใบ และให้ลูกลิงนำเกี๊ยวที่ห่อเสร็จมาวางไว้บนนี้

เสี่ยวไป๋หยางเห็นแล้วก็ยื่นมือออกมาขอด้วยเช่นกัน

จ้าวเหวินเทามองเย่ฉูฉู่ เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่ “เขาห่อไม่เป็นสักหน่อย”

จ้าวเหวินเทาหมดคำพูด “ภรรยา คุณก็ลำเอียงเกินไปแล้วนะ ลิงยังห่อเกี๊ยวได้เลย แต่ลูกชายของเรากลับทำไม่ได้?”

“ไฉไฉห่อเกี๊ยวไว้กินเอง เสี่ยวไป๋หยางห่อแล้วคุณจะกินเหรอ?”

“ผม…ผมรีดแป้งดีกว่า!” จ้าวเหวินเทาโบกไม้นวดแป้งอันเล็กอยู่หยอยๆ

เสี่ยวไป๋หยางรออยู่นานแต่ก็ไม่เห็นใครสนใจเขา จึงตะโกนส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่พอใจจนเย่ฉูฉู่รีบเข้ามาปลอบ “เสี่ยวไป๋หยางไม่โวยวายนะลูก ลูกดูสิ ดอกไม้ที่อยู่ข้างนอกบานแล้วสวยมากเลยนะ”

เสี่ยวไป๋หยางไม่ยอมดู เขาเอาแต่ยื่นมือออกมาขอแป้ง

“ให้เขาสักนิดสิ” จ้าวเหวินเทาทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้ลูกร้องไห้

“ไม่ให้ ห้ามตามใจเด็กเล็กจนเคยตัว” เย่ฉูฉู่ยืนกราน

จ้าวเหวินเทาหันไปมองลูกลิงที่กำลังยุ่งอยู่กับแผ่นแป้งและไส้ จากนั้นก็หันมามองลูกชายพลางถอนหายใจ “ลูกชาย ลูกอาจจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ก็ได้นะ”

“จะไปไหนก็ไปเลย!” เย่ฉูฉู่ทั้งตลกและโมโห เธออุ้มเสี่ยวไป๋หยางขึ้นมาพลางกล่าว “เสี่ยวไป๋หยางยังเด็ก ยังห่อเกี๊ยวเองไม่ได้ รอให้โตกว่านี้ค่อยห่อนะลูก อันนี้ยังทำไม่ได้นะ”

เสี่ยวไป๋หยางร้องไห้แล้ว

“อย่าร้องนะลูก ร้องไปก็ไม่ได้ทำอยู่ดี รอให้โตก่อนพวกเราค่อยห่อนะ” เย่ฉูฉู่พูดต่อไปอย่างอดทน

เสี่ยวไป๋หยางยังคงร้องไห้ต่อไป

“เสี่ยวไป๋หยางไม่ร้องไห้นะลูก ดูสิ นั่นอะไรเอ่ย ผีเสื้อบินๆ แล้ว!”

เสี่ยวไป๋หยางบิดตัว ไม่ยอมมอง เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด

“ร้องไปก็ไม่ได้ห่อนะ เสี่ยวไป๋หยางต้องโตกว่านี้ก่อนถึงจะห่อได้ ตอนนี้ยังไม่ได้นะลูก” เย่ฉูฉู่ยังไม่ใจอ่อน เธอพูดซ้ำ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

จ้าวเหวินเทาทนไม่ไหวจึงโน้มน้าวใจอีกครั้ง เย่ฉูฉู่ส่ายหน้าปฏิเสธ หลังจากพูดซ้ำ ๆ อีกสิบกว่ารอบ ไม่รู้ว่าเสี่ยวไป๋หยางเหนื่อยแล้วหรือว่าฟังจนเข้าใจแล้ว จึงไม่ได้ร้องไห้อีก และไม่คิดจะห่อเกี๊ยวแล้ว เขายังคงสะอึกสะอื้นและส่งเสียงอ้อแอ้พูดอะไรบางอย่าง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หรือว่าโจวหมิ่นคิดจะขายขนกระต่ายกันนะ มีความเป็นไปได้มากทีเดียว เหวินเทาขายเนื้อกระต่ายเป็นหลัก ขายเนื้อไปแล้วก็เหลือขนนี่แหละที่เอามาทำโค้ททำหมวกได้

ฉูฉู่ใจเด็ดมากเลยค่ะ ไป๋หยางโตแล้วค่อยห่อเกี๊ยวนะลูก

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] 291 สอนลูกชาย

Now you are reading เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] Chapter 291 สอนลูกชาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 291 สอนลูกชาย
ตอนที่ 291 สอนลูกชาย

หากมีเนื้อก็คงจะดี แต่ฤดูร้อนอากาศร้อน ไม่มีตู้เย็นอยู่ในบ้านก็ไม่สามารถเก็บรักษาเนื้อไว้ได้ ส่วนเนื้อตากแดดรมควันเย่ฉูฉู่ก็ไม่อยากรับประทาน จะให้รับประทานเนื้อในช่วงฝนตกหนักแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงรับประทานไส้ผัก

“ภรรยา สิ้นปีพวกเราซื้อตู้เย็นดีไหมครับ? เอาแบบตู้เล็ก ๆ ก็ได้ ผมลองถามราคาดูแล้ว ไม่กี่ร้อยหยวนเอง” จ้าวเหวินเทาคิดว่าน่าเสียดายไม่น้อยที่ไม่มีเนื้อสัตว์

“อย่าเลยค่ะ คุณดูสิไฟดับอีกแล้ว ถึงเวลานั้นถ้าไม่มีไฟฟ้า มีตู้เย็นไปก็เปล่าประโยชน์ แถมฤดูหนาวพวกเราก็ไม่ได้ใช้ตู้เย็นด้วย” เย่ฉูฉู่ดึงสายไฟดูแล้ว แต่ก็ไม่มีไฟฟ้า

โดยทั่วไปเมื่อมีลมกรรโชกแรงตอนฝนตกไฟฟ้าก็จะดับ จะให้ช่างไฟฟ้ามาซ่อมก็ต้องรอให้ลมและฝนหยุดก่อนถึงจะทำได้

จ้าวเหวินเทาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น ไฟฟ้าหยุดบ่อย ๆ ตู้เย็นต้องต่อไฟฟ้าตลอดถึงจะทำความเย็นได้ ถ้าไม่มีไฟฟ้าก็ไม่มีประโยชน์อะไร!

“ไฟฟ้านี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะเสถียรสักทีนะ” จ้าวเหวินเทากล่าว “ถ้าอยู่ในเมืองก็คงดี”

เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ฉันกลับคิดว่าในชนบทนี่แหละดี มีลานมีที่ดิน อยากกินอะไรก็ปลูกอันนั้น สบายใจดี อีกอย่างในเมืองแออัดขนาดนั้น สถานที่ทำอาหารกับห้องขับถ่ายก็ห่างกันแค่กำแพงกั้น ไม่เห็นมีอะไรดีเลย!”

จ้าวเหวินเทาบ่นถึงเรื่องในด้านนี้ของคนในเมืองให้เย่ฉูฉู่ฟังไม่น้อย สำหรับเธอแล้ว คนในเมืองต่างก็เป็นแค่ความสะอาดจอมปลอม!

“ชนบทของพวกเรา อย่างน้อย ๆ ห้องส้วมก็อยู่ห่าง อีกอย่าง คนสิบกว่าคนเบียดอยู่ในห้องเดียวกันแบบนั้น แค่คิดก็หายใจไม่ออกแล้ว ดูบ้านพวกเราสิ สัตว์เลี้ยงถูกย้ายออกไปแล้ว ลานขนาดใหญ่สองลานก็กว้างขวางมาก ไปอยู่ในเมืองจะมีสถานที่แบบนี้เหรอ? ต่อให้มีก็อยู่ที่ชานเมืองนั่นแหละ ที่แบบนั้นต่างจากชนบทตรงไหนกัน” เย่ฉูฉู่พูดพลางส่ายหน้า “อีกอย่าง ในเมืองมีคนเยอะมีรถเยอะ มีมลภาวะมีขยะ สถานที่แบบนั้นดีตรงไหน!”

จ้าวเหวินเทาประหลาดใจ “ว้าว ภรรยาทำไมคุณถึงรู้เรื่องเยอะขนาดนี้เนี่ย! เข้าใจเรื่องในเมืองมากกว่าผมอีกนะ”

“ก็แหงสิ ถึงฉันจะไม่เคยไปในเมืองมาก่อน แต่สิ่งที่ควรรู้ฉันก็รู้หมดนั่นแหละ” เย่ฉูฉู่มองเขาด้วยสายตาภาคภูมิใจ

จ้าวเหวินเทายิ้ม “คุณต้องได้ยินมาจากพี่สะใภ้สามแน่นอน ถูกไหม? ผมรู้อยู่แล้วล่ะ แล้วทำไมคุณไม่ถามพี่สะใภ้สามล่ะ ในเมื่อชนบทดีขนาดนี้ ทำไมหล่อนถึงไม่กลับมา?”

เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม “คุณอย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ฉันถามพี่สะใภ้สามแล้วว่าจะกลับมาไหม พี่สะใภ้บอกว่าจะกลับมา”

“หา?” จ้าวเหวินเทาชะงัก “คุณหมายความว่าพี่สะใภ้สามจะไม่อยู่ที่เมืองหลวง แต่จะกลับมาที่นี่เหรอ? เมื่อไหร่ล่ะ?”

เย่ฉูฉู่ส่ายหน้า “พี่สะใภ้สามบอกว่าหล่อนจะหาเงินที่เมืองหลวง หลังจากกลับมาก็จะเอาเงินมาลงทุนด้วย อนาคตก็จะกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นี่”

จ้าวเหวินเทามีดวงตาเป็นประกาย “หมายความว่ายังไง? กลับมาลงทุนอะไร? พี่สะใภ้จะทำอะไรเหรอ สถานที่ของพวกเราขายเสื้อผ้าแพง ๆ แบบนั้นไม่ออกหรอก”

“ฉันเองก็ถามแบบนี้เหมือนกัน แต่พี่สะใภ้สามบอกว่าก็ยังมีคุณอยู่ไม่ใช่เหรอ?” เย่ฉูฉู่พูดเคล้ารอยยิ้ม “พี่สะใภ้สามเชื่อในตัวคุณมากเลยนะ”

“มีผม? ผมทำได้แค่เลี้ยงกระต่ายนะ มากสุดก็ขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมจะทำอะไรได้?” จ้าวเหวินเทาส่ายหน้า

“พี่สะใภ้สามบอกว่าตอนนี้ยังมีเงินไม่พอ รอให้มีเงินมากพอค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำอะไร” ระหว่างที่เย่ฉูฉู่พูด เธอก็จัดการหั่นผักเสร็จเรียบร้อย คลุกเคล้าเข้าด้วยกันจนกลายเป็นไส้เกี๊ยวแล้ว

“รอให้มีเงินมากพอต้องรอถึงเมื่อไรล่ะ? ตอนแก่เหรอ ถึงเวลานั้นกลับมาก็ได้ใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายชีวิตจริง ๆ แล้วล่ะ ผมจะบอกอะไรให้นะ พี่สะใภ้สามของคุณช่างพูดสุด ๆ เลย คุณก็อย่าถูกคำพูดของพี่สะใภ้หลอกล่ะ” จ้าวเหวินเทาพูดกึ่งทีเล่นทีจริง

“พี่สะใภ้สามไปหลอกคุณตอนไหนคะ?” เย่ฉูฉู่ไม่พอใจ

จ้าวเหวินเทารีบยอมรับผิด ทั้งยังยิ้มพลางกล่าวขอโทษว่า “ภรรยา ผมก็แค่ล้อคุณเล่นเอง”

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขา แต่ก็ไม่ได้สืบสาวเอาความ

จ้าวเหวินเทากลับเก็บเอาไว้ในใจ เขารู้สึกสงสัยมากว่าโจวหมิ่นจะให้เขาทำอะไร คิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ออกว่ามีงานอะไรที่เหมาะสมจะให้โจวหมิ่นลงทุน เสื้อผ้าไม่ได้แน่นอน คนในชนบทเปลี่ยนชุดใหม่สามปี ใส่ชุดเก่าสามปี เย็บปะชุดใส่เพิ่มอีกสามปี หนึ่งชุดใส่ได้สิบกว่าปี กลับมาขายเสื้อผ้าคงขาดทุนตายเลย! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้าราคาแพงขนาดนั้น

หรือว่าจะเลี้ยงกระต่าย? เรื่องนี้กลับมีความเป็นไปได้ ถึงอย่างไรโจวหมิ่นก็เคยมีความคิดสนใจเกี่ยวกับกระต่ายอยู่เหมือนกัน เพราะหล่อนบอกว่าเป็นสิ่งที่ทำเงินได้มาก

“คุณไม่ต้องคิดแล้ว พี่สะใภ้สามบอกว่าตอนนี้ยังอยู่ในช่วงสะสมเงิน คุณคิดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” เย่ฉูฉู่อ่านความคิดของสามีออก

จ้าวเหวินเทาประหลาดใจ “นี่ ทำไมคุณถึงรู้ล่ะว่าผมกำลังคิดเรื่องนี้?”

“ฉันเป็นใครคะ คุณคิดอะไรฉันก็รู้หมดนั่นแหละ!” เย่ฉูฉู่พูดอย่างภาคภูมิใจ

จ้าวเหวินเทาถือโอกาสยื่นหน้าเข้ามา “ภรรยา งั้นคุณลองบอกผมสิ ตอนนี้ผมกำลังคิดอะไรอยู่?”

เย่ฉูฉู่ผลักหน้าของเขาออกไป “เลิกวุ่นวายได้แล้ว ลูกดูอยู่นะ!”

“กลัวอะไรล่ะ ผมก็กำลังวุ่นวายอยู่กับแม่ของเขา ไม่ได้ไปวุ่นวายกับคนอื่นสักหน่อย!” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างมีเหตุผลมาก

เย่ฉูฉู่ยิ้มอย่างเคือง ๆ

“ภรรยา คุณพูดไม่ออกแล้วสินะ ผมจะบอกอะไรให้ ผมกำลังคิดถึงคุณไงล่ะ!” จ้าวเหวินเทาแย้มยิ้ม

เย่ฉูฉู่เห็นลูกชายกำลังจ้องมองตาแป๋วมาทางนี้ เธอจึงกลอกตาใส่สามี จากนั้นเดินไปหยิบตะเกียบเตรียมห่อเกี๊ยว

จ้าวเหวินเทาหัวเราะหึๆ เขานวดแป้งเสร็จแล้วก็นำมาตัดเป็นชิ้น ลูกลิงก็เข้ามาจะลงมือช่วย แต่ถูกจ้าวเหวินเทาไล่ออกไป มันจึงแยกเขี้ยวใส่ แต่ท้ายที่สุดก็ไปหาเย่ฉูฉู่ให้ปลอบใจ เย่ฉูฉู่ดึงมันไปล้างมือ จากนั้นก็แบ่งแป้งและไส้ให้มันนิดหน่อย เพื่อให้มันได้ห่อด้วยตัวเอง

“ไฉไฉ แกห่อให้ดี ๆ นะ ห่อเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวฉันจะต้มให้กิน” เย่ฉูฉู่ปลอบมัน

ลูกลิงกลับไม่ยินดี มันส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ ทั้งยังลากเย่ฉูฉู่ให้ไปดูเตา แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการนำไปย่าง

เย่ฉูฉู่รู้สึกขำมาก “แกอยากกินแบบย่างเหรอ ได้ ๆ เดี๋ยวฉันจะย่างให้กินนะ”

“ยังจะเรื่องมากอีก!” จ้าวเหวินเทาหันไปพูดกับลูกลิงอย่างไม่สบอารมณ์

“มันก็เรียนรู้มาจากคุณนั่นแหละ” เย่ฉูฉู่หยิบจานใบเล็กออกมาหนึ่งใบ และให้ลูกลิงนำเกี๊ยวที่ห่อเสร็จมาวางไว้บนนี้

เสี่ยวไป๋หยางเห็นแล้วก็ยื่นมือออกมาขอด้วยเช่นกัน

จ้าวเหวินเทามองเย่ฉูฉู่ เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่ “เขาห่อไม่เป็นสักหน่อย”

จ้าวเหวินเทาหมดคำพูด “ภรรยา คุณก็ลำเอียงเกินไปแล้วนะ ลิงยังห่อเกี๊ยวได้เลย แต่ลูกชายของเรากลับทำไม่ได้?”

“ไฉไฉห่อเกี๊ยวไว้กินเอง เสี่ยวไป๋หยางห่อแล้วคุณจะกินเหรอ?”

“ผม…ผมรีดแป้งดีกว่า!” จ้าวเหวินเทาโบกไม้นวดแป้งอันเล็กอยู่หยอยๆ

เสี่ยวไป๋หยางรออยู่นานแต่ก็ไม่เห็นใครสนใจเขา จึงตะโกนส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่พอใจจนเย่ฉูฉู่รีบเข้ามาปลอบ “เสี่ยวไป๋หยางไม่โวยวายนะลูก ลูกดูสิ ดอกไม้ที่อยู่ข้างนอกบานแล้วสวยมากเลยนะ”

เสี่ยวไป๋หยางไม่ยอมดู เขาเอาแต่ยื่นมือออกมาขอแป้ง

“ให้เขาสักนิดสิ” จ้าวเหวินเทาทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้ลูกร้องไห้

“ไม่ให้ ห้ามตามใจเด็กเล็กจนเคยตัว” เย่ฉูฉู่ยืนกราน

จ้าวเหวินเทาหันไปมองลูกลิงที่กำลังยุ่งอยู่กับแผ่นแป้งและไส้ จากนั้นก็หันมามองลูกชายพลางถอนหายใจ “ลูกชาย ลูกอาจจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ก็ได้นะ”

“จะไปไหนก็ไปเลย!” เย่ฉูฉู่ทั้งตลกและโมโห เธออุ้มเสี่ยวไป๋หยางขึ้นมาพลางกล่าว “เสี่ยวไป๋หยางยังเด็ก ยังห่อเกี๊ยวเองไม่ได้ รอให้โตกว่านี้ค่อยห่อนะลูก อันนี้ยังทำไม่ได้นะ”

เสี่ยวไป๋หยางร้องไห้แล้ว

“อย่าร้องนะลูก ร้องไปก็ไม่ได้ทำอยู่ดี รอให้โตก่อนพวกเราค่อยห่อนะ” เย่ฉูฉู่พูดต่อไปอย่างอดทน

เสี่ยวไป๋หยางยังคงร้องไห้ต่อไป

“เสี่ยวไป๋หยางไม่ร้องไห้นะลูก ดูสิ นั่นอะไรเอ่ย ผีเสื้อบินๆ แล้ว!”

เสี่ยวไป๋หยางบิดตัว ไม่ยอมมอง เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด

“ร้องไปก็ไม่ได้ห่อนะ เสี่ยวไป๋หยางต้องโตกว่านี้ก่อนถึงจะห่อได้ ตอนนี้ยังไม่ได้นะลูก” เย่ฉูฉู่ยังไม่ใจอ่อน เธอพูดซ้ำ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

จ้าวเหวินเทาทนไม่ไหวจึงโน้มน้าวใจอีกครั้ง เย่ฉูฉู่ส่ายหน้าปฏิเสธ หลังจากพูดซ้ำ ๆ อีกสิบกว่ารอบ ไม่รู้ว่าเสี่ยวไป๋หยางเหนื่อยแล้วหรือว่าฟังจนเข้าใจแล้ว จึงไม่ได้ร้องไห้อีก และไม่คิดจะห่อเกี๊ยวแล้ว เขายังคงสะอึกสะอื้นและส่งเสียงอ้อแอ้พูดอะไรบางอย่าง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หรือว่าโจวหมิ่นคิดจะขายขนกระต่ายกันนะ มีความเป็นไปได้มากทีเดียว เหวินเทาขายเนื้อกระต่ายเป็นหลัก ขายเนื้อไปแล้วก็เหลือขนนี่แหละที่เอามาทำโค้ททำหมวกได้

ฉูฉู่ใจเด็ดมากเลยค่ะ ไป๋หยางโตแล้วค่อยห่อเกี๊ยวนะลูก

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+